2.1 การเรียน
"16 ข้าพเจ้ารำพึงว่า 'ข้าพเจ้ามีสติปัญญามากยิ่ง มากกว่าใครๆที่ครองอยู่เหนือกรุงเยรูซาเล็มมาก่อนข้าพเจ้า ใจข้าพเจ้าก็เจนจัดในสติปัญญาและความรู้ อย่างยิ่ง'
17 ข้าพเจ้าก็ตั้งใจรู้สติปัญญา รู้ความบ้าบอ และความเขลา ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเรื่องนี้ก็เป็นแต่กินลมกินแล้งด้วย" (ปัญญาจารย์ 1:16-17)
|
ซาโลมอนเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการเรียน ?
ในสมัยนั้น ชื่อ ซาโลมอน มีความหมายเดียวกับคำว่า ปัญญา
ผู้เขียนหนังสือ 1พงศ์กษัตริย์ ได้บันทึกเอาไว้ว่า ไม่มีใครที่เป็นอยู่ก่อน หรือขึ้นมาภายหลังซาโลมอน ที่มีปัญญาเหมือนซาโลมอน (1พงศ์กษัตริย์ 3:7-12; 10:1-8) และสติปัญญาของพระองค์ก็ล้ำเลิศกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของชาวตะวันออก และชาวอียิปต์ (1พงศ์กษัตริย์ 4:30)
พระองค์ตรัสสุภาษิต 3,000 ข้อ และทรงเขียนเพลง 1,005 บท (1พงศ์กษัตริย์ 4:32) พระองค์ทรงรู้มากพอที่จะบรรยายเรื่องของต้นไม้ สัตว์ป่า นก สัตว์เลื้อยคลาน และปลา (1พงศ์กษัตริย์ 4:33) และทั่วโลกก็แสวงหาที่จะฟังพระสติปัญญาของซาโลมอน
ซาโลมอนมีสติปัญญามากได้อย่างไร ?
ซาโลมอนทรงพบว่า ความรู้ทั้งหมดที่พระองค์มีอยู่เกี่ยวกับชีวิตนี้ จะไม่มีความหมายเลย ถ้าหากพระองค์ไม่รู้จักกับพระผู้สร้าง พระองค์ทรงเรียนรู้ความจริงเรื่องนี้อย่างยากลำบาก ทั้งนี้เมื่อซาโลมอนเติบโตขึ้น พระองค์ทรงเลือกที่จะลืมความรู้ในเรื่องของพระเจ้า และเริ่มต้นนมัสการพระเทียมเท็จ (1พงศ์กษัตริย์ 11:1-13) ความรู้ของพระองค์ไม่สามารถเติมความว่างเปล่าให้ชีวิตของพระองค์ให้เต็มได้
|
"15 ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่า 'เคราะห์กรรมอันใดเกิดแก่คนเขลาฉันใด ก็คงจะเกิดกับตัวข้าพเจ้าฉันนั้น ถ้ากระนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายทำไมเล่า' ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่าเรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน
16 เพราะไม่มีใครระลึกถึงคนมีสติปัญญาเช่น เดียวกับคนเขลา ด้วยเห็นว่าในอนาคตก็ลืมกันไปหมดแล้ว พุทโธ่ คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา" (ปัญญาจารย์ 2:15-16)
ในที่สุดซาโลมอนก็ทรงตระหนักว่า พระองค์ทรงเดินออกไปนอกเส้นทางที่พระเจ้าทรงกำหนด และทรงถ่อมพระทัยลงต่อพระพักตร์พระเจ้า และกลับมาติดสนิทกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงค้นพบว่าสติปัญญาตามอย่างโลกนั้นไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับชีวิตมนุษย์ได้
ถ้าเช่นนั้น หมายความว่าเราไม่ควรแสวงหาสติปัญญาตามอย่างโลกอย่างนั้นหรือ ?
เปล่าเลย ซาโลมอนทรงทราบดีว่า เวลาที่สมองมีแต่ความว่างเปล่านั้นเป็นอย่างไร การที่เราไม่แสวงหาสติปัญญานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซาโลมอนไม่เคยสนับสนุนให้เราโง่ ตรงกันข้าม พระองค์กล่าวว่า
"13 ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญาวิเศษกว่าความเขลา เหมือนความสว่างวิเศษกว่าความมืด
14 คนมีสติปัญญามีตาอยู่ในสมอง แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังเห็นว่า เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่เขาทั้งมวล" (ปัญญาจารย์ 2:13-14)
เป็นการดีที่เราจะแสวงหาความรู้ ยิ่งเรามี "ซาโลมอน" อยู่ในโลกมากเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น แต่อย่าลืมว่า การแสวงหาความรู้เพียงพอที่จะรู้นั้น จะจบลงที่ความว่างเปล่า ยิ่งคุณเรียนมากขึ้นเท่าไหร่ คุณจะยิ่งตระหนักถึงความไม่รู้ของคุณมากขึ้นเท่านั้น และในที่สุดคุณก็จะจบลงด้วยความทุกข์ระทม
"เพราะในสติปัญญามากๆก็มีความทุกข์ระทมมาก และบุคคลที่เพิ่มความรู้ก็เพิ่มความเศร้าโศก" (1:18)
เราควรจะแสวงหาความรู้จากที่ไหน ?
แผ่นป้ายโฆษณาของโรงพยาบาลเพื่อการค้นหาแห่งหนึ่ง เขียนติดไว้ว่า "ความรู้ช่วยเยียวยา" ข้อความนี้ถูกเพียงบางส่วน นั่นก็คือ
การค้นคว้าเป็นผลให้มีการรักษาหรือการป้องกันโรคเกิดขึ้น แต่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพันธุกรรม เชื้อโรค หรือน้ำย่อยอาหาร ไม่สามารถเยียวยาหัวใจที่แตกสลายได้
ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการขับเคลื่อนด้วยพลังความร้อน ดาราศาสตร์ ธรณีวิทยา ประสาทวิทยา หรืออุตุนิยมวิทยา ไม่สามารถให้จุดหมายกับชีวิตมนุษย์ได้
ความรู้เกี่ยวกับโลกที่เราอยู่สามารถอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเราได้ แต่ไม่สามารถบอกเราได้ว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น
ความรู้อย่างนี้ไม่สามารถให้คำตอบในเรื่องของคุณธรรมหรือศีลธรรมแก่มนุษย์ได้
"ความรู้ความเข้าใจทั้งหมดของคุณ ช่วยคุณได้แค่เพียงทำให้คุณรู้ว่า
คุณไม่สามารถค้นพบความจริง และความถูกต้องได้ในตัวของคุณเอง"
เบลส ปาสคาล
สิ่งนี้เห็นได้ชัดในความพยายามที่จะระงับการตั้งครรภ์ของเด็กวัยรุ่น และหยุดการแพร่กระจายของเชื่อโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ ความรู้เพียงอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ สิ่งที่เราต้องการคือ "คุณธรรม" ความรู้ที่ปราศจากคุณธรรมก็เปรียบเสมือนเรือที่ปราศจากหางเสือ
ซาโลมอนทรงสอนในเรื่องของความสมดุลย์ การพยายามเป็นคนฉลาดนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าคิดว่ามันจะสามารถตอบสนองความต้องการที่อยู่ลึก ๆ ในหัวใจของคุณได้ ความรู้เกี่ยวกับชีวิตในแนวนอน ซึ่งได้แก่โลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถให้คำตอบที่เราต้องการได้ทั้งหมด เรายังต้องการความรู้ในแนวตั้ง ซึ่งได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า พระผู้สร้าง
คิดทบทวน
- อาจารย์เปาโลพูดถึงสติปัญญาของมนุษย์ไว้อย่างไรในพระธรรม 1โครินธ์ 3:18-20 ?
"18 อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตัวเอง ถ้าผู้ใดในพวกท่านคิดว่า ตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้ผู้นั้นยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนมีปัญญาได้
19 เพราะว่าปัญญาของโลกนี้ เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง
20 และมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์อีกว่า พระเจ้าทรงทราบว่า ความคิดของคนมีปัญญาเป็นสิ่งไร้ประโยชน์" (1โครินธ์ 3:18-20)
- คุณต้องฉลาดมากแค่ไหน ถึงจะสามารถเข้าใจพระกิตติคุณของพระเจ้าได้ ?
- จากพระธรรมเยเรมีย์ 9:23-24 และ ฟิลิปปี 3:7-11 ความรู้อะไรสำคัญที่สุด ?
"23 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'อย่าให้ผู้มีปัญญาอวดในสติปัญญาของตน อย่าให้ชายฉกรรจ์อวดในความเข้มแข็งของตน อย่าให้คนมั่งมีอวดในความมั่งคั่งของตน
24 แต่ให้ผู้อวดอวดในสิ่งนี้ คือในการที่เขาเข้าใจและรู้จักเราว่าเราคือพระเจ้า ทรงสำแดงความรักมั่นคง ความยุติธรรม และความชอบธรรมในโลก เพราะว่าเราพอใจในสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ' " (เยเรมีย์ 9:23-24)
"7 แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์
8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
9 และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ
10 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์
11 ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย
12 มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว" (ฟิลิปปี 3:7-11)
- คุณจะจำเริญขึ้นในความรู้ซึ่งมาจากพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร ?
"แต่ขอท่านทั้งหลายจงเจริญขึ้นในพระคุณและในความรู้ ซึ่งมาจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ทั้งในปัจจุบันนี้และตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน" (2เปโตร 3:18)
เขียนโดย เคิร์ท เดอ ฮาน
แปลโดย ปาริชาติ แสงอัมพร
เรียบเรียงโดย ชนิดา จิตตรุทธะ
จากหนังสือ ฉันมาอยู่ในโลกนี้ทำไม ?
Back 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 Next |