3.2 ดำเนินตามคำแนะนำของพระองค์
ไม่ว่าคุณกำลังจะอบขนมเค็ก หรือสร้างตึกสูง ความสำเร็จในงานนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถในการปฏิบัติตามคำแนะนำ คุณอย่าหวังว่าเค็กจะอร่อยหากคุณใส่ส่วนผสมไม่ถูกต้อง และคุณไม่ควรพยายามสร้างตึกสูงถ้าคุณไม่มีรากฐานและวัสดุที่แข็งแกร่งพอ ถ้าเช่นนั้นทำไมเราจึงคิดว่าจะสามารถเอาคำแนะนำในการดำเนินชีวิตของพระเจ้าขว้างทิ้งไป แล้วยังคงมีความพึงพอใจในชีวิตได้เล่า ? บ่อยครั้งที่เราคิดว่าเรารู้ดีกว่าพระองค์
|
ซาโลมอนทรงคิดว่าตัวเองสำคัญ และทรงเชื่อมั่นในสติปัญญาของตัวเองมากเกินไป พระองค์ทรงลืมไปว่าพระเจ้าทรงฉลาดกว่าพระองค์มากนัก พระองค์ทรงหลอกลวงตนเอง โดยคิดว่าความสุขของโลกนี้ดีกว่าความสุขจากการมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าเป็นไหน ๆ พระองค์ทรงตกหลุมพรางของการให้ความสำคัญกับการลงทุนในระยะสั้น และละเลยในสิ่งที่เป็นนิรันดร์
อย่างไรก็ตาม ซาโลมอนทรงเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง โดยพระองค์ได้กล่าวในบทสรุปของหนังสือปัญญาจารย์ว่า
"จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง" (ปัญญาจารย์ 12:13)
|
คำว่ารักษาพระบัญญัติของพระเจ้านั้นหมายความว่าอย่างไร ?
การรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า หมายถึง การเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้เรากระทำ
สำหรับผู้เชื่อในพระคัมภีร์เดิมอย่างซาโลมอน สิ่งนั้นหมายถึงพระบัญญัติ 10 ปะการ ซึ่งรวมถึงกฎเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตส่วนตัว กฎเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในสังคม และกฎระเบียบทางด้านศาสนา แต่สำหรับพวกเราในปัจจุบัน การรักษาพระบัญญัติของพระเจ้านั้น หมายถึง การเชื่อฟังหลักการตามพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นหลักการดำเนินชีวิตภายใต้พระคุณของพระเจ้า
พระเยซูทรงตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า
"ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา" (ยอห์น 14:15)
และพระธรรม 1ยอห์น ได้บอกกับเราว่า
"เพราะนี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระ" (1ยอห์น 5:3)
นอกจากนี้ ในยอห์น 15:9-11 พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า
"9 พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา
10 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์
11 นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม" (1ยอห์น 15:9-11)
พระบัญญัติข้อใดสำคัญที่สุด ?
คำสั่งของพระเจ้าทุกคำสั่ง เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายจะต้องปฏิบัติตาม และก็มีคำสั่งบางอย่างที่เป็นคำสั่งพื้นฐานและครอบคลุมมากกว่าคำสั่งอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น การกระทำตนให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้านั้น ต้องเริ่มต้นจากการเป็นบุตรของพระเจ้า ทุกคนที่หันกลับมาหาพระเจ้า ยอมรับว่าเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า (โรม 3:23) และตระหนักว่าพระเยซูคริสต์ทรงตายเพื่อเขา (ยอห์น 3:16) และรับของประทานเปล่า ๆ จากพระเจ้าเป็นการส่วนตัว (โรม 6:23) คนนั้นก็ได้เริ่มต้นก้าวแรกของการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว
เมื่อมีคนถามพระเยซูคริสต์ว่า พวกเขาจะต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
"พระเยซูตรัสตอบเขาว่า 'งานของพระเจ้านั้น คือการที่ท่านวางใจในท่านที่พระองค์ทรงใช้มา' " (ยอห์น 6:29)
พระเยซูคริสต์ยังทรงอ้างถึงพระบัญญัติอีกสองข้าที่สำคัญที่สุด
"37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า 'จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
38นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น
39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
40 ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้' " (มัทธิว 22:36)
"เป็นเรื่องสมเหตุผลที่จะกล่าวว่า ถ้าไม่มีพระเจ้า ก็ปราศจากความหมาย"
อีดิธ เชฟเฟอร์
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่เชื่อฟังพระเจ้า ?
การพยายามแสวงหาความพึงพอใจโดยไม่เชื่อฟังพระเจ้า นั้นก็เปรียบเสมือนการพยายามติดไฟด้วยน้ำ ซึ่งไม่มีทางสำเร็จ คุณไม่อาจกินยาพิษเข้าไปโดยหวังว่าจะรอดชีวิต และคุณไม่สามารถเอามือจุ่มลงไปในน้ำที่กำลังเดือดปุด ๆ โดยที่มือไม่พอง เช่นเดียวกัน คุณไม่สามารถดื้อดึงกับพระเจ้าได้โดยไม่เกิดผลเสียตามมาภายหลัง
ในข้อสุดท้ายของหนังสือปัญญาจารย์ ซาโลมอนทรงชี้ให้เราเห็นถึงความรับผิดชอบของเราที่ต้องมีต่อพระเจ้า โดยกล่าวว่า
"ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงาน ทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว" (ปัญญาจารย์ 12:14)
ไม่มีใครสามารถรอดพ้นการพิพากษาของพระเจ้าได้ ถ้าหากเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า
"ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าว่า พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนชอบธรรมและคนอธรรม เพราะมีกาลกำหนดไว้สำหรับทุกเรื่อง และสำหรับการงานทุกอย่าง" (ปัญญาจารย์ 3:17)
คนที่ไม่เคยเริ่มต้นด้วยการเชื่อฟัง และวางใจในพระเยซูคริสต์ จะไม่ได้รับการอภัยโทษ และจะต้องถูกพิพากษาจากพระเจ้า (วิวรณ์ 20:7-15)
"12 ข้าพเจ้าได้เห็นบรรดาผู้ที่ตายแล้ว ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และหนังสือต่างๆก็เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือชีวิต และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ก็ถูกพิพากษาตามข้อความที่จารึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระทำ
13 ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณาก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตนหมดทุกคน
14 แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง
15 และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึงไฟ" (วิวรณ์ 20:12-15)
ส่วนผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ จะยืนต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า เพื่อรายงานถึงชีวิตของเขา และรับรางวัลตามการงานที่เขาได้กระทำ
"10 โดยพระคุณของพระเจ้าซึ่งได้ทรงโปรดประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากลงแล้วเหมือนนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร
11 เพราะว่าผู้ใดจะวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์
12 บนรากนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง
13 การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น เพราะวันเวลาจะให้เห็นได้ชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร
14 ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน
15 ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ไป ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะรอด แต่เหมือนดังรอดจากไฟ" (1โครินธ์ 3:10-15)
"เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว" (2โครินธ์ 5:10)
การเชื่อฟังจะช่วยบรรดาผู้ที่แสวงหาให้พบกับเป้าหมายในชีวิตได้อย่างไร ?
ในจดหมายของอาจารย์เปาโลที่มีไปถึงคริสเตียนเมืองฟิลิปปี ได้พูดถึงวิธีการต่าง ๆ ที่เราจะสำแดงให้โลกรู้ถึงความสุขแท้ซึ่งเกิดจากการที่เราได้รู้จักและเชื่อฟังพระเจ้า เมื่อใดที่เราสามารถพูดได้ว่า
"เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร" (ฟิลิปปี 1:21)
เราก็ได้สำแดงให้โลกรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่าสำหรับเรา ทั้งในขณะที่ยังมีชีวิต และเมื่อตายจากโลกนี้ไป เมื่อเรามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้เชื่อคนอื่น ๆ เราก็ได้ประกาศให้ศัตรูของพระเจ้ารู้ว่าเป้าหมายของมันไม่มีทางบรรลุ
"27 ขอแต่เพียงให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อว่าแม้ข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า ท่านเชื่อมั่นคง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนอย่างเป็นคนเดียวเพื่อความเชื่ออันเกิดจากข่าวประเสริฐนั้น
28 และท่านไม่เกรงกลัวผู้ที่ขัดขวางท่านแต่ประการใดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นที่ประจักษ์แก่เขาว่า พวกเขาจะถึงซึ่งความพินาศ แต่พวกท่านก็คงจะถึงซึ่งความรอด และการนั้นมาจากพระเจ้า" (ฟิลิปปี 1:27-28)
เมื่อเราเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น เราก็ได้สำแดงให้โลกรู้ถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น เช่นเดียวกับพระเยซูคริสต์
"4 อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย
5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์" (ฟิลิปปี 2:4)
เมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยปราศจากตำหนิ เราก็จะส่องสว่าง ดังดวงดาวท่ามกลางความมืดมิดของโลก
"14 จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน
15 เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน และไม่มีความผิด เป็น บุตรที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ในท่ามกลาง พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและวิปลาส ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาดุจดวงสว่างต่างๆในโลก" (ฟิลิปปี 2:14-15)
เมื่อเรามีชีวิตอยู่เพื่อเป้าหมายที่อยู่เบื้องบน เราก็จะมีชีวิตที่ตรงกันข้ามกับผู้ที่ถูกควบคุมโดยความปรารถนาของเนื้อหนัง และเมื่อเราพึงพอใจในชีวิตของเราเอง ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน เราก็ได้สำแดงให้โลกรู้ว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งของที่เรามีอยู่ แต่ให้ความสนใจในเรื่องของสัมพันธภาพฝ่ายวิญญาณระหว่างเรากับพระเจ้า
"17 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านจงร่วมกันตามแบบอย่างของข้าพเจ้า ท่านมีพวกเราเป็นตัวอย่างแล้ว จงดูคนที่ประพฤติตามแบบนั้น
18 เพราะว่า มีคนหลายคนที่ประพฤติตัวเป็นศัตรูต่อกางเขนของพระคริสต์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บอกท่านถึงเรื่องของเขาหลายครั้งแล้ว และบัดนี้ยังบอกท่านอีกด้วยน้ำตาไหล
19 ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายของเขาขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก
20 แต่บ้านเมืองของเรานั้นอยู่ที่สวรรค์ เรารอคอยผู้ช่วยให้รอด ซึ่งจะเสด็จมาจากสวรรค์คือพระเยซูคริสตเจ้า
21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพซึ่งทำให้พระองค์ปราบสิ่งสารพัดลงใต้อำนาจของพระองค์" (ฟิลิปปี 3:17-21)
"11 ข้าพเจ้าไม่ได้บ่นถึงเรื่องความขัดสน เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น
12 ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน 13ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า" (ฟิลิปปี 4:11-13)
"การพยายามแสวงหาความพึงพอใจโดยไม่เชื่อฟังพระเจ้านั้น
ก็เปรียบเสมือนกับการพยายามติดไฟด้วยน้ำ ซึ่งไม่มีทางสำเร็จ"
คิดทบทวน
- ทำไมลูก ๆ จึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ? ทำไมผู้ใหญ่จึงทำผิดกฎหมาย ?
- ทำไมชายหญิงที่มีความเชื่อในฮีบรูบทที่ 11 จึงเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า ?
- เมื่อใดที่คุณต้องต่อสู้กับการเชื่อฟังพระเจ้า ?
- เวลาใดที่คุณรู้สึกว่า การเชื่อฟังพระเจ้าเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล ?
ขอพระเจ้าที่จะสำแดงให้คุณรู้ถึงบางส่วนในชีวิตของคุณที่ยังไม่ได้ให้พระเจ้าเข้ามาควบคุม
เขียนโดย เคิร์ท เดอ ฮาน
แปลโดย ปาริชาติ แสงอัมพร
เรียบเรียงโดย ชนิดา จิตตรุทธะ
จากหนังสือ ฉันมาอยู่ในโลกนี้ทำไม ?
Back 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 Next
|