คำถาม - คำตอบ
สำหรับในหัวข้อนี้ เราจะพยายามหาคำถามที่หลายคนสงสัยและนำมาให้ความกระจ่างแก่ท่าน หากท่านใดมีคำถามเพิ่มเติมหรือคำตอบที่ได้รับนั้นยังไม่กระจ่างพอ สามารถติดต่อได้ที่ jirayut@yahoo.com
1. ทำไมพวกคริสเตียนถึงได้พยายามชักจูงคนให้มาเชื่อศาสนาของเขา ทำแล้วได้อะไรตอบแทนหรือ?
2. ทำไมพระเจ้าไม่ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในการทำให้คนเป็นคริสเตียนละ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาประกาศ?
3. ทำไมพระเจ้าที่แสนดีและเปี่ยมด้วยความรักจึงอนุญาตให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้น?
4. ทำไมคริสเตียนจึงบอกว่าพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้?
5. แล้วคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้าของคริสเตียนจะทำอย่างไร ยุติธรรมแล้วหรือที่เขาต้องตกนรกเพียงเพราะไม่เคยได้ยิน?
6. เป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าแห่งความรักส่งคนไปลงนรก?
7. เหตุผลที่ฉันไม่ยอมไปโบสถ์ เพราะว่าที่นั่นมีแต่พวกมือถือสาก ปากถือศีล ไม่ต่างจากคนอื่นๆเลย?
8. ถ้าเรากินมะม่วงเปรี้ยว เราก็รู้ได้เลยว่ามาจากมะม่วงพันธุ์ไม่ดี แล้วการที่มนุษย์ชั่วแสดงว่าพระเจ้าซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์ก็ต้องไม่ดีด้วยใช่ไหม?
9. พระคัมภีร์น่าเชื่อถือแค่ไหน?
10. คำพูดของพระเยซูที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้านั้นเชื่อถือได้แค่ไหน?
11. ทำไมชีวิตของพระเยซูเพียงชีวิตเดียวถึงสามารถลบล้างบาปคนทั้งโลกได้?
ทำไมพวกคริสเตียนถึงได้พยายามชักจูงคนให้มาเชื่อศาสนาของเขา ทำแล้วได้อะไรตอบแทนหรือ?
หลายๆคนคงจะชินกับภาพที่คริสเตียนพยายามเล่าเรื่องพระเจ้าและชวนให้อีกหลายๆคนมาเชื่อ แล้วคงจะมีคำถามว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น คำตอบง่ายๆก็คือเป็นคำสั่งของพระเจ้าที่ให้เราประกาศ ให้เราบอกเล่าเรื่องราวความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ ให้เราชี้ทางไปสู่สวรรค์ให้กับคนที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อต้องจากโลกนี้ไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เหตุผลที่พระเจ้าสั่งให้เราทำเช่นนั้นก็เพราะความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ พระเจ้าไม่อยากเห็นใครคนใดคนหนึ่งต้องตกนรก พระองค์จึงจำเป็นที่จะต้องบอกเรื่องราวของพระองค์ให้มนุษย์ได้รับรู้มากที่สุด เพื่อคนเหล่านั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์
ทำไมพระเจ้าไม่ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในการทำให้คนเป็นคริสเตียนละ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาประกาศ?
สาเหตุเพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีเหตุผล ให้มีสติปัญญา และให้มีเสรีภาพในการตัดสินใจ พระองค์ไม่ต้องการสร้างหุ่นยนต์และป้อนโปรแกรมว่ามนุษย์ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อพระเจ้าได้เปิดเผยพระองค์เองให้เราได้รู้จักแล้ว เมื่อพระเจ้าได้ชี้ทางแห่งความรอดให้เราได้รู้แล้ว และในเมื่อพระเจ้าสร้างเราให้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาเช่นนี้แล้ว เราจะตัดสินใจอย่างไร เพิกเฉยไม่สนใจเรื่องของพระเจ้า หรือว่าจะลองเปิดใจศึกษาเรื่องของพระองค์ดู อนาคตขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราวันนี้
ทำไมพระเจ้าที่แสนดีและเปี่ยมด้วยความรักจึงอนุญาตให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้น?
แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจเหนือความชั่วร้ายต่างๆและพระองค์ไม่อยากให้มนุษย์คนใดต้องประสบหรือได้รับผลจากความชั่วร้ายใดๆเลย แต่การที่เรายังเห็นความชั่วร้ายต่างๆมากมายเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันนั้นปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจากพระองค์แต่อย่างไร แต่เกิดจากตัวเราเองทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะพระเจ้าทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ (คือมีลักษณะเหมือนพระเจ้า เช่น มีความรัก มีอารมณ์ความรู้สึก มีสติปัญญา มีความคิด มีอิสระเสรีภาพ) พระเจ้าทรงสร้างเราให้มีเสรรีภาพในการตัดสินใจ แรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงสร้างโลกไว้อย่างดี ทรงสร้างมนุษย์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่พระองค์ก็ให้มนุษย์นั้นได้เลือกว่าจะเชื่อฟังพระเจ้าและกระทำความดี หรือเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระองค์และทำชั่ว พระเจ้าไม่ต้องการสร้างหุ่นยนต์ที่คอยรับฟังคำสั่งเท่านั้น เพราะนั่นไม่ใช่พระลักษณะของพระองค์ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าที่มนุษย์เลือกปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระเจ้า แต่กลับหันหลังให้พระองค์และกระทำความชั่ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเห็นความชั่วเกิดขึ้นมากมายบนโลกนี้
ทำไมคริสเตียนจึงบอกว่าพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้?
ถ้าพูดตามหลักของความเป็นจริงแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกๆศาสนาจะนำเราเข้าสู่สวรรค์ เพราะศาสนาคริสต์บอกว่าพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้ ศาสนาอิสลามบอกว่าพระอัลเลาะห์ทรงเป็นพระเจ้า ถ้าหากบอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือมีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากพระอัลเลาะห์จะต้องถูกลงโทษ ศาสนาพุทธก็ได้กล่าวไว้ว่าการทำดีนั้นสามารถนำเราไปสู่นิพพานได้ จะเห็นได้ว่าหนทางไปสวรรค์ของแต่ละศาสนานั้นแตกต่างกัน และเป็นไปไม่ได้ที่ทุกศาสนาจะนำเราไปสวรรค์ได้ เพราะต่างขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าเช่นนั้นอะไรเป็นเหตุผลที่คริสเตียนถึงกล่าวว่าทางพระเยซูเท่านั้นที่จะนำเราไปสวรรค์ได้? การเกิดในครอบครัวคริสเตียนไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นจะเป็นคริสเตียน วัฒนธรรมหรือเชื้อชาติก็ไม่ได้กำหนดว่าคนๆนั้นจะต้องรู้จักพระเจ้า คนที่จะเป็นคริสเตียนได้ก็คือคนที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าและรู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น คริสเตียนแตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ว่า คริสเตียนบอกว่าเราไม่สามารถทำดีใดๆได้เลยเพื่อที่จะได้เข้าสู่สวรรค์ เพราะเราทำดีเท่าไรก็ยังไม่ถึงมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้ แม้ว่าเราจะทำดีทุกวัน แต่ก็อย่าลืมว่าเราก็ยังทำบาปได้ทุกๆวันเหมือนกัน (ความบาปที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นบาปใหญ่โตร้ายแรง แค่เราโกหก คิดไม่ดี สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นบาปทั้งสิ้น)ศาสนาอื่นๆสอนว่าให้เราทำดีเพื่อจะได้เข้าสู่สวรรค์ได้ แต่ในความเป็นจริงเรายังคงทำบาปทำชั่วทุกๆวัน และหากเป็นอย่างนี้เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราจะเข้าสวรรค์ได้ แต่สำหรับคริสเตียนนั้น ความบาปของเราพระเยซูได้ชดใช้บาปแทนเราแล้วโดยการตายบนไม้กางเขนและฟื้นขึ้นอีกครั้งในวันที่สาม เพราะพระองค์รู้ดีว่ามนุษย์ไม่มีทางทำดีจนถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย และการทำดีก็ไม่สามารถลบล้างความบาปที่เรากระทำได้ ดังนั้นนอกจากการช่วยเหลือของพระเยซูแล้วไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้เลย และนี่จึงเป็นที่มาของคริสเตียนที่บอกว่าพระเยซูทรงเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะพาเราเข้าสู่สวรรค์ได้ อย่างไรก็ตามการเป็นคริสเตียนไม่ได้หมายความว่าพวกคริสเตียนนั้นมีสิทธิหรือเหนือกว่าคนอื่นๆ เพราะพระคัมภีร์ได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าทั้งพวกคริสเตียนและพวกที่ไม่ใช่คริสเตียนนั้นต่างก็เหมือนกัน คือเป็นคนบาปทั้งสิ้นและต้องการการช่วยเหลือให้รอดจากบึงไฟนรก ซึ่งการจะรอดได้นั้นก็โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากการเป็นคนเคร่งศาสนาหรือเกิดจากการกระทำของเราเอง
แล้วคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้าของคริสเตียนจะทำอย่างไร ยุติธรรมแล้วหรือที่เขาต้องตกนรกเพียงเพราะไม่เคยได้ยิน?
พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวเอาไว้ว่า คนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้าจะได้ขึ้นสวรรค์ เพราะถ้าเช่นนั้นคริสเตียนคงไม่จำเป็นต้องประกาศเรื่องราวของพระเจ้าให้คนอื่นๆได้รู้ เพราะบางทีการที่เขารู้เรื่องพระเจ้า เขาอาจจะไม่เชื่อก็เป็นได้ และนั่นจะนำเขาไปสู่นรก ดังนั้นไม่ประกาศจะเป็นการดีเสียกว่า เช่นเดียวกันพระคัมภีร์ก็ไม่ได้บอกไว้ว่าถ้าใครไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้าจะต้องตกนรก แม้ว่าจะเป็นความจริงที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่า ไม่มีนามใดทั่วใต้ฟ้าที่จะช่วยคนให้รอดได้นอกจากนามของพระเยซูเท่านั้น เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น พระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าแห่งความยุติธรรม และพระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าแห่งความรักและเมตตาที่ส่งคนไปลงนรกโดยที่คนๆนั้นไม่มีโอกาสได้รับความรอดเลย แท้จริงแล้วเราไม่รู้ว่าทางออกที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เพราะพระเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างให้เราได้รับรู้ แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้อย่างแน่นอนก็คือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก และทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ในวันสุดท้ายเราจะรู้เองว่าพระเจ้าใช้มาตรฐานใดในการตัดสิน แต่ที่แน่ๆเรามั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าเมื่อถึงวันนั้นจะไม่มีใครสงสัยในความยุติธรรมของพระองค์อย่างแน่นอน
เป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าแห่งความรักส่งคนไปลงนรก?
การที่จะเข้าใจคำตอบของคำถามนี้ได้ เราจำเป็นต้องเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้าบางประการ นั่นคือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความบริสุทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา และทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม (แท้จริงพระลักษณะของพระเจ้ามีมากกว่านี้ นี่เพียงแต่ยกบางพระลัษณะมาอธิบายเท่านั้น) เนื่องจากความบริสุทธิ์ของพระเจ้านี่เอง พระองค์จึงไม่สามารถประนีประนอมกับความบาปได้ ดังนั้นเมื่อมนุษย์ทำบาปจึงได้ถูกตัดขาดจากพระเจ้า และการที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรมนี้เอง เมื่อมนุษย์ทำผิดจึงต้องถูกลงโทษ พระคัมภีร์บอกไว้ว่า ค่าจ้างของความบาปนั้นคือความตาย ดังนั้นมนุษย์ที่ทำบาปจึงต้องถูกพิพากษาในบึงไฟนรก อย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรักและเมตตา พระองค์ไม่ประสงค์ให้มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องพินาศ ดังนั้นพระองค์จึงได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาบังเกิดในโลกนี้โดยทางมารีย์หญิงพรหมจารีย์ เพราะมีเพียงพระเยซูผู้ไม่มีบาปเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเหลือมนุษย์ผู้เป็นคนบาปได้ โดยการตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปเราทั้งหลาย เพราะความบาปได้เข้ามาในโลกเพราะมนุษย์เพียงคนเดียวฉันใด (บาปเข้ามาเพราะอาดัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า) ความบาปก็ได้รับการไถ่โดยทางพระเยซูที่เชื่อฟังฉันนั้น ดังนั้นหากใครที่เชื่อและยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าที่มาตายเพื่อไถ่บาปเขา ผู้นั้นก็จะรอดและไม่ต้องถูกพิพากษาในบึงไฟนรก พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์คนใดถึงความพินาศในนรกเลย พระองค์จึงประทานทางออกให้โดยทางพระเยซู เพียงแต่คนๆนั้นต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทางพระเจ้าเพื่อไปสู่ชีวิต หรือเลือกทางเดินตามใจตนเองที่นำไปสู่ความตาย การที่มนุษย์จะต้องลงไปสู่นรกนั้นก็เป็นเพราะคนๆนั้นเลือกเอง ไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงกระทำ
เหตุผลไม่ฉันไม่ยอมไปโบสถ์ เพราะว่าที่นั่นมีแต่พวกมือถือสาก ปากถือศีล ไม่ต่างจากคนอื่นๆเลย?
นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายๆคนไม่ยอมเชื่อพระเจ้า เพราะเห็นชีวิตของคริสเตียนบางคนไม่แตกต่างจากคนอื่นๆที่ไม่เชื่อ แต่พระเยซูได้บอกว่า จงตามเรามา ไม่ได้ให้เราตามคริสตจักร หรือให้เราตามคนที่อยู่ในโบสถ์ เพราะโบสถ์ไม่ใช่แหล่งชุมนุมชนของผู้บริสุทธิ์ แต่โบสถ์เป็นเหมือนโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคบาป โบสถ์เป็นแหล่งรวมคนบาป แต่เป็นคนบาปที่รู้ตัวว่าไม่สามารถพึ่งกำลังตนเองให้เอาชนะโรคบาปได้ แต่ต้องพึ่งฤทธิ์อำนาจของพระเยซู ดังนั้นอย่าให้เราเพ่งจุดสนใจไปที่มนุษย์ แต่ให้เพ่งไปที่พระเจ้า
ถ้าเรากินมะม่วงเปรี้ยว เราก็รู้ได้เลยว่ามาจากมะม่วงพันธุ์ไม่ดี แล้วการที่มนุษย์ชั่วแสดงว่าพระเจ้าซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์ก็ต้องไม่ดีด้วยใช่ไหม?
แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่แสนดี บริสุทธิ์ ไม่มีความบาปหรือความชั่วในพระองค์เลย และแรกเริ่มเดิมทีนั้นพระเจ้าก็ทรงสร้างมนุษย์ให้ดีสมบูรณ์แบบ พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้เป็นผู้ที่มีความคิดและมีอิสระในการเลือก การที่มนุษย์เลือกที่จะทำชั่วนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของพระเจ้า เหมือนกันบริษัทที่ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดอย่างดีออกมารุ่นหนึ่ง เมื่อเราไปซื้อและนำมาพิมพ์ ปรากฏว่าเราพิมพ์ผิดไปคำหนึ่ง ความผิดที่เกิดขึ้นนี้เราไม่สามารถไปโทษผู้ผลิตได้ เพราะผู้ผลิตได้ผลิตเครื่องพิมพ์อย่างดีสมบูรณ์แบบมา แต่ความผิดเกิดจากตัวเราที่ผิดพลาดเอง เช่นเดียวกันเมื่อมนุษย์ทำบาปก็ต้องโทษที่มนุษย์เลือกที่จะทำบาป ไม่ใช่โทษพระเจ้าที่เป็นพระผู้สร้าง นอกจากนี้การที่เรารู้ว่าเรากำลังพิมพ์ผิดก็เพราะเรามีแม่แบบที่ถูกว่าเป็นอย่างไร หากไม่มีแม่แบบที่ถูก เราก็ไม่มีทางรู้ว่าเกิดความผิดพลาดขึ้น เช่นเดียวกัน การที่เรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป คนชั่ว ก็เพราะว่าเรามีต้นแบบที่ดีสมบูรณ์แบบไว้เปรียบเทียบ นั่นก็คือพระเจ้านั่นเอง
พระคัมภีร์น่าเชื่อถือแค่ไหน?
ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักพระคัมภีร์ก่อน พระคัมภีร์คือถ้อยคำของพระเจ้าที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ซึ่งพระคัมภีร์แบ่งออกเป็นพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่ พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนั้นมีทั้งหมด 39 เล่ม โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะกล่าวถึงคนๆหนึ่งที่จะเกิดมาในโลกเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป ซึ่งคนๆนั้นก็คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั่นเอง สำหรับพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่นั้นมีทั้งหมด 27 เล่ม โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะกล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระเยซูและเรื่องราวต่างๆของผู้เชื่อหลังจากที่พระเยซูเสด็ดจกลับสู่สวรรค์แล้ว และในเล่มสุดท้ายจะกล่าวถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูเพื่อจะพิพากษาคนที่ไม่เชื่อและรับผู้ที่เชื่อพระองค์ไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์ สำหรับเหตุผลที่พระคัมภีร์เป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่สามารถเชื่อถือได้ 100% จะขอกล่าวคร่าวๆดังนี้
- พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ผู้เขียนได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเขียนนั้นไม่ได้มาจากความคิดของเขาเอง แต่เขาเขียนในสิ่งที่พระเจ้าได้บอกเขาให้เขียน นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังเป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่มีคนเขียนมากที่สุดในโลก นั่นคือประมาณ 40 คน โดยที่แต่ละคนไม่รู้จักกัน บางคนมีชีวิตอยู่ในคนละยุคคนละสมัย อย่างไรก็ตามเนื้อหาในพระคัมภีร์นั้นได้สอดคล้องกันอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้เพราะผู้เขียนที่แท้จริงนั้นคือพระเจ้านั่นเอง นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังเป็นหนังสือที่ใช้เวลาเขียนนานที่สุดในโลกด้วย อายุของพระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายประมาณ 3,500 ปี - เนื้อหาต่างๆในพระคัมภีร์ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง ไม่ใช่นิยายที่คนแต่งขึ้นหรือเรื่องแต่งที่มีความจริงบางส่วนอ้างอิงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จะสังเกตุได้ว่าถ้าหากเป็นเรื่องแต่งแล้ว การที่เราจะเขียนถึงบรรพบุรุษหรือกษัตริย์ของเรา เราคงจะเขียนแต่เรื่องดีๆเพื่อให้เป็นที่น่านับถือและยกย่อง แต่พระคัมภีรืไม่ใช่เช่นนั้น พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงบรรพบุรุษของคนยิวคืออับราฮัมว่าเป็นคนโกหก กล่าวถึงโมเสสผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่นำคนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ว่าเป็นผู้ฆ่าคน กล่าวถึงยาโคบผู้เป็นเจ้าของชื่ออิสราเอลว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์หลอกลวงแม้กระทั่งพี่ชายตนเอง กล่าวถึงกษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่และนับถือของคนอิสราเอลว่าได้ฆ่าสามีคนอื่นเพื่อที่จะแย่งผู้หญิงมาเป็นภรรยาของตนเอง ถ้าหากเรื่องราวในพระคัมภีร์ไม่เป็นความจริงแล้ว เรื่องต่างๆเหล่านี้คงไม่มีการบันทึกไว้อย่างแน่นอน- พระคัมภีร์เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่ทุกคำทำนายล้วนแล้วแต่เป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นคำทำนายถึงบุคคล หรือประเทศ หรือความเป็นไปของโลก คำทำนายที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งก็คือคำทำนายถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และจะต้องตายเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน และหลังจากนั้นสามวันจะกลับเป็นขึ้นมาใหม่และมีชีวิตตลอดไป ซึ่งก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกำเนิดเป็นพันๆปีก็มีคำทำนายถึงพระองค์ถึง 332 ข้อ และชีวิตของพระเยซูก็ตรงกับคำทำนายทั้ง 332 ข้อทุกประการ - พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีอิทธพลต่อโลกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านวรรณกรรม จิตกรรม สังคม วิทยาศาสตร์ ฯลฯ นอกจากนี้การเลิกทาส มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ผลงานประดิษฐ์ หรือสิ่งต่างๆอีกมากมายที่เกิดขึ้นมานั้นก็ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลจาพระคัมภีร์ทั้งสิ้น แต่อิทธิพลหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออิทธิพลต่อชีวิต การที่คนบาปเมื่อได้อ่านพระคัมภีร์แล้วกลับใจใหม่ เปลี่ยนแปลงชีวิตเลิกกระทำชั่ว หรือการที่คนหมดหวัง ท้อแท้ ได้รับกำลังใจใหม่สามารถต่อสู้ชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะพระคัมภีร์เช่นเดียวกัน
- พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้พูดถึงพระเจ้าอย่างชัดเจนว่าทรงเป็นผู้ใด มนุษย์เป็นใคร ความบาปคืออะไร เป้าหมายในชีวิตคืออะไร และปลายทางสุดท้ายของมนุษย์คือที่ไหน สาเหตุที่พระคัมภีร์สามารถให้รายละเอียดต่างๆเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนก็เพราะพระเจ้าซึ่งเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายได้เปิดเผยให้มนุษย์ได้รับรู้
คำพูดของพระเยซูที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้านั้นเชื่อถือได้แค่ไหน?
การที่พระเยซูอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้านั้นมีทางเป็นไปได้สองทาง ทางแรกคือพระองค์อ้างผิด ทางที่สองคือพระองค์ได้อ้างอย่างถูกต้องแล้ว ให้เราลองมาวิเคราะห์ดูคร่าวๆทางเลือกแรกก่อน ถ้าพระองค์อ้างผิดก็ต้องถามต่อไปว่าพระองค์ทรงรู้ตัวหรือไม่ว่าอ้างผิด ถ้าไม่รู้ตัวก็แสดงว่าพระองค์เป็นคนบ้าอย่างแน่นอน เพราะคนดีๆคงไม่มีใครพูดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอน แต่ถ้าพระองค์รู้ตัวแสดงว่าพระองค์ตั้งใจที่จะโกหกคนทั้งโลก พระเยซูต้องเป็นนักโกหกที่เก่งมากแน่ๆเพราะทำให้คนหลายล้านคนมาเชื่อพระองค์ แต่ไม่ใช่แค่นักโกหกที่เก่งเท่านั้น พระองค์ยังโง่แสนโง่ด้วย เพราะคงไม่มีคนฉลาดคนไหนยอมตายเพื่อสิ่งที่ตนเองกุขึ้นมาเพื่อให้คนอื่นเชื่อย่างแน่นอน ทีนี้เราลองมาวิเคราะห์ดูทางเลือกที่สอง หากคำกล่าวอ้างของพระเยซูที่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเป็นการอ้างอิงที่ถูกละ เราคงมีทางเลือกอยู่แค่สองทางเท่านั้นคือยอมรับพระองค์หรือไม่ก็ปฏิเสธพระองค์ แล้วคุณจะเลื่อกอย่างไหน?
ทำไมชีวิตของพระเยซูเพียงชีวิตเดียวถึงสามารถลบล้างบาปคนทั้งโลกได้?
เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆจะยกอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามาเป็นตัวอย่างในการอธิบาย ถ้าหากนำเงิน 1 บาท ไปแลกกับเงินกีบของลาว 1 บาทจะแลกได้ 274 กีบ ในขณะที่ 1 ดอลล่าห์จะแลกได้ 6,612 กีบ แต่เงินยูโร 1 ยูโรกลับแลกได้ถึง 12,301 กีบ แล้วทำไมเงินยูโรแค่เหรียญเดียวกลับแลกเงินกีบได้เป็นหมื่นๆละ คำตอบง่ายๆก็คือเงินยูโรมีค่ามากว่าเงินกีบมากนั่นเอง เช่นเดียวกัน การที่พระเยซูคริสต์เพียงชีวิตเดียวสามารถแลกกับชีวิตคนได้ทั้งโลกก็เพราะชีวิตของพระองค์มีค่ามากกว่าพวกเราอย่างมากนั่นเอง |