Christian Siam

 

 

 

 

Christian Siam - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า

 
 :: สำหรับผู้สนใจพระเจ้า ::
Christian Siam คำถาม - คำตอบ
Christian Siam พระเยซูคือใคร
Christian Siam พระเยซูเกิดจริงหรือ?
Christian Siam เราเกิดมาทำไม
Christian Siam เราตายแล้วไปไหน
Christian Siam ทฤษฎีวิวัฒนาการ...จริง?
Christian Siam เป็นคริสเตียนได้อย่างไร
Christian Siam คำพยานชีวิต

Christian Siam
H O M E
:: สำหรับคริสเตียนใหม่ ::
:: สื่อคริสเตียนออนไลน์ ::
Christian Siam มานาประจำวัน
Christian Siam เพลงจาก Youtube
 

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN

         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN



มีหลักฐานอื่นๆนอกจากพระคัมภีร์ที่พูดถึงพระเยซูหรือไม่

ถ้าพระเยซูเป็นบุคคลสำคัญจริงๆก็น่าจะมีงานเขียนทางประวัติศาสตร์อื่นๆที่พูดถึงพระองค์  น่าจะมีนักวิชาการในสมัยนั้นหรือข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ว่าพระเยซูมีตัวตนจริงๆ  เพราะถ้าหากมีแต่ในพระคัมภีร์เท่านั้นที่พูดถึงพระองค์แล้ว  ก็อาจเป็นไปได้ว่าเรื่องพระเยซูเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น   เพื่อพิสูจน์ในข้อนี้เราจึงต้องมาทำความรู้จักนักประวัติศาสตร์ในศตวรรษแรกดู  ว่าคนเหล่านี้มีใครพูดถึงหรืออ้างถึงพระองค์หรือไม่

นักประวัติศาสตร์ในศตวรรษแรกที่นักวิชาการรู้จักกันเป็นอย่างดีคนหนึ่งก็คือ  โจซีฟัส  (Josephus) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ.37-100  เขาเป็นนักประวัติศาสตร์ชาวยิวที่สำคัญมากคนหนึ่ง  โจซีฟัสคนนี้เป็นปุโรหิตและเป็นฟาริสี  และเขามีงานเขียนสี่ชิ้นที่เขียนในปลายศตวรรษแรก  โดยงานเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ  Antiquities of the Jews มีทั้งหมด  20 เล่ม  ซึ่งเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาวยิวตั้งแต่เริ่มสร้างโลกจนถึงสมัยของเขา  โดย  10  เล่มแรกนั้นได้พูดถึงการสร้างโลกโดยยึดถือข้อมูลตามพระคัมภีร์ของยิว  ตั้งแต่พระเจ้าสร้างอาดัมและเอวา  และ  10  เล่มหลังได้พูดเรื่องราวของชนชาติยิวในช่วงหลังจากพระคัมภีร์จนถึงช่วงสงครามยิว  โดยเขาได้เขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จในราวปี ค.ศ. 93  ในตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้เขาได้พูดถึงยากอบน้องชายของพระเยซู  และการตายของเขา  ซึ่งจากข้อความในตอนนี้เป็นการยืนยันว่าพระเยซูมีตัวตนจริงๆ  มีอ้างถึงพระองค์จากหนังสืออื่นๆในสมัยนั้น  โดยข้อความที่โจซีฟัสเขียนมีดังนี้

“เขาได้เรียกประชุมสภาแซนเฮดริน  และได้นำตัวยากอบน้องชายของพระเยซู  (ที่เรียกว่าพระคริสต์)  พร้อมกับคนอื่นๆเข้ามา  และได้กล่าวหาคนพวกนี้ว่าได้ทำผิดกฏหมาย  และสั่งให้ขว้างด้วยก้อนหิน”

หนังสืออีกเล่มหนึ่งของโจซีฟัสที่ได้อ้างถึงพระเยซูก็คือหนังสือที่ชื่อ  Testimonium Flavianum โดยข้อความจากหนังสือเล่มนี้ที่ได้กล่าวถึงพระเยซูมีดังนี้
“ในเวลานั้นมีชายคนหนึ่งชื่อ  เยซู  เป็นคนฉลาด  หรือที่ถูกต้อง  ไม่น่าเรียกเขาว่าเป็นคน  เพราะเขาได้ทำการประหลาด  เป็นครูที่มีคนมากมายรับสัจจะด้วยความยินดี  เขาชนะใจทั้งพวกยิวและพวกกรีกจำนวนมาก  เขาคือ  พระคริสต์  เมื่อปีลาตรับฟ้องข้อกล่าวหาจากผู้นำชั้นสูงที่อยู่ท่ามกลางพวกเรา  ปีลาตลงโทษให้นำตัวเขาไปตรึงกางเขน  และคนกลุ่มแรกเหล่านั้นที่รักเขา  ก็ยังรักเขาต่อไปไม่ยอมเลิก  ในวันที่สาม  เขากลับมีชีวิตและปรากฏตัวให้พวกสาวกได้เห็น  เพราะว่าผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าได้พยากรณ์ไว้  รวมทั้งการอัศจรรย์อีกมากมายนับไม่ถ้วนเกี่ยวกับเขาด้วยและกลุ่มคริสเตียน  ชื่อซึ่งเรียกตามเขาก็ยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ไม่หายไปไหน”

แต่มีหลายคนสงสัยว่าทำไมโจซีฟัสถึงได้กล่าวถึงพระเยซูเพียงเท่านี้  เพราะถ้าพระเยซูเป็นคนสำคัญจริงๆแล้วก็น่าจะพูดถึงมากกว่านี้  แต่กลับเป็นว่างานเขียนของโจซีฟัสนั้นเขียนถึงยอห์นผู้ให้บัพติสมามากกว่าพระเยซูเสียอีก  คำตอบในเรื่องนี้ก็คือว่า  โจซีฟัสนั้นได้ทำการต่อสู้โรมและเป็นพวกที่สนใจการเมือง  เรื่องของยอห์นผู้ให้บัพติสมานั้นมีความโน้มเอียงไปในเรื่องของการเมืองมากกว่าพระเยซู  พระเยซูไม่ได้ต่อต้านโรม  แม้กระทั่งการเสียภาษี  พระเยซูก็ยังบอกให้เสียภาษีให้โรมด้วย  นี่จึงเป็นสาเหตุที่โจซีฟัสไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระเยซูมากนัก  อย่างไรก็ตามงานเขียนของโจซีฟัสนั้นเป็นงานเขียนที่สำคัญมากชิ้นหนึ่งในประวัติศาสตร์  โดยเฉพาะงานเขียนที่เกี่ยวกับสงครามยิว  (The Jewish War ) เขียนประมาณปี ค.ศ. 75  ซึ่งมีความถูกต้องแม่นยำตามหลักฐานทางโบราณคดี  ดังนั้นเรื่องพระเยซูที่ปรากฏในงานเขียนของเขาจึงมีความน่าเชื่อถือมาก  และนี่จึงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่แสดงว่าพระเยซูมีตัวตนจริงๆ  โดยมีแหล่งอ้างอิงจากหนังสืออื่นๆที่ไม่ใช่พระคัมภีร์

ให้เราลองมาดูนักประวัติศาสตร์ชาวโรมันบ้างว่าในงานเขียนของเขานั้นได้มีการพูดหรืออ้างถึงพระเยซูหรือไม่  นักประวัติศาสตร์ที่สำคัญในศตวรรษแรกคนหนึ่งก็คือ แทสซิทุส (Tacitus)  ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 56 – 117  โดยเขาเป็นนักประวัติศาสตร์และยังเป็นสมาชิกสภาสูงของอณาจักรโรมันอีกด้วย  ในปี ค.ศ. 115 เขาได้เขียนถึงเนโรว่าได้ข่มเหงคริสเตียน  เพื่อเบนความสนใจในเรื่องการเผาทำลายกรุงโรมในปี ค.ศ.  64  โดยใจความตอนหนึ่งของหนังสือมีดังต่อไปนี้

“นีโร  รวบรัดตัดสินความผิดและลงโทษด้วยการทรมานกลุ่มคน  ซึ่งเป็นที่เกลียดชังและคนทั่วไปเรียกว่าคริสเตียน  ซึ่งถือกำเนิดตามชื่อชายคนหนึ่ง  คริสตุส  ผู้ต้องโทษทรมานแสนสาหัส  ในสมัยของไทบีเรียส  ภายใต้การพิจารณาความของผู้ปกครองคนหนึ่งของเรา  คือ  ปอนทัส  ปีลาต  แล้วเรื่องลึกลับอันตรายที่สุดซึ่งถูกระงับเงียบไประยะหนึ่งก็ระเบิดขึ้นอีก  ไม่เพียงแต่ในยูเดียแหล่งกำเนิดเรื่องบ้าบอนี้เท่านั้น  แต่ขยายไปถึงโรมด้วย...  ความจริงการจับกุมผู้ทำผิดทั้งหมดตามข้อมูลที่ได้มามีคนจำนวนมากถูกจับด้วย  แต่ไม่ใช่เพราะคดีการเผากรุงโรม  แต่เนื่องจากเพราะถูกเกลียดชัง”

นักประวัติศาสตร์ชาวโรมอีกคนที่สำคัญก็คือปรินี ผู้น้อย  (Pliny the Younger)  ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างปี  ค.ศ. 61-112  ปรินี  ผู้น้อยนั้นเป็นทั้งนักกฏหมาย นักเขียน ผู้พิพากษาและนักโบราณคดีชาวโรมัน  เขาได้เขียนจดหมายเป็นร้อยฉบับที่นักประวัติศาสตร์รู้จักกันดี  แต่จดหมายที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูหรือพวกคริสเตียนนั้นเป็นจดหมายที่เขาเขียนโต้ตอบกับจักรพรรดิ์ทราจัน  โดยในเล่มที่  10 ของจดหมายเหล่านี้นั้นได้กล่าวถึงคริสเตียนที่เขาได้จับกุมมา  ดังนี้

“ข้าถามพวกเขาว่าเป็นคริสเตียนหรือ ถ้ายอมรับ  ข้าก็ทวนคำถามครั้งที่สอง  และสามพร้อมเตือนว่ามีโทษอะไรรออยู่ข้างหน้า  ถ้ายังยืนกราน  ข้าก็สั่งให้นำตัวออกไปลงโทษประหาร  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะยอมรับด้วยท่าทางแบบไหน  ข้ายอมรับว่าจะปล่อยคนที่ดื้อดึงดันทุรังพวกนี้ไปโดยไม่ลงโทษก็ไม่ได้  ยังมีอีกหลายคนที่มีพฤติกรรมโง่ๆเช่นนี้  แต่เพราะคนเหล่านั้นเป็นคนโรม  ข้าจึงได้ส่งพวกเขาไปพิจารณาคดีที่โรมด้วย...  พวกเขายังประกาศอีกว่าความผิดของพวกเขานั้นมีแค่การมาพบและประชุมกัน  เช้าตรู่ตามวันที่กำหนดไว้  และร้องสวดอ้อนวอนท่ามกลางพวกเขาเองเพื่อเป็นเกียรติแด่พระคริสต์  เหมือนร้องอ้อนวอนต่อพระเจ้า  เพื่อคำสาบานที่ผูกพันพวกเขาเข้าด้วยกัน  ใช่เพื่อทำผิดกฏหมาย  แต่เพื่อละเว้นจากการเป็นโจร  ขโมย  หรือล่วงประเวณี...  นี่ทำให้ข้าตัดสินว่ามีความจำเป็นยิ่งที่ต้องคาดคั้นเอาความจริงโดยการทรมานทาสหญิงสองคนที่พวกเขาเรียกว่ามัคนายิกา  แต่ข้าไม่พบอะไรเลย  นอกจากเรื่องเหลวไหลของลัทธิที่กำลังแพร่ระบาดเท่านั้น”

จดหมายฉบับนี้ของปรินี  ผู้น้อยถือว่ามีความสำคัญมาก  เพราะเป็นการแสดให้เห็นว่ามีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของคริสเตียน  ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือชนบท  ในสังคมทุกชนชั้นไม่ว่าจะเป็นนายหรือทาส  รวมทั้งยังขยายความเชื่อไปยังคนโรมจำนวนมาก  เพราะในจดหมายได้ระบุว่ามีคริสเตียนที่เป็นคนโรม  จึงต้องทำการส่งเขากลับไปพิจารณาคดีที่โรม  นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการนมัสการพระเยซูในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  ไม่ใช่มนุษย์  รวมทั้งเรื่องการที่คริสเตียนรักษาศีลธรรมและไม่ยอมละทิ้งความเชื่อ  แม้ว่าจะต้องมีโทษถึงตายก็ตาม

หลักฐานเกี่ยวกับพระเยซูที่อยู่นอกเหนือพระคัมภีร์ที่ยกมานั้นเป็นเพียแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น  ยังมีหลักฐานอื่นๆอีกมากมายที่บ่งชี้ว่าพระเยซูมีตัวตนจริงโดยผ่านทางบันทึกทางประวัติศาตร์ต่างๆ  และแม้ว่าถ้าเราไม่มีพระคัมภีร์ที่เราเห็นในปัจจุบัน  แม้ว่าเราจะไม่มีข้อเขียนต่างๆของคริสเตียนเลย  แต่หากเราทำการรวบรวมข้อเขียนอื่นๆในสมัยนั้น  เราก็จะได้ภาพของพระเยซูว่าพระเยซูเป็นครูยิว  มีคนมากมายเชื่อว่าพระองค์ได้รักษาโรคและขับผีออก  บางคนเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์  เป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์  แต่ก็มีพวกผู้นำยิวบางคนที่ปฏิเสธพระองค์  พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขนภายใต้คำตัดสินของปอนทัส  ปีลาต  แต่แม้ว่าพระองค์จะตายอย่างน่าอาย  ไร้เกียรติ  แต่เหล่าสาวกก็เชื่อว่าพระเยซูได้ฟื้นจากตาย  และยังคงมีชีวิตอยู่  รวมทั้งได้เผยแพร่ความเชื่อนี้ออกไปยังที่ต่างๆ  เป็นเหตุให้มีคนเชื่อมากมายไม่ว่าจะเป็นยิว  หรือโรม  จะเป็นนายหรือทาส  จะเป็นชายหรือหญิง  ต่างก็เชื่อและนมัสการพระเยซูว่าเป็นพระเจ้า

เรียบเรียงโดย พายุแห่งความเปรมปรีดิ์

Back 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9

 © Copyright 2009. Christian Siam.com