6. ชีวิตที่สอดคล้องกับคำอ้าง
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอ้างว่าเป็นใคร หรือเป็นอะไรก็ได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ ชีวิตที่คนคนนั้นแสดงออกมา น่าเชื่อถือ หรือสอดคล้องกับคำอ้างของเขาแค่ไหน
ในกรณีของพระเยซูคริสต์ ชีวิตของพระอง๕สอดคล้องตรงกับคำอ้างของพระองค์
ขอให้พิจารณาลักษณะพิเศษบางประการจากชีวิตของพระองค์ ดังต่อไปนี้
6.1 คำพูดของพระเยซูคริสตเป็นคำพูดอมตะ
หากพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าดังที่อ้างจริง พระคำของพระองค์ย่อมต้องเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยกล่าวมา
พระเยซูคริสต์เอง ตรัสว่า
|
"ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย" (ลูกา 21:33)
ซึ่งหมายความว่า คำพูดทุกคำที่พระองค์ตรัส จะต้องเป็นความจริงอมตะ สำหรับมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และ ทุกชนชั้นทั่วโลก
สังเกตได้ว่า พระคำของพระองค์ไม่เคยล้าสมัย และไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามกาลสมัย |
ในสมัยของพระองค์ ผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำพูดของพระองค์ ต่างประหลาดใจในคำสอนอันกอปรด้วยอำนาจ จนต้องยอมรับว่า ไม่มีผู้ใดพูดเหมือนพระองค์เลย
"คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ" (ลูกา 4:32)
"เจ้าหน้าที่ตอบว่า 'ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนคนนั้นเลย' " (ยอห์น 7:46)
แม้ปัจจุบันพระคำของพระองค์ก็ยังมีอิทธิพลอยู่ในชีวิตของผู้คนทั่วโลก ทุกถ้อยคำที่พระองค์ตรัสนั้น เปี่ยมด้วยความจริง และความมั่นใจ
หากเราพิจารณาคำพูดของพระเยซูคริสต์ เราจะไม่พบคำว่า "คิดว่า" "คงจะ" อาจจะ" หรือ "คาดคะเนว่า" เหมือนนักปรัชญา นักคิด หรือนักวิชาการทั่วไป แต่ในทางตรงกันข้าม พระองค์เน้นเสมอว่า "เรากล่าวกับท่านตามจริงว่า..."
พระองค์สอนด้วยความมั่นใจ ชัดเจน และตรงไปตรงมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสอนเกี่ยวกับคำถามพื้นฐานของมนุษย์ที่แสวงหาคำตอบมาทุกยุคทุกสมัย เช่น พระเจ้าคือใคร พระเจ้ามีความสัมพันธ์กับเราอย่างไร อะไรคือรากปัญหาของสังคม เราจะได้รับการยกโทษบาปอย่างไร เราอยู่ในโลกนี้ทำไม และตายแล้วไปไหน ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นคำถามที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจให้คำตอบที่ถูกต้องชัดเจน และมั่นใจได้เลย มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ประทานคำตอบให้ได้
อนึ่ง พระคำของพระองค์มิใช่เป็นเพียงความจริงเกี่ยวกับชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นคำทำนายที่ถูกต้องในประวัติศาสตร์อีกด้วย เช่น พระเยซูได้ตรัสกับสาวกล่วงหน้าถึงความตาย และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ก่อนเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดขึ้น และ พระองค์ทำนายถึงการพังพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งก็ได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 70
"ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ และพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่" (มัทธิว 16:21)
"37 โอ เยรูซาเล็มๆที่ได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้าถึงตาย เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ
38 ดูเถิด นิเวศของเจ้าจะถูกทอดทิ้งและเริศร้าง" (มัทธิว 23:37-38)
หรือหากจะพูดถึงสถิติเกี่ยวกับคำพูดของพระเยซูคริสต์แล้ว ก็สามารถกล่าวว่า คำสอนและคำพูดของพระองค์ มีคนอ่านมากที่สุดในโลก ได้รับการอ้างอิง โดยนักประพันธ์มากที่สุดในโลก ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากที่สุดในโลก และปรากฎในศิลปะ วรรณกรรม และดนตรีมากที่สุดในโลก นี่ย่อมแสดงถึงความยิ่งใหญ่ และอิทธิพลของคำพูด อันประกอบด้วยลักษณะของผู้พูด คือ พระเยซูคริสต์
6.2 พระเยซูคริสตบริสุทธิ์ ปราศจากบาป
ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ชีวิตของพระองค์ต้องเป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความด่างพร้อยใด ๆ การแสดงออกของพระองค์ ในทุกความคิด ทุกคำพูด และทุก ๆ การกระทำ นับแต่เกิด จนกระทั่งตาย ไม่ว่าในขณะอยู่คนเดียว หรือเมื่อปรากฎต่อสาธารณชน จะต้องแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งความเป็นพระเจ้าของพระองค์
พระเยซูคริสต์ทรงมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน จนกล้าท้าทายศัตรูของพระองค์ให้ชี้ถึงความผิดของพระองค์ ว่า
"มีผู้ใดในพวกท่านหรือ ที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำผิด ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา" (ยอห์น 8:46)
เงียบ ! ไม่มีเสียงโต้ตอบจากฝ่ายศัตรู
สำหรับมนุษย์แล้ว ความรู้สึกว่าตนเป็นบริสุทธิ์ ไม่มีความผิด หรือความบกพร่องใด ๆ นับเป็นประสบการณ์ที่แปลกประหลาดมาก
คงมีผู้อ่านหลาย ๆ ท่านที่มีโอกาสศึกษาถึงประสบการณ์ส่วนตัวของนักบุญ หรือนักสอนศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะพบว่าเขาเหล่านั้นแต่ละคนต่างยอมรับถึงความบกพร่องที่ตนมีอยู่ไม่มากก็น้อย แต่สิ่งนี้ เราไม่พบในประสบการณ์ของพระเยซูคริสต์เลย พระองค์สอนถึงเรื่องความผิดบาปของมนุษย์ และเน้นให้สาวกอธิษฐานสารภาพความผิดบาปต่อพระเจ้า แต่ตัวของพระองค์เองนั้น พระองค์ไม่เคยสารภาพความผิดบาป เพราะไม่มีความผิดบาปที่จะสารภาพ
เพื่อนที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์ที่สุด คือ สาวกที่ติดตามพระเยซูคริสต์ไปทุกหนทุกแห่ง ซึ่งได้มีโอกาสอยู่ กินนอน และปฏิบัติภารกิจด้วยกันทุกวัน ได้เป็นพยานถึงชีวิตของพระองค์ว่า
"พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปเลย และไม่ได้ตรัสคำเท็จเลย" (1เปโตร 2:22)
ท่านอัครทูตยอห์น ได้เขียนไว้เช่นกันว่า
"ท่านทั้งหลายรู้แล้วว่า พระองค์ได้ทรงปรากฏ เพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และพระองค์ไม่ทรงมีบาปเลย" (1ยอห์น 3:5)
แม้แต่ปีลาต ผู้มีหน้าที่ต้องพิพากษาพระเยซูคริสต์ในสมัยนั้น ก็ยังได้กล่าวยืนยันต่อฝูงชนว่า
"เราไม่เห็นว่าคนผู้นี้มีความผิด" (ลูกา 23:4)
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะความบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ คือ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
สมาคมนักศึกษาคริสเตียนไทย (นคท.)
จากหนังสือ เรื่อง เยซูคือใคร
Back 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 Next |