3. แสวงหาเป้าหมายของชีวิต
ซาโลมอนทรงเรียนรู้อย่างยากลำบากว่า พระองค์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ราวกับว่าไม่มีพระเจ้าได้ แม้ว่าพระองค์จะทรงตรัสเป็นนัย ๆ ถึงคำตอบสุดท้ายในบทแรก ๆ ไปแล้ว แต่คำยืนยันอย่างหนักแน่นที่สุดถึงเป้าหมายชีวิตของพระองค์อยู่ในบทสรุปสองข้อสุดท้ายของหนังสือปัญญาจารย์ว่า
"13 จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง
14 ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงาน ทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว" (ปัญญาจารย์ 12:13-14)
ใช่แล้ว เป้าหมายสุดท้ายของเราทั้งหมดอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า พระผู้สร้างเรา หากเราคิดจะหนีจากความรับผิดชอบต่อการกระทำอันเห็นแก่ตัวของเราเอง ซาโลมอนทรงย้ำเตือนว่า เราทุกคนต้องเข้าสู่วันแห่งการพิพากษาและรับผิดชอบต่อพระพักตร์พระเจ้า
"ความพึงพอใจในชีวิตภายใต้ดวงอาทิตย์จะไม่เกิดขึ้น
จนกว่าเราจะมีความสัมพันธ์กับพระองค์ ผู้ทรงอยู่เหนือดวงอาทิตย์"
ชาร์ลส์ สวินดอลล์
คำว่า "ยำเกรงพระเจ้า" นั้นมีความหมายว่าอย่างไร และการ "รักษาพระบัญญัติของพระองค์" นั้นหมายถึงอะไร ? ลองมาพิจารณาสองคำนี้ด้วยกัน
3.1 รับรู้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมอยู่
คนมากมายต่อต้านความคิดที่ว่า พวกเขาควรจะยำเกรงพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา และความสุภาพ (ซึ่งความจริงพระองค์ก็ทรงเป็นเช่นนั้น) และเน้นว่าพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อบาปของพวกคริสเตียนได้ถูกยกออกไปแล้วโดยทางพระเยซูคริสต์ นั่นหมายถึงว่าคำแนะนำของซาโลมอนใช้ได้เฉพาะกับผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้า หรือบุคคลในพระคัมภีร์เดิมเท่านั้นหรือ ?
เปล่าเลย เพราะพระองค์ทรงตรัสถึงความจำเป็นที่มนุษย์ทุกคนต้องยำเกรงพระเจ้า และพันธสัญญาใหม่ก็เน้นในเรื่องของการเรียกร้องให้เรายำเกรงพระเจ้าเช่นกัน
|
การยำเกรงพระเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร ?
คนที่กลัวโดยปราศจากเหตุผล ไม่ว่าจะกลัวความสูง ที่แคบ ฝูงชน ลิฟท์ โทรศัพท์ น้ำ ความมืด หรือแมลง มักพยายามเสาะหาความช่วยเหลือทางด้านจิตใจเพื่อเอาชนะความกลัวที่ผิดธรรมชาติ แต่ความยำเกรงพระเจ้าไม่ได้เป็นอารมณ์ที่ไร้เหตุผล เป็นเรื่องสมเหตุสมผลเมื่อคุณเข้าใจในความจริงที่ว่า พระเจ้าคือใคร และพระลักษณะของพระองค์เป็นอย่างไร
ความยำเกรงพระเจ้า ตามหลักพระคัมภีร์นั้น เกี่ยวข้องกับการยอมรับในฤทธานุภาพ ความยิ่งใหญ่ สิทธิอำนาจ และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นความกลัวที่ถูกต้อง ความยำเกรงในที่นี้หมายถึงการที่เราให้ความเคารพต่อพระองค์ ตัวสั่นเมื่อคิดถึงการพิพากษาของพระองค์ รับพระองค์ด้วยความเกรงกลัว บูชาพระองค์ ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและถวายเกียรติแด่พระองค์ ความกลัวที่ถูกต้องซึ่งได้แก่ความเกรงกลัวพระเจ้านั้น จะนำเราให้เข้าใกล้พระเจ้า ไม่ใช่ออกห่างจากพระองค์ !
|
มีตัวอย่างอะไรในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ?
ชายหญิงมากมายในพระคัมภีร์ได้รับการบันทึกว่าเป็นผู้ทียำเกรงพระเจ้า มีบางคนได้รับการท้าทายอย่างเฉพาะเจาะจงให้ยำเกรงพระเจ้า ดังตัวอย่างต่อไปนี้
อับราฮัมได้แสดงความยำเกรงพระเจ้าด้วยการถวายบุตรชายของเขา คืออิสอัค ต่อพระเจ้า (ปฐมกาล 22:12)
นางผดุงครรภ์ชาวอียิปต์ ซึ่งปฏิเสธที่จะฆ่าทารกชายชาวฮีบรูมีความยำเกรงพระเจ้า (อพยพ 1:21)
โยบเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า (โยบ 1,2)
กษัตริย์ดาวิดได้หนุนใจให้ผู้เชื่อทุกคนยำเกรงพระเจ้า และยินดีในความโปรดปรานของพระองค์ (สดุดี 34:7,9,10)
ภรรยาที่ดีในสุภาษิตบทที่ 31 ได้รับการยกย่องว่าเป็นสตรีที่ยำเกรงพระเจ้า (สดุดี 31:30)
ผู้ที่ฟังพระดำรัสของพระเยซู ได้รับการท้าทายให้ยำเกรงพระเจ้า เพราะพระองค์มีฤทธิ์อำนาจที่จะทิ้งพวกเขาลงไปในนรกได้ (ลูกา 12:5)
โครเนลิอัสเป็นชายที่มีความยำเกรงพระเจ้า และรับพระวจนะด้วยความยินดี (กิจการ 10:22-48)
อาจารย์เปาโลบอกชาวฟิลิปปีให้
"เหตุฉะนี้ พวกที่รักของข้าพเจ้า เมื่อท่านเชื่อฟังทุกเวลาฉันใด ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์ประพฤติ เพื่อให้ได้ความรอด ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นฉันนั้น มิใช่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น แต่จงยิ่งประพฤติให้มากขึ้น ในเมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย" (ฟิลิปปี 2:12)
อาจารย์เปโตรได้หนุนใจให้ผู้เชื่อประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลา
"และถ้าท่านอธิษฐานขอต่อพระองค์ เรียกพระองค์ว่า พระบิดาผู้ทรงพิพากษาทุกคนตามการกระทำของเขา โดยไม่มีอคติ จงประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้" (1เปโตร 1:17)
ผู้ซึ่งจะมีที่อยู่บนสวรรค์ ได้แก่ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า
"และมีเสียงออกมาจากพระที่นั่งว่า 'ท่านทั้งหลายที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์
ที่ยำเกรงพระองค์ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยจงสรรเสริญพระเจ้าของเรา' " (วิวรณ์ 19:5)
เหตุใดพระเจ้าจึงประสงค์ให้เรายำเกรงพระองค์ ?
ซาโลมอนทรงกล่าวว่า การยำเกรงและเชื่อฟังพระเจ้า เป็นเป้าหมายทั้งหมดของชีวิต เมื่อเรายำเกรง เคารพ และถวายเกียรติแด่พระเจ้านั้น เป็นการแสดงถึงการยอมรับรู้พระองค์ในทุกทาง และเป็นการยืนอยู่บนความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง และพระผู้สร้างของเขา การที่เรายำเกรงพระเจ้านั้น แสดงให้เห็นว่า เราเอาจิงเอาจังและปรารถนาที่จะทำให้พระองค์ทรงพอพระทัย ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำของเรา การใช้เวลาทุก ๆ นาทีของเราเป็นตัวบ่งชี้ความรับผิดชอบที่เรามีต่อพระเจ้า
ความยำเกรงพระเจ้าจะทำให้ผู้ที่ไม่เชื่อแสวงหาการยกโทษบาปจากพระเจ้า และทำให้ผู้เชื่อเกิดผลในความเชื่อ และได้รับคำชมเชยต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์
"9 เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่า จะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์
10 เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่จะดีหรือชั่ว" (2โครินธ์ 5:9-10)
"ดูก่อนท่านที่รัก เมื่อเรามีพระสัญญาเช่นนี้แล้ว ให้เราชำระตัวเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของเนื้อหนัง และวิญญาณจิต และจงทำให้มีความบริสุทธิ์ครบถ้วนโดยความเกรงกลัวพระเจ้า" (2โครินธ์ 7:1)
"จงพิจารณาดูว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า กระทำให้เกิดความกระตือรือร้นมากทีเดียว ทำให้เกิดความขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่และการเดือดร้อนแทน ความตื่นตัว ความอาลัย และความกระตือรือร้น และการลงโทษ ในทุกสิ่งเหล่านี้ ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านก็ไม่ได้กระทำผิด" (2โครินธ์ 7:11)
ความยำเกรงพระเจ้าเกี่ยวข้องอย่างไรกับการนมัสการ ?
ความยำเกรงพระเจ้าและการนมัสการพระเจ้านั้น มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ในปัญญาจารย์ 5:1-7 ซาโลมอนได้พูดถึงการไปยังพระนิเวศของพระเจ้า โดยพระองค์ได้กล่าวว่า
"1 เจ้าจงระวังเท้าของเจ้า เมื่อเจ้าไปยังพระนิเวศของพระเจ้า เพราะการเข้าใกล้ชิดเพื่อจะฟังก็ดีกว่าคนเขลาถวาย สักการบูชา ด้วยว่าเขาไม่รู้ว่าตนกำลังทำชั่ว
2 อย่าให้ใจของเจ้าเร็ว และอย่าให้ปากของเจ้าพูดโพล่งๆต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตในสวรรค์ และเจ้าอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้นเจ้าจงพูดน้อยคำ
3 ฝันเมื่อมีงานมาก และมีเสียงคนเขลาเมื่อพูดมาก
4 เมื่อเจ้าปฏิญาณบนไว้ต่อพระเจ้า อย่าชักช้าที่จะแก้บนนั้นให้สำเร็จ เพราะพระองค์หาชอบพระทัยในคนเขลาไม่ จงแก้บนตามที่เจ้าบนไว้เถิด
5 ที่เจ้าจะไม่บนก็ยังดีกว่าที่เจ้าบนแล้วไม่แก้
6 อย่าให้ปากของเจ้าเป็นเหตุนำตัวเจ้าให้กระทำผิดไป และอย่าพูดต่อหน้าผู้สื่อสารของพระเจ้าว่า นี่แหละเป็นความพลั้งเผลอ เหตุไฉนจะให้พระเจ้าทรงพิโรธเพราะเสียงพูดของเจ้า แล้วเลยทรงทำลายการงานแห่งน้ำมือของเจ้าเสียเล่า
7 เพราะว่าเมื่อฝันมาก คำพูดพล่อยๆก็มาก เจ้าจงยำเกรงพระเจ้าเถิด" (ปัญญาจารย์ 5:1-7)
"พระเจ้าทรงสร้างข้าพระองค์ขึ้นมาสำหรับพระองค์
และจิตใจของข้าพระองค์ก็ไม่อาจหยุดพัก
จนกว่าจะได้เข้ามาพักสงบในพระองค์"
ชาร์ลส์ สวินดอลล์
มีผู้ยำเกรงพระเจ้าบ้างหรือไม่ในปัจจุบัน ?
ผู้หญิงคนหนึ่งได้เขียนจดหมายมายังรายการ Radio Bible Class มีใจความว่า "คนที่ไม่เชื่อวางใจในพระเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด ฉันรู้แต่ว่าฉันต้องการพระองค์ทุกชั่วโมง ทุกวัน ซึ่งพวกเขาก็เหมือนกัน แต่ทำไมพวกเขาจึงไม่อาจรู้จักพระเจ้าได้นะ ?"
ผู้หญิงคนนี้เข้าใจดีถึงความหมายของการยืนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วยความกลัวและถ่อมใจ เธอตระหนักดีถึงชีวิตที่ต้องพึ่งพาพระเจ้า และเธอก็มีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์
อย่างไรก็ตาม ผู้คนมากมายในปัจจุบันไม่ได้มีทัศนคติเช่นนี้ มีบางคนที่ไม่เชื่ออย่างเปิดเผยว่ามีพระเจ้า และบางคนก็เป็นพวกนับถือศาสนาแต่เปลือกนอก อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์
มีคนจำนวนมากที่บอกว่า ตัวเองเชื่อพระเจ้า แต่วันหนึ่ง ๆ แทบไม่ได้นึกถึงพระองค์เลย คนพวกนี้แม้ปากจะบอกว่าเชื่อ แต่การดำเนินชีวิตไม่ได้แตกต่างอะไรกับผู้ที่ยังไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เรื่องของความยำเกรงพระเจ้าปรากฎอยู่หลายแห่งในพระคัมภีร์เพื่อย้ำเตือนเราทั้งหลาย
เป็นการง่ายที่เราจะหลงลืมไปว่าเราต้องการพระเจ้า และหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองในเรื่องเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ โดยลืมไปว่าเหตุผลที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงประทานลมหายใจให้กับเรานั้นคืออะไร
พระองค์ทรงปรารถนาให้เราใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดเพื่อเวลาที่เรายืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ พระองค์จะสามารถพูดได้ว่า
"นายจึงตอบว่า 'ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด' " (มัทธิว 25:21)
คิดทบทวน
- คุณกลัวอะไรในชีวิต ? ถ้าหากว่าคุณยำเกรงพระเจ้าอย่างถูกต้อง คุณจะไม่ต้องกลัวอะไร
"17 ในข้อนี้แหละ ความรักของเราจึงสมบูรณ์ เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเช่นไรเราทั้งหลายในโลกนี้ก็เป็นเช่นนั้น
18 ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์
19 เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
20 ถ้าผู้ใดว่า 'ข้าพเจ้ารักพระเจ้า' และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้
21 พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย" (1ยอห์น 4:17-21)
- เหตุใดความยำเกรงพระเจ้าจึงเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ?
"และพระองค์ตรัสกับมนุษย์ว่า 'ดูเถิด ความยำเกรงพระเจ้า นั่นแหละคือพระปัญญา และที่จะหันจากความชั่ว คือความเข้าใจ' " (โยบ 28:28)
"ความยำเกรงพระเจ้า เป็นบ่อเกิดของ ความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและคำสั่งสอน" (สุภาษิต 1:7)
"ความยำเกรงพระเจ้า เป็นที่เริ่มต้นของปัญญา และซึ่งรู้จักองค์บริสุทธิ์ เป็นความรอบรู้" (สุภาษิต 9:10)
"พระเนตรของพระเจ้าอยู่ในทุกแห่งหน ทรงเฝ้าดูคนชั่วและคนดี" (สุภาษิต 15:3)
เขียนโดย เคิร์ท เดอ ฮาน
แปลโดย ปาริชาติ แสงอัมพร
เรียบเรียงโดย ชนิดา จิตตรุทธะ
จากหนังสือ ฉันมาอยู่ในโลกนี้ทำไม ?
Back 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 Next
|