เอเสเคียล
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | 32 | 33 | 34 | 35 | 36 | 37 | 38 | 39 | 40 | 41 | 42 | 43 | 44 | 45 |
46 | 47 | 48
เอเสเคียล 1
1 อยู่มาในวันที่ห้าเดือนที่สี่ปีที่สามสิบ ขณะเมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำเคบาร์ในหมู่พวกเชลย ท้องฟ้าเบิกออก และข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าในนิมิต
2 เมื่อวันที่ห้าเดือนนั้น (คือในปีที่ห้าที่กษัตริย์เยโฮยาคีนต้องเป็น เชลย)
3 พระวจนะของพระเจ้ามายังเอเสเคียลปุโรหิต บุตรบุซีในแผ่นดินของคนเคลเดียริมแม่น้ำเคบาร์ ณ ที่นั่นพระหัตถ์ของพระเจ้ามาอยู่เหนือท่าน
4 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดู ลมพายุก็พัดมาจากทางเหนือ มีเมฆก้อนใหญ่ที่มีความสว่างอยู่รอบ และมีไฟลุกวาบออกมาอยู่เสมอ ท่ามกลางไฟนั้นดูประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ
5 และจากท่ามกลางไฟนี้มีร่างดังสัตว์สี่ตัวออกมา รูปร่างของสัตว์นั้นเป็นเช่นนี้คือ มีสัณฐานเหมือนมนุษย์
6 แต่สัตว์ทุกตัวมีหน้าสี่หน้า และมีปีกสี่ปีกทุกตัว
7 ขาของสัตว์นั้นตรง และฝ่าตีนก็เหมือนฝ่าตีนลูกวัว และเป็นประกายอย่างทองสัมฤทธิ์ขัด
8 ที่ใต้ปีกข้างตัวมันทั้งสี่ข้างมีเป็นมือคน สัตว์ทั้งสี่มีหน้าและมีปีกดังนี้
9 คือปีกของมันต่างก็จดปีกของกันและกัน มันบินตรงไปข้างหน้าขณะที่ไปก็ไม่หันเลย
10 สัณฐานหน้าของมันทุกตัวมีหน้าเหมือนหน้าคน สัตว์ทั้งสี่มีหน้าสิงห์อยู่ด้านขวา สัตว์ทั้งสี่มีหน้าวัวอยู่ด้านซ้าย สัตว์ทั้งสี่มีหน้านกอินทรีอยู่ด้านหลัง
11 หน้าของมันเป็นดังนี้แหละ ปีกของมันกางแผ่ขึ้นข้างบน สัตว์แต่ละตัวมีสองปีก แต่ละปีกจดปีกของกันและกัน ส่วนอีกสองปีกคลุมกายของมัน
12 สัตว์ทุกตัวบินตรงไปข้างหน้า ไม่ว่าวิญญาณจะไปทางไหนมันก็ไปทางนั้น เมื่อไปก็ไม่หันเลย
13 ในหมู่สัตว์นั้นมีสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนถ่านคุ เหมือนคบเพลิงหลายอัน เคลื่อนไปมาอยู่ในหมู่สัตว์เหล่านั้น ไฟนั้นสุกใสและมีแสงฟ้าแลบออกมาจากไฟนั้น
14 สัตว์นั้นก็พุ่งไปพุ่งมาดั่งฟ้าแลบแปลบปลาบ
15 เมื่อข้าพเจ้ามองดูสัตว์นั้น ดูเถิด วงล้ออยู่บนพิภพข้างสัตว์นั้น ตัวละหนึ่งวงล้อสี่ตัว
16 ลักษณะและทรวดทรงของวงล้อเหล่านั้นแวบวาบอย่างเพทาย วงล้อทั้งสี่ก็มีสัณฐานเหมือนกัน ส่วนทรวดทรงนั้นเหมือนวงล้อซ้อนในวงล้อ
17 เมื่อจะไปก็ไปข้างใดในสี่ข้างของมันได้ เมื่อไปก็ไม่หันเลย
18 ขอบวงล้อนั้นสูงและน่าสะพรึงกลัวและทั้ง สี่นั้นที่ขอบมีนัยน์ตาอยู่รอบๆ
19 เมื่อสัตว์นั้นไป วงล้อก็ตามไปข้างๆด้วย เมื่อสัตว์เหาะขึ้นจากพิภพ วงล้อก็เหาะขึ้นด้วย
20 วิญญาณจะไปที่ไหนสัตว์นั้นก็ไป และวงล้อนั้นก็เหาะตามไปด้วย เพราะว่าวิญญาณของสัตว์อยู่ในวงล้อ
21 เมื่อสัตว์ไปวงล้อก็ไปด้วย เมื่อสัตว์หยุดวงล้อก็หยุด เมื่อสัตว์เหาะขึ้นจากพิภพ วงล้อก็เหาะตามไปด้วย เพราะว่าวิญญาณของสัตว์อยู่ในวงล้อ
22 เหนือศีรษะของสัตว์นั้น มีลักษณะเหมือนท้องฟ้า ทอแสงอย่างผลึกที่น่ากลัว แผ่กว้างอยู่เหนือศีรษะของสัตว์นั้น
23 ใต้ท้องฟ้านี้ปีกกางออกตรง กางออกไปหากัน สัตว์ทุกตัวมีปีกคลุมกายสองปีก
24 และเมื่อสัตว์เหล่านี้ไป ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของปีกเหมือนเสียงของน้ำมากหลาย ดังพระสุรเสียงขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เสียงโกลาหลเหมือนเสียงพลโยธา เมื่อสัตว์เหล่านั้นหยุดนิ่งก็หุบปีกลง
25 และมีเสียงมาจากท้องฟ้าเหนือศีรษะของมัน เมื่อสัตว์เหล่านั้นหยุดนิ่งก็หุบปีกลง
26 และเหนือท้องฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะของสัตว์นั้น มีสิ่งคล้ายบัลลังก์มีลักษณะเหมือนไพฑูรย์ และบนสิ่งที่เหมือนบัลลังก์นั้นก็มีลักษณะเหมือนมนุษย์
27 และข้าพเจ้าเห็นประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ที่แวบวาบ เหมือนไฟที่บังไว้อยู่รอบข้าง เหนือสิ่งที่เหมือนบั้นเอวของผู้นั้นขึ้นไป และจากสิ่งที่เหมือนบั้นเอวลงมา ข้าพเจ้าเห็นเหมือนไฟและมีความ สุกใสอยู่รอบท่านผู้นั้น
28 ลักษณะความสุกใสที่อยู่รอบนั้น เหมือนกับสัณฐานรุ้งที่ปรากฏในเมฆเมื่อฝนตก ลักษณะทรวดทรงแห่งพระสิริของพระเจ้าเป็นดังนี้แหละ และเมื่อข้าพเจ้าเห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน และข้าพเจ้าได้ยินเสียงท่านผู้หนึ่งตรัส
เอเสเคียล 2
1 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ยืนขึ้น เราจะพูดกับเจ้า"
2 และเมื่อพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าพระวิญญาณ ได้เข้าไปในข้าพเจ้าและตั้งข้าพเจ้าให้ยืนขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินพระองค์นั้นผู้ตรัสกับข้าพเจ้า
3 และพระองค์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราส่งเจ้าไปยังคนอิสราเอลถึงประชาชาติที่มักกบฏ ผู้ซึ่งได้กบฏต่อเรา ทั้งตัวเขาและบรรพบุรุษของเขาได้ละเมิดต่อเราจนกระทั่ง วันนี้
4 ประชาชนก็หน้าด้านและดื้อดึงด้วยเราใช้เจ้าไปหาเขา และเจ้าจงพูดกับเขาว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า'
5 เขาจะฟังหรือปฏิเสธไม่ฟังก็ตาม (เพราะว่าเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ) เขาก็จะทราบว่าได้มีผู้เผยพระวจนะ คนหนึ่งในหมู่พวกเขาแล้ว
6 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเขา หรืออย่าเกรงคำพูดของเขา ถึงแม้ว่าโคกกระสุนและหนามพุงดออยู่กับเจ้า และเจ้าอยู่ท่ามกลางแมงป่อง อย่าเกรงคำพูดของเขาเลย อย่าท้อถอยเมื่อเห็นหน้าเขา เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ
7 และเจ้าจงกล่าวถ้อยคำของเราให้เขาฟัง เขาจะฟังหรือปฏิเสธไม่ฟังก็ตามเถอะ เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ
8 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ฝ่ายเจ้าจงฟังสิ่งที่เรากล่าวแก่เจ้า อย่าเป็นคนมักกบฏอย่างพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏนั้น จงอ้าปากขึ้นและกินสิ่งที่เราให้เจ้า"
9 ดูเถิด เมื่อข้าพเจ้ามองดูก็เห็นพระหัตถ์ข้างหนึ่งเหยียดออก มายังข้าพเจ้า และนี่แน่ะ ในพระหัตถ์นั้นมีหนังสืออยู่ม้วนหนึ่ง
10 พระองค์ทรงคลี่หนังสือม้วนนั้นออกต่อหน้าข้าพเจ้า และมีตัวหนังสือเขียนอยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีบทคร่ำครวญ คำไว้ทุกข์และคำวิบัติเขียนอยู่บนนั้น
เอเสเคียล 3
1 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงรับประทานสิ่งที่เจ้าได้พบ จงรับประทานหนังสือม้วนนี้ และจงไปพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล"
2 ข้าพเจ้าจึงอ้าปาก และพระองค์ทรงให้ข้าพเจ้ารับประทานหนังสือม้วนนั้น
3 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงรับประทานหนังสือม้วนนี้ซึ่งเราได้ให้แก่เจ้า และบรรจุให้เต็มท้องของเจ้า" แล้วข้าพเจ้าก็ได้รับประทานและเมื่อหนังสือม้วนนั้น อยู่ในปากของข้าพเจ้าก็หวานเหมือนน้ำผึ้ง
4 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงไปยังพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกล่าวถ้อยคำของเราแก่เขา
5 เพราะเรามิได้ใช้เจ้าไปหาชนชาติ ที่พูดภาษาต่างด้าวและภาษาที่พูดยาก แต่ให้ไปหาพงศ์พันธุ์อิสราเอล
6 มิใช่ให้ไปหาชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก ที่พูดภาษาต่างด้าวและภาษาที่พูดยาก เป็นคำที่เจ้าจะเข้าใจไม่ได้ ที่จริงถ้าเราใช้เจ้าไปหาคนเช่นนั้น เขาทั้งหลายคงจะฟังเจ้า
7 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่ยอมฟังเจ้า เพราะเขาไม่ยอมฟังเรา เพราะว่าพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้น เป็นคนหัวแข็งและจิตใจดื้อดึง
8 ดูเถิด เราได้กระทำให้หน้าของเจ้าขมึงทึงต่อเขา และให้หน้าผากของเจ้าขึงขังต่อหน้าผากของเขา
9 เราได้กระทำให้หน้าผากของเจ้าแข็งขันอย่างเพชร ที่แข็งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวเขาเลย อย่าท้อถอยเมื่อเห็นหน้าเขา เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ"
10 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงรับถ้อยคำทั้งสิ้นของเราที่พูดกับเจ้าไว้ในใจของเจ้า และจงฟังไว้ด้วยหูของเจ้า
11 ไปเถอะ เจ้าจงไปหาพวกที่เป็นเชลยคือชนชาติของเจ้านั้น จงพูดกับเขา และกล่าวแก่เขาว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้' ถึงเขาจะฟังหรือไม่ฟังก็ช่างเถิด"
12 พระวิญญาณจึงยกข้าพเจ้าขึ้นและเมื่อพระสิริของ พระเจ้าขึ้นมาจากสถานที่อยู่ ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงกระหึ่มอยู่ข้างหลังข้าพเจ้า
13 และมีเสียงปีกสัตว์ที่ถูกต้องกัน และเสียง วงล้อข้างๆสัตว์นั้น เป็นเสียงกระหึ่ม
14 พระวิญญาณก็ยกข้าพเจ้าขึ้นและพาข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าก็ไปด้วยความขมขื่น ใจข้าพเจ้าเดือดร้อน พระหัตถ์ของพระเจ้าก็หนักอยู่บนข้าพเจ้า
15 ข้าพเจ้าจึงมาถึงพวกที่เป็นเชลยที่เทลอาบิบ ผู้ที่อาศัยอยู่ที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และที่ที่เขาอยู่ข้าพเจ้าก็อยู่อย่างมึนซึมท่ามกลางเขาเจ็ดวัน
16 พอสิ้นเจ็ดวัน พระวจนะแห่งพระเจ้าก็มาถึงข้าพเจ้าว่า
17 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้กระทำเจ้าให้เป็นยามเฝ้าพงศ์พันธุ์อิสราเอล เจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากของเราเมื่อไร เจ้าจงกล่าวคำตักเตือนเขาจากเรา
18 ถ้าเราจะบอกแก่คนอธรรมว่า 'เจ้าจะต้องตายแน่ๆ' และเจ้าไม่ตักเตือนเขาหรือกล่าวเตือนคนอธรรม ให้ละทิ้งทางอธรรมของตนเสีย เพื่อจะช่วยชีวิตเขาไว้ คนอธรรมนั้นจะตายเพราะความบาปผิดของเขา แต่เราจะลงโทษเจ้า เพราะความตายของเขา
19 แต่ถ้าเจ้าได้ตักเตือนคนอธรรมและเขามิได้ หันกลับจากความอธรรมของเขา หรือจากทางอธรรมของเขา เขาจะตายเพราะความบาปผิดของเขา แต่เจ้าจะได้ช่วยชีวิตของเจ้าให้รอด
20 อีกประการหนึ่ง ถ้าคนชอบธรรมหันกลับจากความชอบธรรมของเขา และได้กระทำความบาปผิด และเราวางสิ่งที่สะดุดไว้ตรงหน้าเขา เขาต้องตายเพราะว่าเจ้ามิได้ตักเตือนเขา เขาจะตายเพราะบาปของเขา และจะไม่มีใครจดจำการกระทำอันชอบธรรมของเขาไว้เลย แต่เราจะลงโทษเจ้าเพราะความตายของเขา
21 แต่ถ้าเจ้าได้ตักเตือนคนชอบธรรมไม่ให้กระทำบาป และเขามิได้กระทำบาป เขาจะมีชีวิตอยู่ได้แน่ เพราะเขารับคำตักเตือนและเจ้าก็ได้ช่วยชีวิตของเจ้าไว้"
22 ณที่นั่นพระหัตถ์แห่งพระเจ้าได้มาอยู่เหนือข้าพเจ้า และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "จงลุกขึ้นออกไปยังที่ราบ และเราจะพูดกับเจ้าที่นั่น"
23 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นออกไปยังที่ราบ และนี่แน่ะพระสิริของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่น อย่างเดียวกับพระสิริ ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน
24 แต่พระวิญญาณได้เสด็จเข้าในข้าพเจ้ากระทำ ให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าและทรงบอกข้าพเจ้าว่า "จงไป ขังตัวเจ้าไว้ภายในเรือนของเจ้า
25 เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด เขาจะเอาเชือกพันเจ้า และผูกมัดเจ้าไว้ด้วยเชือกนั้น เจ้าจึงออกไปท่ามกลางเขาไม่ได้
26 และเราจะกระทำให้ลิ้นของเจ้าติดกับ เพดานปากของเจ้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นใบ้ ไม่สามารถว่ากล่าวเขาได้ เพราะว่าเขาทั้งหลายเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ
27 แต่เมื่อเราพูดกับเจ้า เราจะให้เจ้าหายใบ้ และเจ้าจะกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า' ผู้ที่จะฟังก็ให้เขาได้ฟัง และผู้ที่จะปฏิเสธไม่ฟังก็ให้เขาปฏิเสธ เพราะเขาทั้งหลายเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ
เอเสเคียล 4
1 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเอาก้อนอิฐมาวางไว้ข้างหน้าเจ้า และแกะรูปเมืองหนึ่งไว้บนนั้นคือนครเยรูซาเล็ม
2 จงล้อมนครนั้นไว้และก่อกำแพงล้อมไว้รอบ นครนั้นด้วย และก่อเชิงเทินไว้สู้นครนั้น และตั้งค่ายรอบนครไว้ และตั้งเครื่องทะลวงกำแพงไว้รอบนคร
3 จงหาเหล็กแผ่นมา และวางเหล็กแผ่นนั้นต่างเป็นกำแพงเหล็กระหว่างเจ้ากับนครนั้น และเจ้าจงหันหน้าสู่นครนั้น ให้นครนั้นถูก ล้อมแล้วเจ้าจงกระชับการล้อมเข้าไป นี่เป็นหมายสำคัญสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล
4 "แล้วเจ้าจงนอนตะแคงข้างซ้าย และเราจะวางการลงทัณฑ์พงศ์พันธุ์อิสราเอลไว้เหนือเจ้า เจ้านอนทับอยู่กี่วัน เจ้าจะแบกการลงทัณฑ์ของนครนั้นเท่านั้นวัน
5 เพราะเราได้กำหนดวันให้แก่เจ้าแล้ว คือสามร้อยเก้าสิบวันเท่ากับจำนวนปีแห่งการลงทัณฑ์ของเขา เจ้าจะต้องแบกการลงทัณฑ์พงศ์พันธุ์อิสราเอลนานเท่านั้น
6 และเมื่อเจ้ากระทำเช่นนี้ครบวันแล้ว เจ้าจะต้องนอนลงเป็นครั้งที่สอง แต่นอนตะแคงข้างขวาและแบกการลงทัณฑ์พงศ์พันธุ์ยูดาห์ เรากำหนดให้เจ้าสี่สิบวัน วันแทนปี
7 และเจ้าต้องตั้งหน้าตรงการล้อม เยรูซาเล็มไว้ด้วยแขนเปลือยเปล่า และเจ้าจงเผยพระวจนะสู้นครนั้น
8 และดูเถิด เราจะเอาเชือกมัดเจ้าไว้ เจ้าจะพลิกจากข้างนี้ไปข้างโน้นไม่ได้ จนกว่าเจ้าจะครบการล้อมนครตามกำหนดวันของเจ้า
9 "เจ้าจงเอาข้าวสาลี ข้าวบารลี ถั่วยางและถั่วแดง ข้าวฟ่าง และข้าวสแปลต์ มาใส่ในภาชนะลูกเดียวใช้ทำเป็นขนมปังให้เจ้า ระหว่างที่เจ้านอนตะแคงตามกำหนดวันสามร้อยเก้าสิบวันนั้น เจ้าจงรับประทานอาหารนี้
10 และอาหารที่เจ้ารับประทานจะต้องชั่ง เป็นวันละยี่สิบเชเขล เจ้าจงรับประทานตามเวลากำหนด
11 และน้ำเจ้าต้องตวงดื่ม คือหนึ่งในหกของฮินหนึ่ง เจ้าจงดื่มน้ำตามเวลากำหนด
12 และเจ้าจะต้องรับประทานต่างขนมปัง ข้าวบารลี ใช้ไฟอุจจาระมนุษย์ปิ้งต่อหน้าต่อตาเขาทั้งหลาย"
13 และพระเจ้าตรัสว่า "ประชาชนอิสราเอลจะต้องรับประทานขนมปัง ของเขาอย่างมลทินอย่างนี้แหละ ณท่ามกลางประชาชาติ ซึ่งเราจะขับไล่เขาไปอยู่"
14 แล้วข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า "พระเจ้าข้า ดูเถิด อนิจจา ข้าพระองค์ไม่เคยกระทำตัวให้เป็นมลทินเลย ตั้งแต่หนุ่มๆมาจนบัดนี้ ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานสิ่งที่ตายเอง หรือที่ถูกสัตว์ฉีกกัดตาย ไม่มีเนื้อสัตว์มลทินเข้าไปในปากของข้าพระองค์"
15 แล้วพระองค์จึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า "เอาเถอะ เราจะยอมให้เจ้าใช้มูลโคแทน อุจจาระซึ่งเจ้าจะใช้เตรียมขนมปังของเจ้า"
16 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด เราจะทำลายอาหารหลักในเยรูซาเล็มเสีย เขาจะต้องชั่งขนมปังรับประทาน ทั้งรับประทานด้วยความหวาดกลัว และเขาจะตวงน้ำดื่ม ทั้งดื่มด้วยอาการอกสั่นขวัญหาย
17 เพื่อให้ขาดขนมปังและน้ำ ให้ต่างคนต่างอกสั่นขวัญหาย และซูบผอมไปเพราะโทษบาปของเขาทั้งหลาย
เอเสเคียล 5
1 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเอาดาบคมเล่มหนึ่ง จงใช้ดาบนั้นอย่างมีดโกนของช่างตัดผม จงโกนศีรษะและโกนเคราของเจ้า เอาตาชั่งสำหรับชั่งมาแบ่งผมนั้นออก
2 เมื่อวันการล้อมครบถ้วนแล้ว เจ้าจงเผาหนึ่งในสามส่วนเสีย ในไฟที่กลางเมืองและเอาหนึ่งในสามอีกส่วนหนึ่งมา เอาดาบฟันให้รอบเมือง และหนึ่งในสามอีกส่วนหนึ่งนั้นเจ้าจงให้ลมพัดกระจายไป และเราจะชักดาบออกตามไป
3 และเจ้าจงเอาเส้นผมนั้นมาหน่อยหนึ่งมัดติดไว้ที่ เสื้อคลุมของเจ้า
4 และเจ้าจงเอาผมเหล่านี้มาอีกบ้าง จงโยนเข้าไปในไฟให้ไหม้เสียในไฟนั้น จากที่นั่นจะมีไฟเข้าไปในพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด
5 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า นี่คือเยรูซาเล็ม เราตั้งเธอไว้ในท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย มีหลายประเทศอยู่ล้อมรอบ
6 และเยรูซาเล็มได้กบฏต่อกฎหมายของเราอย่างร้ายกาจ ยิ่งกว่าประชาชาติใดๆ และกบฏต่อกฎเกณฑ์ของเรามากยิ่งกว่าประเทศที่อยู่ล้อมรอบ โดยปฏิเสธไม่รับกฎหมายของเรา และไม่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา
7 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะเหตุว่าเจ้าดันทุรัง ยิ่งกว่าประชาชาติที่อยู่รอบเจ้าและมิได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ หรือรักษากฎหมายของเรา แต่ได้ประพฤติตามกฎหมายของประชาชาติที่อยู่รอบเจ้า
8 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรา แม้ว่าเรานี่แหละเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า เราจะพิพากษาลงโทษท่ามกลางเจ้าต่อหน้าประชาชาติทั้งหลาย
9 และเพราะความลามกทั้งสิ้นของเจ้า เราจะกระทำแก่เจ้าอย่างที่เราไม่เคยกระทำ และเราจะไม่กระทำอย่างนั้นต่อไปอีก
10 เพราะฉะนั้นบิดาจะกินบุตรของตน ท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย และบรรดาบุตรจะกินบรรดาบิดาของเขาทั้งหลาย และเราจะพิพากษาลงโทษเจ้า ผู้ใดในพวกเจ้าที่เหลืออยู่เราจะให้กระจัดกระจาย ไปตามลมทุกทิศานุทิศ
11 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด แน่ทีเดียวเพราะเจ้าได้กระทำให้สถานนมัสการของเรา เป็นมลทินไปด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งสิ้นของเจ้า และด้วยสิ่งลามกทั้งสิ้นของเจ้า เพราะฉะนั้นเราจะตัดเจ้าลง นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี เราจะไม่สงสารด้วย
12 พวกเจ้าหนึ่งในสามส่วนจะล้มตายเพราะโรคระบาด และถูกผลาญด้วยความอดอยาก ในหมู่พวกเจ้าอีกหนึ่งในสาม ส่วนจะล้มตายด้วยดาบอยู่รอบเจ้า และอีกหนึ่งในสามส่วน เราจะให้กระจัดกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ และเราจะชักดาบออกไล่ตามเขาทั้งหลายไป
13 "เช่นนี้แหละ ความกริ้วของเราจะมอดลง และเราจะระบายความโกรธของเราจนหมดและพอใจ แล้วเขาทั้งหลายจะได้ทราบว่าเราคือพระเจ้าได้กล่าวเช่นนี้ด้วยความหวงแหน เมื่อความโกรธของเราต่อเขามอดลงแล้ว
14 อนึ่ง เราจะกระทำให้เจ้าร้างเปล่า และเป็นที่เขาประณามกันท่ามกลาง ประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบเจ้า และในสายตาของผู้ที่ผ่านไป
15 เจ้าจะเป็นที่เขาประณามและเย้ยหยัน เป็นคำเตือนและเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนแก่ ประชาชาติที่อยู่ล้อมรอบเจ้า เมื่อเราจะพิพากษาลงโทษเจ้า ด้วยความกริ้วและความเกรี้ยวกราด และการตีสอนอย่างขึ้งโกรธของเรา เรา พระเจ้าได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว
16 เมื่อเราปล่อยลูกธนูมฤตยูแห่งความอดอยาก คือลูกธนูแห่งการทำลายในท่ามกลางเจ้า ซึ่งเราจะปล่อยไปทำลายเจ้า และเมื่อเราเพิ่มความอดอยากให้เจ้า และทำลายอาหารหลักของเจ้าเสีย
17 เราจะส่งความอดอยากและสัตว์ป่าร้ายมาสู้เจ้า และมันจะริบลูกหลานของเจ้าไปเสีย โรคระบาดและโลหิตจะผ่านเจ้าและ เราจะนำดาบมาเหนือเจ้า เราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาเช่นนี้แล้ว"
เอเสเคียล 6
1 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าตรงที่ภูเขาทั้งหลายของอิสราเอล และจงเผยพระวจนะกล่าวโทษภูเขานั้น
3 และกล่าวว่า ภูเขาทั้งหลายของอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แก่ภูเขาทั้งหลายและแก่เนินเขา และห้วยและหุบเขาทั้งหลายว่า ดูเถิด เราจะนำดาบมาเหนือเจ้า และเราจะทำลายปูชนียสถานสูงของเจ้าเสีย
4 แท่นบูชาของเจ้าจะร้างเปล่า และแท่นบูชาเครื่องหอมของเจ้าจะพังทลาย และคนที่ถูกฆ่าบนเจ้านั้น เราจะเหวี่ยงลงต่อหน้ารูปเคารพของเจ้า
5 และเราจะวางศพคนอิสราเอลไว้หน้ารูปเคารพของเขา และเราจะกระจายกระดูกของเจ้ารอบแท่นบูชาของเจ้า
6 เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหนๆ เมืองของเจ้าจะร้างและปูชนียสถานสูงของเจ้าจะพังทลาย ดังนั้นแหละแท่นบูชาของเจ้าจะร้างและถูกทำลาย รูปเคารพของเจ้าจะหักและถูกทำลาย แท่นบูชาเครื่องหอมของเจ้าจะถูกตัดลง และการงานของเจ้าจะถูกกวาดทิ้งเสียสิ้น
7 และคนที่ถูกฆ่าจะล้มลงท่ามกลางเจ้า และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
8 "แต่เราจะให้เจ้าเหลืออยู่บ้างเป็นบางคน เมื่อเจ้ามีบางคนท่ามกลางประชาชาติที่หนีพ้นดาบไป และเมื่อเจ้ากระจายไปอยู่ในประเทศต่างๆ
9 แล้วคนในพวกเจ้าที่หนีไปได้นั้นจะ ระลึกถึงเราท่ามกลางประชาชาติ ซึ่งเขาถูกกวาดไปเป็นเชลยนั้น เมื่อเราทำลายใจแพศยาซึ่งได้พรากจากเราไปนั้นแล้ว และทำลายตาที่มองดูรูปเคารพอย่างใจแพศยานั้นเสีย และเขาจะเกลียดตัวเองเนื่องด้วยความชั่วซึ่งเขาได้กระทำ และสิ่งลามกทั้งสิ้นของเขาด้วย
10 เขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า เรามิได้พูดพล่อยๆว่า เราจะกระทำการร้ายนี้แก่เขา"
11 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "จงตบมือและกระทืบเท้าของเจ้า และกล่าวว่าอนิจจาเอ๋ย เพราะความชั่วลามกแห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลทีเดียวหนอ เหตุว่าเขาทั้งหลายจะล้มลงด้วยดาบ ด้วยความอดอยากและด้วยโรคระบาด
12 ผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปจะตายด้วยโรคระบาด ผู้ที่อยู่ใกล้ก็จะล้มตายด้วยดาบและผู้ที่เหลือ อยู่ยังไม่ตายจะตายด้วยความอดอยาก เราจะให้ความเกรี้ยวกราดของเรามี เหนือเขาจนกว่าจะมอดลงเช่นนี้แหละ
13 และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า เมื่อคนที่ถูกฆ่านอนอยู่ท่ามกลางรูปเคารพ ของเขารอบแท่นบูชาของเขา บนเนินเขาสูงทุกแห่ง บนยอดเขาทั้งสิ้น ที่ใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น และใต้ต้นก่อหลวงใบดกทุกต้นไม่ว่าที่ใดๆ ที่เขาถวายกลิ่นที่พึงใจแก่รูปเคารพทั้งสิ้นของเขา
14 และเราจะยื่นมือของเราออกต่อสู้เขา และกระทำให้แผ่นดินนั้นร้างเปล่าและทิ้งร้าง ตลอดที่อาศัยทั้งสิ้นของเขา คือตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารถึงดิบลา แล้วเขาจึงจะรู้ว่า เราคือพระเจ้า"
เอเสเคียล 7
1 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าอีกว่า
2 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พระเจ้าตรัสกับแผ่นดินอิสราเอลดังนี้ว่า อวสาน ความสิ้นสุดได้มาถึงทั้งสี่มุมของแผ่นดินแล้ว
3 บัดนี้ความสิ้นสุดก็มาถึงเจ้า และเราจะปล่อยให้ความกริ้วของเรามาเหนือเจ้า ทั้งหลายและ จะพิพากษาเจ้าให้สมกับทางประพฤติของเจ้า และเราจะลงทัณฑ์เจ้าเพราะความลามกทั้งหลายของเจ้า
4 นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานีเจ้า และเราก็จะไม่สงสาร แต่เราจะลงทัณฑ์เจ้าให้สมกับทางประพฤติของเจ้า ขณะเมื่อสิ่งลามกยังอยู่ท่ามกลางเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้า
5 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแล้ว วิบัติเล่า ดูเถิด วิบัติมาถึงแล้ว
6 ความสิ้นสุดมาถึงแล้ว อวสานนั้นมาถึง มันตื่นขึ้นต่อสู้เจ้า ดูเถิด วิบัติมาถึงแล้ว
7 ชาวแผ่นดินเอ๋ย ชะตาร้ายของเจ้ามาถึงแล้ว เวลามาถึงแล้ว วันก็ใกล้เข้ามาคือวันแห่งความโกลาหล และไม่ใช่เสียงโห่ร้องยินดีที่บนภูเขา
8 บัดนี้ ไม่ช้าแล้วเราจะระบายความพิโรธของเราออกเหนือเจ้า และปล่อยให้ความกริ้วของเรามีต่อเจ้าจนมอดลง และพิพากษาเจ้าให้สมกับการประพฤติของเจ้า และเราจะลงโทษเจ้าเพราะความลามกทั้งสิ้นของเจ้า
9 นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี และเราจะไม่สงสาร เราจะลงโทษเจ้าให้สมกับการประพฤติของเจ้าขณะเมื่อ สิ่งลามกของเจ้ายังอยู่ท่ามกลางเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้าผู้โบยตี
10 "ดูเถิด วันนั้น ดูเถิด มาถึงแล้ว ชะตาร้ายของเจ้าออกมาแล้ว พลองอธรรมก็บาน ความเย่อหยิ่งก็ผลิดอก
11 ความทารุณได้เจริญเป็นพลองอธรรม จะไม่มีใครเหลืออยู่เลย ความอุดมสมบูรณ์ของเขาก็ไม่มี ความมั่งคั่งของเขาก็ไม่มี ความเป็นผู้ใหญ่ในพวกเขาก็ไม่มี
12 เวลานั้นมาถึงแล้ว วันนั้นก็ใกล้เข้า อย่าให้ผู้ซื้อดีใจ อย่าให้ผู้ขายเสียใจ เพราะพระพิโรธอยู่เหนือประชากรของเธอ
13 เพราะว่าผู้ขายจะไม่ได้กลับไปยังสิ่งที่เขาได้ขายไป ขณะเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่านิมิตนั้นก็เกี่ยวข้องกับประชากร ทั้งมวลและจะไม่หันกลับ และเพราะความบาปผิดของเขา จึงไม่มีผู้ใดรักษาชีวิตไว้ได้
14 "เขาได้เป่าแตรแล้ว และได้เตรียมทุกอย่างไว้พร้อม แต่ไม่มีใครเข้าสงคราม เพราะว่าพิโรธของเราอยู่เหนือประชากรของเธอ
15 ดาบก็อยู่ข้างนอก โรคระบาดและความอดอยากก็อยู่ข้างใน ผู้ที่อยู่ในทุ่งนาก็ตายเสียด้วยดาบ และผู้ที่อยู่ในเมืองความอดอยากและโรคระบาดก็กินเสีย
16 และถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดรอดตายหนีไปได้เขาจะอยู่บนภูเขา เหมือนนกพิราบแห่งหุบเขา ทุกคนก็ร้องครวญครางเพราะความบาปผิดของตน
17 มือทั้งสิ้นก็อ่อนแอ และเข่าทั้งหมดก็อ่อนเปียก
18 เขาทั้งหลายคาดเอวไว้ด้วยผ้ากระสอบ และความสั่นสะท้านครอบเขาไว้ ความละอายอยู่ที่ใบหน้าของเขาทุกคน และศีรษะของเขาก็ล้านหมด
19 เขาโยนเงินของเขาไปในถนนและทองคำของเขา ก็เหมือนสิ่งที่มลทิน เงินและทองของเขาไม่อาจที่จะช่วยกู้เขาไว้ในวัน แห่งพระพิโรธของพระเจ้า เขาจะให้หายหิว หรือบรรจุให้เต็มท้องด้วยเงินทองก็ไม่ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่สะดุดให้เขาทำบาปผิด
20 ความโอ่อ่าของสิ่งเหล่านั้น เขาใช้เพื่อเกียรติจอมปลอม เขาใช้สร้างรูปเคารพอันลามก และสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเขา เพราะฉะนั้นเราจะกระทำสิ่งเหล่านั้นให้เป็นสิ่งที่ มลทินแก่เขา
21 และเราจะมอบสิ่งเหล่านั้นไว้ในมือของชน ต่างด้าวให้เป็นของริบ และมอบคนอธรรมในแผ่นดินโลกให้เป็นของปล้นได้ และเขาทั้งหลายจะกระทำให้เป็นมลทิน
22 เราจะหันหน้าของเราไปเสียจากเขาด้วย เขาจึงจะกระทำสถานประเสริฐของเราให้สาธารณ์ โจรจะเข้ามากระทำให้สาธารณ์
23 และกระทำให้เป็นที่ร้างเปล่า "เพราะว่าแผ่นดินนั้นเต็มด้วยคดีที่แปดเปื้อนด้วยโลหิต และเมืองก็เต็มด้วยความทารุณ
24 ฉะนั้นเราจะนำประชาชาติที่ชั่วร้ายที่สุด มาถือกรรมสิทธิ์บ้านเรือนของเขา และเราจะให้ทิฐิของคนที่แข็งแรงนั้นสิ้นสุดลง และสถานที่บริสุทธิ์ของเขาจะเป็นมลทิน
25 เมื่อความวิตกมาถึง เขาจะแสวงสันติภาพ แต่ก็ไม่มีเลย
26 วิบัติมาถึงแล้ว วิบัติมาถึงอีก กิตติศัพท์เกิดตามกิตติศัพท์ เขาแสวงหานิมิตจากผู้เผยพระวจนะ แต่พระธรรมก็พินาศไปจากปุโรหิต และคำปรึกษาก็ปลาตไปจากพวกผู้ใหญ่
27 พระราชาก็ไว้ทุกข์ และเจ้านายก็คลุมกายด้วยความทอดอาลัย และมือของราษฎรก็สั่นเทา เราจะกระทำแก่เขาตามทางของเขา และเราจะพิพากษาเขาตามหลักการพิพากษาของเขา และเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า"
เอเสเคียล 8
1 เมื่อวันที่ห้า เดือนที่หก ในปีที่หก ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในเรือนของข้าพเจ้า และพวกผู้ใหญ่ของพวกยูดาห์นั่งอยู่หน้าข้าพเจ้า พระหัตถ์ของพระเจ้าลงมาบนข้าพเจ้าณที่นั้น
2 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู และนี่แน่ะ มีสัณฐานดังชายคนหนึ่ง เบื้องล่างของส่วนที่มองเห็นเป็นเอวนั้นเป็นไฟ เหนือเอวขึ้นไปเหมือนความสุกปลั่งประหนึ่งทองสัมฤทธิ์ ที่แวบวาบ
3 ท่านยื่นส่วนที่มีสัณฐานเป็นมือนั้นออกมาจับผมของ ข้าพเจ้าปอยหนึ่ง และพระวิญญาณได้ยกข้าพเจ้าขึ้นระหว่างพิภพและสวรรค์ และนำข้าพเจ้ามาถึงเยรูซาเล็มในนิมิตของพระเจ้า มายังทางเข้าประตูด้านเหนือของลานชั้นใน ซึ่งเป็นที่ตั้งรูปของความหวงแหน ซึ่งกระทำให้บังเกิดความหวงแหน
4 ดูเถิด พระสิริของพระเจ้าของอิสราเอลก็อยู่ที่นั่น เหมือนอย่างนิมิตที่ข้าพเจ้าได้เห็นในที่ราบ
5 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย บัดนี้จงเงยหน้าขึ้นไปดูทางทิศเหนือ" ข้าพเจ้าจึงเงยหน้าขึ้นมองไปดูทางทิศเหนือ และดูเถิด ทางทิศเหนือของประตูแท่นบูชาในทางเข้า รูปความหวงแหนนี้อยู่ที่นั่น
6 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเขาทำอะไรอยู่ คือการลามกอันยิ่งใหญ่ ซึ่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลกระทำกันอยู่ที่นี่ อันที่จะให้เราไปไกลจากสถานนมัสการของเรา แต่เจ้ายังจะได้เห็นการลามกยิ่งใหญ่กว่านี้อีก"
7 และพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงประตูลาน และเมื่อข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด ก็เห็นช่องหนึ่งอยู่ในกำแพง
8 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเจาะเข้าไปในกำแพง" และเมื่อข้าพเจ้าได้เจาะเข้าไปในกำแพงแล้ว นี่แน่ะ มีประตูอยู่ประตูหนึ่ง
9 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "เข้าไปซี ไปดูการลามกอย่างร้ายแรงซึ่งเขากระทำที่นี่"
10 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเข้าไปและได้เห็น ดูเถิด เป็นภาพบนผนังโดยรอบ มีสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด และสัตว์ที่น่าเกลียดและรูปเคารพทั้งสิ้นของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
11 และมีพวกผู้ใหญ่แห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลเจ็ดสิบคน ยืนอยู่ข้างหน้ารูปเหล่านั้น และมียาอาซันยาห์บุตรชาฟานยืนอยู่ในหมู่พวกเขาทั้งหลาย ต่างก็มีกระถางไฟอยู่ในมือและควันหอมแห่งเครื่องบูชา ก็ขึ้นไปข้างบน
12 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าได้เห็นแล้วมิใช่หรือว่าพวกผู้ใหญ่ของ พงศ์พันธุ์อิสราเอลกระทำอะไรอยู่ในที่มืด ทุกคนต่างก็อยู่ในห้องรูปภาพของตน เพราะเขาทั้งหลายพูดว่า 'พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นเรา พระเจ้าทรงทอดทิ้งแผ่นดินนี้เสียแล้ว'"
13 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าด้วยว่า "เจ้ายังจะเห็นการลามกซึ่งเขากระทำยิ่งกว่านี้อีก"
14 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถึงทางเข้าประตู พระนิเวศของพระเจ้าด้านเหนือ และดูเถิด ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนนั่งร้องไห้อาลัยเจ้าพ่อทัมมุส แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า
15 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วหรือ เจ้ายังจะเห็นการลามกยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้อีก"
16 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าเข้ามาในลาน ชั้นในแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ดูเถิด ตรงประตูพระวิหารของพระเจ้า ระหว่างมุขและแท่นบูชา มีชายประมาณยี่สิบห้าคนหันหลังให้พระวิหารแห่งพระเจ้า หน้าของเขาหันไปทางทิศตะวันออก กำลังนมัสการพระอาทิตย์ตรงทิศตะวันออกนั้น
17 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วหรือที่พงศ์พันธุ์ยูดาห์กระทำการลามก ซึ่งเขากระทำอยู่ที่นี่ เป็นสิ่งเล็กน้อยหรือ เขาจึงกระทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความทารุณและ กระทำให้เรากริ้วยิ่งขึ้น นี่แน่ะ เขาทั้งหลายเอากิ่งไม้มาแตะจมูกของเขา
18 เพราะฉะนั้นเราจะกระทำด้วยความพิโรธ นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี และเราจะไม่สงสารแม้ว่าเขาจะร้องด้วยเสียง อันดังใส่หูของเรา เราจะไม่ฟังเขา"
เอเสเคียล 9
1 แล้วพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงดังเข้าหูข้าพเจ้าว่า "เจ้าทั้งหลายผู้เป็นพนักงานทำโทษประจำเมือง จงเข้ามาใกล้ ให้ต่างคนถือเครื่องมือทำลายมาด้วย"
2 และดูเถิด มีชายหกคนเข้ามาจากทางประตูบน ซึ่งหันหน้าไปทางเหนือ ทุกคนถือเครื่องมือสำหรับฆ่ามา มีชายคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าป่านหนีบหีบเครื่องเขียนมา กับคนเหล่านั้นด้วย และเขาทั้งหลายเข้าไปยืนอยู่ที่ข้างแท่นทองสัมฤทธิ์
3 พระสิริของพระเจ้าของอิสราเอลได้เหาะขึ้นไป จากเครูบ แล้วซึ่งเป็นที่เคยสถิต ไปยังธรณีประตูพระนิเวศ และพระองค์ตรัสเรียกชายผู้ที่นุ่งห่มผ้าป่าน ผู้ที่หนีบหีบเครื่องเขียน
4 และพระเจ้าตรัสสั่งเขาว่า "จงไปตลอดนครคือตลอดเยรูซาเล็ม และทำเครื่องหมายไว้ที่หน้าผากของประชาชนที่ถอนหายใจและคร่ำครวญ เพราะความลามกทั้งสิ้นที่กระทำกันในเมือง"
5 และพระเจ้าตรัสกับคนอื่นๆซึ่งข้าพเจ้าได้ยินว่า "จงผ่านไปตลอดนครตามชายคนนั้นไปและฆ่าฟันเสีย นัยน์ตาของเจ้าอย่าได้ปรานี และเจ้าอย่าสงสารเลย
6 จงฆ่าให้ตายทั้งคนแก่ คนหนุ่มๆสาวๆ ทั้งเด็กๆ และผู้หญิง แต่อย่าแตะต้องผู้ที่มีเครื่องหมาย และจงเริ่มต้นที่สถานนมัสการของเรา" ดังนั้นเขาจึงตั้งต้นกับพวกคนแก่ผู้ซึ่งอยู่หน้าพระนิเวศนั้น
7 แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงกระทำให้พระนิเวศเป็นมลทิน จงทิ้งผู้ที่ถูกฆ่าให้เต็มลาน จงไปเถิด" เขาทั้งหลายจึงออกไปและฆ่าฟันที่ในนคร
8 ขณะที่เขากำลังฆ่าฟันอยู่นั้นเหลือข้าพเจ้าแต่ลำพัง ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดินร้องว่า "อนิจจาพระเจ้า พระองค์จะทรงทำลายคนอิสราเอลที่เหลืออยู่นั้นทั้งสิ้น ในการที่พระองค์ทรงระบายความกริ้วของพระองค์เหนือ เยรูซาเล็มหรือ"
9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ใหญ่ยิ่งนัก แผ่นดินก็เต็มไปด้วยโลหิตและความอยุติธรรมก็เต็มนคร เพราะเขากล่าวว่า 'พระเจ้าทรงทอดทิ้งแผ่นดินนี้แล้ว และพระเจ้าไม่ทอดพระเนตรอีก'
10 สำหรับเรา นัยน์ตาของเราจะไม่ปรานี และเราจะไม่สงสาร แต่เราจะลงทัณฑ์ตามการประพฤติของเขาเหนือ ศีรษะของเขาทั้งหลาย"
11 และดูเถิด ชายคนที่นุ่งห่มผ้าป่านหนีบหีบนั้น ได้นำถ้อยคำกลับมากล่าวว่า "ข้าพระองค์ได้กระทำตามที่พระองค์ทรง บัญชาข้าพระองค์ไว้นั้นแล้ว"
เอเสเคียล 10
1 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู ดูเถิด ที่ท้องฟ้าซึ่งอยู่เหนือศีรษะของเหล่าเครูบ มีอะไรปรากฏขึ้นเหนือเครูบนั้นเหมือนไพฑูรย์ มีสัณฐานคล้ายพระที่นั่ง
2 และพระองค์ตรัสกับชายที่นุ่งห่มผ้าป่านว่า "จงเข้าไปท่ามกลางวงล้อซึ่งอยู่ภายใต้เครูบ จงเอามือกอบถ่านคุจากท่ามกลางเหล่าเครูบ นำไปโปรยเหนือนครนั้น" และชายคนนั้นก็เข้าไปต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า
3 ฝ่ายเหล่าเครูบนั้นยืนที่ด้านใต้ของพระนิเวศ ขณะเมื่อชายคนนั้นเข้าไป และเมฆก็คลุมอยู่เต็มลานชั้นใน
4 และพระสิริของพระเจ้าก็ขึ้น จากเครูบไปยังธรณีประตูพระนิเวศ และพระนิเวศนั้นก็มีเมฆคลุมอยู่เต็ม และลานนั้นก็เต็มไปด้วยความสุกใสแห่งพระสิริของพระเจ้า
5 และเสียงปีกของเหล่าเครูบนั้นก็ได้ยินไปถึงลานชั้นนอก เหมือนพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อพระองค์ตรัส
6 และเมื่อพระองค์มีพระบัญชาสั่งชายที่นุ่งห่มผ้าป่านว่า "จงไปเอาไฟมาจากกลางวงล้อ และจากกลางเหล่าเครูบ" ชายคนนั้นก็เข้าไปยืนอยู่ข้างๆวงล้ออันหนึ่ง
7 เครูบตนหนึ่งได้ยื่นมือของตนออกมาระหว่างเหล่า เครูบไปยังไฟซึ่งอยู่ระหว่างเหล่าเครูบ หยิบไฟขึ้นมาบ้างและใส่มือของชายที่นุ่งห่มผ้าป่าน ชายนั้นก็นำไฟออกไป
8 ปรากฏว่าในเหล่าเครูบนั้นมีอะไรอยู่ใต้ปีกอย่างมือมนุษย์
9 และข้าพเจ้ามองดู ดูเถิด มีวงล้ออยู่สี่อันข้างๆเหล่าเครูบ อยู่ข้างเครูบตนละหนึ่งวงล้อ ลักษณะของวงล้อนั้นเหมือนแสงเพทาย
10 ลักษณะสัณฐานวงล้อทั้งสี่นั้นก็เหมือนกัน เหมือนวงล้อซ้อนในวงล้อ
11 เมื่อวงล้อนี้ไป ก็ไปได้ข้างหนึ่งข้างใดในข้างทั้งสี่ โดยไม่ต้องหันเลยในเวลาไป ถ้าอันหน้ามุ่งหน้าไปทางไหน วงล้ออันอื่นก็ตามไปโดยไม่ต้องหันในขณะที่ไป
12 และทั้งตัว ด้านหลัง มือ ปีก และวงล้อมีนัยน์ตาอยู่รอบ ทั้งสี่นั้นก็มีวงล้อของตัว
13 วงล้อเหล่านั้น ที่ข้าพเจ้าได้ยิน กับหูเขาเรียกว่า วงล้อกังหัน
14 มีหน้าสี่หน้าทั้งนั้น หน้าแรกเป็นหน้าเครูบ หน้าที่สองเป็นหน้ามนุษย์ และหน้าที่สามเป็นหน้าสิงห์ และที่สี่เป็นหน้านกอินทรี
15 และเหล่าเครูบก็เหาะขึ้น เป็นสัตว์ที่ข้าพเจ้าเคยเห็นอยู่ริมแม่น้ำเคบาร์
16 เมื่อเหล่าเครูบไป วงล้อก็ตามข้างไปด้วย และเมื่อเหล่าเครูบกางปีกออกเพื่อบินขึ้นจากพิภพ วงล้อเหล่านั้นก็ไม่หันไปจากข้างๆเหล่าเครูบเลย
17 เมื่อเหล่าเครูบหยุดนิ่งเหล่าวงล้อก็หยุดนิ่ง เมื่อเหล่าเครูบเหาะขึ้น เหล่าวงล้อก็เหาะขึ้นไปด้วยเพราะว่าวิญญาณของ สัตว์นั้นอยู่ในวงล้อ
18 แล้วพระสิริของพระเจ้าได้ไปจากธรณีประตูพระนิเวศ สถิตเหนือเหล่าเครูบ
19 เมื่อเหล่าเครูบออกไปก็กางปีกออกบินขึ้นไป จากพิภพต่อหน้าต่อตาข้าพเจ้า วงล้อก็ตามข้างไปด้วยและไปยืนอยู่ที่ทางเข้า ประตูด้านตะวันออกของพระนิเวศแห่งพระเจ้า และพระสิริของพระเจ้าของอิสราเอลก็อยู่เหนือ เครูบเหล่านั้น
20 เหล่านี้เป็นสัตว์ซึ่งข้าพเจ้าได้ เห็นภายใต้พระเจ้าแห่งอิสราเอลที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าทราบว่าเป็นเหล่าเครูบ
21 เครูบทุกตนมีสี่หน้าและสี่ปีก และภายใต้ปีกมีสัณฐานเหมือนมือมนุษย์
22 ส่วนสัณฐานของหน้าเหล่านั้น เป็นหน้าทั้งรูปทั้งตัว ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ เครูบทุกตนออกตรงไปข้างหน้าของตน
เอเสเคียล 11
1 พระวิญญาณได้ยกข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้ามายังประตูด้าน ตะวันออกของพระนิเวศแห่งพระเจ้า ซึ่งหันหน้าไปทิศตะวันออก ดูเถิด ที่ทางเข้าประตูมีผู้ชายอยู่ ยี่สิบห้าคนและท่ามกลางนั้น ข้าพเจ้าเห็นยาอาซันยาห์บุตรอัสซูร์ และเป-ลาทียาห์บุตรเปไนยาห์ เจ้านายแห่งประชาชน
2 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย คนเหล่านี้คือผู้ที่ออกอุบายทำความบาปผิด และเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ชั่วร้ายในนครนี้
3 ผู้กล่าวว่า 'เวลาที่จะปลูกบ้านยังไม่มาใกล้เลย นครนี้เป็นหม้อและเราเป็นเนื้อ'
4 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เพราะฉะนั้นจงเผยพระวจนะกล่าวโทษเขา จงเผยเถิด"
5 พระวิญญาณของพระเจ้าลงมาประทับบนข้าพเจ้า และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "จงกล่าวเถิดว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ยเจ้าคิดดังนั้น และเรารู้สิ่งที่เข้ามาในใจของเจ้า
6 เจ้าได้ทวีคนที่เจ้าได้ฆ่าในนครนี้ และทิ้งคนที่ถูกฆ่าเต็มตามถนนหนทางไปหมด
7 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า บรรดาผู้ที่เจ้าได้ฆ่า ซึ่งเจ้าได้ทิ้งไว้ท่ามกลางนครนี้เขาทั้งหลายเป็นเนื้อ และนครนี้เป็นหม้อ แต่เจ้าจะถูกนำออกมาจากท่ามกลางนั้น
8 พระเจ้าตรัสว่า เจ้ากลัวดาบ และเราจะนำดาบมาเหนือเจ้า
9 เราจะนำเจ้าออกมาจากท่ามกลางนั้น และมอบเจ้าไว้ในมือของคนต่างด้าวและ ทำการพิพากษาลงโทษเจ้า
10 เจ้าจะถูกดาบล้มลง เราจะลงโทษเจ้าที่พรมแดนอิสราเอล และเจ้าจะได้ทราบว่าเราคือพระเจ้า
11 นครนี้จะไม่ใช่หม้อของเจ้า ที่เจ้าจะเป็นเนื้อในท่ามกลางนั้น เราจะลงโทษเจ้าที่พรมแดนอิสราเอล
12 และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า เพราะเจ้ามิได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา หรือปฏิบัติตามกฎหมายของเรา แต่ได้ประพฤติ ตามกฎหมายของประชาชาติทั้งหลายที่อยู่รอบเจ้า"
13 อยู่มาเมื่อข้าพเจ้ากำลังเผยพระวจนะอยู่ ปาลิติยาห์บุตรเบไนยาห์ก็สิ้นชีวิต แล้วข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดินร้องเสียงดังว่า "พระเจ้า เจ้าข้า พระองค์จะทรงกระทำให้คนอิสราเอลที่เหลือ อยู่นั้นสิ้นสุดเลยทีเดียวหรือ พระเจ้าข้า"
14 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
15 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ยพี่น้องของเจ้า คือญาติที่มีสิทธิ์ไถ่คืนสิ้นทั้งพงศ์พันธุ์ อิสราเอลหมดด้วยกันคือบุคคลที่ชาว เยรูซาเล็มได้กล่าวว่า 'เขาทั้งหลายได้เหินห่างไป จากพระเจ้าแผ่นดินนี้ทรงมอบไว้แก่เราเป็นกรรมสิทธิ์'
16 เพราะฉะนั้นจงกล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า แม้เราจะได้ย้ายเขาให้ห่างออกไปอยู่ท่ามกลาง ประชาชาติทั้งหลาย แม้เราได้กระจายเขาไปอยู่ท่ามกลางประเทศทั้งปวง เราก็ยังเป็นสถานนมัสการของเขาขณะหนึ่งในประเทศ ที่เขาได้ไปอยู่'
17 เพราะฉะนั้นจงกล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะรวบรวมเจ้ามาจากชนชาติทั้งหลาย และชุมนุมเจ้าจากประเทศที่เจ้ากระจัดกระจายไปอยู่นั้น และเราจะมอบแผ่นดินอิสราเอลให้แก่เจ้า'
18 และเมื่อเขามาอยู่ที่นั่น เขาจะรื้อสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเมืองนั้นทั้งสิ้น และสิ่งลามกของเมืองนั้นทั้งสิ้นออกไปเสียจากที่นั่น
19 และเราจะให้จิตใจเดียวแก่เขา และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเขา เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเขา และให้ใจเนื้อแก่เขา
20 เพื่อเขาจะดำเนินตามกฎเกณฑ์ ของเราและรักษากฎหมายของเราและกระทำตาม เขาทั้งหลายจะเป็นประชาชนของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย
21 แต่บุคคลเหล่านั้นที่จิตใจของเขาดำเนินตามสิ่งที่น่า สะอิดสะเอียนและสิ่งลามกของเขาเราจะลงทัณฑ์ให้ สมกับการประพฤติของเขาเหนือศีรษะของเขาเอง พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
22 แล้วเหล่าเครูบก็กางปีกออก วงล้อก็อยู่ข้างๆ และพระสิริของพระเจ้าของอิสราเอลก็อยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น
23 พระสิริของพระเจ้าขึ้นไปจากกลางนคร ไปสถิตอยู่บนภูเขาซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของนครนั้น
24 และพระวิญญาณได้ยกข้าพเจ้าขึ้น นำข้าพเจ้ามาด้วยนิมิตโดยพระวิญญาณ ของพระเจ้าถึงเมืองเคลเดีย มาสู่พวกที่กวาดไปเป็นเชลย แล้วนิมิตที่ข้าพเจ้าได้เห็นนั้นก็ขึ้นไปจากข้าพเจ้า
25 ข้าพเจ้าจึงได้บอกถึงบรรดาสิ่งต่างๆ ซึ่งพระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าให้พวก ที่ถูกกวาดไปเป็นเชลยทราบ
เอเสเคียล 12
1 พระวจนะของพระเจ้า มาถึงข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ ผู้มีตาเพื่อดูแต่ดูไม่เห็น ผู้มีหูเพื่อฟัง แต่ฟังไม่ได้ยิน เพราะเขาทั้งหลายเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ
3 เพราะฉะนั้น บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงจัดเตรียมข้าวของสำหรับตนเพื่อการถูกกวาด ไปเป็นเชลย และจงไปเป็นเชลยในเวลากลางวันต่อหน้าต่อตาเขา เจ้าจะต้องไปเป็นเชลยจากสถานที่ของเจ้า ไปยังอีกที่หนึ่งต่อหน้าต่อตาเขา ชะรอยเขาจะเข้าใจแม้ว่าเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ
4 เจ้าจงนำข้าวของของเจ้าออกมากลางวันต่อหน้า ต่อตาเขา เหมือนข้าวของเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นเจ้าจงออกไปต่อหน้าต่อตาเขา ออกไปอย่างผู้ถูกกวาดไปเป็นเชลย
5 จงเจาะกำแพงต่อหน้าต่อตาเขา แล้วออกไปตามรูกำแพงนั้น
6 จงยกข้าวของใส่บ่าของเจ้าต่อหน้าต่อตาเขา แล้วแบกออกไปในเวลามืด เจ้าจงคลุมหน้าเสียอย่าให้เห็นแผ่นดิน เพราะเรากระทำเจ้าให้เป็นหมายสำคัญ แก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล"
7 ข้าพเจ้าก็กระทำตามที่ข้าพเจ้ารับบัญชามา ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในเวลากลางวัน เหมือนข้าวของเพื่อการถูกกวาดไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นข้าพเจ้าก็เจาะกำแพงด้วยมือของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าออกไปในเวลามืด แบกสัมภาระของข้าพเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเขา
8 ในเวลาเช้า พระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า
9 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอลคือพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏนั้น ได้พูดกับเจ้ามิใช่หรือว่า 'เจ้าทำอะไร'
10 จงกล่าวแก่เขาว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ครุวาทเกี่ยวกับเจ้านายคนนั้นในเยรูซาเล็ม และพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดซึ่งอยู่ในนครนั้น'
11 จงกล่าวว่า 'ข้าพเจ้าเป็นหมายสำคัญสำหรับท่าน ที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้ เขาทั้งหลายจะถูกกระทำอย่างเดียวกัน เขาจะถูกกวาดไปเป็นเชลย'
12 และเจ้านายคนนั้นผู้อยู่ท่ามกลางเขา จะยกข้าวของขึ้นใส่บ่าในเวลามืด และออกไป เขาทั้งหลายจะเจาะกำแพงและนำออกไปทางนั้น ท่านจะคลุมหน้าของท่าน เพื่อว่าท่านจะไม่แลเห็นแผ่นดินด้วยตาของท่านเอง
13 และเราจะกางข่ายของเราคลุมท่านและท่านจะ ติดกับของเราและเราจะนำท่านเข้าไปในบาบิโลน แผ่นดินของคนเคลเดีย ถึงกระนั้นท่านก็ยังแลไม่เห็นแผ่นดินนั้น และท่านจะต้องตายที่นั่น
14 บรรดาผู้ที่อยู่รอบท่านนั้น เราจะกระจายเขาไปตามลมทุกทิศานุทิศ รวมทั้งผู้ช่วยและกองทัพของท่านด้วย และเราจะชักดาบออกไล่ตามเขาไป
15 และเมื่อเราให้เขากระจัด พลัดพรายไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติ และกระจายเขาไปตามประเทศต่างๆ เขาจึงจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
16 แต่เราจะให้เขาบางคนพ้นจากดาบ จากการอดอยากและจากโรคระบาด เพื่อเขาจะได้เล่าการลามกทั้งสิ้นของเขา ท่ามกลางประชาชาติซึ่งเขาไปอยู่นั้น และเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า"
17 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าอีกว่า
18 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงรับประทานอาหาร ของเจ้าด้วยตัวสั่น และดื่มน้ำด้วยความสะทกสะท้านและด้วยความกลัว
19 และกล่าวแก่ราษฎรว่า พระเจ้าตรัสดังนี้เกี่ยวกับชาวเยรูซาเล็มใน แผ่นดินอิสราเอลว่า เขาจะรับประทานอาหารของเขาด้วยความกลัว และดื่มน้ำด้วยอกสั่นขวัญหายเพราะว่าสารพัดที่มี อยู่ในแผ่นดินของเขาจะต้องถูกริบไป เนื่องด้วยความทารุณของคนทั้งปวงที่อยู่ในแผ่นดินนั้น
20 และเมืองที่มีคนอาศัยอยู่จะเริศร้าง และแผ่นดินนั้นก็จะร้างเปล่าและเจ้าจะ ทราบว่าเราคือพระเจ้า"
21 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า
22 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย สุภาษิตซึ่งเจ้าทั้งหลายมีที่กล่าวถึงแผ่นดินอิสราเอลว่า 'วันนั้นก็ไกลออกไปและนิมิตทุกเรื่องก็เหลว' นั้น เจ้าหมายว่ากระไร
23 เพราะฉะนั้นจงบอกเขาว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะให้สุภาษิตบทนี้สิ้นสุดเสียที เขาจะไม่ใช้เป็นสุภาษิตอีกในอิสราเอล แต่จงกล่าวแก่เขาว่า วันนั้นก็ใกล้แค่คืบและนิมิตทุกเรื่องก็จะสำเร็จ
24 เพราะจะไม่มีนิมิตปลอมหรือคำทำนาย ประจบประแจงในพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีกเลย
25 แต่เราคือพระเจ้าจะพูดคำที่เราจะพูด และจะต้องเป็นไปตามคำนั้นจะไม่ล่าช้าต่อไปอีก แต่พระเจ้าตรัสว่า พงศ์พันธุ์ที่มักกบฏเอ๋ย ในสมัยของเจ้านี่แหละ เราจะลั่นวาจาและกระทำตามนั้น'"
26 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
27 "ดูเถิด บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์ของอิสราเอลกล่าวว่า 'นิมิตที่เขาเห็นเป็นเรื่องของอีกหลายวันข้างหน้า และเขาเผยพระวจนะถึงเวลาที่ห่างไกลโน้น'
28 เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่าบรรดาถ้อยคำของเราจะ ไม่ล่าช้าอีกต่อไปเลย แต่วาจาที่เราลั่นออกมานั้นจะต้องเป็นไปจริง พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
เอเสเคียล 13
1 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเผยพระวจนะกล่าวโทษผู้เผยพระวจนะของอิสราเอล จงเผยและกล่าวแก่คนเหล่านั้นที่เผยพระวจนะตาม อำเภอใจของตนว่า 'จงฟังพระวจนะของพระเจ้า'
3 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่ผู้เผยพระวจนะโฉดเขลา ผู้ติดตามวิญญาณของตนเองและไม่เคยได้เห็นอะไรเลย
4 อิสราเอลเอ๋ย ผู้เผยพระวจนะของเจ้าเหมือนสุนัขจิ้งจอกท่ามกลางสิ่งปรักหักพัง
5 เจ้าไม่ได้ขึ้นไปถึงที่ชำรุด และไม่ได้สร้างกำแพงเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพื่อให้ตั้งอยู่ได้ในสงครามในวันแห่งพระเจ้า
6 เขาทั้งหลายเห็นนิมิตเท็จและทำนายมุสา เขากล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสว่า' ในเมื่อพระเจ้ามิได้ทรงใช้เขาไป ถึงกระนั้นเขาก็ยังหวังที่จะให้สำเร็จตามถ้อยคำของเขา
7 เจ้าได้เคยเห็นนิมิตเท็จ และเคยทำนายมุสามิใช่หรือ ในเมื่อเจ้ากล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสว่า' ทั้งที่เรามิได้พูดเลย"
8 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "เพราะเจ้ากล่าวเท็จและได้เห็นนิมิตมุสา พระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า
9 มือของเราจะต่อสู้ผู้เผยพระวจนะ ผู้เห็นนิมิตเท็จและผู้ให้คำทำนายมุสา เขาจะไม่ได้เข้าอยู่ในสภาแห่งประชาชนของเรา หรือขึ้นทะเบียนอยู่ในทะเบียนของพงศ์พันธุ์อิสราเอล และเขาจะไม่ได้เข้าในแผ่นดินอิสราเอล และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
10 เพราะว่า เออ เพราะว่าเขาทั้งหลายได้นำประชาชนของเราให้หลง โดยกล่าวว่า 'สันติภาพ' เมื่อไม่มีสันติภาพเลย และเพราะว่าเมื่อมีคนสร้างกำแพง ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นก็ฉาบด้วยปูนขาว
11 จงกล่าวแก่ผู้ที่ฉาบปูนขาวนั้นว่า กำแพงนั้นจะพัง จะมีฝนตกท่วมลูกเห็บใหญ่จะตกลงมา และลมพายุจะเกิดขึ้น
12 นี่แน่ะ เมื่อกำแพงพังลงเขาจะไม่พูดกับท่านหรือว่า ปูนขาวที่เจ้าได้ฉาบนั้นอยู่ที่ไหนเล่า
13 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกระทำให้ลมพายุเกิดขึ้นด้วยความกริ้ว ของเราและด้วยความโกรธของเราจะมีฝนท่วม ด้วยความกริ้วของเราจะมีลูกเห็บใหญ่ทำลายเสีย
14 และเราจะพังกำแพงซึ่งเจ้าฉาบด้วยปูนขาวนั้น และให้พังลงถึงดิน รากกำแพงนั้นจึงจะปรากฏ เมื่อกำแพงพัง เจ้าทั้งหลายจะพินาศอยู่ที่กลางกำแพง และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
15 เราจะให้ความพิโรธของเรา สำเร็จบนกำแพงและบนคนเหล่านั้นที่ฉาบกำแพงด้วยปูนขาว และเราจะพูดกับเจ้าว่า กำแพงไม่มีอีกแล้ว ผู้ที่ฉาบปูนขาวก็ไม่มีด้วย
16 คือผู้เผยพระวจนะ อิสราเอลผู้เผยพระวจนะเกี่ยวถึงกรุงเยรูซาเล็ม และได้เห็นนิมิตแห่งสันติภาพของเมืองนั้นในเมื่อไม่มีสันติภาพ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
17 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงมุ่งหน้าต่อสู้บรรดาบุตรสาวแห่งชนชาติของเจ้า ผู้เผยพระวจนะตามความคิดของตนเอง จงเผยพระวจนะกล่าวโทษเขา
18 และกล่าวว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแห่งหญิงที่เย็บปลอกไสยศาสตร์สำหรับสวมข้อมือ และทำผ้าคลุมศีรษะให้คนทุกขนาด เพื่อล่าวิญญาณ เจ้าจะล่าวิญญาณซึ่งเป็นของประชากรของเรา และรักษาวิญญาณอื่นๆให้คงชีวิตอยู่เพื่อผลกำไรของเจ้าหรือ
19 เจ้าได้กระทำเราให้สาธารณ์ท่ามกลางประชากรของเรา ด้วยเห็นแก่ข้าวบารลีเป็นกำๆ และชิ้นขนมปังเท่านั้น คนที่ไม่ควรจะตาย เจ้าก็กระทำให้ตายเสีย คนที่ไม่ควรไว้ชีวิต เจ้าก็ไว้ชีวิตโดยเจ้ามุสาต่อประชากรที่ฟังคำมุสา
20 "ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราต่อสู้ปลอกไสยศาสตร์ของเจ้า ซึ่งเจ้าใช้ล่าวิญญาณอย่างล่านก และเราจะฉีกปลอกไสยศาสตร์นั้นเสียจากแขนของเจ้าทั้งหลาย และเราจะปล่อยวิญญาณเหล่านั้นไป คือวิญญาณที่เจ้าล่าอย่างล่านก
21 ผ้าคลุมของเจ้าเราก็จะฉีกเสียด้วย และช่วยกู้ประชากรของเราให้พ้นจากมือของเจ้า และเขาจะไม่เป็นเหยื่อในมือของเจ้าต่อไป และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
22 เพราะเจ้าได้กระทำให้คนชอบธรรมท้อใจด้วยการมุสา ทั้งที่เราไม่ได้กระทำให้เขาเศร้าใจเลย และเจ้าได้หนุนใจคนอธรรม เพื่อมิให้เขาหันกลับจากทางอธรรมของเขา จะได้รักษาชีวิตของเขาไว้
23 เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้เห็นนิมิตที่หลอกลวงหรือ กระทำการทำนายอีก เราจะช่วยกู้ประชากรของเราให้พ้นจากมือของเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า"
เอเสเคียล 14
1 พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลบางคนมาหาข้าพเจ้า และมานั่งอยู่หน้าข้าพเจ้า
2 และพระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า
3 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย คนเหล่านี้ได้ยึดเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำบาปผิดไว้ข้างหน้าเขา ควรที่เราจะยอมตัวให้เขาถามเราหรือ
4 เพราะฉะนั้น จงพูดกับเขาและกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า คนใดในพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำบาปผิดไว้ข้างหน้าเขา และยังมาหาผู้เผยพระวจนะ เราคือพระเจ้าจะตอบเขาเองด้วยเรื่องรูปเคารพ มากมายของเขานั้น
5 เพื่อเราจะได้ยึดจิตใจของพงศ์พันธุ์อิสราเอล ผู้เหินห่างไปจากเราทุกคนด้วยเรื่องรูปเคารพของเขา
6 "เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงกลับใจและหันกลับจากรูปเคารพของเจ้าเสีย และจงหันหน้าของเจ้าเสียจากสิ่งลามกของเจ้า
7 เพราะว่าคนใดในพงศ์พันธุ์อิสราเอล หรือแขกเมืองคนใดที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล ผู้ซึ่งแยกตัวเขาจากเรา ยึดเอารูปเคารพของเขาไว้ในใจของเขา และวางสิ่งที่สะดุดให้ทำบาปผิดไว้ตรงหน้าของเขา แล้วยังจะมาหาผู้เผยพระวจนะเพื่อขอถามจาก เราเพื่อประโยชน์ของเขา เราคือพระเจ้าจะตอบเขาเอง
8 และเราจะมุ่งหน้าของเราต่อสู้คนนั้น เราจะทำให้เขาเป็นหมายสำคัญและเป็นขี้ปาก และกำจัดเขาเสียจากท่ามกลางประชากรของเรา และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
9 และถ้าผู้เผยพระวจนะถูกหลอกลวงกล่าวคำหนึ่งคำใด เราคือพระเจ้าได้ลวงผู้เผยพระวจนะคนนั้นและ เราจะเหยียดมือของเราออกต่อสู้เขา และจะทำลายเขาเสียจากท่ามกลางอิสราเอล ประชากรของเรา
10 เขาทั้งหลายจะต้องทนรับโทษของเขา (โทษของผู้เผยพระวจนะและโทษของผู้ขอถามจะเหมือนกัน)
11 เพื่อว่าพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่หลงเจิ่นไปจากเราอีก หรือไม่กระทำตัวให้มลทินด้วยการทรยศของตนอีก แต่เขาทั้งหลายจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้"
12 และพระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า
13 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เมื่อแผ่นดินกระทำบาปต่อเราโดยประพฤติทรยศ และเราเหยียดมือของเราออกต่อสู้แผ่นดินนั้น และทำลายอาหารหลักเสีย และส่งการกันดารอาหารมาที่แผ่นดินนั้น และทำลายมนุษย์และสัตว์เสียจากแผ่นดินนั้น
14 ถึงแม้ว่ามนุษย์ทั้งสามนี้ คือโนอาห์ ดาเนียลและโยบ อยู่ในแผ่นดินนั้น เขาก็จะกู้เอาแต่ชีวิตของตนเท่านั้นออกมา ด้วยความชอบธรรมของเขาพระเจ้าตรัสดังนี้
15 ถ้าเรากระทำให้สัตว์ร้ายผ่านเข้าแผ่นดินนั้น และสัตว์เหล่านั้นทำให้คนหมดไป ให้เป็นที่ร้างเปล่า จนมนุษย์ผ่านเข้าไปไม่ได้เพราะสัตว์ป่านั้น
16 พระเจ้าตรัสว่าเรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด แม้ว่า บุรุษทั้งสามอยู่ในแผ่นดินนั้น เขาทั้งหลายจะช่วยบุตรทั้งชายหญิงให้รอดไม่ได้ เฉพาะตัวเขาเองจะรอดไปได้ แต่แผ่นดินนั้นจะร้างเปล่า
17 หรือถ้าเรานำดาบมายังแผ่นดินนั้น และกล่าวว่า ให้ดาบผ่านข้ามแผ่นดินนั้น เราจะทำลายมนุษย์และสัตว์เสียจากแผ่นดินนั้น
18 พระเจ้าตรัสว่า แม้บุรุษทั้งสามจะอยู่ในนั้น เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เขาทั้งหลายจะช่วยบุตรทั้งชายหญิงให้รอดไม่ได้ เฉพาะตัวเขาเองจะรอดไปได้
19 หรือถ้าเราส่งโรคระบาดเข้ามาในแผ่นดินนั้น และระบายความกริ้วของเราออกเหนือเมืองนั้นด้วยโลหิต เพื่อกำจัดมนุษย์และสัตว์จากแผ่นดินนั้นเสีย
20 ถึงแม้ว่าโนอาห์ ดาเนียลและโยบอยู่ในแผ่นดินนั้น พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เขาทั้งหลายจะช่วยบุตรทั้งชายหญิงให้รอดไม่ได้ เขาจะช่วยเฉพาะชีวิตของเขาไว้ได้ด้วยความชอบธรรมของเขา
21 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จะร้ายแรงยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด เมื่อเราส่งภัยแห่งการพิพากษาทั้งสี่ประการ ของเรามาเหนือเยรูซาเล็ม คือดาบ การกันดารอาหาร สัตว์ร้ายและโรคระบาด เพื่อกำจัดมนุษย์และสัตว์เสียจากเมืองนั้น
22 ดูเถิด แม้จะมีคนรอดตายเหลืออยู่ในนครนั้น นำเอาบุตรชายและบุตรหญิงทั้งหลายของเขาออกมา เมื่อเขาทั้งหลายออกมาหาเจ้าและเจ้าได้เห็น ทางและการกระทำของเขา เจ้าจะเบาใจในเรื่องการร้าย ซึ่งเราได้นำมาเหนือเยรูซาเล็ม อันได้นำมาเหนือนครนั้น
23 คนเหล่านั้นจะทำให้เจ้าเบาใจ เมื่อเจ้าได้เห็นทางและการกระทำทั้งหลายของเขาแล้ว และเจ้าจะทราบว่า เรามิได้กระทำบรรดาสิ่งที่เราได้กระทำไว้แล้วใน นครนั้นด้วยปราศจากเหตุผล พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
เอเสเคียล 15
1 พระวจนะของพระเจ้ามาถึงข้าพเจ้าอีกว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ไม้ต้นองุ่น คือไม้กิ่งองุ่นซึ่งอยู่ในหมู่พวกไม้ป่า วิเศษกว่าไม้อย่างอื่นหรือ
3 เขาเอาไม้ต้นองุ่นไปทำอะไรบ้างหรือ คนเอาไปทำขอสำหรับแขวนภาชนะอันใดหรือ
4 ดูเถิด เขาใช้เป็นฟืนใส่ไฟเมื่อไฟไหม้ปลายทั้งสองแล้ว กลางก็เป็นถ่าน จะใช้ประโยชน์อะไรได้หรือ
5 ดูเถิด เมื่อมันยังดีอยู่ก็มิได้ใช้ประโยชน์อะไร เมื่อถูกไฟไหม้เป็นถ่านแล้วยิ่งมีประโยชน์น้อยลง จะใช้ทำอะไรได้บ้างเล่า
6 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า ไม้ต้นองุ่นซึ่งอยู่ท่ามกลางไม้ป่า เราทิ้งให้มันเป็นฟืนใส่ไฟเสียฉันใด เราจะทิ้งชาวเยรูซาเล็มฉันนั้น
7 เราจะมุ่งหน้าของเราต่อสู้เขา แม้ว่าเขาจะหนีออกจากไฟ ไฟก็ยังจะเผาผลาญเขา และเมื่อเรามุ่งหน้าของเราต่อสู้เขา เจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้า
8 พระเจ้าตรัสว่า เราจะกระทำให้แผ่นดินนั้นร้างเปล่า เพราะเขาได้ประพฤติทรยศ
เอเสเคียล 16
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าอีกว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงให้เยรูซาเล็มทราบถึงความลามกของตัว
3 และกล่าวว่า พระเจ้าตรัสอย่างนี้แก่เยรูซาเล็มว่า ดั้งเดิมและกำเนิดของเจ้าเป็นแผ่นดินของคนคานาอัน พ่อของเจ้าเป็นคนอาโมไรต์ และแม่ของเจ้าเป็นคนฮิตไทต์
4 พูดถึงกำเนิดของเจ้า ในวันที่เจ้าเกิดมานั้นเขามิได้ตัดสายสะดือ และเขาก็มิได้ล้างชำระเจ้า มิได้เอาเกลือถู มิได้เอาผ้าพันเจ้าไว้
5 ไม่มีตาสักดวงหนึ่งสงสารเจ้า ที่จะเมตตาเจ้าและกระทำสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า เจ้าถูกทอดทิ้งในพื้นทุ่งเพราะในวันที่เจ้า เกิดนั้นเจ้าเป็นที่รังเกียจ
6 "และเมื่อเราผ่านเจ้าไป เห็นเจ้าดิ้นกระแด่วๆอยู่ในกองโลหิตของเจ้า เราก็พูดกับเจ้าในกองโลหิตของเจ้าว่า 'จงมีชีวิตอยู่
7 และเติบโตขึ้น เราจะกระทำให้เจ้าเหมือนอย่างพืชในท้องนา' เจ้าก็เติบโตและสูงขึ้นจนเป็นสาวเต็มตัว ถันของเจ้าก็ก่อรูปขึ้นมา และขนของเจ้าก็งอก แต่เจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน
8 "และเมื่อเราผ่านเจ้าไปอีกครั้งหนึ่งและมองดูเจ้า ดูเถิด เจ้ามีอายุรู้จักรักแล้ว เราก็ขยายร่มปีกคลุมเจ้าและปกคลุม ความเปลือยเปล่าของเจ้าไว้ พระเจ้าตรัสว่า เออ เราก็ปฏิญาณและกระทำพันธสัญญากับเจ้า และเจ้าก็เป็นของเรา
9 และเราก็เอาเจ้าอาบน้ำ ล้างโลหิตเสียจากเจ้า และเจิมเจ้าด้วยน้ำมัน
10 เราแต่งตัวเจ้าด้วยเสื้อปัก และเอารองเท้าหนังทาฆัซสวมให้เจ้า เราพันเจ้าไว้ด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียด และคลุมเจ้าไว้ด้วยผ้าราคาแพง
11 เราแต่งตัวเจ้าด้วยเครื่องอาภรณ์ สวมกำไลมือให้เจ้า และสวมสร้อยคอให้เจ้า
12 เราเอาแหวนใส่จมูกเจ้า และใส่ตุ้มหูที่หูของเจ้า และสวมมงกุฎไว้บนศีรษะของเจ้า
13 เราก็ประดับเจ้าด้วยทองคำและเงิน และเสื้อผ้าของเจ้าก็เป็นผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าราคาแพงและผ้าปัก เจ้ากินยอดแป้ง น้ำผึ้ง และน้ำมัน เจ้างามเลิศทีเดียว และเจ้าเจริญขึ้นเป็นชั้นจ้าว
14 ชื่อเสียงของเจ้าก็ลือไปท่ามกลางประชาชาติ เพราะความงามของเจ้า ด้วยความงามนั้นก็สมบูรณ์ทีเดียวเนื่องจากความ สง่างามที่เราได้ทุ่มเทให้เจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
15 "แต่เจ้าวางใจในความงามของเจ้า และได้เล่นชู้เพราะชื่อเสียงของเจ้าไม่ว่าผู้ใดจะผ่านมา เจ้าก็ให้หลงระเริงไปด้วยการเล่นชู้ของเจ้า
16 เจ้าเอาเสื้อผ้าของเจ้าบ้าง และเจ้าได้สร้างบรรดาปูชนียสถานสูง ประดับอย่างหรูหรา แล้วก็เล่นชู้อยู่บนนั้น ไม่เคยมีเหมือนอย่างนี้ ต่อไปก็ไม่มีเหมือน
17 เจ้ายังเอาเครื่องรูปพรรณอันงามของเจ้า ซึ่งเป็นทองคำของเราและเงินของเรา ซึ่งเราได้ให้แก่เจ้า แล้วเจ้าสร้างเป็นรูปผู้ชายสำหรับเจ้า และเจ้าก็เล่นชู้อยู่กับรูปเหล่านั้น
18 เจ้าเอาเครื่องแต่งตัวที่ปักไปห่มรูปเหล่านั้นไว้ และวางน้ำมันและเครื่องหอมของเราไว้ข้างหน้ามัน
19 อาหารที่เราให้แก่เจ้าก็เหมือนกัน คือเราเลี้ยงเจ้าด้วยยอดแป้ง น้ำมันและน้ำผึ้ง เจ้าก็เอามาวางข้างหน้ามัน ให้เป็นกลิ่นหอมที่พึงใจ และก็เป็นอย่างนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
20 ยิ่งกว่านั้นอีก เจ้าได้นำบุตรชายของเจ้าและบุตรหญิงของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ให้บังเกิดมาเพื่อเราและเจ้าก็ได้ ถวายบูชาแก่มันเพื่อให้มันเผาผลาญ การเล่นชู้ของเจ้าเป็นสิ่งเล็กน้อยอยู่หรือ
21 เจ้าจึงได้ฆ่าลูกของเราถวายแก่รูปเหล่านั้น โดยให้ลุยไฟ
22 ตลอดความลามกของเจ้าและการเล่นชู้ของเจ้า เจ้ามิได้จดจำวันที่เจ้ายังเด็กอยู่ เมื่อเจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อนดิ้นกระแด่วๆ อยู่ในกองเลือดของเจ้า
23 "ภายหลังจากความชั่วร้ายทั้งสิ้นของเจ้า (พระเจ้าตรัสว่า วิบัติ วิบัติ แก่เจ้า)
24 เจ้าได้สร้างห้องหลังคาโค้งสำหรับตัว ลานเมืองทุกแห่งเจ้าก็สร้างสถานที่สูงสำหรับตัว
25 หัวถนนทุกแห่งเจ้าสร้างที่สูงของเจ้า และเอาความงามของเจ้ามาทำลามก อ้าขาของเจ้าให้ผู้ที่ผ่านไปมาไม่ว่าใคร และทวีการเล่นชู้ของเจ้า
26 เจ้าอย่าเล่นชู้กับคนอียิปต์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มักมากของเจ้า ทวีการเล่นชู้ของเจ้าเพื่อกระทำให้เรากริ้ว
27 ดูเถิด เราจึงเหยียดมือของเราออกต่อสู้ เจ้าและลดอาหารส่วนแบ่งของเจ้าลง และมอบเจ้าไว้ให้แก่ศัตรูของเจ้าให้เขากระทำตามใจชอบ คือบรรดาบุตรสาวคนฟีลิสเตีย ผู้ซึ่งละอายในความประพฤติอันแก่กามของเจ้า
28 เจ้ายังเล่นชู้กับคนอัสซีเรียด้วย เพราะว่าเจ้าไม่รู้จักอิ่ม เออ เจ้าเล่นชู้กับเขาทั้งหลาย ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังไม่อิ่มใจ
29 เจ้ายังทวีการเล่นชู้ของเจ้ากับ แผ่นดินพาณิชย์ของคนเคลเดีย ถึงแม้กับแผ่นดินนี้เจ้าก็ยังไม่อิ่มใจ
30 "พระเจ้าตรัสว่า แหมใจของเจ้าเป็นโรครักเสียจริงๆ ในเมื่อเจ้ากระทำสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นการกระทำ ของหญิงแพศยาไพร่ๆ
31 คือสร้างห้องหลังคาโค้งไว้ที่หัวถนนทุกแห่ง และสร้างสถานที่สูงของเจ้าไว้ตามลานเมืองทุกๆแห่ง ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังไม่เหมือนหญิงแพศยา เพราะเจ้าดูหมิ่นสินจ้าง
32 เป็นภรรยาที่แพศยาจัด ดูซิ ยอมรับรองแขกแปลกหน้าแทนที่จะรับรองสามี
33 ผู้ชายย่อมให้ของแก่หญิงแพศยา แต่เจ้ากลับให้สิ่งของแก่คนรักของเจ้า ให้สินบนชักให้เขาเข้ามาจากทุกด้าน เพื่อการเล่นชู้ของเจ้า
34 ฉะนั้นเจ้าจึงผิดกับหญิงอื่นในเรื่องการเล่นชู้ของเจ้า ไม่มีใครมาวิงวอนให้เล่นชู้ และเจ้ากลับให้สินจ้าง ขณะเมื่อไม่มีผู้ใดให้สินจ้างแก่เจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจึงแตกต่างกัน
35 "เหตุฉะนี้ อีแพศยาเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
36 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะความละอายของเจ้าก็แจ้งประจักษ์ และความเปลือยเปล่าของเจ้าก็เผยออก ในการเล่นชู้ของเจ้ากับคนรักของเจ้า และเพราะรูปเคารพลามกของเจ้าทั้งสิ้น และเพราะโลหิตลูกของเจ้าที่เจ้าถวายให้แก่มัน
37 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะรวบรวมคนรักของเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งเป็นผู้ที่เจ้าเพลิดเพลินด้วย ทุกคนที่เจ้ารัก และทุกคนที่เจ้าเกลียด เราจะรวบรวมเขาให้มาต่อสู้เจ้าจากทุกด้าน และจะเผยความเปลือยเปล่าของเจ้าต่อหน้าเขา เพื่อเขาจะได้เห็นความเปลือยเปล่าทั้งสิ้นของเจ้า
38 และเราจะพิพากษาเจ้าดังที่เขาพิพากษา หญิงที่ล่วงประเวณี และกระทำให้โลหิตตก และเราจะนำเอาโลหิตแห่งความกริ้ว และความหวงแหนมาเหนือเจ้า
39 และมอบเจ้าไว้ในมือชู้ของเจ้า เขาจะทำลายห้องหลังคาโค้งของเจ้าลง และทำลายสถานที่สูงของเจ้า เขาจะปลดเอาเสื้อผ้าของเจ้า และเอาเครื่องรูปพรรณอันงามของเจ้าไปเสีย ปล่อยให้เจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน
40 เขาทั้งหลายจะนำฝูงคนมาต่อสู้เจ้า และเขาจะขว้างเจ้าด้วยก้อนหินและฟันเจ้าด้วยดาบของเขา
41 และเขาจะเอาไฟเผาบ้านเรือนของเจ้าและทำการ พิพากษาลงโทษเจ้า ต่อหน้าผู้หญิงเป็นอันมาก เราจะกระทำให้เจ้าหยุดเล่นชู้ และเจ้าจะไม่ให้สินจ้างอีกต่อไป
42 เราจะระบายความกริ้วของเราใส่เจ้าให้หมด ความหวงแหนจะพรากจากเจ้าไป เราจะสงบและไม่กริ้วอีกเลย
43 เพราะว่าเจ้ามิได้ระลึกถึงวันเมื่อเจ้ายังเด็ก แต่ได้กระทำให้เรากริ้วจัดด้วยสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้นดูเถิด เราจะลงทัณฑ์ตามทางประพฤติของเจ้าเหนือศีรษะเจ้า "เจ้ามิได้ประพฤติตัวด้วยราคะเพิ่มเข้ากับความ ลามกทั้งสิ้นของเจ้าดอกหรือ
44 ดูเถิด ทุกคนที่ใช้สุภาษิตจะใช้สุภาษิตต่อไปนี้ในเรื่องเจ้า คือ 'แม่เป็นอย่างไร ลูกสาวก็เป็นอย่างนั้น'
45 เจ้าเป็นลูกสาวของแม่ของเจ้า ผู้เกลียดสามีและบุตรของตน เจ้าเป็นสาวคนกลางของพี่และน้องสาวของเจ้า ผู้เกลียดชังสามีและบุตรของตน แม่ของเจ้าเป็นคนฮิตไทต์ พ่อของเจ้าเป็นคนอาโมไรต์
46 และพี่สาวของเจ้าคือสะมาเรียผู้อยู่กับ บุตรสาวเหนือเจ้าขึ้นไป และน้องสาวของเจ้าผู้อยู่ข้างทิศใต้ของเจ้า คือโสโดมกับลูกสาวของเขา
47 ถึงกระนั้น เจ้าก็ยังไม่พอใจ ที่จะดำเนินในทางทั้งหลายของเขา หรือกระทำตามความลามกของเขา ภายในเวลาอันเล็กน้อยเจ้าก็ทรามกว่าใน บรรดาทางทั้งสิ้นของเจ้า
48 พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด โสโดมน้องสาวของเจ้ากับบุตรสาวของเขา ก็มิได้กระทำอย่างที่เจ้าและลูกสาวของเจ้าได้กระทำ
49 ดูเถิด นี่แหละเป็นความชั่วของโสโดมน้องสาวของเจ้า คือตัวเขาและลูกสาวของเขามีความจองหอง มีอาหารเหลือรับประทานและมีความสบายเกิน ไม่ช่วยเหลือคนยากจนและคนขัดสน
50 เขาเย่อหยิ่งและกระทำสิ่งลามกต่อหน้าเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นแล้ว เราจึงขจัดเขาเสีย
51 สะมาเรียไม่ได้ทำบาปถึงครึ่งของเจ้า เจ้าทำความลามกยิ่งกว่าเขาทั้งสอง และโดยความลามกทั้งสิ้นที่เจ้าทำนั้น จึงกระทำให้พี่และน้องสาวของเจ้าดูเหมือนชอบธรรม
52 เจ้าจงทนรับความอับอายขายหน้าด้วย เพราะเจ้าได้กระทำให้การพิพากษาเอนเอียง ไปทางพี่และน้องสาวของเจ้า เขาถูกมากกว่าเจ้า เพราะบาปของเจ้าซึ่งเจ้าได้ทำ ลามกยิ่งกว่าเขาไปอีก เออ เจ้าจงละอายด้วย และจงทนรับความอับอายขายหน้าของเจ้า เพราะเจ้าได้กระทำให้พี่และน้องสาวของ เจ้าดูเหมือนชอบธรรม
53 "เราจะให้เขากลับสู่สภาพเดิม ทั้งสภาพเดิมของโสโดมและบุตรสาว และสภาพเดิมของสะมาเรียและบุตรสาว และเราจะให้กลับสู่สภาพเดิมของเจ้าท่ามกลางเขาด้วย
54 เพื่อเจ้าจะทนรับความอับอายขายหน้าของเจ้า และละอายสิ่งที่เจ้ากระทำแล้วทั้งสิ้นให้เป็นการ ปลอบใจแก่เขา
55 ส่วนพี่และน้องสาวของเจ้า โสโดมกับบุตรสาวของเขาจะได้กลับสู่ภาวะเดิมของตน และสะมาเรียกับบุตรสาวของตนจะกลับสู่ภาวะเดิมของตน ส่วนเจ้าและบุตรสาวของเจ้า จะกลับไปยังภาวะเดิมของเจ้า
56 ในสมัยที่เจ้าเย่อหยิ่งอยู่นั้น โสโดมน้องสาวของเจ้าเป็นความเย้ยหยันใน ปากของเจ้ามิใช่หรือ
57 คือก่อนความชั่วร้ายของเจ้าจะได้เผยออก บัดนี้เจ้ากลายเป็นเหมือนเขาแล้ว เป็นสิ่งที่น่าตำหนิแก่บุตรสาวของโสโดม และเพื่อนบ้านทั้งสิ้นของเขา และแก่บุตรสาวของฟีลิสเตีย คือผู้ที่อยู่ล้อมรอบซึ่งดูหมิ่นเจ้า
58 เจ้าต้องรับโทษราคะของเจ้าและความลามกของเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
59 "เออ พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกระทำแก่เจ้าอย่างที่เจ้าได้กระทำแล้วนั้น ผู้ดูหมิ่นคำสาบานและหักพันธสัญญา
60 ถึงกระนั้นเราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเรา ซึ่งเราทำไว้กับเจ้าในสมัยเมื่อเจ้ายังสาวอยู่ และเราจะสถาปนาพันธสัญญานิรันดร์ไว้กับเจ้า
61 แล้วเจ้าจะระลึกถึงทางของเจ้า และมีความละอาย เมื่อเจ้ารับทั้งพี่และน้องสาวของเจ้า และเรามอบให้แก่เจ้าเป็นบุตรสาว แต่ไม่ใช่ตามพันธสัญญาซึ่งทำไว้กับเจ้า
62 เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเราไว้กับเจ้า และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
63 เพื่อเจ้าจะจำได้และสนเท่ห์ และเพราะความละอายของเจ้า เจ้าจะไม่อ้าปากพูดอีก เมื่อเราลบมลทินบาปทุกสิ่งที่เจ้าได้กระทำมาแล้ว พระเจ้าตรัสดังนี้"
เอเสเคียล 17
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงยกปริศนาและกล่าวเป็นคำอุปมาแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล
3 ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า มีนกอินทรีมหึมาตัวหนึ่ง ปีกใหญ่และขนปีกก็ยาว มีขนมากมายหลายสี มายังเลบานอนและจิกยอดต้นสนสีดาร์
4 มันหักยอดกิ่งอ่อนแล้วก็คาบไปยังแผ่นดินพาณิชย์ และวางไว้ในหัวเมืองของพ่อค้าทั้งหลาย
5 แล้วมันก็เอาเมล็ดพืชแห่งแผ่นดินไปปลูกไว้ในที่ดินอุดม มันเอาเมล็ดไว้ข้างน้ำมากหลาย ตั้งไว้อย่างกับกิ่งต้นไค้น้ำ
6 เมล็ดก็งอกขึ้นมาและเติบโตขึ้นเป็นเถาองุ่นเตี้ย แผ่แขนงไพศาล แขนงทั้งหลายของต้นนี้ก็ทอดมายังตัวนกอินทรี และรากก็ยังคงอยู่ใต้มัน เมล็ดจึงบังเกิดเป็นเถา แตกแขนงสาขาและออกใบ
7 "แต่มีนกอินทรีตัวมหึมาอีกตัวหนึ่ง มีปีกใหญ่และมีขนมาก ดูเถิด องุ่นเถานั้นชอนรากมาหานกอินทรีตัวนี้และแตกแขนงตรงมาที่มัน เพื่อให้มันรดน้ำให้ จากร่องที่ปลูกอยู่นั้น
8 นกได้ย้ายมันไปปลูกไว้ในที่ดินดีใกล้น้ำมากหลาย เพื่อให้แตกแขนงและบังเกิดผล และเป็นเถาองุ่นที่มีเกียรติ
9 จงกล่าวว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เถานั้นจะเจริญขึ้นได้หรือ นกนั้นจะไม่ถอนรากมันขึ้นและเด็ดผลเพื่อให้ ใบอ่อนเหี่ยวแห้งเสียหรือ จะไม่ต้องมีแขนอันล่ำสันหรือประชาชนเป็นอัน มากเพื่อถอนเถาออกจากราก
10 ดูเถิด เมื่อมันย้ายไปปลูก เถานั้นก็งอกงามดีหรือ เมื่อลมทิศตะวันออกพัดถูกมันเข้า มันจะไม่เหี่ยวแห้งไปหรือ มันคงเหี่ยวแห้งไปถึงร่องที่มันเกิดมานั้นไม่ใช่หรือ"
11 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าอีกว่า
12 "บัดนี้จงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์ที่มักกบฏนั้นว่า ท่านทั้งหลายไม่ทราบหรือว่า สิ่งเหล่านี้มีความหมายว่ากระไร จงบอกเขาว่า ดูเถิด พระราชากรุงบาบิโลนได้มายังกรุงเยรูซาเล็มและ กวาดเอากษัตริย์และเจ้านายทั้งหลายพามายังพระราชา ที่กรุงบาบิโลน
13 และพระองค์ได้ทรงเอาเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งและทำ พันธสัญญากับท่านผู้นั้นให้เขาสาบานตัว (คนสำคัญๆของแผ่นดิน พระองค์ได้กวาดต้อนเอาไป
14 เพื่อว่าราชอาณาจักรนั้นจะต่ำต้อยยกตัวขึ้นอีกไม่ได้ และในการที่รักษาพันธสัญญา ของพระองค์จะคงยั่งยืนอยู่ได้)
15 แต่กษัตริย์ได้กบฏต่อพระองค์ โดยส่งราชทูตไปยังอียิปต์ ด้วยหวังว่าจะได้ม้าและกองทัพใหญ่โต กษัตริย์จะกระทำสำเร็จหรือ ผู้ที่กระทำเช่นนี้จะหนีไปรอดหรือ ถ้าท่านหักพันธสัญญายังจะรอดได้อีกหรือ
16 พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ท่านจะต้องตายในบาบิโลน ในที่ที่ พระราชาองค์นั้นประทับอยู่ คือพระราชาผู้ได้ทรงตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ และท่านได้ดูหมิ่นคำสาบานต่อพระองค์ และได้หักพันธสัญญาที่ทำไว้กับพระองค์
17 ฟาโรห์ประกอบด้วยกองทัพอันใหญ่โต และผู้คนมากมายจะไม่ช่วยท่านผู้นั้น ในการสงครามในเมื่อเขาก่อเชิงเทินและก่อกำแพง ล้อมเพื่อจะทำลายชีวิตเป็นอันมากเสีย
18 เพราะเหตุท่านดูหมิ่นคำสาบานและหักพันธสัญญา และเพราะท่านปฏิญาณตัวและยังกระทำสิ่งเหล่านี้ ท่านจึงจะหนีไปให้พ้นไม่ได้
19 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่ฉันใดเพราะคำปฎิญาณ ต่อเราที่เขาดูหมิ่นและพันธสัญญาของเราที่เขาหักเสีย เราจะลงทัณฑ์ให้ตกเหนือศีรษะของท่านผู้นั้น
20 เราจะกางข่ายของเราคลุมเขา และเขาจะติดกับของเราและเราจะนำเขาเข้าไปใน บาบิโลน และพิจารณาพิพากษาเขาที่นั่นในเรื่องที่เขาได้ทรยศต่อเรา
21 และกองทัพที่เขาได้เลือกสรรไว้นั้นจะล้มลงด้วยดาบ และผู้ที่รอดตายจะกระจายไปตามลมทุกทิศานุทิศ และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระเจ้าที่ได้ลั่นวาจาไว้แล้ว"
22 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "เราเองจะเอาแขนงจากยอดสูงของต้นสนสีดาร์และปลูกไว้ เราจะหักกิ่งอ่อนของมันออกเสีย และเราเองจะปลูกมันไว้บนภูเขายอดสูง
23 เราจะปลูกมันไว้บนภูเขาสูงของอิสราเอล เพื่อจะแตกกิ่งและบังเกิดผล และเป็นต้นสนสีดาร์ที่มีเกียรติ และนกทุกชนิดจะมาอาศัยอยู่ใต้มัน นกทุกอย่างจะมาทำรังอยู่ที่ร่มกิ่งของมัน
24 และต้นไม้ทุกต้นในทุ่งจะทราบว่า เราคือพระเจ้ากระทำต้นไม้สูงให้ต่ำลง และกระทำต้นไม้ต่ำให้สูงขึ้น ทำต้นไม้เขียวให้แห้งไป และทำต้นไม้แห้งให้งามสดชื่น เราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว เราจะกระทำเช่นนั้น"
เอเสเคียล 18
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าอีกว่า
2 "เจ้าทั้งหลายมีเจตนาอย่างไรในการ กล่าวสุภาษิตข้อนี้อันเกี่ยวกับแผ่นดินอิสราเอล ว่า 'พ่อรับประทานองุ่นเปรี้ยว และลูกก็เข็ดฟัน'
3 พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใดเจ้าทั้งหลาย จะไม่ใช้สุภาษิตนี้อีกในอิสราเอล
4 ดูเถิด ชีวิตทั้งสิ้นเป็นของเรา ชีวิตของบิดาเป็นของเราฉันใด ชีวิตของบุตรก็เป็นของเราฉันนั้น ชีวิตใดทำบาปก็จะตาย
5 "ถ้าคนใดชอบธรรมและกระทำความยุติธรรม และความชอบธรรม
6 ถ้าคนนั้นมิได้รับประทานที่บนภูเขา หรือเงยหน้าขึ้นนมัสการรูปเคารพแห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอล มิได้กระทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านมลทิน หรือเข้าใกล้ผู้หญิงในเวลาที่เธอมีมลทินประจำเดือน
7 มิได้บีบบังคับผู้หนึ่งผู้ใด แต่คืนของประกันให้แก่ลูกหนี้ ไม่เคยลักทรัพย์ให้อาหารของเขาแก่ผู้ที่หิว และให้เสื้อผ้าคลุมกายที่เปลือย
8 มิได้ให้เขายืมเพื่อหาดอกเบี้ยหรือมิได้รับเงินเพิ่ม หดมือไว้ไม่กระทำความชั่ว กระทำความยุติธรรมอันแท้จริงระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน
9 ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และระวังที่จะกระทำตามกฎหมายของเรา คนนั้นเป็นคนชอบธรรม เขาจะมีชีวิตดำรงอยู่แน่ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
10 "ถ้าเขามีบุตรเป็นโจร ผู้กระทำให้โลหิตตก ผู้ได้กระทำสิ่งเหล่านี้สิ่งเดียวแก่พี่น้อง
11 ผู้มิได้กระทำตามหน้าที่เหล่านี้ แต่รับประทานบนภูเขา กระทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านมลทิน
12 บีบบังคับคนจนและคนขัดสน กระทำโจรกรรม ไม่ยอมคืนของที่ประกัน เงยหน้าขึ้นนมัสการรูปเคารพ และกระทำการลามกต่างๆ
13 ให้ยืมด้วยหาดอกเบี้ยและหาเงินเพิ่ม เขาควรจะมีชีวิตต่อไปหรือ เขาจะไม่มีชีวิตอยู่ เขาได้กระทำสิ่งลามกเหล่านี้แล้ว เขาจะต้องตายแน่ ที่เขาต้องตายนั้นเขาเองก็รับผิดชอบ
14 "แต่ นี่แน่ะ ถ้าชายคนนี้มีบุตรผู้แลเห็นบาปทั้งสิ้น ซึ่งบิดาของเขาได้กระทำ และบังเกิดความกลัวและมิได้กระทำตาม
15 มิได้รับประทานบนภูเขาหรือเงยหน้า ขึ้นนมัสการรูปเคารพแห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอล มิได้กระทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านมลทิน
16 มิได้กระทำผิดต่อผู้ใด ไม่เรียกร้องของประกัน ไม่กระทำโจรกรรม แต่ให้อาหารแก่ผู้หิว และให้เสื้อผ้าคลุมกายที่เปลือย
17 หดมือไว้มิได้เบียดเบียนคนยากจน ไม่เรียกดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่ม กระทำตามกฎหมายทั้งหลายของเรา และดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา เขาจะไม่ตายเพราะความบาปชั่วของบิดาเขา เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่นอน
18 ส่วนบิดาของเขา เพราะเป็นคนหาเงินด้วยการบีบบังคับ กระทำโจรกรรมต่อพี่น้องของตน กระทำความไม่ดีใน ท่ามกลางชนชาติของเขา ดูเถิด เขาก็จะต้องตายเพราะความบาปชั่วของเขา
19 "แต่เจ้ายังกล่าวว่า 'ทำไมบุตรจึงไม่สมควรรับโทษความชั่วของบิดาตน' เมื่อบุตรได้กระทำความยุติธรรมและความชอบธรรมแล้ว และได้รักษากฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของเรา และประพฤติตาม เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่นอน
20 ชีวิตที่กระทำบาปจะต้องตาย บุตรไม่ต้องรับโทษความชั่วของบิดา บิดาก็ไม่ต้องรับโทษความชั่วของบุตร คนชอบธรรมจะรับกรรมชอบของตัว และคนอธรรมจะรับกรรมชั่วของตน
21 "แต่ถ้าคนอธรรมคนใดหันกลับเสีย จากบาปซึ่งเขาได้กระทำไปแล้วและรักษา กฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของเรา และกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่นอน เขาไม่ต้องตาย
22 การทรยศใดๆ ซึ่งเขาได้กระทำแล้วนั้นจะมิได้จดจำไว้เพื่อเอาโทษเขา เขาจะมีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรมที่เขาได้กระทำไป
23 พระเจ้าตรัสว่า เรามีความพอใจในความตายของคนอธรรมหรือ แต่เราพอใจให้เขากลับจากความชั่วของเขา และมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ
24 แต่เมื่อคนชอบธรรมหันกลับจากความชอบธรรมของตัว และกระทำความบาปชั่ว และกระทำสิ่งลามกเช่นเดียวกับที่คนอธรรมได้กระทำ ผู้นั้นสมควรจะมีชีวิตอยู่หรือ การชอบธรรมซึ่งเขาได้กระทำ มาแล้วนั้นจะมิได้จดจำไว้อีกเลย เขาจะต้องตายด้วยความทรยศ ซึ่งเขาได้กระทำไว้และบาปซึ่งเขาได้กระทำไป เขาจะต้องตาย
25 "แต่เจ้ายังกล่าวว่า 'วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม' โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถอะ วิธีการของเราไม่ยุติธรรมหรือ วิธีการของเจ้ามิใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม'
26 เมื่อคนชอบธรรมหันกลับจากความ ชอบธรรมของเขาและกระทำความชั่ว เขาจะต้องตายเพราะการนั้น เขาจะต้องตายด้วยเหตุความบาปชั่วที่เขาได้กระทำ
27 และเมื่อคนอธรรมหันกลับจากความอธรรมที่ตนกระทำไป และกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาก็ได้ช่วยชีวิตของเขาเองไว้
28 เพราะเขาได้ตรึกตรองและหันกลับจาก การทรยศซึ่งเขาได้กระทำไป เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่นอน เขาไม่ต้องตาย
29 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลกล่าวว่า 'วิธีการขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม' โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย วิธีการของเราไม่ยุติธรรมหรือ วิธีการของเจ้ามิใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม
30 "พระเจ้าตรัสว่า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เพราะฉะนั้นเราจะพิพากษาเจ้าทุกคนตามทางประพฤติ ของคนนั้นๆ จงกลับใจและหันกลับเสียจากการกบฏทั้งสิ้นของเจ้า เกรงว่าความบาปชั่วของเจ้าจะเป็นสิ่งสะดุดให้เจ้าพินาศ
31 จงละทิ้งการกบฏทั้งสิ้นซึ่งเจ้าได้กบฏต่อเรา จงทำตัวให้มีจิตใจใหม่และวิญญาณใหม่ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะตายเสียทำไมเล่า
32 พระเจ้าตรัสว่า เราไม่มีความพอใจในความตายของผู้หนึ่งผู้ใดเลย จงหันกลับและดำรงชีวิตอยู่"
เอเสเคียล 19
1 ฝ่ายเจ้าจงเปล่งเสียงร้องบทคร่ำครวญ เรื่องเจ้านายอิสราเอล
2 กล่าวว่า มารดาของเจ้าเหมือนแม่สิงห์ท่ามกลางสิงห์เสียจริงๆ เธอนอนอยู่กลางสิงห์หนุ่ม เลี้ยงดูลูกของเธอ
3 เธอเลี้ยงลูกสิงห์ตัวหนึ่งให้เติบโตขึ้น กลายเป็นสิงห์หนุ่ม มันฝึกหัดจับเหยื่อ และมันกินคน
4 ประชาชาติได้ยินเรื่องของมัน เขาก็จับมันได้ในหลุมพรางของเขา เขาเอาขอเกี่ยวนำมันมา ยังแผ่นดินอียิปต์
5 เมื่อแม่สิงห์เห็นว่าเธอคอยนานแล้ว และความหวังของเธอศูนย์ไป เธอก็เอาลูกมาอีกตัวหนึ่ง เลี้ยงให้เป็นสิงห์หนุ่ม
6 มันไปๆมาๆท่ามกลางสิงห์ และกลายเป็นสิงห์หนุ่ม และมันฝึกหัดจับเหยื่อ มันกินคน
7 มันปล้นบรรดาป้อมปราการของเขา และกระทำให้เมืองทั้งหลายของเขาว่างเปล่า แผ่นดินและผู้ที่อยู่ในแผ่นดินนั้นก็ครั่นคร้าม เมื่อได้ยินเสียงคำรามของมัน
8 แล้วบรรดาประชาชาติก็ล้อมต่อสู้มัน ทุกด้านจากแว่นแคว้นทั้งปวง เขาทั้งหลายกางข่ายออกคลุมมัน มันก็ถูกจับอยู่ในหลุมพรางของเขาทั้งหลาย
9 เขาเอาขอเกี่ยวพามาขังมันไว้ในกรง และนำมันมายังกษัตริย์บาบิโลน เขาก็ขังมันไว้ในที่กำบังเข้มแข็ง เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงของมันอีก ที่บนภูเขาแห่งอิสราเอล
10 มารดาของเจ้าเหมือนเถาองุ่นที่อยู่ในสวนองุ่น เอามาปลูกไว้ริมน้ำ มีผลดกและมีแขนงมากมาย เหตุด้วยน้ำบริบูรณ์
11 แขนงที่แข็งแรงที่สุดกลายเป็น ไม้ธารพระกรของผู้ครอบครอง มันชูขึ้นสูง ท่ามกลางแขนงที่หนาทึบ ใครๆก็เห็นตอนส่วนสูงของมัน ทั้งแขนงมากมายของมัน
12 แต่ว่าเถาองุ่นถูกถอนออกด้วยความเกรี้ยวกราด ถูกทิ้งลงยังพื้นดิน ลมตะวันออกกระทำให้มันเหี่ยวไป เขาเด็ดผลออกไปเสียหมด แขนงที่แข็งแรงก็เหี่ยวไป ไฟก็ไหม้เสีย
13 คราวนี้ถอนไปปลูกไว้ในถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินที่แห้งแล้งกันดารน้ำ
14 ไฟได้ออกมาจากแขนงใหญ่นั้น เผาผลาญแขนงอื่นและผลเสียหมด จึงไม่มีแขนงแข็งแรงเหลืออยู่ในต้นอีกเลย ไม่มีธารพระกรสำหรับผู้ครอบครอง นี่เป็นบทเพลงคร่ำครวญ และใช้เป็นบทเพลงคร่ำครวญ
เอเสเคียล 20
1 อยู่มาวันที่สิบ เดือนที่ห้าในปีที่เจ็ด พวกผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลบางคนได้มาทูลถามพระเจ้า และมานั่งอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า
2 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
3 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับพวกผู้ใหญ่แห่งอิสราเอล และกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ที่เจ้ามากันนี้จะมาถามเราหรือ พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะไม่ยอมให้เจ้ามาถามเรา
4 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะพิพากษาเขาหรือ เจ้าจะพิพากษาเขาหรือ จงให้เขาทั้งหลายทราบถึงความลามกของบรรพบุรุษของเขา
5 และจงกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในวันนั้นเมื่อเราเลือกสรรอิสราเอลไว้ เราปฏิญาณต่อพงศ์พันธุ์แห่งวงศ์ของยาโคบ โดยสำแดงตัวเราให้เขารู้จักในแผ่นดินอียิปต์ เราปฏิญาณกับเขาว่าเราเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
6 ในวันนั้น เราปฏิญาณต่อเขาว่า เราจะนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ ไปยังแผ่นดินที่เราหาให้เขาทั้งหลาย เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ เป็นแผ่นดินที่มีศักดิ์ศรีที่สุดในแผ่นดินทั้งหลาย
7 และเรากล่าวแก่เขาว่า เจ้าทุกคนจงทิ้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งนัยน์ตาของเจ้า ทั้งหลายกำลังเพลิดเพลินอยู่นั้นเสีย อย่ากระทำตัวของเจ้าให้มลทินไปด้วยรูปเคารพของอียิปต์ เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า
8 แต่เขาทั้งหลายได้กบฏต่อเราและไม่ยอมฟังเรา เขาทั้งหลายไม่ได้ทิ้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ซึ่งนัยน์ตาของเขาเพลิดเพลินอยู่นั้นทุกคน ทั้งเขาก็มิได้ละทิ้งรูปเคารพของอียิปต์ "แล้วเราก็คิดว่า เราจะระบายความกริ้วของเราออกเหนือเขา และให้ความโกรธของเรามีต่อเขาในท่ามกลาง แผ่นดินอียิปต์จนมอดลง
9 แต่เราก็กระทำโดยเห็นแก่ชื่อของเราเอง เพื่อไม่ให้ชื่อนั้นมลทินในสายตาของประชาชาติซึ่ง เขาอาศัยอยู่ เราจึงได้สำแดงตัวของเราต่อหน้าต่อตาเขาให้เขารู้จัก ในการที่เรานำคนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
10 ดังนั้น เราจึงนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ และนำเขาเข้ามาในถิ่นทุรกันดาร
11 เราให้กฎเกณฑ์ของเราแก่เขา และสำแดงกฎหมายของเราให้เขารู้ ซึ่งถ้ามนุษย์ได้รักษาไว้ก็จะดำรงชีวิตอยู่ได้
12 ยิ่งกว่านั้นอีก เราได้ให้สะบาโตของเราแก่เขา เป็นหมายสำคัญระหว่างเราและเขาทั้งหลาย เพื่อเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า เป็นผู้กระทำให้เขาบริสุทธิ์
13 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลได้กบฏต่อเราในถิ่นทุรกันดาร เขามิได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา แต่ได้ปฏิเสธไม่รับกฎหมายของเรา ซึ่งถ้ามนุษย์ได้รักษาไว้ก็จะดำรงชีวิตอยู่ได้ และเขาได้กระทำให้สะบาโตของเราสาธารณ์ไปอย่างหนัก "แล้วเราก็คิดว่าเราจะระบายความกริ้วของเราออกเหนือ เขาในถิ่นทุรกันดาร และทำให้เขาจบสิ้นเสียที
14 แต่เราก็กระทำโดยเห็นแก่ชื่อของเราเอง เพื่อไม่ให้ชื่อนั้นมลทินในสายตาของประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งเราได้นำคนอิสราเอลออกมาต่อหน้าเขา
15 ยิ่งกว่านั้นอีก เราได้ปฏิญาณต่อเขาในถิ่นทุรกันดารว่า เราจะไม่นำเขาเข้ามาในแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เขา เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ เป็นแผ่นดินที่มีศักดิ์ศรีที่สุดในแผ่นดินทั้งหลาย
16 เพราะเขาปฏิเสธไม่รับกฎหมายของเรา และไม่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และได้กระทำให้สะบาโตของเราสาธารณ์ เพราะว่าจิตใจของเขาไปติดตามรูปเคารพของเขา
17 ถึงกระนั้นก็ดี นัยน์ตาของเราก็ยังปรานีเขา และเรามิได้ทำลายเขา หรือกระทำให้เขา จบสิ้นลงในถิ่นทุรกันดารนั้น
18 "และเราพูดกับบุตรหลานของเขาในถิ่นทุรกันดารนั้นว่า อย่าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของบรรพบุรุษของเจ้าหรือ รักษากฎหมายของเขา หรือกระทำตัวเจ้าให้มลทินไปด้วยรูปเคารพของเขา
19 เราคือพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าของเจ้า จงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเราและจงรักษากฎหมายของเรา และประพฤติตาม
20 และนับถือบรรดาสะบาโตของเรา เพื่อจะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับเจ้า เพื่อเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าของเจ้า
21 แต่ลูกหลานเหล่านั้นก็กบฏต่อเราเขาทั้งหลาย มิได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และไม่รักษากฎหมายของเราและไม่ประพฤติตาม ซึ่งถ้ามนุษย์ได้รักษาไว้ก็จะดำรงชีวิตอยู่ได้ เขาได้กระทำให้บรรดาสะบาโตของเราสาธารณ์ "แล้วเราก็คิดว่าเราจะระบายความกริ้วของเราออกเหนือเขา และให้ความโกรธของเรามีต่อเขา ที่ในถิ่นทุรกันดารจนมอดลง
22 แต่เราได้หดมือของเราไว้ และกระทำโดยเห็นแก่ชื่อของเราเอง เพื่อไม่ให้ชื่อนั้นมลทินในสายตาของประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งเราได้นำชนอิสราเอลออกมาต่อหน้าเขา
23 ยิ่งกว่านั้นอีก เราได้ปฏิญาณต่อเขาทั้งหลายในถิ่นทุรกันดารว่า เราจะให้กระจัดพลัดพรายไปในท่ามกลางประชาชาติ และกระจายเขาไปอยู่ตามประเทศต่างๆ
24 เพราะว่าเขามิได้กระทำตามกฎหมายของเรา แต่ได้ปฏิเสธไม่รับกฎเกณฑ์ของเรา และกระทำให้บรรดาสะบาโตของเราสาธารณ์ และนัยน์ตาของเขาก็จับอยู่ที่รูปเคารพแห่งบรรพบุรุษของเขา
25 ยิ่งกว่านั้นอีก เราได้ให้กฎเกณฑ์ที่ไม่ดีและให้กฎหมาย ซึ่งตามนั้นเขาจะดำรงชีวิตไม่ได้
26 และเราก็ได้ให้เขามลทินไปด้วยของถวายของเขาเอง โดยให้เขาถวายบุตรหัวปีให้ลุยไฟ เพื่อเราจะกระทำให้เขาคร้ามกลัว เพื่อให้เขาทราบว่าเราคือพระเจ้า
27 "เพราะฉะนั้น บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลและกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในเรื่องนี้บรรพบุรุษของเจ้าก็ได้หมิ่นประมาทเราอีก โดยกระทำแก่เราอย่างทรยศ
28 เพราะว่าเมื่อเราได้นำเขาเข้ามาในแผ่นดินที่ เราปฏิญาณว่าจะให้เขานั้นแล้ว เมื่อเขาเห็นเนินเขาสูง ณ ที่ใดหรือเห็นต้นไม้ใบดกที่ไหน เขาก็ถวายเครื่องสัตวบูชาของเขาที่นั่น และถวายเครื่องบูชาอันเป็นที่ให้เคืองใจเรา ณ ที่นั่นเขาถวายกลิ่นที่พึงใจ และเขาเทเครื่องดื่มบูชาออกที่นั่น
29 (เราได้ถามเขาว่าปูชนียสถานสูงซึ่งเจ้าเข้าไปนั้น คืออะไร และเขาจึงเรียกชื่อที่นั่นว่า บามาห์ สืบเนื่องมาจนทุกวันนี้)
30 เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้ากระทำตัวให้มลทินไปตามอย่างบรรพบุรุษของเจ้า และเล่นชู้กับสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขาหรือ
31 เมื่อเจ้าถวายของบูชาและถวายบุตรชายให้ลุยไฟ เจ้าได้กระทำตัวให้มลทินด้วยรูปเคารพของเจ้า จนทุกวันนี้ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะให้เจ้ามาถามเราหรือ พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะไม่ให้เจ้ามาถามเราฉันนั้น
32 "อะไรอยู่ในใจของเจ้าจะไม่เกิดขึ้นได้เลย คือความคิดที่ว่า 'ให้เราเป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลาย ให้เป็นเหมือนเผ่าต่างๆในประเทศทั่วไป คือให้เราปรนนิบัติไม้และศิลา'
33 "พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะเป็นกษัตริย์เหนือเจ้าแน่นอนทีเดียวด้วยมือที่มีฤทธิ์ และด้วยแขนที่เหยียดออก และด้วยความพิโรธที่เทลงมา
34 เราจะนำเจ้าออกมาจากชนชาติทั้งหลาย และรวบรวมเจ้าออกมาจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเจ้าต้องกระจัดกระจายกันไปอยู่นั้น ด้วยมือที่มีฤทธิ์และด้วยแขนที่เหยียดออกและด้วยความ พิโรธที่เทลงมา
35 และเราจะนำเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดารแห่ง ชนชาติทั้งหลาย และที่นั่นเราจะเข้าสู่การพิพากษากับเจ้า หน้าต่อหน้า
36 เราเข้าสู่การพิพากษากับบรรพบุรุษของเจ้าใน ถิ่นทุรกันดารแห่งแผ่นดินอียิปต์อย่างไร พระเจ้าตรัสว่า เราจะเข้าสู่การพิพากษากับเจ้าอย่างนั้น
37 เราจะนับเจ้าโดยให้ลอดไปใต้คทา และเราจะให้เจ้าเข้าพันธสัญญา
38 เราจะชำระพวกกบฏเสียจากท่ามกลางเจ้า ทั้งผู้ทรยศต่อเรา เราจะนำเขาออกจากแผ่นดินที่เขาไปอาศัยอยู่นั้น แต่เขาจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินอิสราเอล แล้วเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้า
39 "เดี๋ยวนี้ พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ฝ่ายเจ้าทั้งหลายทุกคนจง ไปปรนนิบัติรูปเคารพของเจ้าเดี๋ยวนี้ และต่อไปถ้าเจ้าไม่ฟังเรา แต่ชื่ออันบริสุทธิ์ของเรานั้นเจ้าอย่ากระทำให้มลทิน อีกด้วยของถวายและด้วยรูปเคารพของเจ้า
40 พระเจ้าตรัสว่า ด้วยว่าบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรา คือภูเขาสูงของอิสราเอล บรรดาพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของอิสราเอล จะปรนนิบัติเราในแผ่นดินนั้น เราจะโปรดเขา ณ ที่นั่น ณ ที่นั่นเราจะเรียกของถวายของเจ้า และของสักการะที่คัดเลือกดีที่สุดนั้น กับเครื่องถวายบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้นของเจ้า
41 เมื่อเรานำเจ้าออกมาจากชาติทั้งหลาย และรวบรวมเจ้าออกมาจากประเทศที่เจ้า กระจัดกระจายไปอยู่นั้น เราจะโปรดเจ้าดั่งเป็นกลิ่นที่พอใจของเรา และเราจะสำแดงความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของเราท่ามกลางเจ้า ต่อหน้าต่อตาประชาชาติทั้งหลาย
42 และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า ในเมื่อเรานำเจ้าเข้าในแผ่นดินอิสราเอล อันเป็นประเทศซึ่งเราปฏิญาณไว้ว่าจะให้ แก่บรรพบุรุษของเจ้า
43 ณ ที่นั่นเจ้าจะระลึกถึงทางและการกระทำทั้งสิ้นของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ใช้กระทำให้ตัวของเจ้ามลทิน และเจ้าจะเกลียดชังตัวของเจ้า เพราะความชั่วทั้งหลายซึ่งเจ้าได้กระทำนั้น
44 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เมื่อเราได้กระทำกับเจ้าด้วยเห็นแก่ชื่อของเรา มิใช่ตามทางอันชั่วของเจ้า หรือตามการกระทำที่เสื่อมทรามของเจ้า แล้วเจ้าจึงจะทราบว่าเราคือพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
45 และพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
46 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าไปทางทิศใต้และเทศนากล่าวโทษพวกถิ่นใต้ จงเผยพระวจนะต่อแดนป่าไม้ที่ในถิ่นใต้
47 จงกล่าวแก่ป่าไม้แห่งถิ่นใต้ว่าจง ฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะก่อไฟไว้ในเจ้า มันจะเผาผลาญต้นไม้เขียวและต้นไม้ แห้งทุกต้นที่อยู่ในเจ้าเสีย จะดับเปลวเพลิงอันลุกโพลงนั้นไม่ได้ และดวงหน้าทุกหน้า ตั้งแต่ทิศใต้จนทิศเหนือจะถูกไฟลวก
48 มนุษย์ทั้งสิ้นจะเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ได้ก่อไฟนั้น ผู้ใดจะดับก็ไม่ได้"
49 แล้วข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า "พระเจ้า เจ้าข้า เขาทั้งหลายกำลังกล่าวถึงข้าพระองค์ว่า 'เขาไม่ใช่เป็นคนสร้างคำอุปมาดอกหรือ'"
เอเสเคียล 21
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้เยรูซาเล็ม และเทศนากล่าวโทษสถานศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงเผยพระวจนะกล่าวโทษแผ่นดินอิสราเอล
3 และกล่าวแก่แผ่นดินอิสราเอลว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า และเราจะชักดาบของเราออกจากฝัก และเราจะทำลายทั้งคนชอบธรรมและ คนอธรรมออกจากเจ้าเสีย
4 เพราะเราจะตัดเอาทั้งคนชอบธรรมและคน อธรรมออกจากเจ้าเสีย เพราะฉะนั้นดาบของเราจะออกจากฝักไปต่อสู้มนุษย์ ทั้งสิ้นจากทิศใต้ถึงทิศเหนือ
5 และมนุษย์ทั้งสิ้นจะทราบว่าเราคือพระเจ้าได้ ชักดาบของเราออกจากฝักแล้ว และจะไม่เก็บใส่ฝักอีก
6 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ยเพราะฉะนั้นจงถอนหายใจ ถอนหายใจด้วยความระทมใจและความ ขมขื่นต่อหน้าต่อตาเขาทั้งหลาย
7 และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่เจ้าว่า 'ทำไมเจ้าถอนหายใจ' เจ้าจงกล่าวว่า 'เพราะเรื่องข่าวนั้น เมื่อข่าวนั้นมาถึงหัวใจทุกดวงจะ ละลายและมือทั้งสิ้นจะอ่อนเปลี้ยไป และบรรดาจิตวิญญาณจะแน่นิ่งไป และหัวเข่าทุกเข่าจะอ่อนเปลี้ยดั่งน้ำ ดูเถิด ข่าวนั้นมาถึงและจะสำเร็จ" พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
8 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
9 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเผยพระวจนะและกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งซึ่งเขาลับให้คม และขัดมันด้วย
10 ลับให้คมเพื่อจะเข่นฆ่า ขัดมันไว้เพื่อจะให้แวบวาบเหมือนฟ้าแลบ เราจะร่าเริงหรือ ลูกของเราเอ๋ย เจ้าได้ประมาททัณฑกร และไม้เรียวทุกอย่าง
11 เพราะฉะนั้นจึงมอบดาบให้ขัดมัน เพื่อจะถือไว้ได้ ดาบนั้นคมแล้วและขัดมัน เพื่อจะมอบไว้ในมือของผู้ฆ่า
12 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงร้องไห้และคร่ำครวญเถิด เพราะเป็นเรื่องต่อสู้กับประชากรของเรา และต่อสู้กับบรรดาเจ้านายของอิสราเอล เขาถูกมอบไว้แก่ดาบพร้อมกับประชากรของเรา เพราะฉะนั้นจงตีที่โคนขาของเจ้าเถิด
13 เพราะมีการทดลอง และอะไรเล่าถ้าทัณฑกรนั้นที่ดูหมิ่นจะไม่มีอีก" พระเจ้าตรัสดังนี้
14 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เพราะฉะนั้นจงเผยพระวจนะเถิด จงตบมือและปล่อยให้ดาบลงมาสองครั้ง เออสามครั้ง คือดาบสำหรับคนเหล่านั้นที่จะถูกฆ่า เป็นดาบแห่งการฆาตกรรมอันใหญ่หลวง ซึ่งล้อมตัวพวกเขาทั้งหลายไว้
15 เพื่อว่าใจของเขาจะละลายและ เพื่อการสะดุดจะทวีคูณที่ประตูเมืองทั้งหมดของเขา เราจึงได้มอบดาบที่แวบวาบนั้นแล้ว เออ ทำเสียเหมือนอย่างกับฟ้าแลบ เขาขัดมันเพื่อจะเข่นฆ่า
16 รวมกันเข้ามา ไปทางขวาเรียงแถว แล้วไปทางซ้าย ไม่ว่าหน้าของเจ้ามุ่งไปทางไหน
17 เราจะตบมือของเราด้วย และเราจะระบายความโกรธของเราจนหมด เราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว"
18 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าอีกว่า
19 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงขีดทางไว้สองทางให้ดาบแห่งกษัตริย์บาบิโลนเข้ามา ทั้งสองทางให้ออกมาจากแผ่นดินเดียวกัน และจงทำป้ายบอกทาง จงทำไว้ที่หัวถนนที่เข้าไปหากรุง
20 ทำทางหนึ่งให้ดาบมายังรับบาห์แห่งคนอัมโมน และมายังยูดาห์และมายังเยรูซาเล็มเมืองที่มีกำแพง
21 เพราะว่ากษัตริย์บาบิโลนยืนอยู่ที่ทางแพร่งอยู่ที่ หัวถนนสองถนน กำหนดหาคำทำนาย ท่านเขย่าลูกธนู และปรึกษาทราฟีม ท่านมองดูที่ตับ
22 ในมือข้างขวา ท่านมีฉลากเยรูซาเล็ม เพื่อตั้งเครื่องทะลวง เพื่อจะให้อ้าปากในการฆ่า เพื่อส่งเสียงตะโกน เพื่อวางเครื่องทะลวงกำแพงเข้าที่ประตูเมืองเพื่อก่อเชิงเทิน และก่อกำแพงล้อม
23 สำหรับคนเหล่านั้นเป็นเหมือนคำทำนายเท็จ เขาทำพิธีสาบาน ฟื้นให้ระลึกถึงความผิด เพื่อเขาทั้งหลายจะถูกจับเอาไป
24 "เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าเจ้าได้กระทำบาปของเจ้าให้เราระลึกได้ โดยการทรยศของเจ้าที่เผยออก จนบาปของเจ้าปรากฏในการกระทำทั้งสิ้นของเจ้า เพราะเจ้าให้เราระลึกขึ้นได้ เจ้าจึงต้องถูกจับเอาไปโดยพลการ
25 และเจ้า โอ ผู้อธรรมที่ลามกคือเจ้านายอิสราเอลเอ๋ย ผู้ที่วันกำหนดมาถึงแล้ว คือเวลาแห่งการลงโทษครั้งสุดท้าย
26 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงปลดผ้าโพก และถอดมงกุฎออกเสีย สิ่งต่างๆจะไม่คงอยู่อย่างที่เคยเป็น ให้ยกย่องสิ่งที่ต่ำขึ้น และให้กดสิ่งที่สูงลง
27 เราจะกระทำให้เป็นที่พังทลาย พังทลาย พังทลาย และจะไม่มีเลยจนกว่าผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมจะมาถึง และเราจะประทานให้แก่ท่านผู้นั้น
28 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย และเจ้าจงเผยพระวจนะและกล่าวว่า พระเจ้าตรัสดังนี้เกี่ยวกับคนอัมโมน และเกี่ยวกับเรื่องน่าตำหนิของเขาทั้งหลายว่า ดาบเล่มหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่งถูกชักออกเพื่อการเข่นฆ่า เขาขัดมันให้ดื่มโลหิต และให้แวบวาบเหมือนฟ้าแลบ
29 ขณะเมื่อเขาเห็นนิมิตเท็จมาบอกท่าน ขณะเมื่อเขาให้คำทำนายมุสาแก่ท่าน เพื่อจะวางท่านไว้บนคอของผู้อธรรมที่ลามก เวลากำหนดของเขามาถึงแล้ว คือเวลาแห่งการลงโทษครั้งสุดท้าย
30 จงให้ดาบกลับเข้าฝัก เราจะพิพากษาเจ้าในสถานที่ดั้งเดิม ของเจ้าในแผ่นดินดั้งเดิมของเจ้า
31 เราจะเทความกริ้วของเราเหนือเจ้า และเราจะพ่นเจ้าด้วยไฟแห่งความพิโรธของเรา และเราจะมอบเจ้าไว้ในมือของคนใจสัตว์ ผู้มีฝีมือในการทำลาย
32 เจ้าจะเป็นฟืนไว้ใส่ไฟ โลหิตของเจ้าจะอยู่กลางแผ่นดิน จะไม่มีใครจดจำเจ้าไว้อีก เพราะเราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว"
เอเสเคียล 22
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าอีกว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ยตัวเจ้าจะพิพากษาหรือ เจ้าจะพิพากษาเมืองที่แปดเปื้อนด้วยโลหิตนั้นหรือ ดังนั้นเจ้าจงระบุการกระทำอันลามกของเมือง นั้นให้เมืองนั้นฟัง
3 เจ้าจงกล่าวว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า นี่เป็นเมืองที่ทำให้โลหิตตกอยู่ที่กลางตนเอง เพื่อให้เวลากำหนดของตนมาถึง และเป็นเมืองที่ทำรูปเคารพไว้ให้ตัวมลทินไป
4 เจ้ามีกรรมชั่วด้วยโลหิตที่เจ้ากระทำให้ตกนั้น และมลทินไปด้วยรูปเคารพที่เจ้ากระทำไว้ และเจ้าได้นำให้เวลาของเจ้าเข้ามาใกล้ เวลากำหนดแห่งปีของเจ้ามาถึงแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงกระทำเจ้าให้เป็น ที่ประณามกันท่ามกลางประชาชาติ และเป็นที่เย้ยหยันแก่ประเทศทั้งหลาย
5 ผู้ที่อยู่ใกล้และที่อยู่ไกลเจ้าจะเย้ยหยันเจ้า ผู้เป็นเมืองที่เสียชื่อ และเต็มด้วยความโกลาหล
6 "ดูเถิด เจ้านายแห่งอิสราเอลซึ่งอยู่ในเจ้า ทุกคนก็โน้มไปในทางที่ทำให้โลหิตตกตามอำนาจของเขา
7 บิดามารดาถูกเหยียดหยามอยู่ในเจ้า คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ก็ถูกเบียดเบียนอยู่ท่ามกลางเจ้า ลูกกำพร้าและหญิงม่ายก็ถูกข่มเหงอยู่ในเจ้า
8 เจ้าได้ดูหมิ่นสิ่งบริสุทธิ์ของเรา และกระทำให้สะบาโตของเราสาธารณ์
9 ในเจ้ามีคนกล่าวร้ายเพื่อจะทำให้โลหิตตก และมี คนในเจ้าที่รับประทานบนภูเขา มีคนกระทำอุจาดลามกท่ามกลางเจ้า
10 ในเจ้ามีชายบางคนล่วงประเวณีกับภรรยาของบิดาเขา ในเจ้ามีคนที่ข่มขืนผู้หญิงที่ยังมีมลทินเพราะมีประจำเดือน
11 คนหนึ่งกระทำลามกกับภรรยาของเพื่อนบ้าน อีกคนหนึ่งข่มขืนลูกสะใภ้ของตนอย่างน่าอุจาดลามก ในเจ้ามีอีกคนหนึ่งกระทำน้องสาวให้เป็นมลทิน คือลูกสาวของบิดาของตน
12 ในเจ้ามีคนรับสินบน เพื่อกระทำให้โลหิตตก เจ้าเอาดอกเบี้ย และเอาเงินเพิ่ม และทำกำไรจากเพื่อนบ้านของเจ้าโดยการบีบบังคับ และเจ้าได้ลืมเราเสีย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
13 "ดูเถิด เพราะฉะนั้นเราจะยื่นกำปั้นเนื่องจากผลกำไรอธรรม ที่เจ้าได้และเนื่องจากโลหิตที่อยู่ในหมู่พวกเจ้าทั้งหลาย
14 ใจเจ้าจะทนได้หรือ และมือของเจ้าจะแข็งแรงอยู่หรือ ในวันที่เราจะเอาเรื่องกับเจ้า เราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว และเราจะกระทำ
15 เราจะให้เจ้ากระจัดพลัดพรายไปในหมู่ประชาชาติ และกระจายเจ้าไปตามประเทศต่างๆ และเราจะเผาเอาความโสโครกออกจากเจ้าเสีย
16 ในสายตาของประชาชาติ เจ้าจะเป็นมลทินไปเพราะเจ้าเอง และเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระเจ้า"
17 และพระวจนะของพระองค์มายังข้าพเจ้าว่า
18 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ยสำหรับเราพงศ์พันธุ์ อิสราเอลกลายเป็นขี้โลหะ เขาทั้งสิ้นเป็นทองสัมฤทธิ์ ดีบุก เหล็ก และตะกั่วในเตาหลอม เขาเป็นขี้โลหะเงินไปหมด
19 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่าเพราะว่าเจ้า เป็นขี้โลหะไปเสียทั้งสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้นดูเถิด เราจะรวบรวมเจ้าไว้ท่ามกลางเยรูซาเล็ม
20 อย่างที่คนเขารวบรวมเงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็กและตะกั่วและดีบุกไว้ในเตาหลอม เพื่อเอาไฟพ่นรดให้มันละลาย ดังนั้นเราจะรวบรวมเจ้า ด้วยความกริ้วและด้วยความพิโรธของเรา และเราจะใส่เจ้ารวมไว้ให้เจ้าละลาย
21 เราจะรวบรวมเจ้า และเอาเพลิง แห่งความพิโรธของเราพ่นเจ้าและเจ้าจะละลายอยู่ท่ามกลางนั้น
22 เงินละลายอยู่ในเตาหลอมฉันใด เจ้าทั้งหลายจะละลายอยู่ท่ามกลางเพลิงฉันนั้นและเจ้า จะทราบว่า เราคือพระเจ้าได้ระบายความกริ้วของเราออกเหนือเจ้า"
23 และพระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
24 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับแผ่นดินนั้นว่า เจ้าเป็นแผ่นดินที่ไม่ได้รับการชำระ หรือฝนมิได้ชะในวันพิโรธ
25 เจ้านายท่ามกลางแผ่นดินนั้นก็เป็นเหมือน สิงห์คำรามฉีกเหยื่ออยู่ เขาทั้งหลายกินชีวิตมนุษย์ เขาริบทรัพย์สมบัติและสิ่งประเสริฐไป เขาได้กระทำให้เกิดหญิงม่ายมีขึ้นมากมาย ท่ามกลางแผ่นดินนั้น
26 ปุโรหิตของเขาได้ละเมิดธรรมบัญญัติของเราและ ได้กระทำปวงสิ่งบริสุทธิ์ของเราให้มลทินไป สิ่งที่บริสุทธิ์และสิ่งที่สาธารณ์เขาก็ไม่แยกให้ต่างกัน เขามิได้สอนความแตกต่างระหว่างของที่มลทินและของสะอาด เขาไม่นำพาวันสะบาโตของเรา ดังนั้นแหละเราจึงหมดเกียรติท่ามกลางเขาทั้งหลาย
27 เจ้านายในท่ามกลางแผ่นดินเป็นเหมือนสุนัขป่าที่ฉีกเหยื่อ ทำให้โลหิตตก ทำลายชีวิตเพื่อจะเอากำไรที่อสัตย์
28 และผู้เผยพระวจนะของแผ่นดินนั้น ก็ฉาบด้วยปูนขาวให้เขาเห็นนิมิตเท็จ และให้คำทำนายมุสาแก่เขา โดยกล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้' ในเมื่อพระเจ้ามิได้ตรัสเลย
29 ราษฎรกระทำการบีบคั้นและกระทำโจรกรรม เออ เขาบีบบังคับคนยากจนและคนขัดสน และบีบคั้นผู้ที่อาศัยอยู่อย่างอยุติธรรม
30 และเราก็แสวงหาสักคนหนึ่งในพวกเขาซึ่งจะสร้าง กำแพงและยืนอยู่ในช่องโหว่ต่อหน้าเราเพื่อแผ่นดินนั้น เพื่อเราจะมิได้ทำลายมันเสีย แต่ก็หาไม่ได้สักคนเดียว
31 ฉะนั้นเราจึงเทความกริ้วของเราลงเหนือเขา เราได้เผาผลาญเขาด้วยเพลิงพิโรธของเรา เราจงลงทัณฑ์ตามการประพฤติของเขาเหนือ ศีรษะเขาพระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
เอเสเคียล 23
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย มีผู้หญิงสองคนเป็นบุตรสาวมารดาเดียวกัน
3 เธอเล่นชู้ในอียิปต์ เธอเล่นชู้ตั้งแต่สาวๆ ณ ที่นั้นถันของเธอถูกเคล้าคลึง และอกพรหมจารีของเธอก็ถูกจับต้อง
4 คนพี่ชื่อโอโฮลาห์และโอโฮลีบาห์เป็นชื่อน้องสาว ทั้งสองมาเป็นของเรา ทั้งสองเกิดบุตรชายหญิง เรื่องชื่อนั้น โอโฮลาห์คือสะมาเรียและโอโฮลีบาห์ คือเยรูซาเล็ม
5 "โอโฮลาห์เล่นชู้เมื่อเธอเป็นของเรา เธอลุ่มหลงอัสซีเรียพวกคนรักของเธอ
6 ซึ่งเป็นนักรบแต่งกายสีม่วง และเป็นเจ้าเมืองและผู้บังคับบัญชา ทุกคนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา พลม้าขี่ม้า
7 เธอเล่นชู้กับคนเหล่านี้ ซึ่งเป็นบุคคลชั้นเยี่ยมของอัสซีเรียทุกคน และเธอก็กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพของ ทุกคนที่เธอลุ่มหลงนั้น
8 เธอมิได้เลิกการเล่นชู้ซึ่งเธอได้ทำตั้งแต่ครั้ง อยู่ในอียิปต์เพราะว่าเมื่อยังสาวอยู่ คนหนุ่มก็เข้านอนกับเธอและจับต้องอกพรหมจารีของเธอ และเทราคะของเขาให้แก่เธอ
9 เพราะฉะนั้นเราจึงมอบเธอ ให้ตกอยู่ในมือพวกคนรักของเธอ คืออัสซีเรียซึ่งเธอลุ่มหลงนั้น
10 ผู้เหล่านี้เผยความเปลือยเปล่าของเธอ เขาจับบุตรชายหญิงของเธอ และฆ่าเธอเสียด้วยดาบ เธอจึงเป็นคำเยาะเย้ยท่ามกลางผู้หญิงทั้งหลาย ในเมื่อได้พิพากษาลงโทษเธอแล้ว
11 "โอโฮลีบาห์น้องสาวของเธอเห็นเช่นนั้น เธอก็ทรามเสียยิ่งกว่าพี่สาวในเรื่องการลุ่มหลง และในการเล่นชู้ซึ่งทรามเสียยิ่งกว่าพี่สาว
12 เธอลุ่มหลงอัสซีเรีย เจ้าเมืองและผู้บังคับบัญชา นักรบแต่งเกราะเต็ม พลม้าขี่ม้า ทุกคนเป็นชายหนุ่มที่พึงปรารถนา
13 และเราเห็นว่าเธอมีมลทินเสียแล้วเธอทั้งสอง ก็เดินทางเดียวกัน
14 แต่เธอยังเล่นชู้ยิ่งขึ้น เธอเห็นรูปคนอยู่บนผนัง เป็นรูปคนเคลเดียเขียนด้วยสีแดงเข้ม
15 มีเข็มขัดคาดเอว มีผ้าโพกศีรษะชายห้อยอยู่ ทุกคนเป็นเหมือนนายทหาร เป็นรูปชาวบาบิโลน ซึ่งแผ่นดินเดิมของเขาคือเคลเดีย
16 เมื่อเธอเห็นรูปนั้นก็ลุ่มหลง เขาเสียแล้วและส่งผู้สื่อสารไปหาเขาที่เคลเดีย
17 ชาวบาบิโลนก็มาหาเธอถึงเตียงรัก และเขาก็กระทำให้เธอเป็นมลทินด้วยราคะของเขา หลังจากที่เธอโสโครกกับเขาแล้ว เธอก็เบื่อหน่าย
18 เมื่อเธอได้ทำการเล่นชู้เสียอย่างเปิดเผย และเธอสำแดงความเปลือยเปล่าของเธอ เราก็เบื่อหน่ายเธอ อย่างที่เราเบื่อหน่ายพี่สาวของเธอ
19 ถึงกระนั้นเธอยังทวีการเล่นชู้ของเธอขึ้นอีก โดยหวนระลึกถึงเมื่อครั้งยังสาวอยู่ เมื่อเธอเล่นชู้อยู่ในแผ่นดินอียิปต์
20 เธอลุ่มหลงชู้ของเธอที่นั่น ลำเนื้อของเขาก็เหมือนของลา และของเขาก็เหมือนของม้า
21 ดังนี้แหละ เจ้าก็อาลัยในราคะเมื่อเจ้ายังสาวอยู่ เมื่อคนอียิปต์จับต้องอกของเจ้า และเคล้าคลึงหัวนมสาวของเจ้า"
22 เพราะฉะนั้น โอโฮลีบาห์เอ๋ย พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด เราจะเร้าคนรักที่เจ้าเบื่อหน่ายแล้วนั้นให้มาสู้เจ้า และเราจะนำเขามาสู้เจ้าจากทุกด้าน
23 มีคนบาบิโลน และคนเคลเดียทั้งสิ้น เปโขดและโชอา และโคอา ทั้งคนอัสซีเรียทั้งสิ้นด้วย เป็นคนหนุ่มที่พึงปรารถนา เจ้าเมือง ผู้บังคับบัญชาทั้งสิ้น เป็นนายทหารและนักรบ ทุกคนขี่ม้า
24 เขาจะมาจากทิศเหนือต่อสู้เจ้า มีรถรบ เกวียน และชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก เขาจะตั้งตนต่อสู้เจ้าทุกด้าน ด้วยโล่ใหญ่และโล่เล็ก และหมวกเหล็ก และเราจะมอบการพิพากษาให้เขา และเขาทั้งหลายจะพิพากษาเจ้าตามหลักการ พิพากษาของเขาทั้งหลาย
25 และเราจะมุ่งความกริ้วของเราต่อสู้เจ้า และเขาจะกระทำกับเจ้าด้วยความเกรี้ยวกราด เขาจะตัดจมูกและตัดหูของเจ้าออกเสีย และผู้ที่รอดตายจะล้มลงด้วยดาบ เขาจะจับบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้า และคนที่รอดตายของเจ้าจะถูกเผาด้วยไฟ
26 เขาจะถอดเอาเสื้อของเจ้าออก และนำเอาเครื่องรูปพรรณงามๆของเจ้าไปเสีย
27 เราจะให้ราคะและการเล่นชู้ ซึ่งเจ้านำมาจากแผ่นดินอียิปต์สูญสิ้นลงเพื่อเจ้าจะมิได้ เงยหน้าขึ้นดูคนอียิปต์และระลึกถึงเขาอีกต่อไป
28 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะมอบเจ้าไว้ในมือของผู้ที่เจ้า เกลียดชังในมือของผู้เหล่านั้นที่เจ้าเบื่อหน่าย
29 และเขาทั้งหลายจะกระทำกับเจ้า ด้วยความเกลียดชังและริบเอาผลแห่งการงานของเจ้าไปเสีย และทิ้งเจ้าไว้ให้เปลือยเปล่าและล่อนจ้อน จะต้องเปิดเผยความเปลือยเปล่าและการเล่นชู้ของเจ้า
30 ราคะและการเล่นชู้ของเจ้าได้นำสิ่งเหล่านี้มาเหนือเจ้า เพราะเจ้าเล่นชู้กับประชาชาติทั้งหลาย และการกระทำตัวของเจ้าให้สาธารณ์ ไปด้วยรูปเคารพของเขาทั้งหลาย
31 เจ้าดำเนินตามทางแห่งพี่สาว ของเจ้าเพราะฉะนั้นเราจึงมอบถ้วยของเธอใส่มือเจ้า
32 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะต้องดื่มจากถ้วยของพี่สาวเจ้า ซึ่งลึกและใหญ่ เจ้าเป็นที่หัวเราะเยาะและถูกสบประมาท เพราะถ้วยนั้นจุมาก
33 เจ้าจะเต็มไปด้วยความมึนเมาและความโศก ถ้วยของสะมาเรียพี่สาวของเจ้านั้น เป็นถ้วยแห่งความน่าสะพรึงกลัวและน่าสยดสยอง
34 เจ้าจะดื่มและดื่มจนเกลี้ยง เจ้าจะแทะเศษถ้วย และฉีกอกของเจ้าเสีย เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
35 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้าลืมเราและเหวี่ยงเราไปไว้เบื้องหลังเจ้าเสีย เพราะฉะนั้นเจ้าจงรับโทษราคะ และการเล่นชู้ของเจ้าเถิด"
36 พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะพิพากษาโอโฮลาห์และโอโฮลีบาห์หรือ แล้วจงประกาศการกระทำที่ลามกของเธอให้เขาทราบ
37 เพราะว่าเธอได้กระทำการล่วงประเวณี และโลหิตอยู่ในมือของเธอ เธอกระทำการล่วงประเวณีกับรูปเคารพของเธอ และเธอยังถวายบุตรชายซึ่งเธอบังเกิดให้แก่ เรานั้นให้ลุยไฟเป็นอาหารแห่งรูปเคารพนั้นด้วย
38 ยิ่งกว่านั้นอีก เธอได้กระทำเช่นนี้แก่เรา คือเธอได้กระทำให้สถานศักดิ์สิทธิ์ของเราเป็น มลทินในวันเดียวกัน และกระทำให้สะบาโตของเราสาธารณ์
39 คือขณะเมื่อเธอฆ่าลูกของเธอเป็นเครื่องบูชารูปเคารพ ในวันนั้นเธอก็เข้ามาในสถานศักดิ์สิทธิ์ของเราและ กระทำสถานที่นั้นให้เป็นมลทิน นี่แน่ะ เธอกระทำสิ่งเหล่านี้ในนิเวศของเรา
40 ยิ่งกว่านั้นอีก เธอยังได้ให้ไปหาผู้ชายมาจากเมืองไกล คือเธอใช้ผู้สื่อสารไปหา และดูเถิด เขาก็มา เจ้าก็ชำระตัวของเจ้า เจ้าทาตาของเจ้า และแต่งกายของเจ้าด้วยเครื่องประดับ เพื่อคนเหล่านั้น
41 เจ้านั่งอยู่บนตั่งอันสูงศักดิ์มีโต๊ะวางอยู่ข้างหน้า ซึ่งเป็นโต๊ะที่เจ้าได้วางเครื่องหอมและน้ำมันของเรา
42 เสียงของประชาชนที่ปล่อยตัวก็ดังอยู่กับเธอ พร้อมกับคนสามัญเขานำคนเมามาจากถิ่นทุรกันดารด้วย และเขาเอากำไลมือสวมที่แขนของผู้หญิงและสวมมงกุฎงามๆบนศีรษะของเธอทั้งสอง
43 "เราจึงกล่าวเรื่องเธอ ผู้ที่ร่วงโรยโดยการล่วงประเวณีว่า เขายังเล่นชู้กับเธอหรือ
44 เพราะชายเหล่านั้นยังเข้าหาเธอ อย่างเดียวกับผู้ชายเข้าหาโสเภณี ดังนั้นเขาก็เข้าหาโอโฮลาห์ กับโอโฮลีบาห์ซึ่งเป็นหญิงมีราคะ
45 แต่คนชอบธรรมจะพิพากษาเธอ ด้วยคำพิพากษาอันควรตกแก่หญิงผู้ล่วงประเวณี และด้วยคำพิพากษาอันควรตกแก่หญิงผู้กระทำ ให้โลหิตตกเพราะเธอเป็นหญิงล่วงประเวณี และเพราะความผิดที่ทำให้เธอถึงตายอยู่กับเธอ"
46 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงนำกองทัพมาสู้กับเธอทั้งสองนี้ และมอบเธอไว้แก่ความครั่นคร้ามและการถูกริบ
47 และกองทัพจะเอาหินขว้างเธอและฆ่าเธอเสียด้วยดาบ เขาฆ่าบุตรชายหญิงของเธอ และเผาเรือนทั้งหลายของเธอเสีย
48 ดังนี้แหละ เราจะให้ราคะในแผ่นดินนั้นสูญสิ้นเสียที เพื่อผู้หญิงทั้งหลายจะได้รับความตักเตือนและไม่ ประพฤติราคะอย่างที่เจ้าได้กระทำแล้วนั้น
49 ส่วนราคะของเจ้านั้นเจ้าจะต้องรับโทษ และเจ้าจะต้องรับโทษเรื่องการบูชารูปเคารพ อย่างบาปหนาของเจ้า และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า"
เอเสเคียล 24
1 เมื่อวันที่สิบเดือนที่สิบปีที่เก้า พระวจนะของพระองค์มายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเขียนชื่อของวันนี้ไว้ วันนี้ทีเดียวกษัตริย์บาบิโลนล้อมเยรูซาเล็มในวันนี้เอง
3 และจงกล่าวคำอุปมาแก่พงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ และพูดกับเขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงตั้งหม้อไว้ ตั้งไว้ซิ เทน้ำใส่หม้อด้วย
4 ใส่ชิ้นเนื้อเข้าไป เอาชิ้นเนื้อดีๆ คือเนื้อโคนขาและเนื้อสันขาหน้า เลือกกระดูกดีมาใส่ให้เต็ม
5 จงเลือกแกะที่ดีที่สุดมาตัวหนึ่ง กองฟืนไว้ใต้นั้น จงต้มให้ดี เพื่อเคี่ยวกระดูกที่อยู่ในนั้นด้วย
6 "เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่กรุงที่ชุ่มโลหิต วิบัติแก่หม้อที่ขึ้นสนิมข้างใน และซึ่งสนิมมิได้หลุดออกมา จงเอาเนื้อออกทีละชิ้นๆอย่าจับฉลากเลย
7 เพราะว่าโลหิตที่เธอกระทำให้ตก นั้นยังอยู่ท่ามกลางเธอ เธอวางไว้บนหินโล้น เธอมิได้เทลงไว้บนหินโล้น เธอมิได้เทลงดินเพื่อเอาฝุ่นกลบไว้
8 เราได้วางโลหิตที่เธอทำให้ตกนั้นไว้บนก้อนหิน เพื่อมิให้ปิดโลหิตนั้นไว้ เพื่อเร้าความพิโรธและทำการแก้แค้น
9 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่กรุงที่ชุ่มโลหิต เราจะกระทำให้กองนั้นใหญ่ขึ้นด้วย
10 จงสุมฟืนเข้าไปและก่อไฟขึ้น ต้มเนื้อให้ดี แล้วเทน้ำต้มเนื้อนั้นออกเสียและปล่อยกระดูกให้ไหม้
11 และวางหม้อเปล่าไว้บนถ่านเพื่อให้ร้อนให้ทองแดงไหม้ ให้ความโสโครกละลายเสียในนั้น ให้สนิมของมันไหม้ไฟ
12 เรากระทำตัวของเราให้เหนื่อยไปเปล่าๆ สนิมที่หนาของมันก็ไม่หลุดออกด้วยไฟ
13 สนิมนั้นได้แก่ราคะอันโสโครกของเจ้า เพราะว่าเราจะชำระเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ชำระตัวจากความโสโครกของเจ้า เจ้าจะไม่ถูกชำระอีกต่อไป จนกว่าเราจะระบายความเกรี้ยวกราดของเราออกเหนือ เจ้าจนหมด
14 เราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว จะเป็นไปอย่างนั้น เราจะกระทำเช่นนั้นเราจะไม่ถอยกลับ เราจะไม่สงวนไว้และเราจะไม่เปลี่ยนใจ เราจะพิพากษาเจ้าตามวิธีการและการกระทำของเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
15 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าอีกว่า
16 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด เราจะเอาสิ่งที่พอตาของเจ้าไปเสีย จากเจ้าด้วยการประหารเสียแล้ว ถึงกระนั้นเจ้าก็อย่าคร่ำครวญหรือร้องไห้ หรือให้น้ำตาตก
17 ถอนหายใจเถิด แต่อย่าให้ออกเสียง อย่าไว้ทุกข์ให้คนที่ตาย จงโพกผ้าของเจ้า และสวมรองเท้าของเจ้า อย่าปิดหนวดหรือรับประทานอาหารของเขา"
18 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพูดกับประชาชนตอนเช้าและ ภรรยาของข้าพเจ้าก็สิ้นชีวิตตอนเย็น รุ่งเช้าขึ้นข้าพเจ้าก็กระทำอย่างที่ข้าพเจ้ารับพระบัญชา
19 ประชาชนก็ถามข้าพเจ้าว่า "ท่านจะไม่บอกเราทั้งหลายหรือว่า สิ่งนี้มีความหมายอะไรแก่เรา ซึ่งท่านกระทำเช่นนี้"
20 แล้วข้าพเจ้าก็พูดกับเขาว่า "พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
21 'จงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำสถานศักดิ์สิทธิ์ของเราอัน เป็นความภาคภูมิใจในอำนาจของเจ้า และความปรารถนาแห่งวิญญาณจิตของเจ้า ให้เป็นที่สาธารณ์ บุตรชายหญิงของเจ้าซึ่งเจ้าทิ้งไว้เบื้องหลังจะล้มลงด้วยดาบ
22 และเจ้าทั้งหลายจะกระทำอย่างที่เรากระทำ เจ้าจะไม่ปิดหนวด หรือรับประทานอาหารของเขา
23 ผ้าโพกจะอยู่บนศีรษะของเจ้า และรองเท้าจะอยู่ที่เท้าของเจ้า เจ้าจะไม่ไว้ทุกข์หรือร้องไห้ แต่เจ้าจะทรุดลงเพราะความบาปชั่วของเจ้า และจะโอดครวญแก่กันและกัน
24 เอเสเคียลจะเป็นเครื่องหมายสำคัญแก่เจ้าทั้งหลายดังนี้ เขาได้กระทำสิ่งใด เจ้าจะกระทำอย่างนั้น เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้มาถึง เจ้าจะได้ทราบว่า เราคือพระเจ้า'
25 "และเจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ในวันที่เราเอาที่กำบังเข้มแข็งของเขาทั้งหลายออกไป อันเป็นความร่าเริงและเป็นศักดิ์ศรีของเขา สิ่งที่พอตาของเขาทั้งหลาย และสิ่งที่ใจของเขาปรารถนา ทั้งบุตรชายและบุตรหญิงของเขา
26 ในวันนั้น ผู้หนีภัยจะมาหาเจ้า เพื่อจะรายงานข่าวให้เจ้าได้ยินเอง
27 ในวันนั้น ปากของเจ้าจะหายใบ้ต่อหน้าผู้หนีภัย และเจ้าจะพูดและจะไม่เป็นใบ้อีกต่อไป ดังนั้นเจ้าเป็นเครื่องหมายสำหรับเขา และเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า"
เอเสเคียล 25
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย มุ่งหน้าของเจ้าไปยังคนอัมโมน และจงเผยพระวจนะกล่าวโทษเขา
3 จงกล่าวแก่คนอัมโมนว่า จงฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'กุ๋ยๆ' เหนือสถานศักดิ์สิทธิ์ของเราเมื่อที่นั้นเป็นมลทิน และเหนือแผ่นดินอิสราเอลเมื่อได้ถูกกระทำให้ร้างเปล่า และเหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์เมื่อถูกกวาดไปเป็นเชลย
4 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะมอบเจ้าให้แก่ ประชาชนทางทิศตะวันออก ให้เป็นกรรมสิทธิ์ เขาจะตั้งค่ายอยู่ท่ามกลางเจ้า และสร้างที่อยู่ของเขากลางพวกเจ้า เขาทั้งหลายจะรับประทานผลไม้ของเจ้า และจะดื่มน้ำนมของเจ้า
5 เราจะกระทำให้เมืองรับบาห์เป็นทุ่งหญ้าสำหรับอูฐ และทำให้ที่ของคนอัมโมนเป็นคอกสำหรับฝูงแพะแกะ แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
6 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะเจ้าได้ตบมือและกระทืบเท้าและปีติด้วยใจคิดร้าย ต่อแผ่นดินอิสราเอล
7 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราได้ยื่นมือของเราออกต่อสู้เจ้า และจะมอบเจ้าไว้แก่ประชาชนทั้งหลายให้เป็นของริบ และเราจะตัดเจ้าออกเสียจากชนชาติทั้งหลาย และเราจะกระทำให้เจ้าพินาศไปจากประเทศต่างๆ เราจะทำลายเจ้าแล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
8 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะโมอับ และเสอีร์กล่าวว่า ดูเถิด พงศ์พันธุ์ยูดาห์ก็เหมือนประชาชาติอื่นๆทั้งสิ้น
9 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะเปิดไหล่เขาโมอับ จนไม่มีเมืองเหลือคือเมืองของเขาจากด้านนั้น ศักดิ์ศรีของประเทศนั้นคือเมืองเบธเยชิโมท เมืองบาอัลเมโอนและเมืองคีริยาธาอิม
10 เราจะมอบให้แก่ประชาชนทางทิศตะวันออก พร้อมกับคนอัมโมนให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่เจ้า เพื่อว่าจะไม่มีใครนึกถึงคนอัมโมนอีก ในท่ามกลางประชาชาติ
11 และเราจะพิพากษาลงโทษโมอับ แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
12 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าเอโดมได้ประพฤติอย่างเคียดแค้นต่อพงศ์พันธุ์ของยูดาห์ และได้กระทำกรรมชั่วนักหนาในการที่แก้แค้นเขา
13 เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า เราจะยื่นมือของเราออกต่อสู้เอโดม และตัดคนและสัตว์ออกเสียจากเมืองนั้น และเราจะกระทำให้เมืองนั้นร้างเปล่าตั้งแต่เมืองเทมาน แม้ถึงเมืองเดดาน เขาทั้งหลายก็จะล้มลงด้วยดาบ
14 และเราจะวางการแก้แค้นของเราลงเหนือเมือง เอโดมด้วยมือของอิสราเอลประชากรของเรา และเขาจะกระทำตามความกริ้วและความพิโรธ ของเราในเมืองเอโดม และเขาจะทราบถึงการแก้แค้นของเรา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
15 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าคนฟีลิสเตีย ได้กระทำอย่างเคียดแค้นและทำการแก้แค้น ด้วยใจคิดร้ายหมายทำลาย โดยความเป็นศัตรูอันไม่รู้จักจบสิ้นนั้นเสีย
16 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะยื่นมือของเราออกต่อสู้คนฟีลิสเตีย และเราจะตัดคนเคเรธีออก และทำลายคนที่เหลืออยู่ตามฝั่งทะเลนั้นเสีย
17 เราจะกระทำการแก้แค้นใหญ่ยิ่ง เหนือเขาด้วยการชำระอย่างพิโรธของเรา แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า เมื่อเราได้วางการแก้แค้นของเราไว้เหนือเขา"
เอเสเคียล 26
1 อยู่มาในวันต้นเดือนปีที่สิบเอ็ด พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เพราะว่าเมืองไทระได้พูดเกี่ยวพันกับเยรูซาเล็มว่า 'เออ ประตูเมืองของชนชาติทั้งหลายหักเสียแล้ว มันเปิดกว้างไว้รับข้า มันร้างเปล่าแล้ว ข้าจะบริบูรณ์ขึ้น'
3 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เมืองไทระเอ๋ย เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า และจะนำประชาชาติเป็นอันมากมาต่อสู้เจ้า ดังทะเลกระทำให้คลื่นของมันขึ้นมา
4 เขาทั้งหลายจะทำลายกำแพงเมืองไทระ และพังทลายหอคอยของเมืองนั้นเสีย และเราจะขูดดินเสียจากเมืองนั้น กระทำให้เป็นศิลาโล้นๆ
5 เมืองนั้นเป็นที่สำหรับตากอวนอยู่กลางทะเล เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว พระเจ้าได้ตรัส และเมืองนั้นจะเป็นของปล้นแห่งบรรดาประชาชาติ
6 และพวกธิดาของเมืองนี้ ซึ่งอยู่บนแผ่นดินใหญ่จะต้องถูกฆ่าเสียด้วยดาบ แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
7 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลน ผู้เป็นจอมกษัตริย์มายังเมืองไทระจากทิศเหนือ พร้อมทั้งม้าและรถรบ กับพลม้าและกองทหารมากมาย
8 ท่านจะฆ่าธิดาของเจ้าบนแผ่นดินใหญ่เสียด้วยดาบ ท่านจะก่อกำแพงล้อมเจ้าไว้ และก่อเชิงเทินต่อสู้กับเจ้า และจะยกหลังคาเป็นโล่ต่อสู้กับเจ้า
9 ท่านจะตั้งเครื่องทะลวงต่อสู้กับกำแพงของเจ้า และท่านจะเอาขวานของท่านฟันหอคอยของเจ้าลง
10 ม้าของท่านมากมาย จนฝุ่นม้าตลบคลุมเจ้าไว้ กำแพงเมืองของเจ้าจะสั่นสะเทือน ด้วยเสียงพลม้า และเกวียนและรถรบ เมื่อท่านจะยกเข้าประตูเมืองของเจ้า อย่างกับคนเดินเข้าเมือง เมื่อเมืองนั้นแตกแล้ว
11 ท่านจะย่ำที่ถนนของเจ้าด้วยกีบม้า ท่านจะฆ่าชนชาติของเจ้าเสียด้วยดาบ และเสาหานอันแข็งแรงของเจ้าจะล้มลงถึงดิน
12 ทรัพย์สมบัติของเจ้า ท่านจะเอาเป็นของริบ และสินค้าของเจ้า ท่านจะเอามาเป็นของปล้น เขาทั้งหลายจะพังกำแพงของเจ้าลง และจะทำลายบ้านอันพึงใจของเจ้าเสีย หิน ไม้ และดินของเจ้านั้นเขาจะโยนทิ้งเสียกลางน้ำ
13 เสียงเพลงของเจ้านั้นเราก็จะให้หยุด และเสียงพิณเขาคู่ของเจ้าจะไม่ได้ยินอีก
14 เราจะกระทำเจ้าให้เป็นศิลาโล้น เจ้าจะเป็นสถานที่สำหรับตากอวน จะไม่มีใครสร้างเจ้าขึ้นใหม่เลย เพราะเราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
15 "พระเจ้าตรัสดังนี้แก่เมืองไทระ ว่า แผ่นดินชายทะเลจะมิได้สั่นสะเทือนด้วย เสียงที่เจ้าล้มเมื่อผู้บาดเจ็บร้องครวญคราง เมื่อการเข่นฆ่าได้เกิดอยู่ท่ามกลางเจ้าหรือ
16 แล้วเจ้านายทั้งสิ้นที่ทะเลจะก้าวลงมาจากบัลลังก์ และเปลื้องเครื่องทรงออก และปลดเครื่องแต่งตัวที่ปักออกเสีย และจะเอาความสั่นกลัวมาเป็นเครื่องทรง จะประทับอยู่บนพื้นดินและสั่นอยู่ทุกขณะ และหวาดกลัวเพราะเจ้า เมืองไทระ
17 ท่านเหล่านี้จะเปล่งเสียงบทคร่ำครวญเรื่องเจ้า และกล่าวแก่เจ้าว่า 'โอ เจ้าผู้มีพลเมืองคับคั่งเอ๋ย เจ้าสูญไปจากทะเลเสียจริงทีเดียว เจ้าเป็นเมืองแข็งกล้าอยู่ที่ทะเล ทั้งเจ้าและชาวเมืองของเจ้า ว่าถึงคนที่นั่นแล้ว เจ้าให้เขากลัว
18 บัดนี้ เกาะทั้งหลายก็สั่นสะเทือน ในวันที่เจ้าล้มลง เออ บรรดาเกาะที่อยู่ในทะเล ก็กลัวเพราะเจ้าสิ้นไปเสีย'
19 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมื่อเรากระทำเจ้าให้เป็นเมืองร้างเปล่า เหมือนอย่างเมืองที่ไม่มีคนอาศัย เมื่อเรานำทะเลมาท่วมเจ้า และน้ำมากหลายคลุมเจ้าไว้
20 แล้วเราจะผลักเจ้าลงไปพร้อมกับคนเหล่านั้นที่ ลงไปยังปากแดนคนตาย ไปยังคนสมัยเก่า เราจะกระทำเจ้าให้อาศัยอยู่ที่โลก บาดาลท่ามกลางสิ่งปรักหักพังในสมัยดึกดำบรรพ์ พร้อมกับผู้ที่ลงไปยังปากแดนคนตาย เพื่อว่าจะไม่มีใครอาศัยอยู่ในเจ้า และเจ้าจะไม่ตั้งอยู่ในแผ่นดินของผู้มีชีวิต
21 เราจะกระทำให้เจ้าเป็นที่น่าครั่นคร้าม จะไม่มีเจ้าอีกแล้ว ถึงใครจะมาหาเจ้า เขาจะมาหาเจ้าไม่พบอีกต่อไปเป็นนิตย์ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
เอเสเคียล 27
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "เจ้าบุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเปล่งเสียงบทคร่ำครวญเรื่องเมืองไทระ
3 และจงกล่าวแก่เมืองไทระ ผู้อยู่ที่ทางเข้าสู่ทะเล เป็นพ่อค้าแห่งชนชาติทั้งหลายที่อยู่ตามแผ่นดินชายทะเล พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมืองไทระเอ๋ย เจ้าได้กล่าวว่า ข้านี้มาพร้อมสรรพทีเดียว
4 พรมแดนของเจ้าอยู่ที่กลางทะเล ผู้ก่อสร้างได้กระทำให้ความงดงามของเจ้าพร้อมสรรพ
5 กระดานของเจ้าทั้งสิ้นเขาทำด้วย ไม้สนสามใบมาจากเสนีร์ เขาเอาไม้สนสีดาร์มาจากเลบานอน ทำเป็นเสากระโดงให้เจ้า
6 เอาไม้ก่อแห่งเมืองบาชาน มาทำเป็นกรรเชียงของเจ้า เขาทำดาดฟ้าของเจ้าด้วยไม้ช้องรำพัน ได้มาจากชายฝั่งเกาะไซปรัส ฝังด้วยงาช้าง
7 ส่วนใบของเจ้านั้น ทำด้วยผ้าป่านปักเนื้อละเอียดจากอียิปต์ ใช้ต่างธงของเจ้า กันสาดของเจ้านั้น เป็นสีฟ้าสีม่วงมาจากฝั่งเมืองเอลีชาห์
8 ชาวเมืองไซดอนและเมืองอารวัด เป็นฝีกรรเชียงของเจ้า โอ ไทระ ช่างฝีมือของเจ้าอยู่ในเจ้า เขาเป็นต้นหนของเจ้า
9 ผู้ใหญ่ของเมืองเกบาลและช่างฝีมือของเมืองนี้ก็อยู่ในเจ้า เป็นช่างไม้ประจำเรือให้เจ้า บรรดาเรือทะเลทั้งสิ้นพร้อมกะลาสีก็อยู่ในเจ้า เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากับเจ้า
10 "ชาวเปอร์เซีย และลูด และพูต ก็อยู่ในกองทัพของเจ้า เขาทั้งหลายเป็นทหารของเจ้า เขาแขวนโล่และหมวกเหล็กในเจ้า เขากระทำให้เจ้ามีสง่า
11 ชาวอารวัดและชาวเฮเลคอยู่บนกำแพงโดยรอบ ชาวกามัดอยู่ในหอคอยของเจ้า เขาแขวนโล่ไว้ตามกำแพงของเจ้าโดยรอบ เขากระทำให้ความงามของเจ้าพร้อมสรรพ
12 "ทารชิชไปมาค้าขายกับเจ้าเพราะเจ้ามีทรัพยากร มากมายหลายชนิด เขาเอาเงิน เหล็ก ดีบุก และตะกั่วมาแลกเปลี่ยนกับสินค้าของเจ้า
13 เมืองยาวาน ทูบัล และเมเชค ค้าขายกับเจ้า เขาแลกเปลี่ยนคนและภาชนะทองสัมฤทธิ์กับสินค้าของเจ้า
14 เมืองเบธโทการมาห์ เอาม้า ม้าศึกและล่อมาแลกกับสินค้าของเจ้า
15 ชาวเดดานทำการค้าขายกับเจ้า แผ่นดินชายทะเลเป็นอันมากเป็นตลาดประจำของเจ้า เขานำงาช้างและไม้มะเกลือมาเป็นค่าของสินค้า
16 เมืองอารัมไปมาค้าขายกับเจ้า เพราะเจ้ามีสินค้าอุดม เขาเอามรกต ผ้าสีม่วง ผ้าปัก ป่านเนื้อละเอียด หินประการังและทับทิมมาแลกกับสินค้าของเจ้า
17 ยูดาห์และแผ่นดินอิสราเอลก็ค้าขายกับเจ้า เขาเอาข้าวสาลีเมืองมินนิท มะกอกเทศ และมะเดื่อต้นฤดู น้ำผึ้ง น้ำมัน กำยาน มาแลกกับสินค้าของเจ้า
18 ดามัสกัสไปมาค้าขายกับเจ้า เพราะเจ้ามีสินค้าอุดม เพราะทรัพยากรมากมายหลายชนิดของเจ้า มีเหล้าองุ่นเฮลโบน และขนแกะขาว
19 เขาเอาเหล้าจากเมืองอุซาล มาแลกกับสินค้าของเจ้า เขาเอาเหล็กหล่อ การบูร ตะไคร้มาแลกกับสินค้าของเจ้า
20 เมืองเดดานค้าขายกับเจ้าในเรื่องผ้าอานสำหรับขับขี่
21 เมืองอาระเบียและเจ้านายทั้งหลายของเมืองเคดาร์ เป็นพ่อค้าขาประจำในเรื่องลูกแกะ แกะผู้ แพะ เขาไปมาค้าขายกับเจ้าในเรื่องเหล่านี้
22 พ่อค้าทั้งหลายของเมืองเช-บา และเมืองราอามาห์ก็ค้าขายกับเจ้า เขาเอาเครื่องเทศชนิดดีๆทั้งสิ้นและเพชรพลอยทุกชนิด และทองคำมาแลกสินค้ากับเจ้า
23 เมืองฮาราน คานเนห์และเอเดน พ่อค้าทั้งหลายของเมืองเชบา อัสชูร และคิลมาด ก็ค้าขายกับเจ้า
24 เมืองเหล่านี้ทำการค้าขายกับเจ้าในตลาด ของเจ้าในเรื่องเครื่องแต่งกายอย่างดีวิเศษ เสื้อสีฟ้าและเสื้อปัก และพรมทำด้วยด้ายสีต่างๆ มัดไว้แน่นด้วยด้ายฟั่น
25 กำปั่นทั้งหลายของเมืองทารชิชบรรทุกสินค้าของเจ้า "ดังนั้น เจ้าจึงบริบูรณ์และบรรทุกไว้อย่างหนัก ในท้องทะเล
26 ฝีกรรเชียงของเจ้านำเจ้าออกไป ที่ในทะเลลึก ลมตะวันออกทำให้เจ้าอับปาง ในท้องทะเล
27 ทรัพย์สินของเจ้า ของขายของเจ้า สินค้าของเจ้า ลูกเรือของเจ้า และต้นหนของเจ้า ช่างไม้ประจำของเจ้า ผู้ค้าสินค้าของเจ้า นักรบทั้งสิ้นของเจ้าผู้อยู่ในเจ้า พร้อมกับพรรคพวกทั้งสิ้นของเจ้า ที่อยู่ท่ามกลางเจ้า จมลงในท้องทะเล ในวันล่มจมของเจ้า
28 แผ่นดินก็สั่นสะท้าน เมื่อได้ยินเสียงโวยวายของต้นหนของเจ้า
29 ผู้ที่ถือกรรเชียง ก็ลงมาจากเรือของเขา พวกลูกเรือและต้นหน มายืนอยู่บนฝั่งทั้งหมด
30 และพิลาปร่ำไห้เพราะเจ้า และร้องไห้หนักหนา เขาเหวี่ยงฝุ่นขึ้นศีรษะของเขา และกลิ้งเกลือกอยู่ที่กองขี้เถ้า
31 เขาโกนผมเพราะเจ้า และเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้ เขาร้องไห้เพราะเจ้าด้วยจิตใจอันขมขื่น กับไว้ทุกข์หนัก
32 ในการพิลาปร่ำไห้นั้น เขาเปล่งเสียงบทคร่ำครวญเพื่อเจ้า และได้ร้องทุกข์เพื่อเจ้าว่า 'มีผู้ใดหรือที่ถูกทำลายเหมือนเมืองไทระ ในท่ามกลางทะเล
33 เมื่อสินค้าของเจ้ามาจากทะเล ก็กระทำให้ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากพอใจ เจ้าได้กระทำให้บรรดากษัตริย์แห่งโลกมั่งคั่ง ด้วยสมบัติและสินค้าอันอุดมของเจ้า
34 บัดนี้ เจ้าอับปางเสียด้วยทะเลในห้วงน้ำลึก สินค้าของเจ้าและลูกเรือของเจ้า ได้จมลงพร้อมกับเจ้า
35 พวกชาวแผ่นดินชายทะเลทั้งสิ้น ก็ตกตะลึงเพราะเจ้า กษัตริย์ทั้งหลายของเมืองนั้นก็กลัวยิ่งนัก ดวงหน้าก็ซีดเซียว
36 พ่อค้าท่ามกลางชนชาติทั้งหลายโห่เจ้า เจ้าสูญสิ้นลงอย่างน่าครั่นคร้าม และจะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไปเป็นนิตย์'"
เอเสเคียล 28
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวแก่เจ้าเมืองไทระว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เพราะใจของเจ้าผยองขึ้น และเจ้าได้กล่าวว่า ข้าเป็นพระเจ้า ข้านั่งอยู่ในที่นั่งแห่งพระเจ้า ในท้องทะเล' แต่เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ มิใช่พระเจ้า แม้เจ้าจะพิจารณาตนเองว่าฉลาดอย่างพระเจ้า
3 เจ้าฉลาดกว่าดาเนียลจริง ไม่มีความลับอันใดที่ซ่อนให้พ้นเจ้าได้
4 เจ้าหาทรัพย์สมบัติมาสำหรับตน โดยสติปัญญาและความเข้าใจของเจ้า และได้รวบรวมทองคำและเงิน มาไว้ในคลังของเจ้า
5 ด้วยสติปัญญายิ่งใหญ่ในการค้าของเจ้า เจ้าได้ทวีทรัพย์สมบัติของเจ้าขึ้น และจิตใจของเจ้าก็ผยองขึ้นในทรัพย์สมบัติของเจ้า
6 เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "เพราะเจ้าถือตัวเจ้า ว่าฉลาดอย่างพระเจ้า
7 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะนำคนต่างด้าวมาสู้เจ้า เป็นชนชาติที่ทารุณที่สุดในบรรดาประชาชาติ เขาทั้งหลายจะชักดาบออกต่อสู้กับความ งามแห่งสติปัญญาของเจ้า กระทำให้ความสง่างามของเจ้าสาธารณ์
8 เขาทั้งหลายจะดันเจ้าลงไปที่ในปากแดนคนตาย และเจ้าจะตายอย่างคนที่ถูกฆ่าในท้องทะเล
9 เจ้ายังจะกล่าวอีกหรือว่า 'ข้าเป็นพระเจ้า' ต่อหน้าคนที่ฆ่าเจ้า ถึงเจ้าเป็นเพียงมนุษย์ มิใช่พระเจ้า อยู่ในมือของคนที่ให้เจ้าบาดเจ็บ
10 เจ้าจะตายอย่างคนที่มิได้เข้าสุหนัตตาย โดยมือของคนต่างด้าว เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว พระเจ้าได้ตรัส"
11 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
12 บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเปล่งเสียงบทคร่ำครวญ เพื่อกษัตริย์เมืองไทระ และจงกล่าวแก่ท่านว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "เจ้าเป็นตราแห่งความสมบูรณ์แบบ เต็มด้วยสติปัญญา และมีความงามอย่างพร้อมสรรพ
13 เจ้าอยู่ในเอเดน พระอุทยานของพระเจ้า เพชรพลอยทุกอย่างเป็นเสื้อของเจ้า คือทับทิม บุษราคัมน้ำอ่อน เพชร เพทาย โกเมน และมณีโชติ ไพฑูรย์ มรกต และเบริล เพชรพลอยเหล่านี้ฝังในทองคำ และลวดลายแกะสลักก็เป็นทองคำ สิ่งเหล่านั้นจัดเตรียมไว้ ในวันที่สร้างเจ้าขึ้นมา
14 เราตั้งเจ้าให้อยู่กับเครูบ ผู้พิทักษ์ที่ได้เจิมตั้งไว้ เจ้าอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้า และเจ้าเดินอยู่ท่ามกลางศิลาเพลิง
15 เจ้าก็ปราศจากตำหนิในวิธีการทั้งหลายของเจ้า ตั้งแต่วันที่เจ้าได้ถูกสร้างขึ้น มาจนพบความบาปชั่วในตัวเจ้า
16 ในความอุดมสมบูรณ์แห่งการค้าของเจ้านั้น เจ้าก็เต็มด้วยการทารุณ เจ้ากระทำบาป เราจะกำจัดเจ้าเสียจากภูเขาแห่งพระเจ้า และเครูบผู้พิทักษ์นั้นก็ขับเจ้าออกไป จากท่ามกลางศิลาเพลิง
17 จิตใจของเจ้าผยองขึ้นเพราะความงามของเจ้า เจ้ากระทำให้สติปัญญาของเจ้าเสื่อมทรามลง เพราะเห็นแก่ความงามของเจ้า เราเหวี่ยงเจ้าลงที่ดินแล้ว เราตีแผ่เจ้าต่อหน้ากษัตริย์ทั้งหลาย เพื่อตาของท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะเพลินอยู่ที่เจ้า
18 เจ้ากระทำให้สถานนมัสการของเจ้าสาธารณ์ โดยความบาปชั่วมากมายของเจ้า ในการค้าอันไม่ชอบธรรมของเจ้า เหตุฉะนั้นเราจึงนำไฟลงมาจากหมู่พวกเจ้า ไฟก็เผาผลาญเจ้า เรากระทำให้เจ้ากลับเป็นเถ้าไปบนพื้นโลก ในสายตาของคนทั้งปวงที่เห็นเจ้า
19 บรรดาผู้ที่รู้จักเจ้าท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย เขาก็ตกตะลึงเพราะเจ้า เจ้าสิ้นสูญลงอย่างน่าครั่นคร้าม และจะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไปเป็นนิตย์"
20 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
21 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าต่อสู้ไซดอน และพยากรณ์กล่าวโทษเมืองนั้น
22 และกล่าวว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด ไซดอน เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า เราจะสำแดงพระสิริของเราท่ามกลางเจ้า และเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า เมื่อเราทำการพิพากษาลงโทษในเมืองนั้น และสำแดงความบริสุทธิ์ของเราในเมืองนั้น
23 เพราะเราจะส่งโรคระบาดเข้ามาในเมืองนั้น และส่งโลหิตเข้ามาในถนนของเมืองนั้น คนที่ถูกฆ่าตายจะล้มลงท่ามกลางเมืองนั้น ล้มลงด้วยดาบที่อยู่รอบเมืองนั้นทุกด้าน แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
24 "และส่วนพงศ์พันธุ์อิสราเอลนั้น จะไม่มีผักโขมหนามมาแทง หรือมีหนามใหญ่มายอกอีก ท่ามกลางเพื่อนบ้านทั้งปวงซึ่งได้เคยกระทำแก่เขา ด้วยความดูหมิ่น แล้วเขาจะทราบว่า เราคือพระเจ้า
25 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมื่อเรารวบรวมพงศ์พันธุ์อิสราเอล จากชนชาติทั้งหลาย ซึ่งเขาได้กระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางนั้น และเมื่อเราสำแดงความบริสุทธิ์ของเราท่ามกลาง เขาต่อหน้าต่อตาของประชาชาติทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของเขาเอง ซึ่งเราได้มอบให้แก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา
26 และเขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ในที่นั้นอย่างปลอดภัย เออ เขาจะสร้างบ้านเรือนและปลูกสวนองุ่น เมื่อเรากระทำการพิพากษาลงโทษเพื่อนบ้านของเขาทั้งสิ้น ผู้ได้กระทำต่อเขาด้วยความดูหมิ่นนั้น เขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยแล้ว เขาทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย
เอเสเคียล 29
1 เมื่อวันที่สิบสองเดือนสิบในปีที่สิบ พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ พยากรณ์กล่าวโทษกษัตริย์และอียิปต์ทั้งสิ้น
3 พูดไปเถิดและกล่าวว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ ผู้เป็นจระเข้มหึมา นอนอยู่กลาง ลำธารทั้งหลายของมัน ผู้กล่าวว่า 'แม่น้ำไนล์ของข้าก็เป็นของข้า ข้าสร้างมันขึ้น'
4 เราจะเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และกระทำให้ปลาในลำธาร ทั้งหลายของเจ้าติดกับเกล็ดของเจ้า และเราจะลากเจ้าขึ้นมาจากกลางลำธารทั้งหลายของเจ้า พร้อมกับปลาในลำธารทั้งหลายของเจ้า ซึ่งติดอยู่กับเกล็ดของเจ้า
5 เราจะเหวี่ยงเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ทั้งตัวเจ้าและปลาในลำธารทั้งหลายของเจ้า เจ้าจะตกลงที่พื้นทุ่ง ไม่มีใครรวบรวมและฝังเจ้าไว้ เราได้มอบเจ้าไว้ให้เป็นอาหาร ของสัตว์ป่าดินและของนกในอากาศ
6 "แล้วคนที่อยู่ในอียิปต์ทั้งสิ้นจะทราบว่า เราคือพระเจ้า เพราะเจ้าเป็นไม้เท้าอ้อของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
7 เมื่อเขาเอามือจับเจ้า เจ้าก็หัก และบาดบ่าของเขาทุกคน และเมื่อเขาพิงเจ้า เจ้าก็โค่นและกระทำให้บั้นเอวของเขาทุกคนสั่นหมด
8 ดังนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำดาบมาเหนือเจ้าและตัดมนุษย์และ สัตว์ให้ขาดจากเจ้าเสีย
9 แผ่นดินอียิปต์จะเป็นที่ร้างและที่ว่างเปล่า แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเจ้า "เพราะเจ้ากล่าวว่า 'แม่น้ำไนล์เป็นของข้า และข้าสร้างมัน'
10 เหตุฉะนั้นดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า และกับลำธารทั้งหลายของเจ้า เราจะกระทำให้แผ่นดินอียิปต์ว่างเปล่าและร้างเสียทีเดียว ตั้งแต่มิกดลถึงสิเอเน ไกลไปจนถึงพรมแดนเอธิโอเปีย
11 ไม่มีเท้ามนุษย์ข้ามแผ่นดินนั้น และไม่มีตีนสัตว์ข้ามแผ่นดินนั้น จะไม่มีใครอาศัยอยู่ถึงสี่สิบปี
12 และเราจะกระทำให้แผ่นดินอียิปต์เป็นที่ ร้างเปล่าท่ามกลางประเทศร้างเปล่าทั้งหลาย และหัวเมืองของเจ้าจะว่างเปล่าอยู่สี่สิบปีท่ามกลาง หัวเมืองที่ว่างเปล่าทั้งหลาย เราจะให้คนอียิปต์กระจัดพลัดพรายไปท่ามกลางประชาชาติ และกระจายเขาไปตามประเทศต่างๆ
13 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมื่อสิ้นสี่สิบปีแล้ว เราจะรวบรวมคนอียิปต์จากท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ซึ่งเขากระจัดกระจายไปอยู่ด้วยนั้น
14 และเราจะให้อียิปต์กลับสู่สภาพเดิมและนำ เขากลับมายังแผ่นดินปัทโรสซึ่งเป็นแผ่นดินดั้งเดิมของเขา และเขาทั้งหลายจะเป็นราชอาณาจักรต่ำต้อยที่นั่น
15 จะเป็นราชอาณาจักรที่ต่ำต้อยที่สุดในบรรดา ราชอาณาจักรทั้งหลาย และจะไม่เคยยกตนขึ้นเหนือประชาชาติทั้งหลายอีกเลย และเราจะทำให้เขาเป็นราชอาณาจักรเล็กจนไม่ สามารถจะปกครองประชาชาติอื่นได้
16 และจะไม่เป็นที่วางใจของพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีก อันทำให้สำนึกถึงความบาปชั่วของเขาเมื่อหันไป พึ่งพาอียิปต์นี้ แล้วเขาจะทราบว่าเราคือ พระเจ้า"
17 เมื่อวันที่หนึ่ง เดือนที่หนึ่ง ในปีที่ยี่สิบเจ็ด พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
18 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้ให้กองทัพมาสู้รบกับเมืองไทระอย่างหนักจนศีรษะทุก ศีรษะล้าน และบ่าทุกบ่าก็ถลอก ถึงกระนั้นท่านเองหรือกองทัพของท่านก็ไม่ได้ อะไรไปจากไทระอันเป็นค่าแรง ซึ่งท่านได้กระทำต่อเมืองนั้น
19 เหตุฉะนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะมอบแผ่นดินอียิปต์ไว้กับเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์บาบิโลน และท่านจะขนเอาทรัพย์สมบัติไปและริบข้าวของไป และปล้นเอาไปเป็นค่าจ้างกองทัพของท่าน
20 พระเจ้าตรัสว่า เราได้มอบแผ่นดินอียิปต์ ให้ไว้แก่ท่านเพื่อเป็นค่าแรงงานซึ่งเขา ทั้งหลายได้กระทำเพื่อเรา
21 "ในวันนั้นเราจะกระทำให้มีเขางอกขึ้นมาที่ พงศ์พันธุ์อิสราเอล และเราจะให้เจ้าอ้าปากพูดท่ามกลางเขาทั้งหลาย แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า"
เอเสเคียล 30
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์ พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงพิลาปร่ำไรเถิดว่า 'อนิจจาหนอวันนั้น'
3 เพราะวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว วันแห่งพระเจ้าใกล้เข้ามา จะเป็นวันมีเมฆ เป็นเวลาที่กำหนดของประชาชาติ
4 ดาบเล่มหนึ่งจะมาเหนืออียิปต์ และความแสนระทมจะอยู่ในเอธิโอเปีย เมื่อคนที่ถูกฆ่าล้มในอียิปต์ และเขาขนเอาทรัพย์สินไปเสีย และรากฐานของเมืองนั้นก็ถูกทลายลง
5 เอธิโอเปีย และพูต และลูด และอาระเบียทั้งหมด และลิเบีย และประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นที่อยู่ในสันนิบาต จะล้มลงพร้อมกับเขาด้วยดาบ
6 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ผู้เหล่านั้นที่สนับสนุนอียิปต์จะล่มจม และอานุภาพอันผยองของมันจะลงมา และจากมิกดลถึงสิเอเน เขาจะล้มลงภายในประเทศนั้นด้วยดาบ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
7 และมันจะร้างเปล่าอยู่ท่ามกลางประเทศที่ร้างเปล่าทั้งหลาย และหัวเมืองของมันจะอยู่ท่ามกลางหัวเมืองที่ทิ้งร้าง
8 และเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า เมื่อเราวางเพลิงที่อียิปต์ และผู้ช่วยทั้งหมดของมันก็ทลายแล้ว
9 "และในวันนั้นทูตจะลงเรือไปจากเรา เพื่อจะกระทำให้คนเอธิโอเปียที่เลินเล่ออยู่นั้นครั่นคร้าม และในวันกำหนดของอียิปต์ ความแสนระทมจะมาถึงเขาเหล่านั้น เพราะนี่แน่ะวันนั้นมาถึงจริงๆ
10 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกระทำให้ทรัพย์สมบัติของอียิปต์สิ้นสุดลง ด้วยมือของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลน
11 ตัวท่านพร้อมกับชนชาติของท่าน คือชนชาติที่ทารุณที่สุดในบรรดาประชาชาติ จะถูกนำเข้ามาเพื่อทำลายแผ่นดินนั้น และเขาจะชักดาบออกต่อสู้อียิปต์ กระทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยคนที่ถูกฆ่า
12 และเราจะกระทำให้แม่น้ำไนล์แห้งไป เราจะขายแผ่นดินนั้นไว้ในมือของคนชั่ว กระทำให้แผ่นดินและสารพัดที่อยู่บนแผ่นดินนั้นร้างเปล่า โดยมือของคนต่างด้าว เรา คือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว
13 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะทำลายรูปเคารพ และกระทำให้ปฏิมากรที่ในเมืองเมมฟีสสิ้นสุดลง และจะไม่มีจ้าวจากแผ่นดินอียิปต์อีก ดังนั้นเราจะใส่ความยำเกรงไว้ในแผ่นดินอียิปต์
14 เราจะกระทำปัทโรสให้เป็นที่ร้างเปล่า และวางเพลิงที่โศอัน และจะกระทำการพิพากษาลงโทษเมืองเธเบส
15 เราจะเทความพิโรธของเราลงบนเมืองเปลูเซียม ที่กำบังเข้มแข็งของอียิปต์ และตัดหมู่นิกรออกเสียจากเมืองเธเบส
16 และเราจะวางเพลิงในอียิปต์ เมืองเปลูเซียมจะอยู่ในมหันตทุกข์ เมืองเธเบสจะแตก และเมืองเมมฟิสจะมีปรปักษ์ในเวลากลางวัน
17 ชายฉกรรจ์ของเมืองโอนและเมืองพีเบเสทจะล้มลงด้วยดาบ และเมืองนั้นจะตกไปเป็นเชลย
18 ที่เมืองทาปานเหสกลางวันจะมืด เมื่อเราทำลายแอกของอียิปต์ และอานุภาพอันผยองของเมืองนั้นจะสิ้นสุดลง จะมีเมฆมาคลุมเมืองนั้นไว้ และเหล่าธิดาของเมืองนั้นจะตกไปเป็นเชลย
19 เราจะกระทำการพิพากษาลงโทษอียิปต์ดังนี้แหละ แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า"
20 เมื่อวันที่เจ็ด เดือนที่หนึ่ง ในปีที่สิบเอ็ด พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
21 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้กระทำให้แขนของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์หัก และนี่แน่ะ ไม่มีผู้ใดพันแขนให้ ไม่มีผู้ใดเอาผ้ามาพันแขนเพื่อจะรักษาให้หาย เพื่อให้เข้มแข็งที่จะเหวี่ยงดาบได้อีก
22 เหตุฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ เราจะหักแขนของเขา ทั้งแขนที่ยังแข็งแรงและแขนที่หักแล้วนั้น เราจะกระทำให้ดาบหลุดจากมือของเขา
23 เราจะให้คนอียิปต์กระจัดพลัดพรายไปอยู่ ท่ามกลางประชาชาติ และกระจายเขาไปตามประเทศต่างๆ
24 และเราจะเสริมกำลังแขนของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเอาดาบของเราใส่มือให้ แต่เราจะหักแขนของฟาโรห์ และเขาจะคร่ำครวญต่อหน้าท่านอย่างคนถูกบาดเจ็บเจียนจะตาย
25 เราจะเสริมกำลังแขนของกษัตริย์แห่งบาบิโลน แต่แขนของฟาโรห์จะตก แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า เมื่อเราเอาดาบของเราใส่มือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ท่านจะยื่นมันออกต่อสู้แผ่นดินอียิปต์
26 และเราจะให้คนกระจัดพลัดพรายไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติ และกระจายเข้าไปตามประเทศต่างๆ แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า"
เอเสเคียล 31
1 และอยู่มา เมื่อวันที่หนึ่ง เดือนที่สาม ในปีที่สิบเอ็ด พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวแก่ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์และแก่หมู่นิกรของท่านว่า ในความเป็นใหญ่เป็นโตของท่านนั้น ท่านเหมือนผู้ใด
3 ดูเถิด เราจะเปรียบเจ้ากับไม้สนสีดาร์ในเลบานอน มีกิ่งงามและมีใบร่ม และสูงมาก ยอดอยู่ที่ท่ามกลางเมฆ
4 มีน้ำหล่อเลี้ยง น้ำบาดาลทำให้มันงอกสูง กระทำให้แม่น้ำของบาดาลไหล รอบที่ที่ปลูกมันไว้ กระทำให้ลำธารของบาดาลแตกแยกออกมา ไปทั่วต้นไม้ในป่าทั้งสิ้น
5 ดังนั้นมันจึงสูง เหนือต้นไม้ในป่าทั้งหลาย กิ่งไม้ก็แตกใหญ่ และก้านก็ยาว เพราะน้ำมากหลายเมื่อให้งอก
6 นกในอากาศทั้งสิ้น ได้มาทำรังอยู่ในกิ่งของมัน สัตว์ป่าทุ่งทั้งสิ้น ตกลูกออกมาอยู่ใต้ก้าน ประชาชาติใหญ่โตทั้งสิ้น อาศัยอยู่ใต้ร่มของมัน
7 มันก็งดงามด้วยความใหญ่ยิ่งของมัน ด้วยความยาวแห่งก้านของมัน เพราะรากของมัน หยั่งลึกลงไปยังน้ำอุดม
8 ต้นสนสีดาร์ที่อยู่ในอุทยานของพระเจ้า ก็ยังสู้ไม่ได้ ต้นสนสามใบก็ยังไม่เท่ากิ่งของมัน ต้นเปลนจะไม่เป็นอะไรเลย ถ้าเทียบกับกิ่งของมัน ไม่มีไม้ต้นใดในอุทยานของพระเจ้า ที่มีความงามเหมือนมัน
9 เราได้กระทำให้มันงาม ด้วยกิ่งก้านมากมายของมัน ต้นไม้ทั้งสิ้นในสวนเอเดนก็อิจฉามัน คือต้นไม้ซึ่งอยู่ในอุทยานของพระเจ้า
10 "เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะว่ามันสูงและชูยอดของมันขึ้นอยู่ท่ามกลางเมฆ และจิตใจของมันก็เย่อหยิ่งเพราะความสูงของมัน
11 เราจะมอบมันไว้ในมือของผู้หนึ่งที่ทรง อานุภาพในบรรดาประชาชาติ ท่านนั้นจะกระทำต่อมันให้สาสมกับความชั่วร้าย ของมันเป็นแน่ เราได้ไล่มันออก
12 คนต่างด้าว คือชนชาติที่ทารุณที่สุดในบรรดาประชาชาติ จะโค่นมันลงและทิ้งไว้ กิ่งของมันจะตกลงบนภูเขาทั้งหลายและในหุบเขาทั้งสิ้น และก้านหักของมันจะอยู่ในห้วยทั้งสิ้นของแผ่นดิน และบรรดาชนชาติทั้งหลายของพิภพจะลงไปเสีย จากร่มเงาของมันและทิ้งมันเสีย
13 นกในอากาศทั้งสิ้นจะอาศัยอยู่บนสิ่งปรักหักพังของมัน และสัตว์ป่าทุ่งจะอยู่บนก้านของมัน
14 ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อต้นไม้ที่อยู่ริมน้ำ จะไม่งอกขึ้นสูงนัก หรือชูยอดขึ้นท่ามกลางเมฆ และเพื่อไม่ให้ต้นไม้ที่ดื่มน้ำขึ้นสูงอย่างนั้นได้ เพราะว่ามันทั้งหลายต้องมอบให้แก่ความตาย มอบให้แก่ถิ่นมัจจุราชท่ามกลางบุตรแห่ง มนุษย์กับผู้ที่ได้ลงไปยังปากแดนคนตาย
15 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เมื่อมันลงไปยังแดนคนตาย เราจะกระทำให้บาดาลคลุมตัวไว้ทุกข์ให้มัน และยับยั้งแม่น้ำของมันไว้ และน้ำเป็นอันมากจะหยุดยั้ง เราจะคลุมเลบานอนไว้ให้กลุ้มอยู่เพื่อมัน และต้นไม้ในทุ่งนาทั้งสิ้นจะสลบเพราะมัน
16 เราจะกระทำให้ประชาชาติสั่นสะเทือนด้วยเสียงที่มันล้ม เมื่อเราเหวี่ยงมันลงไปที่แดนคนตายพร้อมกับบรรดาผู้ที่ ลงไปยังปากแดน และต้นไม้ทั้งสิ้นในเอเดน ต้นไม้ที่คัดเลือกแล้ว และต้นไม้ที่ดีที่สุดของเลบานอน ต้นไม้ทุกต้นที่ดื่มน้ำจะได้รับความเล้าโลมที่ในโลกบาดาล
17 ประชาชาติเหล่านี้จะลงไปยังแดนคนตายกับเขาด้วย ไปอยู่กับบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ เออ คือบรรดาผู้ช่วยเขาที่อยู่ใต้ร่มของเขาท่ามกลางประชาชาติ
18 ดังนี้ เจ้าเหมือนผู้ใดในเรื่องศักดิ์ศรีและความเป็นใหญ่ ท่ามกลางต้นไม้แห่งเอเดน เจ้าจะถูกนำลงมาพร้อมกับต้นไม้แห่งเอเดนไปยังโลกบาดาล เจ้าจะนอนอยู่ท่ามกลางผู้ที่มิได้เข้าสุหนัต พร้อมกับผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ นี่คือฟาโรห์และบรรดาหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่าน พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
เอเสเคียล 32
1 เมื่อวันที่หนึ่ง เดือนที่สิบสอง ในปีที่สิบสอง พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเปล่งเสียงบทคร่ำครวญเรื่องฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และกล่าวให้ท่านฟังดังนี้ว่า "ท่านถือว่าท่านเหมือนสิงห์หนุ่มท่ามกลางประชาชาติ แต่ท่านเป็นเหมือนมังกรในทะเลทั้งหลาย ท่านเผ่นออกมาในแม่น้ำทั้งหลายของท่าน เอาเท้าของท่านกวนน้ำ และกระทำแม่น้ำของมันให้มลทินไป
3 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะกางข่ายของเราคลุมท่าน โดยกองทัพชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และเขาเหล่านั้นจะลากท่านขึ้นมาด้วยอวนของเรา
4 และเราจะเหวี่ยงท่านลงบนดิน และเราจะฟัดท่านลงบนพื้นทุ่ง และจะกระทำให้นกทั้งสิ้นในอากาศมาจับอยู่บนท่าน และเราจะให้ท่านเป็นอาหารอิ่มออกของสัตว์ทั่วทั้งโลก
5 เราจะเอาเนื้อของท่านเกลี่ยไว้บนภูเขา และถมหุบเขาด้วยศพของท่าน
6 เราจะให้แผ่นดินถึงแม้ภูเขา ชุ่มโชกด้วยเลือดกำลังไหลของท่าน และห้วยจะเต็มไปด้วยท่าน
7 เมื่อเราดับท่าน เราจะคลุมฟ้าสวรรค์ไว้ และกระทำให้ดวงดาวมืดไป เราจะเอาเมฆบังดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จะไม่ทอแสง
8 แสงสุกใสทั้งสิ้นแห่งสวรรค์นั้น เราจะกระทำให้มืดอยู่เหนือท่าน และวางความมืดไว้เหนือแผ่นดินของท่าน พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
9 "เมื่อเราทำลายท่านท่ามกลางประชาชาติในประเทศ ซึ่งท่านไม่รู้จักนั้น เราจะกระทำให้จิตใจของชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากลำบาก
10 เออ เมื่อเราแกว่งดาบของเราต่อหน้าเขาทั้งหลาย เราจะกระทำให้ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากแลตะลึงที่ท่าน และกษัตริย์ของเขาทั้งหลายจะสะทกสะท้านเพราะท่าน ในวันที่ท่านล้มลงนั้นเขาทั้งหลายจะตัวสั่นทุก ขณะจิตทั่วกันเพราะห่วงชีวิตของตนเอง
11 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดาบของกษัตริย์แห่งบาบิโลนจะมาเหนือท่าน
12 เราจะทำให้หมู่นิกรของท่านล้มลงด้วยดาบของ ผู้มีกำลัง ทุกคนก็ล้วนเป็นที่ทารุณที่สุดในบรรดาประชาชาติ "เขาจะนำความทะเยอทะยานของอียิปต์ให้มาถึงที่สิ้นสุด และหมู่นิกรทั้งสิ้นของมันจะพินาศ
13 เราจะทำลายสัตว์ของเมืองนั้นทั้งสิ้น จากข้างน้ำมากหลาย และไม่มีเท้ามนุษย์คนใดกระทำให้น้ำนั้นขุ่นอีก กีบสัตว์ก็จะไม่กระทำให้น้ำนั้นขุ่นอีกเช่นกัน
14 แล้วเราจะทำให้น้ำของเขาทั้งหลายใส และกระทำให้แม่น้ำ ทั้งหลายของเขาไหลไปเหมือนน้ำมันไหล พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
15 เมื่อเรากระทำให้แผ่นดินอียิปต์ร้างเปล่า และเมื่อแผ่นดินถูกริบเอาข้าวของที่มี อยู่ในแผ่นดินไปหมดแล้ว เมื่อเราทำลายผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้น แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเจ้า
16 นี่เป็นบทคร่ำครวญที่จะร้องคร่ำครวญ เหล่าธิดาแห่งประชาชาติจะร้องบทนั้น เขาจะร้องเรื่องอียิปต์และหมู่นิกรของอียิปต์ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
17 เมื่อวันที่สิบห้าเดือนที่หนึ่งในปีที่สิบสอง พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
18 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพิลาปร่ำไห้เหนือหมู่นิกรอียิปต์ และจงส่งเขาลงไป ทั้งตัวเขาและเหล่าธิดาแห่งประชาชาติที่โอ่อ่าไป ยังถิ่นมัจจุราช ไปยังบรรดาคนเหล่านั้นที่ไปยังปากแดนคนตายแล้ว
19 ในเรื่องความงาม ท่านงามล้ำกว่าผู้ใดๆหรือ จงลงไป ไปนอนกับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต'
20 เขาทั้งหลายจะล้มลงกลางบรรดาผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ มีดาบกำหนดไว้แล้วจงลากอียิปต์ไปเสียพร้อมกับหมู่นิกร ทั้งสิ้นของเขา
21 เหล่าชายฉกรรจ์ในบรรดาผู้ที่แกล้วกล้าจะพูดเรื่อง ของเขากับผู้ช่วยของเขาจากกลางแดนคนตายว่า 'เขาได้ลงมาแล้ว เขานอนอยู่ คือคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ'
22 อัสซีเรียก็อยู่ที่นั่นรวมทั้งคณะมีหลุมศพอยู่รอบตัว ทุกคนถูกฆ่าและล้มลงด้วยดาบ
23 ที่ฝังศพของคนเหล่านี้อยู่ที่แดนมรณาส่วนที่ไกลที่สุด และคณะของเธอก็อยู่รอบหลุมฝังศพของเธอ ทุกคนถูกฆ่า ล้มลงด้วยดาบ เป็นพวกที่ให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของผู้มีชีวิต
24 "เอลามก็อยู่ที่นั่น ทั้งหมู่นิกรทั้งสิ้นก็อยู่รอบหลุมศพของเธอ ทุกคนถูกฆ่า และล้มลงด้วยดาบ ผู้ลงไปสู่โลกบาดาลโดยไม่เข้าสุหนัต เป็นพวกที่ให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของผู้มีชีวิต และเขาต้องทนรับความอับอายขายหน้ากับผู้ที่ลงไป ปากแดนคนตาย
25 เขาได้ทำที่ให้เธอนอนในหมู่พวกผู้ที่ถูก ฆ่าพร้อมกับหมู่นิกรทั้งสิ้นของเธอ มีหลุมศพอยู่รอบตัว เป็นผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตทุกคน ถูกฆ่าด้วยดาบ เพราะว่าความครั่นคร้ามเขาทั้งหลายนั้นได้กระจายไป ในแผ่นดินของผู้มีชีวิต และเขาต้องทนรับความอับอายขายหน้ากับผู้ที่ลงไป ยังปากแดนคนตาย เขามีที่อยู่ในหมู่พวกผู้ถูกฆ่า
26 "เมเชคกับทูบัลก็อยู่ที่นั่น ทั้งหมู่นิกรทั้งสิ้นของเธอ หลุมศพของเขาทั้งหลายอยู่รอบเธอทั้งสอง เป็นผู้ที่ไม่เข้าสุหนัตทุกคน ถูกฆ่าด้วยดาบ เพราะเขาให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของผู้มีชีวิต
27 เขาทั้งหลายไม่ได้นอนอยู่กับผู้แกล้วกล้าใน จำพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตที่ได้ล้มลง ลงไปยังแดนคนตายพร้อมกับยุทโธปกรณ์ของเขา ผู้ซึ่งมีดาบวางไว้ใต้ศีรษะของเขา และเกราะก็อยู่บนกระดูกของเขา เพราะว่าความครั่นคร้ามผู้แกล้วกล้า นั้นอยู่ในแผ่นดินของผู้มีชีวิต
28 ดังนั้นท่านจะต้องถูกหัก และนอนอยู่ในหมู่พวกผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับคนเหล่านั้นที่ถูกฆ่าด้วยดาบ
29 "เอโดมก็อยู่ที่นั่น คือบรรดากษัตริย์และบรรดาเจ้านายทั้งหลายของเธอ แม้ว่าเขาทั้งหลายมีอานุภาพเขายังถูกนำมาวาง ไว้กับบรรดาคนเหล่านั้นที่ถูกฆ่าด้วยดาบ เขานอนอยู่กับผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับบรรดาคนที่ได้ลงไปยังปากแดนคนตาย
30 "เจ้านายจากทิศเหนือก็อยู่ที่นั่นอยู่กันหมด คนไซดอนทั้งหมด ผู้ที่ลงไปด้วยความอายพร้อมกับผู้ที่ถูกฆ่า เพราะเหตุความครั่นคร้ามทั้งสิ้นซึ่งเขาได้กระทำขึ้นด้วย กำลังของเขา เขานอนอยู่ที่นั่นไม่เข้าสุหนัตพร้อมกับผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบ และทนรับความอับอายขายหน้ากับบรรดาผู้ที่ลงไป ยังปากแดนคนตาย
31 พระเจ้าตรัสว่า เมื่อฟาโรห์เห็นพวกเหล่านั้นแล้ว ท่านก็จะเบาใจในเรื่องหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่าน ฟาโรห์และหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่านถูกฆ่าด้วยดาบ
32 เพราะเขาได้ให้เกิดความครั่นคร้ามในแผ่นดินของผู้มีชีวิต เพราะฉะนั้นเขาจะถูกวางไว้ท่ามกลางผู้ไม่เข้าสุหนัต พร้อมกับผู้เหล่านั้นที่ถูกฆ่าด้วยดาบ ทั้งฟาโรห์และหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่าน พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
เอเสเคียล 33
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับชนชาติของเจ้าและกล่าวแก่เขาว่า ถ้าเรานำดาบมาเหนือแผ่นดินและถ้าประชาชน ในแผ่นดินนั้นตั้งชายคนหนึ่งจากพวกเขาให้เป็นยาม
3 และถ้าเขาเห็นดาบมาเหนือแผ่นดินจึงเป่า เขาสัตว์และตักเตือนประชาชน
4 เมื่อคนหนึ่งคนใดได้ยินเสียงเขาสัตว์ แต่ไม่นำพาต่อเสียงตักเตือน และดาบนั้นก็มาพาเอาคนนั้นไปเสีย ที่เขาต้องตายนั้นเขาเองต้องรับผิดชอบ
5 คือเขาได้ยินเสียงเขาสัตว์ แต่ไม่นำพาต่อเสียงตักเตือน ตัวเขาเองต้องรับผิดชอบ ถ้าเขาได้นำพาต่อเสียงตักเตือนแล้ว เขาคงจะได้ช่วยชีวิตของตนเองให้รอด
6 แต่ถ้าคนยามเห็นดาบมาแล้วและไม่เป่าเขาสัตว์ ประชาชนจึงไม่ได้รับเสียงตักเตือน และดาบก็มาพาคนหนึ่งคนใดไปเสีย คนนั้นถูกนำไปด้วยเรื่องความบาปชั่วของเขา แต่เราจะลงโทษคนยาม เพราะความตายของคนนั้น
7 "ฉะนี้แหละ เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้กระทำเจ้าให้เป็นคนยามสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล เจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากของเราเมื่อไร เจ้าจงให้คำตักเตือนของเราแก่ประชาชน
8 ถ้าเรากล่าวแก่คนอธรรมว่า โอ คนอธรรมเอ๋ย เจ้าจะต้องตายแน่ แต่เจ้าก็มิได้กล่าวคำตักเตือนให้คนอธรรมกลับ จากทางของเขา คนอธรรมนั้นจะต้องตายเพราะความบาปชั่วของเขา แต่เราจะลงโทษเจ้าเพราะความตายของเขา
9 แต่ถ้าเจ้าได้ตักเตือนคนอธรรมให้หันกลับ จากทางของเขาแล้ว แต่เขาไม่หันกลับจากทางของเขา เขาจะตายเพราะความบาปชั่วของเขา แต่เจ้าจะช่วยชีวิตของเจ้าเองให้รอด
10 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเจ้าเคยกล่าวดังนี้ว่า 'การละเมิดและความบาปทั้งหลายของเราอยู่เหนือเรา เราก็ค่อยๆวอดวายไปเพราะสิ่งเหล่านี้ เราจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร'
11 จงกล่าวตอบเขาว่า พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราไม่พอใจในความตายของคนอธรรม แต่พอใจในการที่คนอธรรมหันจากทางของเขาและมีชีวิตอยู่ จงหันกลับ จงหันกลับจากทางชั่วของเจ้า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ยอมตายทำไม
12 เจ้าบุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติของเจ้าว่าความชอบธรรมของ ผู้ชอบธรรมจะไม่ช่วยกู้เขาให้พ้นเมื่อเขากบฏ ส่วนความอธรรมของคนอธรรมนั้นจะไม่กระทำให้เขา ล้มลงเมื่อเขาหันกลับจากความอธรรมของเขา และคนชอบธรรมจะไม่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความชอบธรรม เมื่อเขากระทำบาป
13 แม้เราจะได้กล่าวแก่คนชอบธรรมว่าเขาจะมีชีวิตอยู่แน่ ถ้าเขายังวางใจในความชอบธรรมของเขาและกระทำ ความบาปชั่ว การกระทำทั้งหลายที่ชอบธรรมของเขาย่อมไม่อยู่ใน ความทรงจำอีกเลย แต่เขาจะต้องตายเพราะความบาปชั่วซึ่งเขาได้กระทำไว้
14 อีกประการหนึ่ง แม้เราจะได้กล่าวแก่คนอธรรมว่า 'เจ้าจะต้องตายแน่' ถ้าเขาหันกลับจากบาปของเขา มากระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม
15 ถ้าคนอธรรมได้คืนของประกัน ขโมยอะไรของเขามาก็คืนเสีย และดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งชีวิต ไม่กระทำความบาปชั่วเลยเขา จะดำรงชีวิตอยู่แน่ เขาไม่ต้องตาย
16 บาปซึ่งเขาได้กระทำมาแล้ว จะไม่จดจำ นำมากล่าวโทษเขา เขาได้กระทำความยุติธรรมและ ความชอบธรรมเขาจะดำรงชีวิตแน่
17 "แต่ชนชาติของเจ้ายังกล่าวว่า 'วิธีการของพระเจ้าไม่ยุติธรรม' ในเมื่อวิธีการของเขาเองไม่ยุติธรรม
18 เมื่อคนชอบธรรมหันกลับจากความ ชอบธรรมของเขาและกระทำความชั่ว เขาจะต้องตายเพราะความชั่วนั้น
19 และเมื่อคนอธรรมหันกลับจากความอธรรมของเขา และกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม เขาจะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยเหตุนั้น
20 เจ้ายังกล่าวว่า 'วิธีการของพระเจ้าไม่ยุติธรรม' โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาเจ้าตามการประพฤติของเจ้า แต่ละคน"
21 และอยู่มา เมื่อวันที่ห้า เดือนที่สิบ ในปีที่สิบสอง ซึ่งเราได้ถูกกวาดไปเป็นเชลย ชายคนหนึ่งหนีมาจากกรุงเยรูซาเล็มมาหาข้าพเจ้ากล่าวว่า "เมืองนั้นแตกเสียแล้ว"
22 ในเวลาเย็นก่อนที่ผู้ลี้ภัยมา พระหัตถ์ของพระเจ้าได้มาอยู่เหนือข้าพเจ้า และพระองค์ทรงอ้าปากของข้าพเจ้าทันเวลา ที่ชายคนนั้นมาถึงในตอนเช้า ดังนั้นปากของข้าพเจ้าจึงอ้าออก ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นใบ้ต่อไป
23 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
24 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในที่ร้างเปล่าในแผ่นดิน อิสราเอลกล่าวเรื่อยๆ ว่า 'อับราฮัมเป็นแต่ชายคนเดียวและยังถือกรรมสิทธิ์ที่ดินนี้ แต่พวกเราหลายคนด้วยกัน คงต้องประทานแผ่นดินนั้นให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่เรา'
25 เพราะฉะนั้น จงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้ารับประทานเนื้อพร้อมเลือด เจ้าเงยหน้าขึ้นนมัสการรูปเคารพของเจ้าและทำให้โลหิตตก แล้วเจ้ายังจะเอากรรมสิทธิ์ที่ดินนี้อีกหรือ
26 เจ้าหมายพึ่งดาบ เจ้ากระทำความลามกและเจ้าทุกคนได้ กระทำให้ภรรยาของเพื่อนบ้านเป็นมลทิน แล้วเจ้ายังจะเอากรรมสิทธิ์ที่ดินนี้อีกหรือ
27 จงกล่าวเช่นนี้แก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด บรรดาคนที่อยู่ในที่ร้างเปล่าจะต้องล้มลงด้วยดาบ และคนที่อยู่ที่พื้นทุ่ง เราจะมอบให้เป็นอาหารแก่สัตว์ป่า และบรรดาคนเหล่านั้นที่อยู่ในที่กำบังเข้มแข็งและอยู่ ในถ้ำจะตายด้วยโรคระบาด
28 และเราจะกระทำให้แผ่นดินนั้นร้างเปล่าและทิ้งร้าง และอานุภาพอันผยองของแผ่นดินนั้นจะมาถึงที่สุด ภูเขาอิสราเอลจะร้างเปล่าจนไม่มีคนเดินผ่าน
29 แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า ในเมื่อเราได้กระทำให้แผ่นดินนั้นร้างเปล่าและทิ้งร้าง เพราะเหตุความลามกทั้งสิ้นของเขาซึ่งเขาได้กระทำนั้น
30 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ชนชาติของเจ้าที่พูดเรื่องเจ้าข้าง กำแพงเมืองและตามประตูบ้าน พูดต่อกันและกันกับพี่น้องของตนว่า 'มาเถิด มาฟังเสียงพระวจนะซึ่งออกมาจากพระเจ้า'
31 และเข้ามาหาเจ้าอย่างที่ชาวตลาดมา และเขามานั่งข้างหน้าเจ้าอย่างประชากรของเรา เขาฟังสิ่งที่เจ้าพูด แต่เขาไม่ยอมกระทำตาม เพราะว่าเขาแสดงความรักมากด้วยปากของเขา แต่จิตใจของเขามุ่งอยู่ที่ผลกำไรของเขา
32 และ นี่แน่ะ เจ้าเป็นเหมือนคนร้องเพลงรักแก่เขา มีเสียงไพเราะและเล่นดนตรีเก่ง เพราะเขาฟังสิ่งที่เจ้าพูดแต่เขาไม่ยอมกระทำตาม
33 และเมื่อการเช่นนี้เป็นมา (ดูเถิด ก็มาแล้ว) เขาทั้งหลายจะทราบว่ามีผู้เผยพระวจนะอยู่ในหมู่พวกเขา"
เอเสเคียล 34
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์กล่าวโทษบรรดาผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอล จงพยากรณ์กล่าวโทษว่าแก่เขา คือผู้เลี้ยงแกะว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่ผู้เลี้ยงแกะแห่งอิสราเอลผู้เลี้ยงตัวเอง ผู้เลี้ยงแกะย่อมเลี้ยงแกะมิใช่หรือ
3 เจ้ารับประทานไขมัน เจ้าคลุมกายของเจ้าด้วยขนแกะ เจ้าฆ่าแกะตัวอ้วนๆ เจ้าหาได้เลี้ยงแกะไม่
4 ตัวที่อ่อนเพลียเจ้าก็ไม่เสริมกำลัง ตัวที่เจ็บเจ้าก็ไม่รักษา ตัวที่กระดูกหักเจ้าก็มิได้พันผ้า ตัวที่หลงไปเจ้าก็มิได้ไปตามกลับมา ตัวที่หายไปเจ้าก็มิได้เสาะหา และเจ้าได้ปกครองเขาด้วยการบังคับ และด้วยการข่มขี่เบียดเบียน
5 ดังนั้นมันจึงกระจัดกระจายไปหมด เพราะว่าไม่มีผู้เลี้ยงแกะ และมันก็ไปเป็นอาหารของสัตว์ป่าทุ่งทั้งหลายหมด และกระจัดกระจายไป
6 แกะของเราก็เที่ยวไปตามภูเขาทั้งหมดและตามเนินเขาสูง เออ แกะของเราก็กระจายไปทั่วพิภพ ไม่มีใครเที่ยวค้นไม่มีใครเสาะหามัน
7 "เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายผู้เป็นผู้เลี้ยงแกะ จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
8 พระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เพราะแกะของเรากลายเป็นเหยื่อ และแกะของเรากลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าทุ่งทั้งสิ้น เพราะไม่มีผู้เลี้ยงแกะ และเพราะผู้เลี้ยงแกะของเราไม่เที่ยวค้นหาแกะของเรา แต่ผู้เลี้ยงแกะนั้นเลี้ยงตัวเอง และไม่ได้เลี้ยงแกะของเรา
9 เพราะฉะนั้น เจ้าทั้งหลายเป็นผู้เลี้ยงแกะ จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
10 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราเป็นปฏิปักษ์กับผู้เลี้ยงแกะ และเราจะเรียกร้องเอาแกะของเราจากมือของเขา และให้เขายับยั้งการเลี้ยงแกะของเขา ผู้เลี้ยงแกะจะไม่ได้เลี้ยงตัวเองอีกต่อไป เราจะช่วยแกะของเราให้พ้นจากปากของเขา เพื่อมิให้แกะเป็นอาหารของเขา
11 "เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรา คือเราเองจะค้นหาแกะของเรา และจะเที่ยวหามัน
12 ดังผู้เลี้ยงแกะเที่ยวหาฝูงแกะ เมื่อเขาอยู่ท่ามกลางแกะของเขาที่กระจัดกระจายไป เราจะเที่ยวหาแกะของเราดังนั้น และเราจะช่วยเขาให้พ้นจากสถานที่ทั้งหลายซึ่งเขาได้ กระจัดกระจายไปอยู่เมื่อวันมีเมฆและมีความมืดทึบ
13 เราจะนำเขาออกมาจากชนชาติทั้งหลาย และรวบรวมเขามาจากประเทศต่างๆ และจะนำเขามาไว้ในแผ่นดินของเขาเอง และเราจะเลี้ยงเขาบนภูเขาแห่งอิสราเอล ใกล้ห้วยทั้งหลายและในท้องถิ่นทุกแห่งที่มี คนอาศัยในประเทศนั้น
14 เราจะเลี้ยงเขาในลานหญ้าอย่างดีและลานหญ้าของเขา จะอยู่บนบรรดาภูเขาสูงแห่งอิสราเอล ณ ที่นั่น เขาจะนอนลงในลานหญ้าที่ดี และเขาจะหากินอยู่บนลานหญ้าอุดมบนภูเขาแห่งอิสราเอล
15 ตัวเราเองจะเป็นผู้เลี้ยงแกะของเรา เราจะกระทำให้เขานอนลง พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
16 เราจะเที่ยวหาแกะที่หาย และเราจะนำแกะที่หลงกลับมา และเราจะพันผ้าให้แกะที่กระดูกหัก และเราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย แต่ตัวที่อ้วนและเข้มแข็งเราจะทำลาย เราจะเลี้ยงเขาด้วยความยุติธรรม
17 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าทั้งหลายผู้เป็นฝูงแพะแกะของเราเอ๋ย ดูเถิด เราจะพิพากษาระหว่างแกะกับแกะ ระหว่างแกะผู้กับแพะผู้
18 ที่จะหากินในลานหญ้าอย่างดีนั้นยังไม่พออีกหรือ เจ้าจึงต้องเอาเท้าเหยียบลานหญ้าที่เหลืออยู่ของเจ้า และดื่มน้ำใสยังไม่พอหรือ จึงเอาเท้าของเจ้ากวนน้ำที่เหลืออยู่ให้ขุ่น
19 แกะของเราจะต้องกินสิ่งที่เท้าของเจ้าย่ำ และดื่มสิ่งที่เท้าของเจ้าทำให้ขุ่นหรือ
20 "เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสแก่เขาดังนี้ว่า ดูเถิด เรา คือเราเอง จะพิพากษาระหว่างแกะอ้วนกับแกะผอม
21 เพราะเจ้าเอาสีข้างและบ่าดันและผลักแกะ ตัวอ่อนเพลียด้วยเขาของเจ้า เจ้าทำให้เขากระจายไปต่างถิ่น
22 เราจะช่วยฝูงแพะแกะของเราให้รอด เขาจะไม่เป็นเหยื่ออีกต่อไป และเราจะพิพากษาระหว่างแกะกับแกะ
23 และเราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะผู้หนึ่งไว้เหนือเขา คือดาวิดผู้รับใช้ของเราและท่านจะเลี้ยงเขาทั้งหลาย ท่านจะเลี้ยงเขาและเป็นผู้เลี้ยงของเขา
24 และเราคือพระเจ้า จะเป็นพระเจ้าของเขา และดาวิดผู้รับใช้ของเรา จะเป็นเจ้านายท่ามกลางเขา เราคือพระเจ้า ได้ลั่นวาจาแล้ว
25 "เราจะกระทำพันธสัญญาสันติสุขกับเขาและกำจัด สัตว์ร้ายเสียจากแผ่นดิน เพื่อว่าเขาจะอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารอย่างปลอดภัย และนอนอยู่ในป่าไม้
26 และเราจะกระทำให้เขากับสถานที่รอบๆเนินเขาของเราเป็นแหล่งพระพร เราจะส่งฝนลงมาให้ตามฤดูกาล เป็นห่าฝนแห่งพระพร
27 ต้นไม้ที่ในทุ่งจะบังเกิดผล และพิภพจะบังเกิดผลประโยชน์ และเขาจะอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินของเขาและเขา จะทราบว่าเราคือพระเจ้าในเมื่อเราหักคานแอกของเขาเสีย และช่วยกู้เขาจากมือของผู้ที่กักเขาให้เป็นทาส
28 เขาจะไม่เป็นเหยื่อของประชาชาติอีกต่อไป หรือสัตว์ป่าดินก็จะไม่กินเขา และเขาจะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีผู้ใดกระทำให้เขากลัว
29 และเราจะจัดหาไร่นาอันมีชื่อให้แก่เขา เพื่อเขาจะไม่ถูกผลาญด้วยความอดอยากในแผ่นดินนั้นต่อไปอีก ไม่ต้องทนรับความอับอายขายหน้าจากประชาชาติ
30 และเขาจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของเขาสถิตกับเขา และเขาคือพงศ์พันธุ์อิสราเอลเป็นประชากรของเรา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
31 เจ้าทั้งหลายเป็นแกะของเรา เป็นแกะในลานหญ้าของเรา เจ้าทั้งหลายเป็นมนุษย์ และเราเป็นพระเจ้าของเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
เอเสเคียล 35
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าอีกว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้ภูเขาเสอีร์ และพยากรณ์ต่อมัน
3 และกล่าวแก่มันว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด ภูเขาเสอีร์เอ๋ย เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า และเราจะเหยียดมือของเราต่อสู้เจ้า และเราจะกระทำให้เจ้าร้างเปล่าและทิ้งร้าง
4 เราจะให้หัวเมืองของเจ้าถูกละทิ้งและ เจ้าจะเป็นที่ร้างเปล่า และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
5 เพราะเจ้าพยาบาทอยู่เป็นนิตย์ และมอบประชาชนอิสราเอลให้ แก่ฤทธิ์ดาบในเวลาพิบัติของเขา ในเวลาแห่งการลงโทษครั้งสุดท้าย
6 พระเจ้าจึงตรัสว่า เพราะฉะนั้น เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะเตรียมเจ้าเพื่อรับโทษแห่งการให้โลหิตตก และโลหิตจะไล่ตามเจ้า เพราะเจ้ามีกรรมชั่วเรื่องโลหิต เพราะฉะนั้นโลหิตจึงไล่ตามเจ้าไป
7 เราจะกระทำภูเขาเสอีร์ให้ทิ้งร้างและร้างเปล่า และเราจะตัดผู้ที่ไปๆมาๆเสียจากมัน
8 ภูเขาของเจ้านั้น เราจะให้มีผู้ที่ถูกฆ่าเต็มไปหมด ผู้ที่ถูกฆ่าด้วยดาบจะล้มลงตามเนินเขาของเจ้า ตามหุบเขาของเจ้า และในห้วยทั้งสิ้นของเจ้า
9 เราจะกระทำเจ้าให้เป็นที่ร้างเปล่าเป็นนิตย์ และตามหัวเมืองของเจ้าจะไม่มีคนอาศัย แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
10 "เพราะเจ้ากล่าวว่า 'ประชาชาติทั้งสองนี้และประเทศทั้งสองนี้ จะต้องเป็นของเรา เราจะเอาเขามาเป็นกรรมสิทธิ์' ถึงแม้พระเจ้าสถิตอยู่ที่นั่น
11 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะกระทำต่อเจ้าตามความกริ้วและความอิจฉาของเจ้า ซึ่งเจ้าสำแดงเพราะความเกลียดชังของเจ้าซึ่งมีต่อเขา เมื่อเราพิพากษาเจ้า เราจึงจะสำแดงตัวของเราในหมู่พวกเจ้าให้เจ้ารู้จัก
12 และเจ้าจะทราบว่า เรา พระเจ้าได้ยินคำหยาบช้าทั้งปวงของเจ้า ซึ่งเจ้าได้พูดปรักปรำภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอลว่า 'มันถูกทิ้งไว้ให้ร้างเปล่า มันถูกมอบไว้ให้เรากิน'
13 ด้วยปากของเจ้าเจ้าเบ่งตัวเจ้าต่อสู้เรา และว่าเราอีกมากหลายเราได้ยินแล้ว
14 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพื่อให้พิภพร่าเริง เราจึงกระทำเจ้าให้ร้างเปล่า
15 ในเมื่อมรดกแห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลนั้นต้องถูก ให้ร้างเปล่าไป เจ้าร่าเริงยินดีฉันใดเราจึงต้องกระทำแก่เจ้าฉันนั้น ภูเขาเสอีร์เอ๋ยรวมทั้งเอโดมทั้งหมด ทั้งหมดเลย เจ้าจะต้องเป็นที่ร้างเปล่า แล้วเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
เอเสเคียล 36
1 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงพยากรณ์ต่อสู้ภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอลว่า ภูเขาแห่งอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
2 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะศัตรูกล่าวขวัญถึงเจ้าว่า 'อ้าฮา' และ 'ที่สูงโบราณเหล่านั้นได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเราแล้ว'
3 เพราะฉะนั้นจงพยากรณ์และกล่าวว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะว่า เออ เพราะว่าเขากระทำให้เจ้าร้างเปล่าและบีบเจ้าทุกด้าน จนเจ้าตกเป็นกรรมสิทธิ์ของประชาชาติที่เหลืออยู่นั้น และเจ้ากลายเป็นขี้ปากเป็นที่นินทาของประชาชน
4 ภูเขาแห่งอิสราเอลเอ๋ย เพราะฉะนั้นจงฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แก่ภูเขาและเนินเขา ห้วยและหุบเขา ที่ทิ้งร้างและร้างเปล่า และหัวเมืองที่คนหนีไปหมด ซึ่งได้กลายเป็นเหยื่อและเป็นที่เย้ยหยันแก่ประชาชาติ ล้อมรอบที่เหลืออยู่
5 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ด้วยความหวงแหนอย่างเดือดดาลของเรา เราพูดกล่าวโทษประชาชาติที่เหลืออยู่ และแก่เอโดมทั้งสิ้น ผู้ที่มอบแผ่นดินของเราให้แก่ตนเองให้เป็นกรรมสิทธิ์ ด้วยความร่าเริงอย่างเต็มใจ และความประมาทหมิ่นอย่างที่สุด เพื่อเขาจะได้ไล่คนแผ่นดินนั้นออกไป เพื่อจะได้ปล้นเอาไปเสีย
6 เพราะฉะนั้นจงกล่าวคำพยากรณ์เกี่ยวกับแผ่นดินอิสราเอล และจงกล่าวแก่ภูเขาและเนินเขา แก่ห้วยและหุบเขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราพูดด้วยความหวงแหนและความพิโรธของเรา เพราะเจ้าได้ทนรับความอับอายขายหน้าจากประชาชาติ
7 เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสว่า เราปฏิญาณว่าประชาชาติที่ อยู่รอบเจ้านั้นจะทนรับความอับอายขายหน้า
8 "ภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอลเอ๋ย แต่เจ้าจะแตกกิ่งของเจ้าออกมา และออกผลให้แก่อิสราเอลประชากรของเรา เพราะไม่ช้าเขาจะได้กลับมา
9 เพราะดูเถิด เราอยู่ฝ่ายเจ้า เราจะหันมาหาเจ้า และเจ้าจะถูกไถและถูกหว่าน
10 และเราจะทวีคนให้แก่เจ้า คือบรรดาพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั่วหมด หัวเมืองจะมีคนมาอาศัยอยู่ และสถานที่ร้างเปล่าจะถูกสร้างขึ้นใหม่
11 เราจะทวีทั้งคนและสัตว์ให้แก่เจ้า จะเพิ่มขึ้นและมีลูกดก และเราจะกระทำให้เจ้ามีคนอาศัยอยู่อย่างในกาลก่อน และจะเป็นประโยชน์แก่เจ้ามากกว่าแต่ก่อน แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
12 เออ เราจะให้คนดำเนินบนเจ้า คืออิสราเอลประชากรของเราด้วย และเขาทั้งหลายจะได้เจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ และเจ้าจะเป็นมรดกของเขา และเจ้าจะไม่เอาลูกของเขาไปอีก
13 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะคนกล่าวแก่เจ้าว่า เจ้ากินคน และเจ้าได้เอาลูกของประชาชาติของเจ้าไป
14 พระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่กินคน และจะไม่เอาลูกของเจ้าจากประชาชาติของเจ้าไปอีกเลย
15 เราจะไม่ให้เจ้าได้ยินคำประมาทหมิ่นของประชาชาติต่างๆอีก และเจ้าไม่ต้องทนรับความอับอายขายหน้าของชนชาติ ทั้งหลายอีกเลย และไม่ต้องกระทำให้ประชาชาติของเจ้าสะดุดอีกเลย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
16 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าอีกว่า
17 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เมื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลได้มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินของตน เขากระทำให้แผ่นดินเป็นมลทินด้วยวิถีและการกระทำ ของเขา ความประพฤติของเขาที่มีต่อเราก็เหมือนมลทินอัน เกิดจากระดู
18 เพราะฉะนั้นเราจึงระบายความกริ้วของเราออกเหนือเขา ด้วยเรื่องโลหิตซึ่งเขาได้กระทำให้ตกบนแผ่นดิน ด้วยเรื่องรูปเคารพซึ่งเขากระทำให้แผ่นดินนั้นเป็นมลทิน
19 เราจึงให้เขากระจัดพลัดพรายไปท่ามกลางประชาชาติ และเขาถูกกระจายไปตามประเทศต่างๆ เราพิพากษาเขาตามวิถีและการกระทำของเขา
20 แต่เมื่อเขามายังบรรดาประชาชาติ เขาจะมาที่ไหนก็ตาม เขาได้กระทำให้นามบริสุทธิ์ของเรา สาธารณ์ซึ่งคนกล่าวขวัญถึงเขาว่า 'คนเหล่านี้เป็นประชากรของพระเจ้า ถึงกระนั้นเขายังต้องออกไปจากแผ่นดินของพระองค์'
21 แต่เรายังเป็นห่วงนามบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลกระทำให้สาธารณ์ ท่ามกลางประชาชาติซึ่งเขาตกไปอยู่นั้น
22 "เพราะฉะนั้นจงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เรากำลังจะกระทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่เจ้า แต่เพราะเห็นแก่นามบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งเจ้าได้กระทำให้สาธารณ์ท่ามกลาง ประชาชาติซึ่งเจ้าเข้าไปอยู่นั้น
23 และเราจะกระทำให้ความบริสุทธิ์แห่ง นามใหญ่ยิ่งของเราปรากฏคืนมา ซึ่งเป็นสาธารณ์อยู่ท่ามกลางประชาชาติ และซึ่งเจ้ากระทำให้สาธารณ์ท่ามกลางเขา และประชาชาติทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เมื่อเราสำแดงความบริสุทธิ์ของเราท่ามกลางเจ้าต่อ หน้าต่อตาของเขาทั้งหลาย
24 เพราะว่าเราจะเอาเจ้าออกมาจากท่ามกลาง ประชาชาติและรวบรวมเจ้ามาจากทุกประเทศ และนำเจ้าเข้ามาในแผ่นดินของเจ้าเอง
25 เราจะเอาน้ำสะอาดพรมเจ้า และเจ้าจะสะอาดพ้นจากมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะชำระเจ้าจากรูปเคารพทั้งหลายของเจ้า
26 เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุ จิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า
27 และเราจะใส่วิญญาณของเราภายในเจ้า และกระทำให้เจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และให้รักษากฎหมายของเราและกระทำตาม
28 เจ้าจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งเราให้แก่บรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเราและเราจะเป็น พระเจ้าของเจ้า
29 เราจะช่วยกู้เจ้าให้พ้นมลทินทั้งหลายของเจ้า และเราจะเรียกข้าวมา และกระทำให้อุดมสมบูรณ์ และจะไม่ให้เจ้าเกิดความอดอยากเลย
30 เราจะกระทำให้ผลของต้นไม้และไร่นาอุดมสมบูรณ์ เพื่อเจ้าจะไม่ต้องทนรับความอับอายขายหน้าเพราะ ความอดอยากท่ามกลางประชาชาติอีกเลย
31 แล้วเจ้าจะระลึกถึงทางที่ชั่วของเจ้า และการกระทำของเจ้าที่ไม่ดีแล้วเจ้าจะเกลียดตัวเจ้าเอง เพราะความบาปชั่วของเจ้า และการกระทำลามกของเจ้า
32 พระเจ้าตรัสว่า ที่เรากระทำนั้นมิใช่เพราะเห็นแก่เจ้า ขอให้เจ้าทราบเสีย พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงอับอายและขายหน้าด้วยเรื่องทางของเจ้าเถิด
33 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในวันที่เราชำระเจ้าให้หมดจากความบาปชั่วของเจ้านั้น เราจะกระทำให้บรรดาหัวเมืองมีคนอาศัยอยู่ และสถานที่ทิ้งร้างจะได้สร้างขึ้นใหม่
34 เขาจะไถแผ่นดินที่ร้างเปล่าแทนที่จะเป็นที่ร้างเปล่าดังที่ ปรากฏแก่สายตาของผู้ที่ผ่านไปมา
35 และเขาทั้งหลายจะกล่าวว่า 'แผ่นดินนี้ที่ร้างเปล่ากลายเป็นอย่างสวนเอเดน หัวเมืองที่ถูกทิ้งร้างและร้างเปล่าและปรักหักพัง เดี๋ยวนี้ก็มีคนอยู่และมีกำแพง
36 แล้วประชาชาติที่เหลืออยู่รอบเจ้าจะทราบว่า เราพระเจ้า ได้สร้างที่ปรักหักพังเหล่านี้ขึ้นใหม่และปลูกพืช ในที่ร้างเปล่านั้นขึ้นใหม่ เรา พระเจ้า ได้ลั่นวาจาแล้ว และเราจะกระทำเช่นนั้น
37 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลขอให้เรากระทำสิ่งนี้ให้ด้วย คือให้เพิ่มคนอย่างเพิ่มฝูงแพะแกะ
38 ฝูงแพะแกะสำหรับการสักการบูชา และฝูงแพะแกะที่เยรูซาเล็มระหว่างเทศกาล ของเธอเป็นอย่างไร เมืองที่ถูกทิ้งร้างจะเต็มไปด้วยฝูงคนอย่างนั้น แล้วเขาจะทราบว่า เราคือพระเจ้า"
เอเสเคียล 37
1 พระหัตถ์ของพระเจ้ามาอยู่เหนือข้าพเจ้า และพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าออกมาด้วยพระวิญญาณ ของพระเจ้าและวางข้าพเจ้าไว้ที่กลางหว่างเขา มีกระดูกเต็มไปหมด
2 พระองค์ทรงพาข้าพเจ้าไปเที่ยวในหมู่กระดูกเหล่านั้น ดูเถิด มีกระดูกที่หว่างเขานั้นมากมายเหลือเกิน และนี่แน่ะ เป็นกระดูกแห้งทีเดียว
3 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตได้ไหม" และข้าพเจ้าทูลตอบว่า "พระเจ้าเจ้าข้าพระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้ว"
4 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า 'จงเผยพระวจนะต่อกระดูกเหล่านี้ และกล่าวแก่มันว่า กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
5 พระเจ้าตรัสดังนี้แก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้ลมหายใจเข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต
6 เราจะวางเส้นเอ็นไว้บนเจ้าและจะกระทำ ให้เนื้อมีมาบนเจ้า และเอาหนังคลุมเจ้า และบรรจุลมหายใจในเจ้าและเจ้าจะมีชีวิต และเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้า"
7 ข้าพเจ้าก็เผยพระวจนะดังที่ข้าพเจ้าได้รับบัญชา เมื่อข้าพเจ้าเผยอยู่นั้นก็มีเสียง และดูเถิด เป็นเสียงกรุกกริก กระดูกเหล่านั้นก็เข้ามาหากันตามที่ของมัน
8 และเมื่อข้าพเจ้ามองดูก็เห็นมีเอ็นบนมัน และเนื้อก็มาที่กระดูก และหนังก็มาหุ้มกระดูกไว้แต่ไม่มีลมหายใจในนั้น
9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "จงเผยพระวจนะแก่ลมหายใจ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเผยเถิด จงกล่าวแก่ลมหายใจว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ลมหายใจเอ๋ย จงมาจากลมทั้งสี่ มาหายใจเข้าไปในคนที่ถูกฆ่าเหล่านี้เพื่อให้เขามีชีวิต"
10 ข้าพเจ้าก็เผยพระวจนะดังที่ทรงบัญชาแก่ข้าพเจ้า และลมหายใจก็เข้ามาในกระดูก และกระดูกก็มีชีวิต แล้วก็ยืนขึ้น เป็นกองทัพใหญ่โตจริงๆ
11 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้คือพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้น ดูเถิด เขาทั้งหลายกล่าวว่า 'กระดูกของเราแห้ง และความหวังของเราก็สิ้นไป เราถูกทำลายเสียหมดจดทีเดียว'
12 เพราะฉะนั้น จงเผยพระวจนะและกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "ดูเถิด โอ ประชากรของเราเอ๋ย เราจะเปิดหลุมฝังศพของเจ้า และยกเจ้าออกมาจากหลุมฝังศพของเจ้า และจะนำเจ้ากลับมายังแผ่นดินอิสราเอล
13 โอ ประชากรของเราเอ๋ย เจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้า ในเมื่อเราเปิดหลุมศพของเจ้า และยกเจ้าออกมาจากหลุมศพของเจ้า
14 และเราจะบรรจุวิญญาณของเราไว้ในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต และเราจะวางเจ้าไว้ในแผ่นดินของเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว และเราได้กระทำ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
15 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
16 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเอาไม้มาอันหนึ่งเขียนลงว่า 'สำหรับยูดาห์ และสำหรับชนอิสราเอลที่สังคมกับยูดาห์' จงเอาไม้มาอีกอันหนึ่งเขียนลงว่า 'สำหรับโยเซฟ (ไม้ของเอฟราอิม) และพงศ์พันธุ์อิสราเอลที่สังคมกับโยเซฟ'
17 เอาไม้ทั้งสองมารวมกันเข้าเป็นอันเดียว เพื่อเป็นไม้อันเดียวในมือของเจ้า
18 และเมื่อชนชาติของเจ้ากล่าวแก่เจ้าว่า 'ท่านจะไม่สำแดงให้เราทราบหรือว่า ไม้นี้หมายความว่ากระไร'
19 จงกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรากำลังจะเอาไม้ของโยเซฟ (ซึ่งอยู่ในมือของเอฟราอิม) และเผ่าอิสราเอลที่สังคมกับเขาและเราจะเอาไม้ ของยูดาห์มารวมเข้าด้วย และกระทำให้เป็นไม้อันเดียวกันเพื่อให้เป็นไม้อันเดียว ในมือของเรา
20 เมื่อไม้ซึ่งเจ้าเขียนไว้นั้นอยู่ในมือของเจ้าต่อหน้าต่อตาเขา
21 แล้วจงกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำคนอิสราเอลมาจากท่ามกลางประชาชาติ ซึ่งเขาได้เข้าไปอยู่ด้วยนั้น และจะรวบรวมเขามาจากทุกด้าน และนำเขามายังแผ่นดินของเขาเอง
22 และเราจะกระทำให้เขาเป็นประชาชาติเดียวในแผ่นดินนั้น ที่บนภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล และจะมีกษัตริย์แต่พระองค์เดียวปกครองอยู่เหนือเขาทั้งสิ้น เขาจะไม่เป็นสองประชาชาติอีกต่อไป และจะไม่แยกเป็นสองราชอาณาจักรอีกต่อไป
23 เขาจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยรูปเคารพ และสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของเขา หรือด้วยการทรยศใดๆของเขาต่อไปอีก แต่เราจะช่วยเขาให้พ้นจากการกลับชั่วซึ่งเขากระทำบาปนั้น และจะชำระเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา
24 "ดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นกษัตริย์เหนือเขาทั้งหลาย และเขาทุกคนจะมีผู้เลี้ยงผู้เดียว เขาทั้งหลายจะดำเนินตามกฎหมายของเรา และรักษากฎเกณฑ์ของเราและกระทำตาม
25 เขาทั้งหลายจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษ ของเจ้าอาศัยอยู่ ซึ่งเราได้ให้แก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา ตัวเขาและลูกหลานของเขาจะอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นนิตย์ และดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นเจ้าของเขาเป็นนิตย์
26 เราจะกระทำพันธสัญญาสันติภาพกับเขา จะเป็นพันธสัญญานิรันดร์แก่เขา และเราจะอวยพรเขาและให้เขาทวีขึ้น และเราจะวางสถานนมัสการของเราไว้ท่ามกลางเขาเป็นนิตย์
27 ที่อยู่ของเราจะอยู่กับเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขาและเขาจะเป็นประชากรของเรา
28 แล้วประชาชาติทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า กระทำให้อิสราเอลเป็นสุทธิพิเศษชาติ ในเมื่อสถานนมัสการของเราอยู่ท่ามกลางเขาเป็นนิตย์"
เอเสเคียล 38
1 พระวจนะของพระเจ้ามายังข้าพเจ้าว่า
2 "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมุ่งหน้าของเจ้าต่อสู้โกกแห่ง แผ่นดินมาโกก เจ้าองค์สำคัญของเมเชคและทูบัล และจงเผยพระวจนะกล่าวโทษเขา
3 จงกล่าวว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด โกกเอ๋ย เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้าผู้เป็นเจ้าองค์สำคัญ แห่งเมเชคและทูบัล
4 เราจะให้เจ้าหันกลับ และเอาเบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และเราจะนำเจ้าออกมาพร้อมทั้งกองทัพทั้งสิ้นของเจ้า ทั้งม้าและพลม้า สวมเครื่องรบครบทุกคน เป็นกองทัพใหญ่ มีโล่และดั้ง ถือดาบทุกคน
5 เปอร์เซีย คูช และพูตอยู่กับเขาด้วย ทุกคนมีโล่และหมวกเหล็ก
6 โกเมอร์และกองทัพทั้งสิ้นของเขา เบธโทการมาห์จากส่วนเหนือสุด พร้อมกับกองทัพทั้งสิ้นของเขา มีชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากอยู่กับเจ้า
7 เจ้าและบรรดากองทัพซึ่งประชุมอยู่กับเจ้า จงเตรียมตัวพร้อมและให้พร้อมไว้เสมอ และจงเป็นยามเฝ้าเขาทั้งหลาย
8 เมื่อล่วงไปหลายวันแล้วเจ้าจะต้องถูกเรียกตัว ในปีหลังๆ เจ้าจะยกเข้าไปต่อสู้กับแผ่นดินซึ่งได้คืนมาจากสงคราม เป็นแผ่นดินที่ประชาชนรวบรวมกันมาจากชนชาติ หลายชาติอยู่ที่บนภูเขาอิสราเอล ซึ่งได้เคยเป็นที่ทิ้งร้างอยู่เนืองนิตย์ ประชาชนของแผ่นดินนั้นออกมาจากชนชาติอื่นๆ บัดนี้อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยแล้วทั้งสิ้น
9 เจ้าจะรุกออกไป มาเหมือนพายุ เจ้าจะเป็นเหมือนเมฆคลุมแผ่นดินทั้งเจ้า และกองทัพทั้งสิ้นของเจ้า และชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเจ้า
10 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในวันนั้นจะบังเกิดความคิดในใจของเจ้า และเจ้าจะคิดแผนการชั่ว
11 และกล่าวว่า 'เราจะยกกองทัพไปยังแผ่นดินที่ชนบทไม่มีกำแพงล้อม เราจะโจมตีประชาชนที่สงบซึ่งอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนอาศัยอยู่โดยไม่มีกำแพง ไม่มีดาลไม่มีประตู'
12 เพื่อชิงข้าวของปล้นเอาไปเพื่อจะเข้ายึดที่ที่ทิ้งร้าง ซึ่งขณะนี้มีคนอาศัยอยู่ และประชาชนซึ่งรวบรวมจากบรรดาประชาชาติ ผู้ที่ได้สัตว์และข้าวของคือผู้อาศัยอยู่ณศูนย์กลางพิภพโลก
13 เชบาและเดดานและบรรดาพ่อค้าแห่งทารชิช และสิงห์หนุ่มในเมืองนั้นจะกล่าวแก่เจ้าว่า 'ท่านมาเพื่อจะชิงข้าวของหรือ ท่านชุมนุมกองทัพเพื่อจะปล้น เพื่อจะขนเอาเงินและทองไป ขนเอาสัตว์และข้าวของไป เพื่อจะชิงของมากมายหรือ'
14 "เพราะฉะนั้น บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเผยพระวจนะและกล่าวกับโกกว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในวันนั้นเมื่ออิสราเอลประชากรของเรา อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยแล้ว เจ้าจะมิได้รู้หรือ
15 ท่านจะมาจากที่ของเจ้าซึ่งอยู่ส่วนเหนือที่สุด ทั้งเจ้าและชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเจ้า ทุกคนขี่ม้าเป็นกองทัพมหึมา เป็นกองทัพทรงกำลังยิ่งนัก
16 เจ้าจะมาต่อสู้อิสราเอลประชากรของเรา เหมือนอย่างเมฆคลุมแผ่นดินในกาลภายหน้า เราจะนำเจ้ามาต่อสู้กับแผ่นดินของเรา เพื่อประชาชาติทั้งหลายจะรู้จักเรา โกกเอ๋ย ในเมื่อเราสำแดงความบริสุทธิ์ของเราท่ามกลาง เจ้าต่อหน้าต่อตาเขา
17 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าเป็นผู้นั้นหรือผู้ที่ในสมัยก่อนเราได้พูดถึง โดยผู้เผยพระวจนะของอิสราเอลผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งในสมัยนั้นได้เผยพระวจนะอยู่หลายปีว่า เราจะนำเจ้ามาต่อสู้กับเขา
18 พระเจ้าตรัสว่า แต่ในวันนั้นเมื่อโกกจะยกมาต่อสู้กับแผ่นดินอิสราเอล ความพิโรธของเราจะพลุ่งขึ้น
19 เพราะเราขอประกาศด้วยความหวงแหนและด้วยความพิโรธ ดั่งเพลิงพลุ่งของเราว่า ในวันนั้นจะมีการสั่นสะเทือนใหญ่ยิ่งในแผ่นดินอิสราเอล
20 ปลาที่ทะเลและนกในอากาศ และสัตว์ป่าทุ่งและสัตว์เลื้อยคลานที่คลานอยู่บนแผ่นดิน และประชาชนทั้งสิ้นอยู่บนพื้นพิภพจะสั่นสะเทือนต่อหน้าเรา ภูเขาจะพังทลายลง และหน้าผาจะพัง และกำแพงทุกแห่งจะล้มลงที่ดิน
21 เราจะร้องถึงภูเขาทั้งหลาย ของเราเรียกดาบมาต่อสู้กับโกก พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ และดาบของทุกคนจะต่อสู้กับพี่น้องของเขา
22 เราจะพิพากษาลงโทษเขาด้วยโรคระบาดและโลหิตตก เราจะให้ฝนตกอย่างน้ำไหลเชี่ยวทั้งลูกเห็บและไฟ และไฟกำมะถันตกใส่เขาและกองทัพของเขาและ ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากที่อยู่กับเขา
23 ดังนั้นเราจะสำแดงความใหญ่ยิ่งและความบริสุทธิ์ของเรา และกระทำตัวให้เป็นที่รู้จักในสายตาของ ประชาชาติเป็นอันมาก แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
เอเสเคียล 39
1 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเผยพระวจนะกล่าวโทษโกก และกล่าวว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด โกกเอ๋ย เราเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า ผู้เป็นเจ้าองค์สำคัญแห่งเมเชคและทูบัล
2 เราจะให้เจ้าหันกลับและขับเจ้าให้รุดไป และให้เจ้าขึ้นมาจากส่วนเหนือที่สุด และให้เจ้าเข้าไปต่อสู้ภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล
3 แล้วเราจะตีคันธนูให้หลุดจากมือซ้ายของเจ้า และเราจะให้ลูกธนูตกจากมือขวาของเจ้า
4 เจ้าจะล้มลงบนภูเขาแห่งอิสราเอล ทั้งเจ้าและกองทัพทั้งสิ้นของเจ้า และชนชาติทั้งหลายที่อยู่กับเจ้า เราจะมอบเจ้าให้เป็นอาหารแก่เหยี่ยว ทุกชนิดและแก่สัตว์ป่าทุ่ง
5 พระเจ้าตรัสว่า เจ้าจะล้มลงบนพื้นทุ่ง เพราะเราได้ลั่นวาจาแล้ว
6 เราจะส่งเพลิงมาเหนือมาโกก และเหนือผู้ที่อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยตามแผ่นดินชายทะเล และเขาทั้งหลายจะทราบว่าเราคือพระเจ้า
7 "และเราจะกระทำให้นามบริสุทธิ์ของเราเป็น ที่รู้จักในท่ามกลางอิสราเอลประชากรของเรา เราจะไม่ยอมให้นามบริสุทธิ์ของเราสาธารณ์อีกต่อไป และประชาชาติทั้งหลายจะทราบว่า เราคือพระเจ้า องค์บริสุทธิ์ในอิสราเอล
8 พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด มาแล้ว และจะเป็นอย่างนั้น คือ วันนั้นซึ่งเราได้ลั่นวาจาไว้
9 "แล้วบรรดาคนเหล่านั้นที่อาศัย อยู่ในบรรดาหัวเมืองอิสราเอลจะออกไป และเอาไฟสุมเครื่องอาวุธเผาเสียคือดั้งและโล่ คันธนูและลูกธนู หอกยาวและหอกซัด และเขาจะเอาไฟสุมเป็นเวลาเจ็ดปี
10 เพราะฉะนั้น เขาไม่จำเป็นจะต้องเอาฟืนมาจากทุ่งนา หรือตัดฟืนมาจากป่า เพราะเขาจะก่อไฟด้วยเครื่องอาวุธ และเขาทั้งหลายจะแย่งชิงผู้ที่แย่งชิงเขา และจะปล้นผู้ที่ปล้นเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
11 "ในวันนั้น เราจะให้โกกมีสุสานอยู่ในอิสราเอล คือหุบเขาของคนเดินผ่านไปมา ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเล มันจะกีดขวางคนเดินผ่านไปมา เพราะว่าโกกและหมู่นิกรทั้งสิ้นของท่านจะถูกฝังไว้ที่นั่น เขาจะเรียกกันว่า หุบเขาฮาโมนโกก
12 พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะฝังเขาทั้งหลายอยู่ถึงเจ็ดเดือน เพื่อจะทำให้แผ่นดินนั้นสะอาด
13 พระเจ้าตรัสว่า ราษฎรทุกคนจะฝังเขาทั้งหลาย ในวันนั้นเมื่อเราสำแดงพระสิริของเรา ประชาชนนั้นจะได้รับเกียรติเพราะการฝังศพนั้น
14 เขาทั้งหลายจะตั้งคนให้เดินผ่านไปมาในแผ่นดินเรื่อยไป ให้ฝังศพคนเหล่านั้นที่เหลืออยู่บนพื้นแผ่นดิน เพื่อจะทำแผ่นดินให้สะอาด เขาจะออกตรวจค้นเมื่อสิ้นเจ็ดเดือนแล้ว
15 เมื่อคนเหล่านั้นผ่านไปมาในแผ่นดิน ถ้าใครเห็นกระดูกคนเข้า เขาจะเอาเครื่องหมายปักไว้ข้างกระดูกนั้น จนกว่าคนฝังจะมาฝังเขาไว้ในหุบเขาฮาโมนโกก
16 (หัวเมืองหนึ่ง ชื่อฮาโมนาห์ก็อยู่ที่นั่นด้วย) เขาจะทำให้แผ่นดินสะอาดดังนี้แหละ
17 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงพูดกับนกทุกชนิดและพูดกับเหล่าสัตว์ป่าทุ่งว่า 'จงชุมนุมและมาเถิด รวมกันมาจากทุกด้าน มายังการเลี้ยงสักการบูชา ซึ่งเรากำลังเตรียมไว้ให้เจ้า เป็นการเลี้ยงสักการบูชาใหญ่บนภูเขาทั้งหลายแห่งอิสราเอล และเจ้าจะรับประทานเนื้อและดื่มโลหิต
18 เจ้าจะรับประทานเนื้อของผู้แกล้วกล้า และดื่มโลหิตของเจ้านายแห่งพิภพ ดังของแกะผู้ ของลูกแกะ และของแพะกับของวัวผู้ ทั้งสิ้นนี้เป็นสัตว์อ้วนพีแห่งเมืองบาชาน
19 และเจ้าจะรับประทานไขมันจนเจ้าอิ่มหนำ และดื่มโลหิตจนเจ้าจะเมา ณ การเลี้ยงสักการบูชาซึ่งเราได้เตรียมไว้ให้แก่เจ้า
20 และเจ้าจะอิ่มหนำที่สำรับของเราด้วยเนื้อม้าและผู้ขับขี่ ทั้งเนื้อของผู้แกล้วกล้า และของนักรบทุกชนิด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
21 "และเราจะตั้งพระสิริของเราไว้ ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย และประชาชาติทั้งสิ้นจะเห็นการพิพากษาลงโทษ ของเราซึ่งเราได้กระทำ และเห็นมือของเราซึ่งเราวางไว้บนเขาทั้งหลาย
22 ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะทราบว่า เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาทั้งหลาย
23 และประชาชาติทั้งหลายก็ล้มลงด้วยดาบสิ้นทุกคน
24 เราได้กระทำต่อเขาตามมลทินของเขา และตามการทรยศของเขาทั้งหลาย และเราซ่อนหน้าของเราเสียจากเขาทั้งหลาย
25 "เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสว่า บัดนี้เราจะให้ยาโคบกลับสู่สภาพเดิม และจะมีความกรุณาต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้น และเราจะหวงแหนนามบริสุทธิ์ของเรา
26 เมื่อเขาทั้งหลายมาอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดิน โดยไม่มีผู้ใดกระทำให้เขาหวาดกลัว เขาทั้งหลายจะทนรับความอับอายขายหน้าของเขา ทั้งการทรยศซึ่งเขาทั้งหลายได้เคยประพฤติต่อเรา
27 เมื่อเราได้นำเขากลับมาจากชนชาติทั้งหลาย และรวบรวมเขามาจากแผ่นดินศัตรูของเขา และเมื่อเราสำแดงความบริสุทธิ์ของเราท่ามกลางเขาทั้งหลาย ต่อหน้าต่อตาประชาชาติเป็นอันมาก
28 แล้วเขาจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา เพราะเราได้ส่งให้เขาถูกกวาดไปเป็นเชลยอยู่ท่ามกลาง บรรดาประชาชาติ แล้วก็รวบรวมเขาเข้ามาในแผ่นดินของเขาทั้งหลาย เราจะไม่ปล่อยให้สักคนหนึ่งในพวกเขาเหลืออยู่ท่ามกลาง บรรดาประชาชาติอีกเลย
29 และเราจะไม่ซ่อนหน้าของเราไว้จากเขาทั้งหลายอีกเลย เมื่อเราเทวิญญาณของเราเหนือพงศ์พันธุ์อิสราเอล พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ"
เอเสเคียล 40
1 เมื่อปีที่ยี่สิบห้าที่เราได้ถูกกวาดไปเป็นเชลยนั้น ในต้นปีเมื่อวันที่สิบ ในปีที่สิบสี่หลังจากที่เขาชนะกรุงนั้นเมืองของเรา ในวันนั้นทีเดียวพระหัตถ์ของพระเจ้ามาอยู่เหนือข้าพเจ้า และพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปที่นั่น
2 และทรงนำข้าพเจ้ามาในนิมิตแห่งพระเจ้ามา ถึงแผ่นดินอิสราเอล และพระองค์ทรงวางข้าพเจ้าไว้บนภูเขาสูงมาก ซึ่งตรงนั้นทางทิศใต้มีสิ่งก่อสร้างเหมือนเมืองหนึ่ง
3 เมื่อพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามา ณ ที่นั่น ดูเถิด มีชายคนหนึ่ง ปรากฏการณ์ของเขาคล้ายทองสัมฤทธิ์ มีเชือกป่านเส้นหนึ่ง และไม้วัดอันหนึ่งอยู่ในมือ และท่านยืนอยู่ที่หอประตู
4 และชายผู้นั้นกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงมองดูด้วยตาเองเถิด และจงฟังด้วยหูของเจ้า และจงเอาใจใส่กับสิ่งที่เราจะสำแดงให้แก่เจ้า เพราะว่าที่นำเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อจะสำแดงให้แก่เจ้า สิ่งทั้งสิ้นที่เจ้าเห็นนั้น จงประกาศแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล"
5 และดูเถิด มีกำแพงล้อมอยู่รอบบริเวณนอกของพระนิเวศ และในมือของชายผู้นั้นมีไม้วัดยาวหกศอก แต่ละศอกยาวเท่ากับศอกคืบ ดังนั้น ท่านจึงวัดความหนาของกำแพงได้หนึ่งไม้วัด และความสูงได้หนึ่งไม้วัด
6 แล้วท่านเข้าไปตามหอประตูซึ่งหันหน้าไปทิศตะวันออก ขึ้นไปตามบันไดและวัดธรณีหอประตูได้ลึกหนึ่งไม้วัด และอีกธรณีหนึ่งได้ลึกหนึ่งไม้วัด
7 และห้องยามยาวหนึ่งไม้วัด และกว้างหนึ่งไม้วัด และที่ว่างระหว่างห้องยามเหล่านั้นยาวห้าศอก และธรณีหอประตูที่อยู่ริมมุขที่หอประตู ตอนปลายชั้นในได้หนึ่งไม้วัด
8 แล้วท่านก็วัดมุขของหอประตูได้แปดศอก
9 และเสามุขนั้นสองศอก และมุขของหอประตูอยู่ ที่ตอนปลายข้างใน
10 แต่ละด้านของหอประตูตะวันออกมีห้องยามอยู่สามห้อง ห้องทั้งสามมีขนาดเดียวกัน และเสาที่อยู่ทั้งสองข้างก็มีขนาดเดียวกัน
11 แล้วท่านจึงวัดความกว้างช่องเปิดของ ทางเข้าหอประตูได้สิบศอก และความยาวของหอประตูสิบสามศอก
12 หน้าห้องยามนั้นมีเครื่องกั้นด้านละหนึ่งศอก และห้องยามนั้นยาวด้านละหกศอก
13 แล้วท่านก็วัดหอประตูจากหลังคาของห้องยามห้องหนึ่ง ไปยังหลังคาของห้องยามอีกห้องหนึ่ง ได้กว้างยี่สิบห้าศอก จากทางเข้าหนึ่งไปยังอีกทางเข้าหนึ่ง
14 และท่านทำเสาทั้งหลายได้หกสิบศอก และรอบหอประตูมีลานไปถึงเสา
15 วัดจากข้างหน้าหอประตูตรงทางเข้าไปยังปลายมุขชั้นใน ของหอประตูได้ห้าสิบศอก
16 ตามหอประตูนั้นมีหน้าต่างรอบ ค่อยๆ แคบเข้าไปข้างในทั้งในเสาและในห้องยาม และมุขก็มีหน้าต่างอยู่รอบข้างในเหมือนกัน ที่เสามีต้นอินทผลัม
17 แล้วท่านนำข้าพเจ้าออกมาที่ลานชั้นนอก และดูเถิด มีห้องหลายห้องและมีพื้นหินทำไว้รอบลาน มีห้องสามสิบห้องหันหน้าเข้าหาพื้นหิน
18 และพื้นหินนั้นมีอยู่ตามด้านข้างทางเข้าหอประตู เท่ากับความยาวของหอประตู นี่เป็นพื้นหินตอนล่าง
19 แล้วท่านก็วัดระยะจากหน้าหอ ประตูข้างล่างไปยังหน้าลานข้างในด้านนอกได้หนึ่งร้อยศอก อยู่ทั้งทางตะวันออกและทางเหนือ
20 ส่วนหอประตูแห่งลานนอกหันหน้าไปทางเหนือ ท่านก็วัดความยาวและความกว้างของมัน
21 ห้องยามด้านละสามห้อง กับเสาและมุขมีขนาดเดียวกับหอประตูแรก ยาวห้าสิบศอกกว้างยี่สิบห้าศอก
22 หน้าต่าง มุข ต้นอินทผลัมของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกับของหอประตู ซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และมีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน
23 ตรงข้ามกับประตูซึ่งอยู่ข้างเหนือ เช่นเดียวกับประตูที่อยู่ข้างตะวันออก มีประตูเปิดไปสู่ลานชั้นใน และท่านก็วัดจากประตูหนึ่ง ไปยังอีกประตูหนึ่งได้หนึ่งร้อยศอก
24 และท่านได้นำข้าพเจ้าตรงไปยังทิศใต้ และดูเถิด มีหอประตูทางทิศใต้หนึ่งหอประตู ท่านก็วัดเสาและวัดมุข ก็มีขนาดเดียวกับที่อื่น
25 มีหน้าต่างที่หอประตูและที่มุขโดยรอบเหมือนหน้าต่างที่อื่น ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
26 มีบันไดเจ็ดขั้นนำขึ้นไปถึง และมุขนั้นอยู่ข้างใน มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น
27 และมีประตูหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของลานชั้นใน และท่านก็วัดจากประตูหนึ่งไปยังอีกประตู หนึ่งตรงไปทางทิศใต้ ได้หนึ่งร้อยศอก
28 แล้วท่านนำข้าพเจ้ามายังลานชั้นในโดยประตูทิศใต้ และท่านก็วัดประตูทิศใต้ มีขนาดอย่างเดียวกับประตูอื่นๆ
29 ห้องยาม เสา และมุขของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกับที่อื่น มีหน้าต่างที่หอประตูและที่มุขโดยรอบ ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
30 มีมุขอยู่รอบยาวยี่สิบห้าศอกกว้างห้าสิบศอก
31 มุขนั้นหันหน้าสู่ลานชั้นนอก มีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสา และบันไดนี้มีแปดขั้น
32 แล้วท่านก็พาข้าพเจ้ามาที่ลานชั้นในด้านตะวันออก และท่านก็วัดหอประตูขนาดเดียวกับหอประตูอื่น
33 ห้องยาม เสา และมุขของหอประตู นี้มีขนาดเดียวกันกับที่อื่น มีหน้าต่างที่หอประตูและที่มุขโดยรอบ ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
34 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
35 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ามายังประตูเหนือ แล้วท่านก็วัดหอประตูนั้นมีขนาดเดียวกับหอประตูอื่น
36 ห้องยาม เสา และมุขของหอประตูนี้มีขนาดเดียวกันกับที่อื่น มีหน้าต่างโดยรอบ ยาวห้าสิบศอกและกว้างยี่สิบห้าศอก
37 มุขของด้านนี้หันหน้าสู่ลานชั้นนอก และมีต้นอินทผลัมอยู่ที่เสาด้านละต้น และบันไดนี้มีแปดขั้น
38 มีห้องๆหนึ่ง มีทางเข้าอยู่ที่เสาของหอประตู เป็นที่ล้างเครื่องเผาบูชา
39 และที่มุมของหอประตู มีโต๊ะด้านละสองโต๊ะ บนนี้สำหรับฆ่าเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาไถ่บาป และเครื่องบูชาไถ่ความผิด
40 และทางด้านนอก ทางที่เขาขึ้นไปถึงทางเข้าหอประตูเหนือ มีโต๊ะสองโต๊ะ อีกด้านหนึ่งของมุขของหอประตู มีโต๊ะสองโต๊ะ
41 มีโต๊ะอยู่ข้างนี้สี่โต๊ะ และมีโต๊ะอยู่ข้างนั้นข้างๆหอประตูสี่โต๊ะ เป็นแปดโต๊ะด้วยกัน ซึ่งเขาใช้เป็นที่ฆ่าเครื่องสัตวบูชา
42 มีโต๊ะสี่โต๊ะทำด้วยหินสะกัด สำหรับเครื่องเผาบูชา ยาวหนึ่งศอกคืบและกว้างหนึ่งศอกคืบ สูงหนึ่งศอก สำหรับวางเครื่องมือ ซึ่งเขาใช้ฆ่าเครื่องเผาบูชา และเครื่องสัตวบูชา
43 มีชั้นยาวคืบหนึ่ง ติดอยู่ข้างในโดยรอบ บนโต๊ะนี้ เขาวางเนื้อของเครื่องบูชา
44 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้าจากข้างนอกเข้าไปในลานชั้นใน และดูเถิด มีห้องสองห้องในลานชั้นใน ห้องหนึ่งอยู่ข้างหอประตูเหนือหันหน้าไปทิศใต้ อีกห้องหนึ่งอยู่ข้างหอประตูใต้ หันหน้าไปทิศเหนือ
45 และท่านบอกข้าพเจ้าว่า ห้องนี้ซึ่งหันหน้าไปทางทิศใต้ สำหรับปุโรหิตผู้ดูแลพระนิเวศ
46 และห้องซึ่งหันหน้าไปทางเหนือ สำหรับปุโรหิตผู้ดูแลแท่นบูชา ปุโรหิตเหล่านี้เป็นบุตรชายของศาโดก ในบรรดาบุตรของเลวีก็มีพวกเขา เท่านั้นที่เข้ามาใกล้พระเจ้าเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์
47 และท่านก็วัดลาน ได้ยาวหนึ่งร้อยศอก และกว้างหนึ่งร้อยศอกเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส และแท่นบูชาอยู่ข้างหน้าพระนิเวศ
48 แล้วท่านนำข้าพเจ้ามาที่มุขของพระนิเวศ และวัดเสาของมุขได้ห้าศอกทั้งสองด้าน และหอประตูกว้างสิบสี่ศอก กำแพงข้างหอประตูนั้นมีด้านละสามศอก
49 มุขนั้นยาวยี่สิบศอกและกว้างสิบสองศอก บันไดสิบขั้นนำไปถึงที่นี้ และมีเสาหานอยู่ข้างเสาทั้งสองข้าง
เอเสเคียล 41
1 แล้วท่านนำข้าพเจ้ามาถึงห้องโถง และได้วัดเสา กว้างด้านละหกศอก
2 และส่วนกว้างของทางเข้านั้นสิบศอก และกำแพงข้างทางเข้าด้านละห้าศอก และกำแพงข้างทางเข้าด้านละห้าศอก และท่านก็วัดความยาวของห้องโถงได้สี่สิบศอก กว้างยี่สิบศอก
3 แล้วท่านก็เข้าไปในห้องชั้นในและวัดเสา ของทางเข้าได้สองศอก ทางเข้านั้นกว้างหกศอก และกำแพงข้างทางเข้านั้นเจ็ดศอก
4 และท่านก็วัดความยาวของห้องได้ยี่สิบศอก กว้างยี่สิบศอก พ้นห้องโถงออกไป และท่านบอกข้าพเจ้าว่า นี่เป็นอภิสุทธิสถาน
5 แล้วท่านก็วัดกำแพงพระนิเวศได้หนาหกศอก และห้องระเบียงนั้นกว้างสี่ศอก อยู่รอบพระนิเวศทุกด้าน
6 ห้องระเบียงนั้นเป็นห้องสามชั้นซ้อนกันมีชั้นละสามสิบห้อง มีหยักบ่าอยู่รอบกำแพงพระนิเวศ ใช้เป็นที่หนุนห้องระเบียง เพื่อไม่ให้ห้องระเบียงอาศัยกำแพงพระนิเวศ
7 ห้องระเบียงนั้นยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งกว้างออก ตามส่วนขยายของหยักบ่าจากห้องหนึ่ง ซ้อนอยู่บนอีกห้องหนึ่งโดยรอบ ที่ข้างพระนิเวศมีบันไดนำขึ้นข้างบน ดังนี้แหละผู้ใดที่ขึ้นไปจากห้องต่ำที่สุดถึงห้อง บนก็ต้องลอดผ่านห้องกลาง
8 ข้าพเจ้ายังเห็นอีกว่า พระนิเวศนั้นมียกพื้นอยู่โดยรอบ ฐานของห้องระเบียงวัดได้หนึ่งไม้วัดเต็ม ยาวหกศอก
9 ผนังด้านนอกของห้องระเบียงหนาห้าศอกและส่วนของ ยกพื้นที่ว่างนั้นห้าศอกระหว่างยกพื้นของพระนิเวศกับ
10 ห้องทั้งหลายของลานกว้างยี่สิบศอกโดยรอบ พระนิเวศทุกด้าน
11 และประตูของห้องระเบียงนั้นเปิดเข้าไปในส่วน บนยกพื้นที่ว่าง ประตูหนึ่งหันไปทางเหนือ และอีกประตูหนึ่งหันไปทางใต้ ความกว้างของส่วนที่ว่างนั้นคือห้าศอกโดยรอบ
12 ตึกที่หันหน้ามายังสนามของพระนิเวศ ทางด้านตะวันตกนั้นกว้างเจ็ดสิบศอก และผนังของตึกหนาห้าศอกและยาวเก้าสิบศอก
13 แล้วท่านก็วัดพระนิเวศได้ยาวหนึ่งร้อยศอก สนามและตึกพร้อมกับผนังยาวหนึ่งร้อยศอก
14 ความกว้างด้านตะวันออกของด้านหน้า ของพระนิเวศทั้งของสนาม ยาวหนึ่งร้อยศอก
15 แล้วท่านก็วัดความยาวของตึกซึ่งหันหน้า ไปสู่สนามอันอยู่ทางทิศตะวันตก พร้อมทั้งผนังข้างๆ ยาวหนึ่งร้อยศอก ห้องโถงของพระนิเวศนั้นและห้องชั้นในและมุขชั้นนอก
16 บุด้วยไม้และทั้งสามนั้นมีหน้าต่างรอบซึ่งมีกรอบฝังลึก ตรงข้ามธรณีประตูบุไม้โดยรอบ ตั้งแต่พื้นถึงหน้าต่าง (หน้าต่างนี้มีม่านคลุม)
17 ทั้งช่องว่างที่อยู่เหนือประตูถึงแม้เป็นห้องชั้นใน และข้างนอกและบนผนังโดยรอบที่ห้องชั้นในและห้องโถง ก็มีรูปแกะไว้
18 เป็นรูปเครูบ รูปต้นอินทผลัม และรูปต้นอินทผลัมระหว่างเครูบทุกรูป เครูบทุกตนมีสองหน้า
19 หน้าของผู้ชายตรงต้นอินทผลัมที่อยู่ข้างหนึ่ง และหน้าของสิงห์หนุ่มตรงต้นอินทผลัมที่อยู่อีกข้างหนึ่ง มีรูปอย่างนี้แกะไว้รอบพระนิเวศ
20 จากพื้นถึงที่เหนือประตู มีรูปเครูบและ รูปต้นอินทผลัมแกะอยู่ที่ผนัง
21 ฝ่ายเสาประตูของห้องโถงนั้นสี่เหลี่ยม ข้างหน้าวิสุทธิสถานก็มีอะไรเหมือนกับแท่นบูชาทำด้วยไม้
22 สูงสามศอกยาวสองศอก และกว้างสองศอก ที่มุม ที่ฐาน และที่ผนังทำด้วยไม้ ท่านบอกข้าพเจ้าว่า "นี่เป็นโต๊ะซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า"
23 ห้องโถงคือวิสุทธิสถาน มีประตูคู่แห่งละคู่
24 ประตูนั้นมีสองบาน ประตูหนึ่งมีบานเหวี่ยงสองบาน
25 และบนประตูของห้องโถง มีเครูบและต้นอินทผลัมแกะไว้ เช่นเดียวกับที่แกะไว้บนผนัง มีปะรำไม้อยู่ที่หน้ามุขข้างนอก
26 มีหน้าต่างที่มีกรอบฝังลึกและมีต้นอินทผลัมอยู่ ทั้งสองข้างที่บนผนังด้านข้างมุข ทั้งห้องระเบียงพระนิเวศและปะรำ
เอเสเคียล 42
1 แล้วท่านพาข้าพเจ้ามาถึงลานชั้นใน ตรงทิศเหนือ และท่านนำข้าพเจ้ามาถึงห้อง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสนามและตรงข้ามกับตึกทางด้านทิศเหนือ
2 ความยาวของตึกที่อยู่ทางด้านเหนือนั้นเป็นหนึ่งร้อยศอก และกว้างห้าสิบศอก
3 ติดต่อกับส่วนยี่สิบศอกซึ่งเป็นส่วนของลานชั้นใน หันหน้าเข้าสู่พื้นหินซึ่งเป็นส่วนของลานข้างนอก เป็นระเบียงซ้อนระเบียงสามชั้น
4 และข้างหน้าห้องมีทางเข้าข้างในกว้างสิบศอก ยาวหนึ่งร้อยศอก บรรดาประตูห้องเหล่านี้อยู่ทางด้านเหนือ
5 ห้องข้างบนแคบกว่า เพราะระเบียงกินเนื้อที่ไป มากกว่าระเบียงห้องชั้นล่าง และชั้นกลางในตึกนั้น
6 เพราะว่าเป็นห้องสามชั้น และไม่มี เสารองเหมือนเสาที่ลานข้างนอก เพราะฉะนั้นห้องชั้นบนจึงร่นเข้า ไปกว่าพื้นมากกว่าห้องชั้นล่างและชั้นกลาง
7 และมีผนังข้างนอกขนานกับห้อง ตรงไปยังลานข้างนอกตรงข้ามกับห้อง ยาวห้าสิบศอก
8 เพราะว่าห้องที่ลานข้างนอกยาวห้าสิบศอก ส่วนห้องเหล่านั้นที่ตรงข้ามกับพระนิเวศยาวหนึ่งร้อยศอก
9 ใต้ห้องเหล่านั้นมีทางเข้าอยู่ด้านตะวันออก ถ้าเข้าไปจากลานข้างนอก
10 ตรงที่ผนังด้านนอกเริ่มต้น ด้านใต้ก็เช่นเดียวกัน ตรงข้ามกับสนามและตรงข้ามกับตึกมีห้องหลายห้อง
11 (มีทางเดินอยู่หน้าห้อง) คล้ายกับห้องทางทิศเหนือ ยาวและกว้างขนาดเดียวกัน มีทางออก แผนผังและ ประตูอย่างเดียวกัน
12 ข้างล่างห้องทิศใต้มีทางเข้าอยู่ด้านตะวันออก ที่ที่เข้ามาตามทางเดิน ตรงข้ามมีผนังแบ่ง
13 แล้วท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "ห้องด้านเหนือและห้องด้านใต้ ตรงข้ามสนามเป็นห้องบริสุทธิ์ที่ปุโรหิตผู้เข้าใกล้ พระเจ้าจะรับประทานของถวายอันบริสุทธิ์ที่สุด เขาจะวางของถวายอันบริสุทธิ์ที่สุดนั้นไว้ที่นั่น คือธัญญบูชา เครื่องบูชาไถ่บาป เครื่องบูชาไถ่ความผิด เพราะว่าที่นั่นบริสุทธิ์
14 เมื่อปุโรหิตเข้าไปในที่บริสุทธิ์ เขาจะไม่ออกไปจากห้องนี้เข้าสู่ลานข้างนอก นอกจากจะปลดเครื่องแต่งกายที่เขาสวมปฏิบัติ หน้าที่วางไว้ที่นั่นเพราะสิ่งเหล่านี้บริสุทธิ์ เขาจะต้องสวมเครื่องแต่งกายอื่นก่อนที่เขา จะเข้าไปสู่ส่วนที่มีไว้สำหรับประชาชน"
15 เมื่อท่านได้วัดข้างในบริเวณพระนิเวศเสร็จแล้ว ท่านก็นำข้าพเจ้าออกมาทางประตู ซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และวัดบริเวณพระนิเวศโดยรอบ
16 ท่านวัดด้านตะวันออกด้วยไม้วัดได้ห้าร้อยศอกตามไม้วัด
17 แล้วท่านก็หันมาวัดทางด้านเหนือได้ห้าร้อยศอกตามไม้วัด
18 แล้วท่านก็หันมาวัดด้านใต้ได้ห้าร้อยศอกตามไม้วัด
19 แล้วท่านก็หันมาด้านตะวันตกแล้ววัดได้ห้าร้อย ศอกตามไม้วัด
20 ท่านวัดทั้งสี่ด้านมีกำแพงล้อมรอบยาวห้าร้อยศอก กว้างห้าร้อยศอก เป็นที่แบ่งระหว่างที่บริสุทธิ์และที่สาธารณะ
เอเสเคียล 43
1 ภายหลังท่านนำข้าพเจ้ามายังประตู คือประตูที่หันหน้าไปทิศตะวันออก
2 และ ดูเถิด พระสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลมาจากทิศตะวันออก และพระสุรเสียงของพระองค์ก็เหมือนเสียงน้ำมากหลาย และพิภพก็รุ่งโรจน์ด้วยพระสิริของพระองค์
3 และนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นก็เหมือนกับนิมิตซึ่ง ข้าพเจ้าเห็นเมื่อพระองค์เสด็จมาทำลายเมืองนั้น และเหมือนกับนิมิตซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์ และข้าพเจ้าก็ซบหน้าของข้าพเจ้าลงถึงดิน
4 เมื่อพระสิริของพระเจ้าเข้าไปในพระนิเวศ ทางประตูที่หันไปทางทิศตะวันออก
5 พระวิญญาณก็ยกข้าพเจ้าขึ้น และนำข้าพเจ้า มาที่ลานชั้นใน และดูเถิด พระสิริของพระเจ้าก็เต็มพระวิหาร
6 ขณะที่ชายคนนั้นยังยืนอยู่ที่ข้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าดังออกมาจากพระวิหาร
7 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย บัลลังก์ของเราและสถานที่วางเท้าของเราอยู่ที่นี่ เป็นที่ที่เราจะอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอลเป็นนิตย์ และพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่กระทำให้นามบริสุทธิ์ ของเราเป็นมลทิน โดยตัวของเขาทั้งหลายเองหรือกษัตริย์ของเขาทั้งหลาย ด้วยการเล่นชู้ของเขาทั้งหลายและด้วยศพของ พระเจ้าแผ่นดินของเขาทั้งหลายเมื่อสิ้นพระชนม์
8 โดยการวางธรณีประตูของเขาทั้งหลายไว้ ข้างธรณีประตูของเรา และโดยตั้งเสาประตูของเขาทั้งหลายไว้ข้างเสา ประตูของเรา มีเพียงผนังกั้นไว้ระหว่างเรากับเขาทั้งหลายเท่านั้น เขาได้กระทำนามบริสุทธิ์ของเราให้เป็นมลทิน ด้วยการลามกของเขาซึ่งเขาทั้งหลายได้กระทำ ดังนั้น เราจึงเผาผลาญเขาเสียด้วยความกริ้วของเรา
9 บัดนี้ให้เขาทิ้งการเล่นชู้ทั้งหลายของ เขาและศพของกษัตริย์ทั้งหลายของเขาให้ห่างไกลจากเรา และเราจะอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลายเป็นนิตย์
10 "เจ้า บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงบรรยายแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลให้ทราบถึง พระวิหารและสัณฐานและแผนผังของพระวิหารนั้น เพื่อว่าเขาจะได้ละอายในเรื่องความบาปชั่วของเขา
11 และถ้าเขาละอายในสิ่งทั้งหลายที่เขากระทำมาแล้ว จงสำแดงภาพแผนผัง ทางออกทางเข้า และลักษณะทั้งสิ้นของพระวิหารนั้น และจงให้เขาทราบถึงกฎเกณฑ์และกฎทั้งสิ้นของพระวิหาร จงเขียนลงไว้ต่อหน้าต่อตาของเขา เพื่อเขาจะได้รักษากฎและกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระวิหาร และกระทำตาม
12 ต่อไปนี้เป็นกฎของพระวิหาร คือบริเวณโดยรอบที่อยู่บนยอดภูเขาจะเป็นที่บริสุทธิ์ที่สุด ดูเถิด นี่เป็นกฎของพระวิหาร
13 ต่อไปนี้เป็นขนาดของแท่นบูชาวัดเป็นศอก (ศอกหนึ่งคือความยาวหนึ่งศอกกับหนึ่งคืบ) ตอนฐานสูงหนึ่งศอก และกว้างหนึ่งศอก ที่ขอบมีริมคืบหนึ่ง และความสูงของแท่นบูชาเป็นดังนี้
14 จากตอนฐานที่อยู่บนดินมาถึงข้างล่างสูงสองศอก กว้างหนึ่งศอก จากขั้นเล็กไปถึงขั้นใหญ่สูงสี่ศอก กว้างหนึ่งศอก
15 และเตาของแท่นนั้นสี่ศอก และจากเตาแท่นมีเชิงงอนยื่นขึ้นไปสูงศอกหนึ่งสี่เชิง
16 เตาแท่นนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวสิบสองศอก กว้าง สิบสองศอก
17 ขั้นข้างเตาก็สี่เหลี่ยมจัตุรัสเหมือนกัน ยาวสิบสี่ศอก กว้างสิบสี่ศอก ยกริมรอบกว้างครึ่งศอก ฐานกว้างศอกหนึ่งโดยรอบ บันไดแท่นบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก"
18 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ต่อไปนี้เป็นกฎเกณฑ์ของแท่นบูชา ในวันที่สร้างเสร็จแล้ว เพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และเพื่อจะซัดด้วยเลือด
19 ท่านจงมอบวัวหนุ่มตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่ บาปแก่ปุโรหิตคนเลวีครอบครัวศาโดก ผู้ที่เข้ามาใกล้เพื่อปรนนิบัติเรา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
20 เจ้าจงเอาเลือดวัวนั้นบ้างใส่ไว้ที่เชิงงอนทั้งสี่ของแท่น และมุมทั้งสี่ของขั้นข้างเตา และที่ยกริมโดยรอบ ทำดังนี้แหละท่านจะได้ชำระแท่นและทำการลบ มลทินของแท่นนั้นไว้
21 ท่านจงเอาวัวผู้ซึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และท่านจงเผามันเสียในที่ที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นที่ของพระวิหารภายนอกสถานนมัสการ
22 และในวันที่สองท่านจงถวาย แพะตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และชำระแท่นบูชา อย่างที่ชำระด้วยวัวผู้
23 เมื่อท่านได้ชำระแท่นเสร็จแล้ว ท่านจงถวายวัวหนุ่มปราศจากตำหนิ และแกะผู้ที่ปราศจากตำหนิจากฝูง
24 ท่านจงนำมาถวายพระเจ้า และ ปุโรหิตจะเอาเกลือพรมลงบนนั้น และถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า
25 ท่านจงถวายแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่อง บูชาไถ่บาปทุกวันจนครบเจ็ดวัน และจงถวายวัวหนุ่มและแกะผู้ที่ปราศจากตำหนิจากฝูงด้วย
26 เขาทั้งหลายจะต้องทำการลบมลทินแท่นบูชาอยู่ เจ็ดวันจึงจะชำระเสร็จ และถวายให้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์
27 และเมื่อเขากระทำครบตามกำหนดเหล่านี้แล้ว ตั้งแต่วันที่แปดเป็นต้นไป ปุโรหิตจะต้องถวายเครื่องเผาบูชา ของท่านและเครื่องศานติบูชาของท่านที่บนแท่นนั้น และเราจะโปรดปรานเจ้าทั้งหลาย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
เอเสเคียล 44
1 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูนอกของสถาน นมัสการซึ่งหันหน้าไปทางตะวันออก และประตูนั้นปิดอยู่
2 พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "ประตูนี้จะปิดอยู่เรื่อยไป อย่าให้เปิดและไม่ให้ใครเข้าไปทางนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ได้เสด็จเข้าไปทางนี้ เพราะฉะนั้นจึงให้ปิดไว้
3 เฉพาะเจ้านายเท่านั้นที่จะประทับเสวยพระกระยาหาร ต่อพระพักตร์พระเจ้าในประตูนี้ได้ ท่านจะต้องเข้ามาทางมุขของหอประตูและต้อง ออกไปตามทางเดียวกัน"
4 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ามาตามทางของประตูเหนือ มาที่ข้างหน้าพระวิหารและข้าพเจ้ามองดู และดูเถิด พระสิริของพระเจ้าก็เต็มพระวิหารของพระเจ้า และข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงถึงดิน
5 และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงตั้งใจให้ดี ทุกสิ่งที่เราจะบอกเจ้า เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระวิหารของ พระเจ้าและกฎทั้งสิ้นของพระวิหารนั้น จงดูด้วยตาของเจ้า และฟังด้วยหูของเจ้า และจดจำเรื่องทางเข้าพระวิหารและทางออก จากสถานนมัสการไว้ให้ดี
6 แล้วจงบอกแก่พงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ คือพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ขอให้การลามกของเจ้าสิ้นสุดเสียทีเถิด
7 คือการยินยอมให้คนต่างด้าวที่มิได้ เข้าสุหนัตทางจิตใจและเนื้อหนังเข้ามาใน สถานนมัสการของเรา กระทำให้สถานนั้นสาธารณ์ ในเมื่อเจ้าถวายอาหารของเราแก่เรา คือไขมันและเลือด เจ้าได้ทำลายพันธสัญญาของเราด้วยการลามกทั้งสิ้นของเจ้า
8 และเจ้ามิได้ดูแลรักษาสิ่งบริสุทธิ์ของเรา แต่เจ้าได้ตั้งคนต่างด้าวให้ดูแลรักษาอยู่ใน สถานนมัสการของเรา เพื่อประโยชน์แก่ตัวเจ้าเอง
9 "พระเจ้าจึงตรัสดังนี้ว่า อย่าให้ต่างด้าว ที่มิได้เข้าสุหนัตทางจิตใจคนและเนื้อหนัง คือชนต่างด้าวทั้งสิ้นที่อยู่ท่ามกลางชนชาติ อิสราเอลเข้าไปในสถานนมัสการของเรา
10 แต่คนเลวีผู้ที่ได้ไปไกลจากเรา หลงไปจากเราไปติดตามรูปเคารพ ของเขาเมื่อคนอิสราเอลหลงไปนั้น จะต้องได้รับโทษของตน
11 เขาทั้งหลายจะต้องปรนนิบัติอยู่ในสถานนมัสการของเรา ตรวจตราดูอยู่ที่ประตูพระวิหาร และปฏิบัติอยู่ในพระวิหาร เขาจะฆ่าเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชาให้ประชาชน และเขาจะต้องคอยเฝ้าประชาชน เพื่อจะรับใช้เขาทั้งหลาย
12 เพราะเขาทั้งหลายได้ปรนนิบัติประชาชนอยู่หน้า รูปเคารพของเขา จึงกลายเป็นสิ่งสะดุดให้ทำบาปผิดแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล พระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้นเราจึงได้ปฏิญาณด้วยเรื่องเขาทั้งหลายว่า เขาทั้งหลายจะต้องได้รับโทษของเขา
13 อย่าให้เขาทั้งหลายเข้ามาใกล้เรา เพื่อจะรับใช้เราในตำแหน่งปุโรหิต หรือเข้ามาใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ของเราและสิ่งซึ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้น แต่เขาต้องทนรับความอับอายขายหน้า เพราะความลามกซึ่งเขาได้กระทำนั้น
14 แต่ถึงกระนั้นเราจะกำหนดให้เขาเป็นผู้ดูแลพระวิหาร ให้กระทำบริการทั้งสิ้นและกระทำสิ่งที่ต้องกระทำ ในพระวิหารนั้นทั้งสิ้น
15 "แต่ปุโรหิตคนเลวี บรรดาบุตรของศาโดก ผู้ยังดูแลสถานนมัสการของเรา เมื่อคนอิสราเอลหลงไปจากเรานั้น พระเจ้าตรัสว่า ให้เขาเข้ามาใกล้เราเพื่อปรนนิบัติเรา และให้คอยรับใช้เรา ที่จะถวายไขมันและเลือด
16 เขาจะเข้ามาในสถานนมัสการของเราได้ และให้เขาเข้ามาใกล้โต๊ะของเราเพื่อจะปรนนิบัติเรา และให้เขารักษาคำกำชับของเรา
17 เมื่อเขาเข้าประตูลานชั้นในนั้น ให้เขาสวมเสื้อผ้าป่าน อย่าให้เขามีสิ่งใดที่ทำด้วยขนแกะเลย ขณะเมื่อเขาทำการปรนนิบัติอยู่ที่ประตูลานชั้นใน และอยู่ข้างใน
18 ให้เขาโพกผ้าป่านไว้เหนือศีรษะ และสวมกางเกงผ้าป่านเพียงเอว อย่าให้เขาคาดตัวด้วยสิ่งใดที่ให้มีเหงื่อ
19 และเมื่อเขาออกไปยังลานนอกเพื่อไปหาประชาชน ให้เขาเปลื้องเสื้อผ้าชุดที่ปรนนิบัติงานนั้นออกเสีย และวางไว้เสียในห้องบริสุทธิ์ แล้วจึงสวมเสื้อผ้าอื่น เกรงว่าเขาจะนำความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไปติดต่อกับ ประชาชนด้วยเสื้อผ้าของเขา
20 อย่าให้เขาโกนศีรษะหรือปล่อยให้มวยผมยาว ให้เขาเพียงแต่ขลิบผมบนศีรษะของเขาเท่านั้น
21 เมื่อปุโรหิตเข้าไปในลานชั้นในจะดื่มเหล้าองุ่นไม่ได้
22 อย่าให้ปุโรหิตแต่งงานกับหญิงม่ายหรือหญิงที่ถูกหย่าแล้ว แต่ให้แต่งงานกับหญิงพรหมจารีเทือกเถาพงศ์พันธุ์อิสราเอล หรือหญิงม่ายซึ่งเป็นหญิงม่ายของปุโรหิต
23 เขาทั้งหลายจะต้องสั่งสอนประชากรของเราถึง ความแตกต่างระหว่างของบริสุทธิ์และของสาธารณ์ และสำแดงให้เขาสังเกตได้ว่า อะไรเป็นมลทินและอะไรไม่เป็นมลทิน
24 ถ้ามีคดี เขาจะต้องกระทำหน้าที่ผู้พิพากษา และเขาจะต้องพิพากษาตามกฎหมายของเรา ในงานเทศกาลตามกำหนดของเรานั้นเขาจะต้อง รักษากฎและกฎเกณฑ์ของเรา และเขาจะต้องรักษาวันสะบาโตของเราให้บริสุทธิ์
25 อย่าให้เขากระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยเข้าไปใกล้ผู้ตาย เว้นแต่เป็นบิดาหรือมารดา หรือบุตรชายหรือบุตรหญิง หรือพี่น้องผู้ชายหรือพี่น้องผู้หญิงที่ไม่มีสามี ก็จะกระทำตัวให้เป็นมลทินได้
26 หลังจากที่เขารับการชำระแล้ว มีกำหนดอีกเจ็ดวัน
27 พระเจ้าตรัสว่า ในวันที่เขาเข้าไปในที่นมัสการ คือที่ลานชั้นในเพื่อจะปรนนิบัติอยู่ในที่นมัสการ เขาจะต้องถวายเครื่องบูชาไถ่บาปเสียก่อน
28 "เขาจะไม่มีมรดกตกทอด เราเป็นมรดกของเขา และเจ้าไม่ต้องให้เขาถือกรรมสิทธิ์ใดๆในอิสราเอล เราเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา
29 ให้เขารับประทานเครื่องธัญญบูชา เครื่องบูชาไถ่บาป และเครื่องบูชาไถ่ความผิด และทุกสิ่งที่ถวายไว้ในอิสราเอลเป็นของเขาทั้งหลาย
30 และผลไม้ดีที่สุดของผลไม้รุ่นแรกทุกชนิดและ ของถวายทุกชนิดจากเครื่องถวายบูชาทั้งสิ้นของ เจ้าจะเป็นของบรรดาปุโรหิตทั้งหลาย เจ้าจงมอบแป้งหยาบผลแรกของเจ้าให้แก่ปุโรหิต เพื่อว่าพระพรจะมีอยู่เหนือครัวเรือนของเจ้า
31 ปุโรหิตจะต้องไม่รับประทานสิ่งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นนกหรือสัตว์ที่ตายเองหรือถูกฉีกกัดตาย
เอเสเคียล 45
1 "เมื่อเจ้าแบ่งแผ่นดินให้เป็นกรรมสิทธิ์นั้น เจ้าจงถวายที่ดินส่วนหนึ่งไว้เพื่อพระเจ้าให้เป็น ตำบลบริสุทธิ์ยาวสองหมื่นห้าพันศอก และกว้างสองหมื่นศอก จะเป็นที่บริสุทธิ์ตลอดบริเวณนั้น
2 ในบริเวณนี้ให้มีที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสแปลงหนึ่งยาว ห้าร้อยกว้างห้าร้อยศอก สำหรับสถานนมัสการให้มีบริเวณว่างไว้โดยรอบ อีกห้าสิบศอก
3 ในตำบลบริสุทธิ์นั้น เจ้าจงวัดส่วนหนึ่งออก ยาว สองหมื่นห้าพันศอก กว้างหนึ่งหมื่นศอก ในบริเวณนี้ให้เป็นที่ตั้งของสถานนมัสการ คือที่บริสุทธิ์ที่สุด
4 ให้เป็นส่วนแผ่นดินที่บริสุทธิ์ ให้เป็นของปุโรหิต ผู้ปรนนิบัติอยู่ในสถานนมัสการ และเข้าใกล้พระเจ้าเพื่อจะปรนนิบัติพระองค์ ให้เป็นที่สำหรับปลูกบ้านเรือนของเขาและเป็น ที่บริสุทธิ์สำหรับสถานนมัสการ
5 อีกส่วนหนึ่งซึ่งยาวสองหมื่นห้าพันศอกและ กว้างหนึ่งหมื่นศอกนั้นเป็นที่ของคนเลวี ผู้ปรนนิบัติอยู่ที่พระวิหารให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา ที่จะสร้างเมืองเพื่ออาศัยอยู่
6 "ใกล้ๆกับส่วนที่ตั้งไว้เป็นตำบลบริสุทธิ์นั้น เจ้าจะต้องกำหนดที่ดินผืนหนึ่งกว้างห้าพันศอก ยาวสองหมื่นห้าพันศอกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเมือง ให้เป็นของพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด
7 "แผ่นดินทั้งสองข้างของตำบลบริสุทธิ์และส่วนของเมืองนั้น ให้ยกเป็นที่ดินของเจ้านายเคียงข้างกับตำบลบริสุทธิ์ และส่วนของเมืองด้านตะวันตกและตะวันออกมีส่วนยาว เท่ากับส่วนที่ยกให้คนเผ่าหนึ่ง ยืดออกไปตามทางตะวันตกและทางตะวันออก ของเขตแดนแผ่นดิน
8 ให้เป็นส่วนของเจ้านายในอิสราเอล และเจ้านายของเราจะไม่บีบคั้นประชากรของเราอีก แต่เจ้านายเหล่านั้นจะยอมให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลได้ แผ่นดินตามส่วนเผ่าของตน
9 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า โอ บรรดาเจ้านายแห่งอิสราเอลเอ๋ย พอเสียทีเถิด จงทิ้งการทารุณและการบีบคั้นเสียและกระทำความ ยุติธรรมและความชอบธรรม พระเจ้าตรัสว่า จงเลิกการขับไล่ประชากรของเราให้ออกจากที่ดินอัน เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาเสีย
10 "เจ้าจงมีตาชั่ง เอฟาห์และบัทที่เที่ยงตรง
11 เอฟาห์และบัทนั้นให้เป็นขนาด เดียวกัน บัทหนึ่งจุหนึ่งในสิบของโฮเมอร์ และเอฟาห์ก็จุหนึ่งในสิบของโฮเมอร์ ให้โฮเมอร์เป็นเครื่องวัดมาตรฐาน
12 เชเขลหนึ่งมียี่สิบเก-ราห์ น้ำหนักห้าเชเขลก็ให้เป็นห้าเชเขล สิบเชเขลก็ให้เป็นสิบเชเขล และมาเนของเจ้าก็ให้มีห้าสิบเชเขล
13 "ต่อไปนี้เป็นกำหนดของถวายที่เจ้าทั้งหลายจะต้องถวาย คือ ข้าวสาลีโฮเมอร์หนึ่ง ให้ถวายหนึ่งในหกเอฟาห์ ข้าวบารลีโฮเมอร์หนึ่งให้ถวายหนึ่งในหกของเอฟาห์
14 และส่วนกำหนดประจำของน้ำมัน น้ำมันโคระ หนึ่งถวายหนึ่งในสิบของบัท (โคระก็เหมือนโฮเมอร์ จุสิบบัท)
15 แกะฝูงสองร้อยตัวก็ให้ถวายตัวหนึ่ง จากบรรดาครอบครัวอิสราเอล พระเจ้าตรัสว่า นี่แหละเป็นของถวายสำหรับธัญญบูชา เครื่องเผาบูชา และศานติบูชา เพื่อทำการลบมลทินให้เขาทั้งหลาย
16 ให้ประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินนี้มอบของถวาย เหล่านี้แก่เจ้านายแห่งอิสราเอล
17 ให้เป็นหน้าที่ของเจ้านายที่จะจัด เครื่องเผาบูชา ธัญญบูชา เครื่องดื่มบูชาณงานเทศกาลทั้งหลายในวันขึ้นค่ำและสะบาโต ในงานเทศกาลที่กำหนดไว้ของพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้น ให้เขาจัดเครื่องบูชาไถ่บาป ธัญญบูชา เครื่องเผาบูชา และศานติบูชา เพื่อกระทำการลบบาปให้แก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล
18 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ในวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่ง เจ้าจงเอาวัวหนุ่มที่ปราศจากตำหนิตัวหนึ่ง และเจ้าจงชำระสถานนมัสการเสีย
19 ให้ปุโรหิตเอาเลือดของเครื่องบูชาไถ่บาปมาบ้าง และจงประพรมที่เสาประตูพระวิหาร ที่ขั้นสี่มุมของแท่นบูชาและบนเสาประตูของลานชั้นใน
20 ในวันที่เจ็ดของเดือนนั้นเจ้าจงกระทำเช่นเดียวกัน เพื่อผู้หนึ่งผู้ใดที่กระทำบาปด้วยความพลั้งเผลอหรือ ความรู้เท่าไม่ถึงการ เพื่อว่าเจ้าจะได้กระทำการลบมลทินพระวิหาร
21 "ในวันที่สิบสี่ของเดือนต้น เจ้าจงฉลองเทศกาลปัสกา จงรับประทานขนมปังไร้เชื้อตลอดเทศกาลเจ็ดวัน
22 ในวันนั้นให้เจ้านายจัดหาวัวหนุ่มตัวหนึ่งสำหรับ ตนเองและราษฎรทั้งสิ้น เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
23 และในเจ็ดวันที่มีเทศกาลเลี้ยง ให้เจ้านายจัดหาวัวหนุ่มเจ็ดตัวกับ แกะผู้เจ็ดตัวที่ปราศจากตำหนิ ให้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าทุกๆ วันตลอดเจ็ดวันนั้น และจัดหาแพะผู้ตัวหนึ่งทุก วันให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
24 และให้เจ้านายจัดหาธัญญบูชาเอฟาห์หนึ่งคู่กับวัวผู้หนึ่ง และเอฟาห์หนึ่งคู่กับแกะผู้หนึ่ง และน้ำมันหนึ่งฮินต่อแป้งทุกเอฟาห์
25 ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด และในเทศกาลเลี้ยงทั้งเจ็ดวัน ให้ท่านจัดหาของเช่นเดียวกันสำหรับเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เครื่องเผาบูชา ธัญญบูชา และเครื่องน้ำมัน
เอเสเคียล 46
1 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ประตูลานชั้นในที่หันหน้าไป ทิศตะวันออกนั้นให้ปิดอยู่ในวันทำงานหกวัน แต่ในวันสะบาโตนั้นให้เปิด และในวันขึ้นค่ำหนึ่งก็ให้เปิด
2 ฝ่ายเจ้านายนั้นให้เข้ามาจากข้างนอกทางมุข ของหอประตู และให้มายืนอยู่ที่เสาประตู ให้ปุโรหิตถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องศานติบูชาของท่าน และท่านจะนมัสการอยู่ที่ธรณีประตู แล้วท่านจะออกไป แต่อย่าปิดประตูนั้นจนกว่าจะถึงเวลาเย็น
3 ราษฎรจะนมัสการต่อพระเจ้าตรงที่ทางเข้าประตูนั้น ในวันสะบาโตและในวันขึ้นค่ำ
4 เครื่องเผาบูชาที่เจ้านายถวาย แด่พระเจ้าในวันสะบาโตนั้น คือลูกแกะปราศจากตำหนิหกตัว และแกะผู้ ปราศจากตำหนิตัวหนึ่ง
5 และธัญญบูชาที่คู่กับแกะนั้นคือแป้งเอฟาห์หนึ่ง และธัญญบูชาที่คู่กับลูกแกะนั้นก็สุดแท้แต่ ที่ท่านจะสามารถจะถวายได้ พร้อมกับน้ำมันฮินหนึ่งต่อแป้งหนึ่งเอฟาห์
6 ในวันขึ้นค่ำท่านจะถวายวัวหนุ่มปราศจากตำหนิตัวหนึ่ง และลูกแกะหกตัวกับแกะผู้ตัวหนึ่ง ซึ่งต้องปราศจากตำหนิ
7 ส่วนธัญญบูชานั้นท่านจะจัดแป้งหนึ่งเอฟาห์คู่กับวัวผู้ตัวนั้น และหนึ่งเอฟาห์คู่กับแกะผู้ตัวหนึ่งและคู่กับลูกแกะ ท่านจะจัดตามที่สามารถจัดได้ พร้อมกับน้ำมันหนึ่ง ฮินต่อแป้งหนึ่งเอฟาห์
8 เมื่อเจ้านายเข้ามาท่านจะเข้าไปทางมุขของหอประตู และกลับออกไปตามทางเดียวกันนั้น
9 "เมื่อราษฎรเข้ามาต่อพระพักตร์พระเจ้า ณเทศกาลเลี้ยงตามกำหนด ผู้ที่เข้ามาทางประตูเหนือเพื่อนมัสการจะ ต้องกลับออกไปทางประตูใต้ และผู้ที่เข้ามาทางประตูใต้ จะต้องกลับ ออกไปทางประตูเหนือ อย่าให้ใครกลับทางประตูตามที่เขาเข้ามา แต่ให้ทุกคนออกตรงไปข้างหน้า
10 เมื่อประชาชนเข้าไป เจ้านายจะเข้าไปพร้อมกันด้วย และเมื่อประชาชนออกไป เจ้านายจะออกไปด้วย
11 "ธัญญบูชาที่ใช้ณเทศกาลเลี้ยงและเทศกาลที่กำหนดนั้น ให้เป็นเอฟาห์หนึ่งคู่กับวัวหนุ่มตัวหนึ่ง และคู่กับแกะผู้ก็เอฟาห์หนึ่ง และคู่กับลูกแกะก็ตามแต่สามารถจะถวายได้ พร้อมกับน้ำมันฮินหนึ่งต่อแป้งเอฟาห์หนึ่ง
12 เมื่อเจ้านายถวายเครื่องบูชาตามใจสมัคร จะเป็น เครื่องเผาบูชา หรือศานติบูชา เป็นเครื่องบูชาตามใจสมัครถวายแด่พระเจ้า ให้เปิดประตูที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออกให้ท่าน และท่านจะถวายเครื่องเผาบูชา หรือศานติบูชาของท่านอย่างที่ท่านทำใน วันสะบาโตแล้วท่านจะออกไป เมื่อท่านออกไปแล้วก็ให้ปิดประตูเสีย
13 "ท่านจะจัดการหาลูกแกะตัวหนึ่งอายุหนึ่งขวบปราศจาก ตำหนิถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าเป็นประจำวัน ท่านจะจัดหาทุกๆเช้า
14 และท่านจะจัดหาเครื่องธัญญบูชาคู่กันทุกๆเช้า หนึ่งในหกของเอฟาห์ และน้ำมันหนึ่งในสามของฮินเพื่อเคล้าแป้งให้ชุ่ม ให้เป็นธัญญบูชาแด่พระเจ้า นี่เป็นระเบียบเนืองนิตย์
15 ดังนี้แหละจะต้องจัดหาลูกแกะและเครื่อง ธัญญบูชาพร้อมกับน้ำมันทุกๆเช้า เพื่อเป็นเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์
16 "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ถ้าเจ้านายนำเอาส่วนหนึ่งของมรดกของท่านมามอบ ให้แก่บุตรชายเป็นของขวัญ ก็ให้ของนั้นตกเป็นของบุตรชายของท่านโดยมรดก นั้นเป็นทรัพย์สินของเขาตามมรดก
17 แต่ถ้าท่านนำเอาส่วนหนึ่งของมรดกของท่าน มามอบให้คนใช้ของท่านคนหนึ่งเป็นของขวัญ ของนั้นจะเป็นของคนใช้นั้นจนถึงปีอิสรภาพ แล้วของนั้นจะกลับมาเป็นของเจ้านาย เฉพาะบุตรของท่านเท่านั้นที่จะเก็บส่วน มรดกของท่านมาเป็นของขวัญได้
18 ยิ่งกว่านั้นอีก เจ้านายจะยึดสิ่งใดอันเป็นมรดกของประชาชนไม่ได้ โดยไล่ประชาชนออกไป จากทรัพย์สินที่ดินของเขา ท่านจะต้องมอบทรัพย์สินของท่านเองให้เป็นมรดก แก่บุตรของท่าน เพื่อว่าจะไม่มีประชากรของเราสักคนหนึ่งที่ต้อง ถูกขับไล่จากกรรมสิทธิ์ของตน"
19 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ามาตามทางเข้าซึ่งอยู่ข้างประตู มายังห้องบริสุทธิ์แถวเหนือ ซึ่งเป็นของปุโรหิต ณที่นั่นข้าพเจ้าเห็นที่หนึ่ง อยู่ทางสุดปลายทิศตะวันตก
20 และท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "นี่เป็นสถานที่ซึ่งปุโรหิตจะต้อง ต้มเครื่องบูชาไถ่ความผิดและเครื่องบูชาไถ่บาป และเป็นที่ซึ่งเขาจะปิ้งธัญญบูชา เพื่อจะไม่ต้องนำออกไปในลานชั้นนอก อันเป็นการที่จะนำความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไปถึงประชาชน"
21 แล้วท่านจึงนำข้าพเจ้าออกมาที่ลานชั้นนอก และพาข้าพเจ้าไปที่มุมทั้งสี่ของลานนั้น และดูเถิด ที่มุมลานทุกมุมก็มีลานอยู่ลานหนึ่ง
22 คือที่มุมทั้งสี่ของลาน มีลานเล็กๆ ยาวสี่สิบศอกกว้างสามสิบศอก ลานทั้งสี่ขนาดเดียวกัน
23 ภายในรอบลานทั้งสี่นั้นมีสิ่งที่ก่อด้วยปูนเป็นแถว มีเตาอยู่ที่ก้นของสิ่งที่ก่อนั้นโดยรอบ
24 แล้วท่านจึงกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า "ที่เหล่านี้เป็นครัว ซึ่งผู้ปรนนิบัติอยู่ที่พระวิหารจะต้มเครื่องสัตวบูชา ของประชาชน"
เอเสเคียล 47
1 แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ากลับมาที่ประตูพระวิหาร และดูเถิด มีน้ำไหลออกมาจากใต้ธรณีประตูพระวิหาร ตรงไปทางทิศตะวันออก (เพราะพระวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออก) และน้ำไหลลงมาจากข้างล่าง ปลายใต้ของธรณีประตูพระวิหาร ทิศใต้ของแท่นบูชา
2 แล้วท่านจึงนำข้าพเจ้าออกมาทางประตูเหนือ และนำข้าพเจ้าอ้อมไปภายนอกถึงประตูชั้นนอก ซึ่งหันหน้าไปทางตะวันออก และน้ำนั้นออกมาทางด้านใต้
3 ชายผู้นั้นได้เดินไปทางตะวันออกมีเชือกวัดอยู่ในมือ ท่านวัดได้หนึ่งพันศอก แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป และน้ำลึกเพียงตาตุ่ม
4 แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไปและน้ำลึกถึงเข่า แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน แล้วนำข้าพเจ้าลุยน้ำไป น้ำนั้นลึกเพียงเอว
5 แล้วท่านก็วัดได้อีกหนึ่งพัน และกลายเป็นแม่น้ำที่ข้าพเจ้าลุยข้ามไม่ได้ เพราะน้ำนั้นขึ้นแล้วลึกพอที่จะว่ายได้ เป็นแม่น้ำที่ลุยข้ามไม่ได้
6 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นสิ่งนี้หรือ" แล้วท่านก็พาข้าพเจ้ากลับมาตามฝั่งแม่น้ำ
7 ขณะเมื่อข้าพเจ้ากลับ ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นต้นไม้มากมายอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งสองฟาก
8 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า "น้ำนี้ไหลตรงไปทางท้องถิ่นตะวันออก และไหลลงไปถึงอารบา และเมื่อน้ำไหลออกมานั้นไปถึงน้ำทะเล น้ำนั้นก็กลับจืดดี
9 แม่น้ำนั้นไปถึงที่ไหน สัตว์มีชีวิตที่อยู่กันเป็นฝูงก็จะมีชีวิตได้ และที่นั่นมีปลามากมาย เพราะว่าน้ำนี้ไปถึงที่นั่นน้ำทะเลก็จืด เพราะฉะนั้นแม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต
10 ชาวประมงก็ยืนอยู่ที่ข้างทะเล จากเอนเกดีถึงเอนเอกลาอิม จะเป็นที่สำหรับตากอวน ปลาในที่นั้นมีหลายชนิด เหมือนปลาในทะเลใหญ่
11 แต่ที่เป็นบึงและหนองน้ำจะไม่จืด ต้องทิ้งไว้ให้เป็นเกลือ
12 ตามฝั่งทั้งสองฟากแม่น้ำ มีต้นไม้ทุกชนิดที่ใช้เป็นอาหาร ใบของมันจะไม่เหี่ยวและผลของมันจะไม่วาย แต่จะเกิดผลใหม่ทุกเดือน เพราะว่าน้ำสำหรับต้นไม้นั้นไหลจากสถานนมัสการ ผลไม้นั้นใช้เป็นอาหารและใบก็ใช้เป็นยา"
13 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า "นี่เป็นเขตแดนซึ่งเจ้าจะใช้แบ่งแผ่นดินสำหรับเป็น มรดกท่ามกลางอิสราเอลทั้งสิบสองเผ่า โยเซฟได้สองส่วน
14 และเจ้าจงแบ่งให้เท่าๆกัน เราปฏิญาณที่จะมอบให้แก่บรรพบุรุษของเจ้า และแผ่นดินนี้จะตกแก่เจ้าเป็นมรดกของเจ้า
15 "ต่อไปนี้เป็นเขตแดนของแผ่นดินนี้ ด้านทิศเหนือจากทะเลใหญ่ไปตามทางเมืองเฮทโลน ถึงทางเข้าเมืองฮามัท และต่อไปถึงเมืองเศดัด
16 เมืองเบโรธาห์ เมืองสิบราอิม (ซึ่งอยู่ที่พรมแดนระหว่างเมืองดามัสกัสกับเมืองฮามัท) จนถึงเมืองฮาเซอร์ฮัททิโคน ซึ่งอยู่ที่พรมแดนเมืองเฮาราน
17 ดังนั้น เขตแดนจะยื่นจากทะเลถึงเมืองฮาซาเรโนน ซึ่งอยู่ที่พรมแดนด้านเหนือของเมืองดามัสกัส ทางทิศเหนือมีพรมแดนของเมืองฮามัท นี่เป็นแดนด้านเหนือ
18 "ทางด้านตะวันออก เขตแดนจะยื่นจากเมืองฮาซาเรโนน ระหว่างเมืองเฮารานและดามัสกัส ระหว่างกิเลอาดกับแผ่นดินอิสราเอลเรื่อยไป ตามแม่น้ำจอร์แดน ไปถึงทะเลด้านตะวันออก ท่านทั้งหลายจงวัด นี่เป็นเขตด้านตะวันออก
19 "ทางด้านใต้เขตแดนจะยื่นจากทามาร์จนถึง ห้วงน้ำเมริบัทคาเดช แล้วเรื่อยไปตามลำธารอียิปต์ถึงทะเลใหญ่นี่เป็นเขตด้านใต้
20 "ทางด้านตะวันตก ทะเลใหญ่เป็นเขตแดนเรื่อยไปจนถึง ตำบลที่อยู่ตรงข้ามทางเข้าเมืองฮามัท นี่เป็นเขตแดนด้านตะวันตก
21 "ดังนั้น เจ้าจงแบ่งแผ่นดินนี้ท่ามกลางเจ้าตามเผ่าอิสราเอล
22 เจ้าทั้งหลายจงแบ่งส่วนเป็นมรดกของตัวเจ้าทั้งหลาย และสำหรับคนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า และบังเกิดบุตรหลานอยู่ท่ามกลางเจ้า เขาทั้งหลายจะมีสัญชาติอิสราเอล ให้เขาได้รับส่วนมรดกท่ามกลาง เผ่าอิสราเอลพร้อมกับเจ้าทั้งหลาย
23 พระเจ้าตรัสว่า คนต่างด้าวจะอยู่ในเขตของคนเผ่าใดก็ได้ เจ้าจงกำหนดที่ดินให้เป็นมรดกของเขาที่นั่น
เอเสเคียล 48
1 ต่อไปนี้เป็นชื่อของเผ่าต่างๆ ตั้งต้นที่พรมแดนด้านเหนือจากทะเลไปตามทางเฮทโลน ถึงทางเข้าเมืองฮามัทจนถึงฮาเซอเรโนน (ซึ่งอยู่ทางพรมแดนด้านเหนือของดามัสกัส ติดเมืองฮามัท) และยื่นจากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่าดาน
2 ประชิดกับเขตแดนของดานจากด้าน ตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่าอาเชอร์
3 ประชิดกับแดนของอาเชอร์จากด้าน ตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่านัฟทาลี
4 ประชิดกับเขตแดนของนัฟทาลีจากด้าน ตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่ามนัสเสห์
5 ประชิดกับเขตแดนของมนัสเสห์จากด้าน ตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่าเอฟราอิม
6 ประชิดกับเขตแดนเอฟราอิมจากด้าน ตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่ารูเบน
7 ประชิดกับเขตแดนรูเบนจากด้าน ตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่ายูดาห์
8 "ประชิดกับเขตแดนยูดาห์จาก ด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก จะเป็นส่วนซึ่งเจ้าจะต้องแยกไว้ ต่างหาก กว้างสองหมื่นห้าพันศอกและยาวเท่ากับส่วนของคนเผ่าหนึ่ง จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นที่มีสถานนมัสการอยู่กลาง
9 ส่วนซึ่งเจ้าทั้งหลายจะแยกไว้เพื่อพระเจ้านั้น ให้มีด้านยาวสองหมื่นห้าพันศอก และด้านกว้างสองหมื่น
10 นี่จะเป็นส่วนแบ่งของส่วนบริสุทธิ์ คือปุโรหิตจะได้ส่วนแบ่งวัดจาก ทางด้านเหนือให้ได้สองหมื่นห้าพันศอก ทางด้านตะวันตกกว้างหนึ่งหมื่นศอก ทางด้านตะวันออกกว้างหนึ่งหมื่นศอก ทางด้านใต้ยาวสองหมื่นห้าพันศอก มีสถานนมัสการของพระเจ้าอยู่กลาง
11 ส่วนนี้ให้เป็นส่วนของปุโรหิตที่ชำระไว้ให้บริสุทธิ์ บุตรของศาโดก ผู้ได้รักษาคำสั่งของเรา ผู้ที่มิได้หลงไปเมื่อประชาชนอิสราเอลหลง ดังที่คนเลวีกระทำนั้น
12 และให้ที่ดินนี้ตกแก่ เขาทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งจากส่วนถวายของแผ่นดิน เป็นสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ประชิดกับเขตแดนของคนเลวี
13 เคียงข้างกับเขตแดนของปุโรหิตนั้น ให้คนเลวีมีส่วนแบ่ง ยาวสองหมื่นห้าพันศอก กว้างหนึ่งหมื่นศอก ส่วนยาวทั้งสิ้นจะเป็นสองหมื่นห้าพันศอกและส่วนกว้างสองหมื่น
14 อย่าให้เขาขายหรือแลกเปลี่ยนส่วนหนึ่งส่วนใดเลย อย่าให้เขาเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ของที่ดินดีนี้ เพราะเป็นส่วนบริสุทธิ์แด่พระเจ้า
15 "ส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งกว้างห้าพันศอกและยาว สองหมื่นห้าพันศอกนั้น ให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ของเมือง คือใช้เป็นที่อยู่อาศัย และใช้เป็นทุ่งหญ้า ให้ตัวนครอยู่กลาง
16 ต่อไปนี้เป็นขนาดของด้านต่างๆ ด้านเหนือสี่พันห้าร้อยศอก ด้านใต้สี่พันห้าร้อยศอก ด้านตะวันออกสี่พันห้าร้อย และด้านตะวันตกสี่พันห้าร้อย
17 นครนั้นจะต้องมีทุ่งหญ้า ทิศเหนือสองร้อยห้าสิบศอก ทิศใต้สองร้อยห้าสิบ และทิศตะวันออกสองร้อยห้าสิบ และทิศตะวันตกสองร้อยห้าสิบ
18 ด้านยาวส่วนที่เหลืออยู่เคียงข้างกับส่วนบริสุทธิ์นั้น ทิศตะวันออกยาวหนึ่งหมื่นศอกและทิศตะวันตกยาวหนึ่งหมื่น และให้อยู่เคียงข้างกับส่วนบริสุทธิ์ พืชผลที่ได้ในส่วนนี้ให้เป็นอาหารของคนงานในนครนั้น
19 คนงานของนครนั้นซึ่งมาจากอิสราเอลทุกเผ่า ให้เขาเป็นคนไถที่แปลงนี้
20 ส่วนเต็มซึ่งเจ้าจะต้องแบ่งแยกไว้นั้นให้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านละสองหมื่นห้าพันศอก นั่นคือส่วนบริสุทธิ์รวมกับส่วนของตัวนคร
21 "ส่วนที่เหลืออยู่ทั้งสองข้างของส่วนบริสุทธิ์และส่วนของตัวนคร ให้ตกเป็นของเจ้านาย ยื่นจากส่วนบริสุทธิ์ซึ่งยาวสองหมื่นห้าพันศอก ไปยังพรมแดนตะวันออก และทางด้านตะวันตกจากสองหมื่นห้าพันศอก ไปยังพรมแดนตะวันตก ขนานไปกับส่วนของเผ่า ส่วนนี้ให้ตกเป็นของเจ้านาย ส่วนบริสุทธิ์พร้อมกับสถานนมัสการของพระนิเวศนั้นอยู่ท่ามกลาง
22 นอกจากส่วนที่ตกเป็นของคนเลวีและส่วนของนครนั้น ซึ่งอยู่กลางส่วนอันตกเป็นของเจ้านาย ระหว่างเขตแดนยูดาห์และเขตแดนเบนยามิน ให้เป็นส่วนของเจ้านายทั้งหมด
23 เผ่าคนที่เหลืออยู่นั้น จากด้านตะวันออกไปด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่าเบนยามิน
24 ประชิดกับเขตแดนของเบนยามินจากด้าน ตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่าสิเมโอน
25 ประชิดกับเขตแดนของสิเมโอน จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่าอิสสาคาร์
26 ประชิดกับเขตแดนของอิสสาคาร์ จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่าเศบูลุน
27 ประชิดกับเขตแดนของเศบูลุน จากด้านตะวันออกไปถึงด้านตะวันตก เป็นส่วนของเผ่ากาด
28 ประชิดกับเขตแดนของกาดทาง ทิศใต้เขตแดนนั้นจะยื่นจากเมืองทามาร์ ถึงห้วงน้ำเมรีบาคาเดช แล้วเรื่อยไปตามลำธารอียิปต์ถึงทะเลใหญ่
29 นี่เป็นที่ซึ่งเจ้าจะแบ่งให้เป็นมรดกท่ามกลางเผ่าต่างๆของอิสราเอล นี่เป็นส่วนต่างๆของเขาทั้งหลาย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
30 "ต่อไปนี้เป็นทางออกของนครทางด้าน เหนือซึ่งวัดได้สี่พันห้าร้อยศอก
31 มีประตูสามประตู ประตูของรูเบน ประตูของยูดาห์ ประตูของเลวี ประตูนครนั้นตั้งชื่อตามชื่อเผ่าคนอิสราเอล
32 ทางด้านตะวันออกซึ่งยาวสี่พันห้าร้อยศอก มีสามประตู ประตูของโยเซฟ ประตูของเบนยามิน ประตูของดาน
33 ทางด้านใต้ซึ่งวัดได้สี่พันห้าร้อยศอก มีประตูสามประตู คือ ประตูของสิเมโอน ประตูของอิสสาคาร์ ประตูของเศบูลุน
34 ทางด้านตะวันตกซึ่งยาวสี่พันห้าร้อยศอก มีประตูสามประตู คือ ประตูของกาด ประตูของอาเชอร์ ประตูของนัฟทาลี
35 วัดรอบนครนั้นได้หนึ่งหมื่นแปดพันศอก ตั้งแต่นี้ไปนครนี้มีชื่อว่า พระเจ้าสถิตที่นั่น"
|