มีหลักฐานอื่นๆนอกจากพระคัมภีร์ที่พูดถึงพระเยซูหรือไม่
ถ้าพระเยซูเป็นบุคคลสำคัญจริงๆก็น่าจะมีงานเขียนทางประวัติศาสตร์อื่นๆที่พูดถึงพระองค์ น่าจะมีนักวิชาการในสมัยนั้นหรือข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ว่าพระเยซูมีตัวตนจริงๆ เพราะถ้าหากมีแต่ในพระคัมภีร์เท่านั้นที่พูดถึงพระองค์แล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่าเรื่องพระเยซูเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น เพื่อพิสูจน์ในข้อนี้เราจึงต้องมาทำความรู้จักนักประวัติศาสตร์ในศตวรรษแรกดู ว่าคนเหล่านี้มีใครพูดถึงหรืออ้างถึงพระองค์หรือไม่
นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษแรกที่นักวิชาการรู้จักกันเป็นอย่างดีคนหนึ่งก็คือ โจซีฟัส (Josephus) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.37-100 เขาเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวยิวที่สำคัญมากคนหนึ่ง โจซีฟัสคนนี้เป็นปุโรหิตและเป็นฟาริสี และเขามีงานเขียนสี่ชิ้นที่เขียนในปลายศตวรรษแรก โดยงานเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ Antiquities of the Jews มีทั้งหมด 20 เล่ม ซึ่งเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาวยิวตั้งแต่เริ่มสร้างโลกจนถึงสมัยของเขา โดย 10 เล่มแรกนั้นได้พูดถึงการสร้างโลกโดยยึดถือข้อมูลตามพระคัมภีร์ของยิว ตั้งแต่พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา และ 10 เล่มหลังได้พูดเรื่องราวของชนชาติยิวในช่วงหลังจากพระคัมภีร์จนถึงช่วงสงครามยิว โดยเขาได้เขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จในราวปี ค.ศ. 93 ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้เขาได้พูดถึงยากอบน้องชายของพระเยซู และการตายของเขา ซึ่งจากข้อความในตอนนี้เป็นการยืนยันว่าพระเยซูมีตัวตนจริงๆ มีอ้างถึงพระองค์จากหนังสืออื่นๆในสมัยนั้น โดยข้อความที่โจซีฟัสเขียนมีดังนี้
เขาได้เรียกประชุมสภาแซนเฮดริน และได้นำตัวยากอบน้องชายของพระเยซู (ที่เรียกว่าพระคริสต์) พร้อมกับคนอื่นๆเข้ามา และได้กล่าวหาคนพวกนี้ว่าได้ทำผิดกฏหมาย และสั่งให้ขว้างด้วยก้อนหิน
หนังสืออีกเล่มหนึ่งของโจซีฟัสที่ได้อ้างถึงพระเยซูก็คือหนังสือที่ชื่อ Testimonium Flavianum โดยข้อความจากหนังสือเล่มนี้ที่ได้กล่าวถึงพระเยซูมีดังนี้
ในเวลานั้นมีชายคนหนึ่งชื่อ เยซู เป็นคนฉลาด หรือที่ถูกต้อง ไม่น่าเรียกเขาว่าเป็นคน เพราะเขาได้ทำการประหลาด เป็นครูที่มีคนมากมายรับสัจจะด้วยความยินดี เขาชนะใจทั้งพวกยิวและพวกกรีกจำนวนมาก เขาคือ พระคริสต์ เมื่อปีลาตรับฟ้องข้อกล่าวหาจากผู้นำชั้นสูงที่อยู่ท่ามกลางพวกเรา ปีลาตลงโทษให้นำตัวเขาไปตรึงกางเขน และคนกลุ่มแรกเหล่านั้นที่รักเขา ก็ยังรักเขาต่อไปไม่ยอมเลิก ในวันที่สาม เขากลับมีชีวิตและปรากฏตัวให้พวกสาวกได้เห็น เพราะว่าผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าได้พยากรณ์ไว้ รวมทั้งการอัศจรรย์อีกมากมายนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับเขาด้วยและกลุ่มคริสเตียน ชื่อซึ่งเรียกตามเขาก็ยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ไม่หายไปไหน
แต่มีหลายคนสงสัยว่าทำไมโจซีฟัสถึงได้กล่าวถึงพระเยซูเพียงเท่านี้ เพราะถ้าพระเยซูเป็นคนสำคัญจริงๆแล้วก็น่าจะพูดถึงมากกว่านี้ แต่กลับเป็นว่างานเขียนของโจซีฟัสนั้นเขียนถึงยอห์นผู้ให้บัพติสมามากกว่าพระเยซูเสียอีก คำตอบในเรื่องนี้ก็คือว่า โจซีฟัสนั้นได้ทำการต่อสู้โรมและเป็นพวกที่สนใจการเมือง เรื่องของยอห์นผู้ให้บัพติสมานั้นมีความโน้มเอียงไปในเรื่องของการเมืองมากกว่าพระเยซู พระเยซูไม่ได้ต่อต้านโรม แม้กระทั่งการเสียภาษี พระเยซูก็ยังบอกให้เสียภาษีให้โรมด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุที่โจซีฟัสไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระเยซูมากนัก อย่างไรก็ตามงานเขียนของโจซีฟัสนั้นเป็นงานเขียนที่สำคัญมากชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะงานเขียนที่เกี่ยวกับสงครามยิว (The Jewish War ) เขียนประมาณปี ค.ศ. 75 ซึ่งมีความถูกต้องแม่นยำตามหลักฐานทางโบราณคดี ดังนั้นเรื่องพระเยซูที่ปรากฏในงานเขียนของเขาจึงมีความน่าเชื่อถือมาก และนี่จึงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงว่าพระเยซูมีตัวตนจริงๆ โดยมีแหล่งอ้างอิงจากหนังสืออื่นๆที่ไม่ใช่พระคัมภีร์
ให้เราลองมาดูนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันบ้างว่าในงานเขียนของเขานั้นได้มีการพูดหรืออ้างถึงพระเยซูหรือไม่ นักประวัติศาสตร์ที่สำคัญในศตวรรษแรกคนหนึ่งก็คือ แทสซิทุส (Tacitus) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 56 117 โดยเขาเป็นนักประวัติศาสตร์และยังเป็นสมาชิกสภาสูงของอณาจักรโรมันอีกด้วย ในปี ค.ศ. 115 เขาได้เขียนถึงเนโรว่าได้ข่มเหงคริสเตียน เพื่อเบนความสนใจในเรื่องการเผาทำลายกรุงโรมในปี ค.ศ. 64 โดยใจความตอนหนึ่งของหนังสือมีดังต่อไปนี้
นีโร รวบรัดตัดสินความผิดและลงโทษด้วยการทรมานกลุ่มคน ซึ่งเป็นที่เกลียดชังและคนทั่วไปเรียกว่าคริสเตียน ซึ่งถือกำเนิดตามชื่อชายคนหนึ่ง คริสตุส ผู้ต้องโทษทรมานแสนสาหัส ในสมัยของไทบีเรียส ภายใต้การพิจารณาความของผู้ปกครองคนหนึ่งของเรา คือ ปอนทัส ปีลาต แล้วเรื่องลึกลับอันตรายที่สุดซึ่งถูกระงับเงียบไประยะหนึ่งก็ระเบิดขึ้นอีก ไม่เพียงแต่ในยูเดียแหล่งกำเนิดเรื่องบ้าบอนี้เท่านั้น แต่ขยายไปถึงโรมด้วย... ความจริงการจับกุมผู้ทำผิดทั้งหมดตามข้อมูลที่ได้มามีคนจำนวนมากถูกจับด้วย แต่ไม่ใช่เพราะคดีการเผากรุงโรม แต่เนื่องจากเพราะถูกเกลียดชัง
นักประวัติศาสตร์ชาวโรมอีกคนที่สำคัญก็คือปรินี ผู้น้อย (Pliny the Younger) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 61-112 ปรินี ผู้น้อยนั้นเป็นทั้งนักกฏหมาย นักเขียน ผู้พิพากษาและนักโบราณคดีชาวโรมัน เขาได้เขียนจดหมายเป็นร้อยฉบับที่นักประวัติศาสตร์รู้จักกันดี แต่จดหมายที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูหรือพวกคริสเตียนนั้นเป็นจดหมายที่เขาเขียนโต้ตอบกับจักรพรรดิ์ทราจัน โดยในเล่มที่ 10 ของจดหมายเหล่านี้นั้นได้กล่าวถึงคริสเตียนที่เขาได้จับกุมมา ดังนี้
ข้าถามพวกเขาว่าเป็นคริสเตียนหรือ ถ้ายอมรับ ข้าก็ทวนคำถามครั้งที่สอง และสามพร้อมเตือนว่ามีโทษอะไรรออยู่ข้างหน้า ถ้ายังยืนกราน ข้าก็สั่งให้นำตัวออกไปลงโทษประหาร แต่ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับด้วยท่าทางแบบไหน ข้ายอมรับว่าจะปล่อยคนที่ดื้อดึงดันทุรังพวกนี้ไปโดยไม่ลงโทษก็ไม่ได้ ยังมีอีกหลายคนที่มีพฤติกรรมโง่ๆเช่นนี้ แต่เพราะคนเหล่านั้นเป็นคนโรม ข้าจึงได้ส่งพวกเขาไปพิจารณาคดีที่โรมด้วย... พวกเขายังประกาศอีกว่าความผิดของพวกเขานั้นมีแค่การมาพบและประชุมกัน เช้าตรู่ตามวันที่กำหนดไว้ และร้องสวดอ้อนวอนท่ามกลางพวกเขาเองเพื่อเป็นเกียรติแด่พระคริสต์ เหมือนร้องอ้อนวอนต่อพระเจ้า เพื่อคำสาบานที่ผูกพันพวกเขาเข้าด้วยกัน ใช่เพื่อทำผิดกฏหมาย แต่เพื่อละเว้นจากการเป็นโจร ขโมย หรือล่วงประเวณี... นี่ทำให้ข้าตัดสินว่ามีความจำเป็นยิ่งที่ต้องคาดคั้นเอาความจริงโดยการทรมานทาสหญิงสองคนที่พวกเขาเรียกว่ามัคนายิกา แต่ข้าไม่พบอะไรเลย นอกจากเรื่องเหลวไหลของลัทธิที่กำลังแพร่ระบาดเท่านั้น
จดหมายฉบับนี้ของปรินี ผู้น้อยถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นการแสดให้เห็นว่ามีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของคริสเตียน ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือชนบท ในสังคมทุกชนชั้นไม่ว่าจะเป็นนายหรือทาส รวมทั้งยังขยายความเชื่อไปยังคนโรมจำนวนมาก เพราะในจดหมายได้ระบุว่ามีคริสเตียนที่เป็นคนโรม จึงต้องทำการส่งเขากลับไปพิจารณาคดีที่โรม นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการนมัสการพระเยซูในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์ รวมทั้งเรื่องการที่คริสเตียนรักษาศีลธรรมและไม่ยอมละทิ้งความเชื่อ แม้ว่าจะต้องมีโทษถึงตายก็ตาม
หลักฐานเกี่ยวกับพระเยซูที่อยู่นอกเหนือพระคัมภีร์ที่ยกมานั้นเป็นเพียแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีหลักฐานอื่นๆอีกมากมายที่บ่งชี้ว่าพระเยซูมีตัวตนจริงโดยผ่านทางบันทึกทางประวัติศาตร์ต่างๆ และแม้ว่าถ้าเราไม่มีพระคัมภีร์ที่เราเห็นในปัจจุบัน แม้ว่าเราจะไม่มีข้อเขียนต่างๆของคริสเตียนเลย แต่หากเราทำการรวบรวมข้อเขียนอื่นๆในสมัยนั้น เราก็จะได้ภาพของพระเยซูว่าพระเยซูเป็นครูยิว มีคนมากมายเชื่อว่าพระองค์ได้รักษาโรคและขับผีออก บางคนเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ก็มีพวกผู้นำยิวบางคนที่ปฏิเสธพระองค์ พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนภายใต้คำตัดสินของปอนทัส ปีลาต แต่แม้ว่าพระองค์จะตายอย่างน่าอาย ไร้เกียรติ แต่เหล่าสาวกก็เชื่อว่าพระเยซูได้ฟื้นจากตาย และยังคงมีชีวิตอยู่ รวมทั้งได้เผยแพร่ความเชื่อนี้ออกไปยังที่ต่างๆ เป็นเหตุให้มีคนเชื่อมากมายไม่ว่าจะเป็นยิว หรือโรม จะเป็นนายหรือทาส จะเป็นชายหรือหญิง ต่างก็เชื่อและนมัสการพระเยซูว่าเป็นพระเจ้า
เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์