2.4 ความรัก
"เจ้าจงอยู่กินด้วยความชื่นชมยินดีกับภรรยาซึ่ง เจ้ารักตลอดชีวิตอนิจจังของเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ ตลอดปีเดือนอนิจจังของเจ้า ด้วยว่านั่นเป็นส่วนในชีวิตและในการงานของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ออกแรงกระทำภายใต้ดวงอาทิตย์" (ปัญญาจารย์ 9:9)
|
แม้ว่าซาโลมอนจะทรงส่งเสริมให้มีการแต่งงาน แต่พระองค์ทรงตระหนักดีว่า ความหมายและเป้าหมายของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
คำว่า "อนิจจัง" ในข้อ 9 ที่พระองค์ทรงใช้นั้น ก็เพื่อจะเน้นว่า คำแนะนำของพระองค์เกี่ยวกับการแสวงหาความสุขจากสามีหรือภรรยาของตัวเองเป็นคำแนะนำที่อาจจะช่วยให้ชีวิตทนทานได้มากขึ้นบ้าง แม้ว่ามันจะไม่ได้อธิบายความหมายของชีวิตเลยก็ตาม
จากประสบการณ์ พระองค์ทรงพบว่า ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการแต่งงานนั้น ไม่ใช่คำตอบสำหรับความต้องการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจิตใจของมนุษย์ ซาโลมอนทรงวิวาห์มาแล้วเจ็ดร้อยครั้ง และมีนางห้ามอีกสามร้อยคน แต่พระองค์ทรงทราบดีว่า พระราชวังพร้อมด้วยมเหสีมากมาย ไม่สามารถทดแทนความต้องการพระเจ้าของพระองค์ได้
ซาโลมอนยังทรงมองเห็นถึงคุณค่าของมิตรภาพด้วย
|
|
"8 คือ คนหนึ่งอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีบุตรหรือพี่น้อง แต่เขาทำการงานไม่หยุดหย่อน ตาของเขาไม่เคยอิ่มความมั่งคั่ง เขาไม่เคยคิดว่า ข้าตรากตรำทำงานและตัวข้าอดๆอยากๆเพื่อผู้ใด นี่ก็อนิจจังด้วยและเป็นเรื่องสามานย์
9 สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี
10 ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีผู้อื่นพยุงยกเขาให้ลุกขึ้น
11 อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน เขาก็อบอุ่น แต่ถ้านอนคนเดียวจะอุ่นอย่างไรได้เล่า 12แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้" (ปัญญาจารย์ 4:8-12)
ซาโลมอนทรงชี้ให้เราเห็นว่า บุคคลที่มีเพื่อนร่วมด้วยในการดำเนินชีวิต ก็ดีกว่าคนที่อยู่เพียงลำพัง และต้องช่วยเหลือตัวเอง เพราะเพื่อนสามารถช่วยให้การงานเกิดผล ช่วยในยามที่มีปัญหา ทำให้ทนต่อภาวะยากลำบากได้ และ ช่วยเสริมกำลังในเวลาที่ข้าศึกโจมตี
มิตรภาพมีคุณค่าพอที่เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อมันหรือไม่ ?
หากว่าเราเกิดเรือแตก และต้องติดอยู่บนเกาะร้าง การมีใครสักคนอยู่ด้วยน่าจะช่วยให้อุ่นใจกว่า แต่มิตรภาพก็ไม่ได้ช่วยให้คุณออกจากเกาะได้
แม้ว่าซาโลมอนจะยกย่องคุณงามความดีของความรักและการช่วยเหลือผู้อื่น
"จงปันส่วนหนึ่งให้แก่คนเจ็ดคน เออ ถึงแปดคนก็ให้เถอะ
เพราะเจ้าไม่ทราบว่า สิ่งสามานย์อย่างใดจะบังเกิดขึ้นบนพื้นแผ่นดิน" (ปัญญาจารย์ 11:2)
แต่พระองค์ทรงตระหนักดีว่า การแสดงความรักต่อผู้อื่น ไม่ได้ให้เป้าหมายกับชีวิตที่ปราศจากเป้าหมาย และนั่นก็คือเหตุผลที่พระองค์ทรงย้ำอยู่ตลอดเวลาถึงความจำเป็นที่เราต้องให้พระเจ้าเข้าไปมีส่วนในชีวิตนี้และในชีวิตภายหน้า (ปัญญาจารย์ 2:24-25; 3:13,14,17; 5:1-7; 7:13-18; 8:12-17; 11:7-10; 12:1-14)
อย่างไรก็ดี ผู้คนมากมายไม่ยอมให้พระเจ้าเข้าไปมีบทบาทในชีวิต คนเหล่านั้นพูดเหมือนไม่กลัวการพิพากษาที่จะมาถึง ไม่สนใจที่จะแสดงความรักต่อพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ก็เพื่อที่จะรักผู้อื่น และทำให้โลกนี้เป็นที่ที่น่าอยู่มากขึ้น โดยเหตุผลว่า ถ้าหากเราทุกคนติดอยู่บนโลกใบนี้ด้วยกัน เราก็น่าจะพยายามปรับตัวเข้าหากัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนคนหนึ่งได้อธิบายถึงเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ โดยกล่าวว่า "ฉันพยายามที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดี ฉันพยายามที่จะเป็นคนดี ฉันไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า แต่ฉันพยายามมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น"
มีอะไรที่สำคัญกว่าการรักผู้อื่นอีก ?
การพยายามทำเป็นคนใจบุญ เป็นสิ่งที่ประเสริฐและน่ายกย่อง คุณสามารถพบข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่สอนให้มนุษย์รักซึ่งกันและกัน
พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า
"... จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" (มัทธิว 22:39)
และพระองค์ได้เน้นถึงความจำเป็นที่เราต้องรักผู้อื่นเมื่อทรงเล่าถึงเรื่องของชาวสะมาเรียใจดี (ลูกา 10:25-37)
"โลกของเรานั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่เห็นแก่ตัว ตื่นกลัว และตื้น ๆ"
ชาร์ลส์ โคลสัน
แต่เราต้องไม่ลืมว่า พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้เรารักเพื่อนบ้าน เพราะนั่นเป็นการแสดงออกถึงความรักที่เรามีต่อพระเจ้า
"เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น" (ยอห์น 13:34)
"9 พระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา
10 ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะยึดมั่นอยู่ในความรักของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดา และยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์
11 นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม
12 พระบัญญัติของเรา คือให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน" (ยอห์น 15:9-12)
พระเยซูคริสต์ได้ทรงตรัสถึงคำสั่งที่ให้เรารักพระเจ้าว่า เป็นธรรมบัญญัติข้อใหญ่สุด
"37 จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า
38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่ และข้อต้น" (มัทธิว 22:37-38)
ความรักที่เรามีต่อเพื่อนบ้านของเรานั้นเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่ยังไม่เพียงพอ และเป็นสิ่งที่กินลมกินแล้ง หากว่าคุณไม่ได้รักพระเจ้าก่อน
เมื่อใดความรักของเราจึงจะมีคุณค่าถาวรได้ ?
ในหนังสือปัญญาจารย์ ซาโลมอนทรงตรัสถึงความโง่และการทำลายล้างซึ่งเกิดจากการไม่รักผู้อื่น (4:8; 7:9; 9:18) แม้ว่าพระองค์จะทรงเชิญชวนให้ผู้อ่านแสวงหาความเพลิดเพลินในความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ แต่พระองค์ทรงชี้ให้เราเห็นถึงความจำเป็นที่เราต้องให้ความสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าเป็นอันดับแรก
"จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง" (ปัญญาจารย์ 12:13)
และเพื่อให้ประเด็นที่พระองค์ทรงกล่าวนั้นสมบูรณ์จริง ๆ พระองค์ยังทรงตรัสถึงความสิ้นหวังของการมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง
"หนังสือปัญญาจารย์นั้น เริ่มต้นโดยกล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่มีความหมาย
แต่จบลงโดยกล่าวว่าทุกสิ่งมีความหมาย"
ถ้าไม่มีความรู้ของพระเจ้า เราอาจสรุปได้ว่าชีวิตของมนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์
"18 ข้าพเจ้ารำพึงในใจของข้าพเจ้าเกี่ยวกับบรรดาบุตร ของมนุษย์ว่า พระเจ้าทรงทดสอบเขาเพื่อจะสำแดงว่าเขาเป็นเพียงสัตว์
19 เพราะว่าเคราะห์ของบรรดามนุษยชาติกับเคราะห์ของ สัตว์เดียรัจฉานนั้นเหมือนกัน ฝ่ายหนึ่งตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็ตายเหมือนกัน ทั้งสองมีลมหายใจอย่างเดียวกัน และมนุษย์ไม่มีอะไรดีกว่าสัตว์เดียรัจฉาน เพราะสารพัดก็อนิจจัง
20 ทุกอย่างไปยังที่เดียวกัน ทุกอย่างเป็นมาจากผงคลีดิน และทุกอย่างกลับเป็นผงคลีดินอีก
21 ใครรู้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่เบื้องบนหรือเปล่า และวิญญาณของสัตว์เดียรัจฉานลงไปสู่พิภพโลกหรือเปล่า" (ปัญญาจารย์ 18-21)
เราคงไม่อาจรู้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ยังคงอยู่เพื่อรอการพิพากษาจากพระเจ้าในเวลาที่กำลังจะมาถึง การพยายามทำเป็นคนใจบุญนั้นไม่ได้ให้คุณค่านิรันดร์
พระธรรม 1โครินธ์ 13 ซึ่งเป็นบทที่บรรยายถึงความรักได้อย่างยอดเยี่ยมนั้น ได้ประกาศถึงความยิ่งใหญ่แห่งความรัก แต่ความรักที่พูดถึงนั้นจะเป็นจริงได้เฉพาะกับคนที่รู้จักความหมายของการได้รับความรักจากพระเจ้า และการที่จะรักพระเจ้าเท่านั้น
การรักผู้อื่น แม้ว่าจะดีสักเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่พอที่จะเป็นรากฐานในชีวิตของเรา เราจำเป็นต้องมีเหตุผลที่จะรักนอกเหนือไปจากชีวิตที่เรามีอยู่ในโลกใบนี้ ซึ่งเป็นความรักที่มีรากฐานอยู่ในความรักของพระเจ้า (ยอห์น 4:7 - 5:3)
คิดทบทวน
- คุณใช้เวลามากน้อยเพียงไรในการสร้างมิตรภาพ หรือกับชีวิตสมรส และคุณได้อุทิศเวลามากแค่ไหนในการสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า ?
- ความรักที่คุณมีต่อผู้อื่นอย่างถูกต้องนั้น จะสามารถสะท้อนให้เขาเห็นถึงความรักที่คุณมีต่อพระเจ้าโดยตรงได้อย่างไร ?
"20 ถ้าผู้ใดว่า 'ข้าพเจ้ารักพระเจ้า' และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้
21 พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย" (1ยอห์น 4:20-21)
- ลองใคร่ครวญดูสิว่า คุณปรารถนาที่จะรู้จักและทำให้พระคริสต์พอพระทัยมากแค่ไหน ? ทำอย่างไรที่จะเพิ่มพูนความปรารถนาอยากรู้จักกับพระเจ้าให้มากขึ้นในชีวิตของคุณ ?
"7 แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์
8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์
9 และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ
10 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์
11 ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย" (ฟิลิปปี 3:7-11)
เขียนโดย เคิร์ท เดอ ฮาน
แปลโดย ปาริชาติ แสงอัมพร
เรียบเรียงโดย ชนิดา จิตตรุทธะ
จากหนังสือ ฉันมาอยู่ในโลกนี้ทำไม ?
Back 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 Next |