เหตุใดพวกคริสเตียนจึงไม่กราบไหว้ศพ ?
พระคัมภีร์ได้ย้ำหลายตอนว่า "จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า" และ "ถ้าผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน โดยเฉพาะคนในครอบครัว (รวมทั้งพ่อและแม่) ผู้นั้นก็ชั่วยิ่งกว่าคนไม่เชื่อพระเจ้าเสียอีก" (1ทิโมธี 5:8)
|
จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ทำให้เราเห็นว่าพระคัมภีร์ให้พวกเราที่เป็นคริสเตียน ดูแลให้เกียรติในขณะที่คุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุด และการเลี้ยงดูพ่อแม่ของคริสเตียนนั้น ไม่ใช่หมายความว่า พ่อแม่อยากกินอะไรก็ซื้อให้กิน พ่อแม่อยากเที่ยวที่ไหนก็พาไป พ่อแม่ไม่มีเงินก็ให้เงินพ่อแม่ใช้ นี่ไม่ใช่การเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ของคริสเตียน เพราะถ้าเช่นนี้ก็ไม่ผิดอะไรกับการเลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ที่อยากกินอะไรก็หาให้มันกิน พามันไปเดินเล่น อาบน้ำให้มัน กอดจูบมัน เวลาอารมณ์ดีก็จับมันมากอดจูบ เวลาอารมณ์เสียก็เตะตีมัน
|
แต่การเลี้ยงดูพ่อแม่ของคริสเตียนนั้น จะไม่เพียงแต่ดูแลพ่อแม่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงการให้เกียรติแก่ท่าน ไม่ตะคอกท่านเสียงดัง ๆ ไม่ใช้สายตาขมึงถึงต่อพ่อแม่ ไม่ทุ่มเถียงพ่อแม่ มีความสุภาพอ่อนน้อมต่อพ่อแม่ มีอะไรก็ปรึกษาพ่อแม่ จะทำอะไรก็นึกถึงพ่อแม่ นี่จึงจะเป็นการกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างแท้จริง
และเมื่อเวลาที่พ่อแม่จากโลกนี้ไป เราก็จัดงานศพ และทำการฝังศพของท่านให้เรียบร้อย ในงานศพนั้นเราก็มีการจัดพิธีไว้อาลัยโดยสงบ อธิษฐานต่อพระเจ้า และใช้งานศพของท่านในการเตือนคนที่ยังอยู่ข้างหลังโดยใช้พระวจนะของพระเจ้า ให้เขาระลึกถึงชีวิตของตน และสำหรับญาติพี่น้องของผู้ตาย พระวจนะของพระเจ้าก็จะทำให้พวกเขาจะได้รับการปลอดประโลม และสันติสุขจากพระเจ้าในยามที่ต้องพบกับการพลัดพรากจากคนที่พวกเขารัก
ส่วนว่า ทำไมพวกเราที่เป็นคริสเตียนจึงไม่กราบไหว้ศพนั้น ก็เพราะพวกเราเน้นที่จิตใจภายในของผู้ที่มาร่วมงานศพ (เราเชื่อว่าการมีใจจริงในการมาร่วมระลึกถึงผู้ตาย ก็ดีกว่ามาให้เกียรติผู้ตายโดยการเคารพแต่เพียงพิธี หลังจากนั้นก็กินเหล้า เล่นการพนัน)
วิธีที่เราจัดงานศพ ก็คือ จัดช่อดอกไม้ และจัดบริเวณงานศพให้สวยงาม สะอาดเรียบร้อย เพื่อให้เกียรติแก่ผู้ตาย (พวกเราจะไม่ลวก ๆ สกปรก หรือยังไงก็ได้เป็นอันขาด) หลังจากนั้นเราก็จะสงบใจหรือยืนไว้อาลัยแก่ผู้ตาย และกล่าวถึงชีวประวัติของผู้ตายและขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงรับเขากลับบ้าน (ในกรณีผู้ตายเป็นคริสเตียน) และนี่ก็เป็นการจัดงานศพและไว้อาลัยแก่ผู้ตายของพวกเราที่เป็นคริสเตียน
(แท้จริงแล้ว ถ้าเราถามตัวเราเองดูว่า เราอยากให้ลูกหลานของเรา หรือเพื่อนพ้องของเราทำดีต่อเราเมื่อยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว จึงค่อยมาทำ และให้เกียรติ)
ไว้วันหลังหรือก่อนตายค่อยเชื่อพระเยซูได้ไหม?
ได้ครับ ขอเพียงแต่คุณยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น คุณก็ยังมีโอกาสเชื่อพระเยซูได้
แต่ทว่าประสบการณ์ได้บอกพวกเราว่า ถ้าคุณรอวันหลังค่อยเชื่อ บางทีคุณอาจจะไม่มีโอกาสที่จะตัดสินใจเชื่อก็อาจเป็นได้ เพราะ
-
ถ้าคุณทิ้งช่วงเวลาที่จะตัดสินใจตอนนี้ และคิดว่าวันหลังค่อยว่ากันใหม่แล้ว เมื่อคุณวางหนังสือเล่มนี้ลง และทำงานในอาชีพของคุณต่อไป คุณก็จะต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ในที่สุดสภาพแวดล้อมก็ทำให้จิตใจที่อยากจะเชื่อพระเยซูของคุณค่อย ๆ จางลง และมารซาตานก็ฉวยโอกาสตอนที่สภาพจิตใจของคุณกำลังเปลี่ยนไปนั้น มันก็จะบอกคุณหลายอย่าง จนทำให้คุณหมดความเชื่อลง ส่วนมากคำพูดที่มันมักจะใช้ก็คือ "การเชื่อพระเยซูยุ่งยากจริง ๆ" "เดี๋ยวคนอื่นก็หัวเราะเยาะ" "เฮ้ย อย่าไปเชื่อ เดี๋ยวไม่มีคนคบหรอก" "บ้าเหรอ ไปเชื่อพระเยซู" เป้นต้น และคุณก็ไม่มีกำลังพอที่จะต่อต้านเสียงกระซิบเหล่านี้ของมัน ในที่สุดการอยากตัดสินใจเชื่อของคุณก็ยืดออกไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด
-
คุณควรจะเข้าใจอย่างหนึ่ง ก็คือ คุณไม่ทราบเลยว่า อีก 5 นาทีข้างหน้าจะมีอะไรบ้างเกิดขึ้นกับคุณ อุบัติเหตุที่อยู่ข้างหน้าคุณนั้น มันพร้อมที่จะอุบัติขึ้นได้ทุกเมื่อ มีหลายคนที่บอกว่าวันหลังค่อยเชื่อพระเยซู แต่ก็ถูกรถชนตายไปก่อน เขาไม่มีวันหลังที่ให้เขาเชื่อแล้ว ผมขอถามคุณหน่อยเถิดว่า คุณสามารถที่จะควบคุมวันพรุ่งนี้ได้หรือ คุณคิดว่าคุณจะยังคงแข็งแรงเหมือนกับวันนี้หรือ คุณมั่นใจหรือว่า "พรุ่งนี้คุณจะไม่พบอุบัติเหตุ"
ถ้าหากวันนี้คุณได้เข้าใจผลดีของการเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว และก็รู้อีกว่าวันนี้คุณสามารถพึ่งพระองค์ที่จะรอดพ้นจากความบาปและความตายในนรกแล้ว ทำไมจะต้องรอถึงวันหลังล่ะ หากวันนี้มีนักโทษคนหนึ่งที่ถูกจำคุกอยู่ วันหนึ่งพอรู้ว่าในหลวงทรงมีพระราชสารอภัยโทษให้ไปรับด่วน คุณคิดว่านักโทษคนนั้นจะรอวันหลังหรือ ไม่มีทาง เขาจะรีบไปรับสารนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด หรือคุณว่าไม่จริง
อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์
จากหนังสือ คุณพร้อมแล้วหรือ?
Back 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |