1.4 ทุกคนไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่
"เครื่องบินสายการบิน... แอร์ไลน์ ตกกลางป่า มีคนเสียชีวิต 260 คน"
"รถบัสปะทะกับรถสิบล้อ ตาย 52 คน บาดเจ็บระนาว"
นี่เป็นข่าวคราวที่พวกเรามักจะเห็นปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันต่าง ๆ แต่ผมจะขอถามคุณข้อเดียวว่า
"ถ้าคนเหล่านั้นรู้ก่อนว่า เครื่องบินที่เขาโดยสาร รถที่พวกเขานั่งนั้นจะต้องตกหรือต้องคว่ำ คุณคิดว่าพวกเขาจะนั่งมันไหม"
ไม่มีทางแน่นอน นั่นแสดงว่า พวกเราทุกคนไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่
1.5 ทุกคนไม่รู้ว่าตายแล้วจะพบกับอะไร
นี่เป็นปัญหาที่ลึกลับ ดำมืด สำหรับมนุษย์ทุกคนเกี่ยวกับเบื้องหลังความตายนี้ แต่ละชาติ แต่ละวัฒนธรรม แต่ละเผ่าพันธุ์ แต่ละศาสนา ต่างก็มีความคิดที่แตกต่างกันออกไป แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว ทุกชาติ ทุกวัฒนธรรม ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกศาสนานั้น ถึงแม้พวกเขาจะมีความเชื่อของเขาว่า ตายแล้วจะพบอะไรก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่มีความมั่นใจ 100% เลยว่า เมื่อพวกเขาตายไป จะพบกับสิ่งที่เขาเชื่อและเข้าใจนั้นจริงหรือเปล่า
ดังนั้น ถ้าคุณถามคนไทยสักคนหนึ่งว่า "ถ้าวันนี้คุณจากโลกนี้ไป คุณคิดว่าคุณจะไปไหน"
คุณอาจจะได้หลายคำตอบ แต่คำตอบที่คุณจะได้ยินจากพวกเขามากที่สุดก็คือ "ไม่รู้เหมือนกัน" หรือ "แล้วแต่บุญแต่กรรม"
คำตอบเหล่านี้มันแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่เขารู้และเข้าใจเลย ถ้าเช่นนั้น จริง ๆ แล้วเมื่อมนุษย์ตายไปเขาจะพบกับอะไร
2.ความตายคืออะไร และมาจากไหน
ก่อนที่เราจะมาดูกันว่า "ตายแล้วจะพบกับอะไร" หรือ "อะไรอยู่เบื้องหลังความตาย" กันนั้น ก่อนอื่นให้เรามาดูกันว่า "ความตายคืออะไร" และ "ความตายมาจากไหน"
|
ความคิดเกี่ยวกับความตายของคนทั่วไป ส่วนมากคิดว่าความตายก็คือการหยุดหายใจ ซึ่งก็ถูกต้อง 100% แต่สำหรับคริสเตียน ได้ให้ความหมายของความตาย ว่า "การแยกออก" หรือ "แยกจาก"
พวกเราที่เป็นคริสเตียนเชื่อแน่ว่า มนุษย์เรานอกจากจะมีร่างกายแล้ว เรายังมีจิตวิญญาณอีกด้วย ซึ่งจิตวิญญาณนี้เหมือนกับบุคคลที่อาศัยอยู่ในบ้าน ส่วนร่างกายนั้นเปรียบเสมือนที่พักอาศัย พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า ตอนแรกที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้น มนุษย์จะไม่มีวันตายเลย ไม่ว่าฝ่ายร่างกายหรือฝ่ายวิญญาณ แต่ต่อมาเมื่อมนุษย์แยกออกจากพระเจ้า มนุษย์จึงเริ่มตายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ
ดังนั้น ถึงแม้จะมีอากาศมากมาย แต่ร่างกายของมนุษย์เมื่อมาถึงจุดเสื่อม ก็ไม่สามารถที่จะหายใจเอาอากาศที่อยู่รอบตัวเขาเข้ามาในร่างกายได้ เมื่อร่างกายไม่สามารถรับเอาอากาศเข้ามาได้ ร่างกายก็จะหยุดเคลื่อนไหว และวิญญาณก็จะออกจากร่างของเขา ซึ่งเราเรียกว่า การตายฝ่ายร่างกาย (รายละเอียด พูดกันในบทต่อไป) |
ร่างกายมนุษย์จะต้องมีอากาศจึงจะเคลื่อนไหวได้ เช่นเดียวกัน จิตวิญญาณของมนุษย์จะต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้สร้างมัน จิตวิญญาณจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ถ้ามนุษย์คนใดไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เขาจะต้องพบกับความตายฝ่ายวิญญาณ ซีงจะนำเขาไปพบกับสิ่งที่น่ากลัวมาก
เพื่อที่จะเข้าใจง่าย ผมจะยกภาพภาพหนึ่งให้คุณเห็น ถ้าเราปลูกต้นมะม่วงต้นหนึ่ง แน่นอน มันจะต้องมีกิ่งก้านสาขามากมาย และตราบใดที่กิ่งก้านสาขานั้นยังติดอยู่กับลำต้น (ไม่ได้แยกจากต้น) มันก็จะไม่มีทางที่จะแห้ง เหี่ยวเฉา เน่าเปื่อย และตายได้เลย (บางคนอาจจะพูดว่า บางต้นกิ่งที่ติดกับต้นก็อาจตายได้ อย่าลืมว่าผมกำลังพูดถึงภาพเปรียบเทียบ) แต่ถ้าต่อมามันถูกหักหรือแยกออกจากต้น ไม่นานมันก็จะยิ่งมายิ่งแห้งเหี่ยวเฉา เน่าเปื่อยและก็ตายไปในที่สุด (อิสยาห์ 64:6)
และนี่ก็คือภาพที่ชี้ให้เห็นถึง "ความตาย" ในความคิดของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เราให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ และมีพระประสงค์ไม่อยากให้มนุษย์แยกจากพระองค์ เพราะพระองค์เปรียบเสมือนกับต้นไม่ใหญ่ ตราบใดที่มนุษย์มีความสัมพันธ์กับพระองค์ คือ เชื่อฟังพระองค์ เขาก็จะไม่มีทางตายเลย
ในอดีตกาล พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา และใส่อิสระในการเลือกให้แก่พวกเขา ซึ่งไม่เหมือนกับที่พระองค์ทรงสร้างสัตว์ สัตว์ที่พระเจ้าทรงสร้างนั้น พระเจ้าไม่ได้ประทานอิสระในการเลือกให้แก่มัน เพราะฉะนั้นมันไม่มีสิทธิ์ที่จะดำเนินชีวิตตามใจชอบ แต่ต้องเดินตามวิถีชีวิตที่พระองค์ทรงกำหนดให้แก่มัน (สัตว์ถูกสร้างขึ้นมาไม่เหมือนมนุษย์ มันไม่มีสภาพเป็นบุคคล ไม่มีมโนธรรม แต่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามพระลักษณะของพระเจ้า เขามีวิญญาณที่มีสภาพเป็นบุคคล มีมโนธรรม)
แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น ถึงแม้พระเจ้าทรงกำหนดวิถีชีวิตให้แก่เขา แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงบังคับให้มนุษย์จะต้องเดินในวิถีที่พระองค์ทรงกำหนด แต่พระเจ้าทรงประทานอิสระในการเลือกให้แก่เขา ดังนั้น พวกเขาจึงมีอิสระที่จะเลือกได้ว่าจะเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขา หรือจะไม่เดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขาก็ได้ โดยพระองค์จะทรงบอกเขาล่วงหน้าว่า ถ้าเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขา เลือกเดินในทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เขาเดิน เขาจะไม่ตาย แต่จะเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ แต่หากเขาใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เขา มาเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนด (เลือกเดินตามใจชอบของตนเอง หรือกำหนดทางเดินของตนเอง) เขาก็จะต้องตาย และตกเป็นทาสของบาป แต่น่าเศร้าที่มนุษย์คู่แรกกลับเลือกเดินในทางที่พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้แก่เขา ดังนั้น ตั้งแต่นั้นมามนุษย์ทุกคนต่างก็ติดเชื้อแห่งความตายนี้ นั่นก็คือ การแยกออกจากพระเจ้า การแยกออกจากพระเจ้านี้ พระคัมภีร์เรียกว่า ความตาย
"เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนเดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้าประทานให้แก่เขาในทางที่ผิด" (โรม 5:12)
"เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย (ความตายนี่ ไม่ใช่การหยุดทุกอย่าง แต่เป็นการรับผลที่เขาได้ทำ เหมือนกับผิดกฎหมายก็ต้องติดคุก)" (โรม 6:23)
สรุปแล้ว
บาป ก็คือ การใช้อิสระในการเลือกที่พระเจ้ามอบให้ในทางที่ผิด
ความตาย คือ การแยกออกจากพระเจ้า (เหมือนกิ่งที่แยกออกจากต้น มันจะเริ่มตาย หรืออาจจะพูดได้ว่า มันตายแล้ว)
ความตายเป็นผลมาจากความบาป เหมือนกับติดคุก เป็นผลมาจากการทำผิดกฎหมาย (ใช้อิสระที่มีทำในสิ่งผิดกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็มีสิทธิ์เลือกว่า จะทำตามกฎหมายหรือไม่ทำ)
และตั้งแต่มนุษย์คู่แรกของโลกเป็นต้นมา มนุษย์ทุกคนต่างก็ทำบาป (คือใช้อิสระในการเลือกของเขาในทางที่ผิด) ทำให้ชีวิตของเขาแยกออกจากพระเจ้า แน่นอน การแยกออกจากพระเจ้า ก็เหมือนกับกิ่งไม้ที่แยกออกจากต้น มนุษย์ทุกคนจึงยิ่งมา ยิ่งเริ่มแห้ง เหี่ยวเฉา เน่าเปื่อย และ ตายในที่สุด
ถ้าเราสำรวจดูชีวิตของพวกเรา ก็จะเห็นว่าชีวิตของพวกเรานั้นเป็นเหมือนกับกิ่งไม้ที่ถูกแยกออกจากต้นจริง ๆ
กิ่งไม้ที่ถูกแยกออกจากต้น
(ที่มาของความตาย) |
มนุษย์ที่ถูกแยกออกจากพระเจ้า
(ที่มาของความตาย) |
- เริ่มแห้ง (ไม่อยากแห้งก็ต้องแห้ง)
|
- เริ่มทำบาป (ไม่อยากทำบาปก็ต้องทำ)
|
|
- เริ่มมีการเจ็บปวด เจ็บไข้ และปัญหา
|
|
- เริ่มเก็บสะสมปกปิดความผิดที่ตนกระทำ
|
|
|
|
- เผชิญกับเหตุการณ์หลังความตาย
|
อ. นิกร สิทธิจริยาภรณ์
จากหนังสือ คุณพร้อมแล้วหรือ?
Back 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 Next |