๒ซามูเอล
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24
2ซามูเอล 1
1 อยู่มาหลังจากที่ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เมื่อดาวิดกลับจากการฆ่าฟันคนอามาเลข ดาวิดพักอยู่ที่ศิกลากได้สองวัน
2 พอถึงวันที่สาม ดูเถิด มีชายคนหนึ่งมาจากค่ายของซาอูล สวมเสื้อผ้าขาดและมีผงคลีดินอยู่บนศีรษะ เมื่อเขามาถึงดาวิด ก็ซบหน้าลงถึงดินกระทำความเคารพ
3 ดาวิดถามเขาว่า "เจ้ามาจากไหน" เขาตอบท่านว่า "ข้าพเจ้ารอดมาจากค่ายอิสราเอล"
4 ดาวิดถามเขาว่า "ขอบอกฉันหน่อยว่า เหตุการณ์เป็นไปอย่างไรบ้าง" และเขาตอบว่า "ประชาชนหนีจากการรบไปแล้ว มีคนล้มและถึงความตายมากมาย ซาอูลและโยนาธานราชโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย"
5 ดาวิดจึงถามชายที่มาบอกนั้นว่า "เจ้าทราบได้อย่างไรว่า ซาอูลและโยนาธานราชโอรสของท่านสิ้นพระชนม์"
6 ชายหนุ่มผู้ที่บอกท่านนั้นจึงตอบว่า "บังเอิญข้าพเจ้ามาที่ภูเขากิลโบอา เห็นซาอูลทรงยืนพิงหอกของพระองค์อยู่ และนี่แน่ะรถรบและทหารม้าก็ใกล้พระองค์เข้ามา
7 เมื่อพระองค์ทรงเหลียวมาแลเห็นข้าพเจ้าพระองค์ ตรัสเรียกข้าพเจ้า และข้าพเจ้าทูลตอบว่า 'ข้าพระบาทอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ'
8 พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า 'เจ้าคือใคร' ข้าพเจ้าทูลตอบพระองค์ว่า 'ข้าพระบาทเป็นคนอามาเลข'
9 พระองค์ตรัสสั่งข้าพเจ้าว่า 'จงมายืนข้างเราและฆ่าเราเสีย เราระเหี่ยใจมาก แต่ชีวิตของเรายังอยู่'
10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนข้างพระองค์และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่า เมื่อพระองค์ทรงล้มแล้วก็จะไม่ดำรงพระชนม์ได้อีก และข้าพเจ้าก็ถอดมงกุฎซึ่งอยู่บนพระเศียรและกำไล ซึ่งอยู่ที่พระกรและข้าพเจ้าก็นำมาที่นี่ เพื่อมอบแด่เจ้านายของข้าพเจ้า"
11 แล้วดาวิดฉีกเสื้อของท่าน และคนที่อยู่กับท่านก็กระทำเช่นเดียวกัน
12 และเขาทั้งหลายไว้ทุกข์และร้องไห้ และอดอาหารอยู่จนเวลาเย็น ให้ซาอูลและโยนาธานราชโอรส และประชากรของพระเจ้าและพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพราะเขาทั้งหลายต้องล้มตายด้วยดาบ
13 และดาวิดถามคนหนุ่มที่บอกท่านว่า "เจ้ามาจากไหน" เขาตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นบุตรของคนต่างด้าว ผู้เป็นคนอามาเลข"
14 ดาวิดถามเขาว่า "ทำไมเจ้ามิได้เกรงกลัวในการที่ยื่นมือออกทำลายผู้ที่ พระเจ้าทรงเจิมไว้"
15 แล้วดาวิดก็เรียกคนหนึ่งในหมู่ชายหนุ่มเข้ามาบอกว่า "ไปซิฆ่าเขาเสีย" และเขาก็ฆ่าชายคนนั้นตาย
16 ดาวิดกล่าวแก่ชายนั้นว่า "ที่เจ้าต้องตายนั้นเจ้าเองก็รับผิดชอบ เพราะปากของเจ้าเป็นพยานปรักปรำตัวเจ้าเองว่า 'ข้าพเจ้าได้ฆ่าผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้'"
17 ดาวิดก็ครวญคร่ำตามคำคร่ำครวญต่อไปนี้ เพื่อซาอูลและโยนาธานราชโอรส
18 และท่านกล่าวว่า ควรจะสอนคำคร่ำครวญนี้แก่คนยูดาห์ ดูเถิด คำคร่ำครวญนั้นบันทึกไว้ใน หนังสือยาชารว่า
19 "โอ อิสราเอลเอ๋ย ศักดิ์ศรีของท่านถูกประหารเสียแล้วบนที่สูงของท่าน วีรบุรุษก็ล้มตายเสียแล้วหนอ
20 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท อย่าประกาศเรื่องนี้ในถนนเมืองเอชเคโลน เกรงว่าบุตรีคนฟีลิสเตียจะร่าเริง เกรงว่าบุตรีของผู้ที่มิได้เข้าสุหนัต จะลิงโลด
21 "เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย ขออย่ามีน้ำค้างหรือฝนบนเจ้า หรือทุ่งนาที่ให้ของถวาย เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษมลทินแล้ว โล่ของซาอูลซึ่งมิได้เจิมไว้ด้วยน้ำมัน
22 "คันธนูของโยนาธานมิได้หันกลับมา จากโลหิตของผู้ที่ถูกฆ่า จากไขมันของผู้ที่มีกำลัง และดาบของซาอูลก็มิได้กลับมาเปล่า
23 "ซาอูลและโยนาธานเอ๋ย ผู้เป็นที่รักและน่ารัก จะอยู่หรือมรณาทั้งสองไม่แยกจากกัน ทั้งสองก็เร็วกว่านกอินทรี ทั้งสองแข็งแรงกว่าสิงห์
24 "บุตรีของอิสราเอลเอ๋ย จงร้องไห้เพื่อซาอูล ผู้ทรงประดับเจ้าอย่างโอ่อ่าด้วยผ้าสีแดงเข้ม และผู้ทรงประดับอาภรณ์ทองคำเหนือเครื่องแต่งกายของเจ้า
25 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอ ท่ามกลางศึกสงคราม "โยนาธานก็ถูกสังหารอยู่บนที่สูงของอิสราเอล
26 โอ พี่โยนาธาน ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพื่อท่าน ท่านเป็นที่ชื่นใจของข้าพเจ้ามาก ความรักของท่านที่มีต่อข้าพเจ้า นั้นประหลาดเหลือยิ่งกว่าความรักของสตรี
27 วีรบุรุษก็ล้มลงเสียแล้วหนอ และเครื่องยุทโธปกรณ์ก็พินาศไป"
2ซามูเอล 2
1 ครั้นเรื่องนี้สิ้นไปแล้ว ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะ ขึ้นไปยังหัวเมืองหนึ่งหัวเมืองใดในยูดาห์หรือไม่" และพระเจ้าตรัสตอบท่านว่า "จงขึ้นไปเถิด" ดาวิดทูลว่า "ควรที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปที่ใด" พระองค์ตรัสว่า "เมืองเฮโบรน"
2 ดาวิดจึงขึ้นไปที่นั้นพร้อมกับภรรยาทั้งสองของท่านด้วยคือ อาหิโนอัมชาวยิสเรเอลและอาบีกายิลแม่ม่ายของ นาบาลชาวคารเมล
3 และดาวิดก็นำคนที่อยู่กับท่านขึ้นไป ทุกคนพาครอบครัวไปด้วย และเขาทั้งหลายก็อยู่ในหัวเมืองของเฮโบรน
4 และคนยูดาห์ก็พากันมาเจิมตั้งดาวิดไว้เป็นพระราชา เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เมื่อมีคนมาทูลดาวิดว่า "ชาวยาเบชกิเลอาดเป็นผู้ที่ฝังพระศพซาอูลไว้"
5 ดาวิดก็มีรับสั่งให้ผู้สื่อสารไปหาชาว ยาเบชกิเลอาดนั้น พูดกับเขาว่า "ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย ในการที่ท่านทั้งหลายได้สำแดงความจงรักภักดี อย่างนี้ต่อซาอูลเจ้านายของท่าน และได้ฝังพระศพพระองค์ไว้
6 บัดนี้ขอพระเจ้าทรงสำแดงความรักมั่นคง และความเที่ยงธรรมแก่ท่าน และข้าพเจ้าจะกระทำความดีต่อท่านทั้งหลาย เพราะท่านได้กระทำการนี้
7 เพราะฉะนั้น ขอให้มือของท่านทั้งหลายเข้มแข็ง และขอให้ท่านกล้าหาญเถิด เพราะว่าซาอูลเจ้านายของท่านสิ้นพระชนม์เสียแล้ว และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ได้เจิมตั้งข้าพเจ้าไว้เป็นกษัตริย์ เหนือเขาทั้งหลาย"
8 ฝ่ายอับเนอร์บุตรเนอร์แม่ทัพของกองทัพซาอูลได้พา อิชโบเชทราชโอรสของซาอูลข้ามไปที่เมืองมาหะนาอิม
9 และได้สถาปนาท่านให้เป็นกษัตริย์เหนือ เมืองกิเลอาดและคนอาชูร์ และคนยิสเรเอล และคนเอฟราอิม และคนเบนยามิน และคนอิสราเอลทั้งหมด
10 เมื่ออิชโบเชทราชบุตร ของซาอูลเริ่มปกครองเหนืออิสราเอลนั้น มีพระชนมายุสี่สิบปี ทรงครอบครองอยู่สองปี แต่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ก็ติดตามดาวิด
11 เวลาที่ดาวิดทรงเป็น กษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์ในเฮโบรนนั้นเป็นจำนวนเจ็ดปีกับหกเดือน
12 อับเนอร์บุตรเนอร์ และพวกข้าราชการทหารของอิชโบเชทราชบุตรของซาอูล ได้ออกจากมาหะนาอิมไปยังเมืองกิเบโอน
13 และโยอาบบุตรนางเศรุยาห์กับพวกข้าราชการ ทหารของดาวิด ก็ออกไปพบกับเขาที่สระเมืองกิเบโอนและเขา ทั้งหลายก็นั่งอยู่ที่ขอบสระ พวกหนึ่งอยู่ที่ขอบสระข้างนี้อีกพวกหนึ่งข้างโน้น
14 อับเนอร์จึงพูดกับโยอาบว่า "ขอให้พวกคนหนุ่มลุกขึ้นรบเล่นกันให้เราดูเถิด" และโยอาบตอบว่า "ให้เขาลุกขึ้นเล่นซี"
15 เขาก็ลุกขึ้นไปตามที่นับไว้ ฝ่ายเบนยามินและฝ่ายอิชโบเชทราชโอรสของ ซาอูลมีสิบสองคน และข้าราชการทหารของดาวิดก็มีสิบสองคน
16 ต่างก็จับศีรษะคู่ต่อสู้ และปักดาบเข้าที่สีข้างของคู่ต่อสู้ล้มตายด้วยกันหมด เขาจึงเรียกที่นั่นว่า เฮลขัทฮัสซูริม ซึ่งอยู่ในกิเบโอน
17 การสู้รบในวันนั้นดุเดือดยิ่งนัก อับเนอร์และพวกคนอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่อข้าราชการทหารของดาวิด
18 บุตรทั้งสามของนางเศรุยาห์ก็อยู่ที่นั่นคือ โยอาบ อาบีชัย และอาสาเฮล ฝ่ายอาสาเฮลนั้นฝีเท้าเร็วอย่างกับละมั่ง
19 และอาสาเฮลก็ไล่ตามอับเนอร์ไป เมื่อตามไปนั้นก็มิได้เลี้ยวทางขวามือ หรือทางซ้ายมือจากการไล่ตามอับเนอร์
20 อับเนอร์เหลียวมาดูจึงพูดว่า "นั่นอาสาเฮลหรือ" เขาตอบว่า "ข้าเอง"
21 อับเนอร์จึงบอกเขาว่า "จงเลี้ยวไปทางขวาหรือทางซ้าย และจับเอาคนหนุ่มคนใดคนหนึ่ง แล้วก็ริบเอาของของเขาไป" แต่อาสาเฮลไม่เลี้ยวจากไล่ตามอับเนอร์
22 อับเนอร์จึงบอกอาสาเฮลอีกครั้งหนึ่งว่า "จงหันกลับจากตามข้าเสียเถิด จะให้ข้าฟาดเจ้าให้ล้มลงดินทำไมเล่า แล้วข้าจะเงยหน้าขึ้นดูโยอาบพี่ของเจ้าได้อย่างไร"
23 แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ยอมหันกลับ เพราะฉะนั้น อับเนอร์ก็เอาโคนหอกแทงท้องอาสาเฮล หอกก็ทะลุออกข้างหลังของเขา เขาก็ล้มลงตายอยู่ที่นั่น และทุกคนซึ่งมาเห็นที่ที่อาสาเฮลล้มตายอยู่ก็ยืนนิ่ง
24 แต่โยอาบกับอาบีชัยไล่ตามอับเนอร์ไป ดวงอาทิตย์ก็ตกเมื่อเขามาถึงเนินเขาอัมมาห์ ซึ่งอยู่ตรงกียาห์ตามทางที่จะไปถิ่นทุรกันดารเมืองกิเบโอน
25 และคนเบนยามินก็รวมกันตามอับเนอร์ไป เป็นกลุ่มเดียวกันตั้งอยู่ที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง
26 แล้วอับเนอร์ร้องถามโยอาบว่า "จะให้ดาบกินเรื่อยไปหรือ ท่านไม่ทราบหรือว่าตอนปลายมือก็ขม อีกนานสักเท่าใดท่านจึงจะสั่งคน ของท่านให้หยุดไล่ตามพี่น้องของเขา"
27 และโยอาบจึงกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าท่านไม่พูดขึ้นพวกทหารก็จะ เลิกไล่ตามพวกพี่น้องของเขาพรุ่งนี้เช้า"
28 โยอาบจึงเป่าเขาสัตว์ขึ้น คนทั้งปวงก็หยุดไม่ไล่ตามอิสราเอลอีก และไม่สู้รบกันอีก
29 อับเนอร์กับคนของท่านก็เดินทางตลอดคืนนั้นในอาราบาห์ เขาข้ามแม่น้ำจอร์แดน และเดินไปตามหุบเขาบิทโรน เขาก็มาถึงมาหะนาอิม
30 โยอาบก็กลับจากไล่ตามอับเนอร์ และเมื่อท่านรวบรวมพลเข้าด้วยกันแล้ว ข้าราชการทหารของดาวิดก็ขาดไป สิบเก้าคนไม่นับอาสาเฮล
31 แต่ข้าราชการทหารของดาวิดได้ฆ่าคน เบนยามินและคนของอับเนอร์ตายไปสามร้อยหกสิบคน
32 และเขาก็ยกศพอาสาเฮลไปฝังไว้ในอุโมงค์บิดาของเขา ซึ่งอยู่ที่เมืองเบธเลเฮม โยอาบและคนของท่านก็ เดินทางตลอดคืนไปสว่างที่เมืองเฮโบรน
2ซามูเอล 3
1 มีสงครามระหว่างพงศ์พันธุ์ ของซาอูลกับพงศ์พันธุ์ของดาวิดอยู่นาน และดาวิดก็เข้มแข็งยิ่งขึ้น ฝ่ายพงศ์พันธุ์ของซาอูลก็เสื่อมกำลังลงทุกที
2 ดาวิดทรงมีราชโอรสเกิดหลายองค์ที่เมืองเฮโบรน ราชโอรสหัวปีชื่ออัมโนน บุตรนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอล
3 คนที่สองชื่อคิเลอาบ บุตรนางอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล และคนที่สามชื่ออับซาโลม บุตรนางมาอาคาห์ราชธิดาของทัลมัยกษัตริย์เมืองเกชูร์
4 คนที่สี่ชื่ออาโดนียาห์ บุตรนางฮักกีท คนที่ห้าชื่อเชฟาทิยาห์ บุตรนางอาบีตัล
5 และคนที่หกชื่ออิทเรอัม บุตรนางเอกลาห์ภรรยาของดาวิด ราชโอรสเหล่านี้เกิดแก่ดาวิดที่เมืองเฮโบรน
6 อยู่มาเมื่อมีการต่อสู้ระหว่างพงศ์พันธุ์ของซาอูลกับ พงศ์พันธุ์ของดาวิดนั้น อับเนอร์ได้กระทำตัวให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นในพงศ์พันธุ์ของซาอูล
7 ฝ่ายซาอูลนั้นมีนางสนมคนหนึ่งชื่อริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ และอิชโบเชทจึงตรัสกับอับเนอร์ว่า "เหตุใดท่านจึงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของเรา"
8 ฝ่ายอับเนอร์ก็โกรธอิชโบเชทเพราะถ้อยคำนี้มาก จึงทูลว่า "ข้าพระบาทเป็นหัวสุนัขของยูดาห์หรือ ทุกวันนี้ข้าพระบาทได้สำแดงความจงรักภักดีต่อพงศ์พันธุ์ ของซาอูลเสด็จพ่อของพระองค์ และต่อพี่น้องและต่อมิตรสหายของเสด็จพ่อท่าน มิได้มอบฝ่าพระบาทไว้ในมือของดาวิด วันนี้พระองค์ยังหาความต่อข้าพระบาทด้วยเรื่องผู้หญิงคนนี้
9 ถ้าข้าพระบาทจะมิได้กระทำเพื่อดาวิด ให้สำเร็จดังที่พระเจ้าทรงปฏิญาณไว้ต่อท่านแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษอับเนอร์และยิ่งหนักกว่า
10 คือข้าพระบาทจะย้ายราชอาณาจักรจากพงศ์พันธุ์ของซาอูล และสถาปนาบัลลังก์ของดาวิดเหนืออิสราเอล และเหนือยูดาห์ ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา"
11 และอิชโบเชทก็หาทรงสามารถ ตอบอับเนอร์สักคำเดียวไม่ เพราะพระองค์ทรงกลัวเกรงอับเนอร์
12 อับเนอร์ก็ส่งผู้สื่อสาร แทนตนไปยังดาวิดที่เฮโบรนทูลว่า "แผ่นดินนี้เป็นของผู้ใด" และทูลอีกว่า "ขอทรงทำพันธสัญญากับข้าพระบาท และดูเถิด มือของข้าพระบาทจะอยู่ฝ่ายพระองค์และนำ อิสราเอลทั้งสิ้นมามอบแด่พระองค์"
13 ดาวิดตรัสว่า "ดีแล้ว เราจะกระทำพันธสัญญากับท่าน แต่เราขอจากท่านสักอย่างหนึ่งคือว่า เมื่อท่านจะมาเห็นหน้าเราอีกขอ ท่านนำมีคาลบุตรีของซาอูลมาให้เราก่อน มิฉะนั้นท่านจะมิได้เห็นหน้าเรา"
14 แล้วดาวิดก็ส่งผู้สื่อสารไปยังอิชโบเชท ราชโอรสของซาอูลว่า "ขอมอบมีคาลภรรยาของข้าพเจ้าแก่ข้าพเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้หมั้นไว้ด้วยหนังปลายองคชาตของคนฟีลิสเตียหนึ่งร้อยชิ้น"
15 อิชโบเชทจึงทรงให้คนไปพามีคาลมาจากสามีของเธอ คือปัลทีเอลบุตรชายของลาอิช
16 แต่สามีของเธอก็เดิน พลางร้องไห้พลางไปกับเธอจนถึงตำบลบาฮูริม แล้วอับเนอร์จึงบอกเขาว่า "กลับไปเสียเถิด" และเขาก็กลับไป
17 อับเนอร์จึงปรึกษากับพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลว่า "เมื่อก่อนนี้ท่านทั้งหลายใคร่ให้ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนือท่าน
18 บัดนี้จงให้เป็นจริงเถิด เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้กับดาวิดว่า 'เราจะช่วยอิสราเอลประชากรของ เราด้วยมือของดาวิดผู้รับใช้ของเรา ให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย และให้พ้นจากมือศัตรูทั้งสิ้นของเขา'"
19 อับเนอร์ก็พูดกับคนเบนยามินด้วย และอับเนอร์ก็ไปทูลดาวิด ที่เมืองเฮโบรนถึงบรรดาสิ่งต่างๆ ที่อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้น ของเบนยามินเห็นสมควรที่จะกระทำ
20 อับเนอร์จึงมาเฝ้าดาวิดที่เมืองเฮโบรนพร้อม กับคนอีกยี่สิบคน ดาวิดทรงจัดการเลี้ยงอับเนอร์กับคนที่อยู่กับท่าน
21 และอับเนอร์ทูลดาวิดว่า "ข้าพระบาทจะลุกขึ้นกลับไป และจะรวบรวมคนอิสราเอลทั้งสิ้นมายัง พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท เพื่อเขาทั้งหลายจะกระทำพันธสัญญากับฝ่าพระบาท และเพื่อฝ่าพระบาทจะทรงปกครองให้กว้างขวางตามชอบ พระทัยของฝ่าพระบาท" ดาวิดก็ทรงส่งอับเนอร์กลับไป และเขาก็ไปโดยสวัสดิภาพ
22 ขณะนั้นข้าราชการทหารของดาวิดกับ โยอาบกลับมาจากการไปปล้น และนำสิ่งของที่ริบได้มากมายนั้นมาด้วย แต่อับเนอร์มิได้อยู่กับดาวิดที่เฮโบรนแล้ว เพราะพระองค์ทรงส่งท่านกลับไป และท่านก็ไปโดยสวัสดิภาพ
23 เมื่อโยอาบกับกองทัพทั้งสิ้นที่ อยู่กับท่านมาถึงก็มีคนบอกโยอาบว่า "อับเนอร์บุตรเนอร์มาเฝ้าพระราชา และพระองค์ทรงให้เขากลับไป เขาก็กลับไปโดยสวัสดิภาพ"
24 แล้วโยอาบเข้าไปเฝ้าพระราชาทูลว่า "ฝ่าพระบาททรงกระทำอะไรเช่นนั้น ดูเถิด อับเนอร์มาเฝ้าฝ่าพระบาท ไฉนฝ่าพระบาทจึงปล่อยเขาไปเขาก็หลุดมือไปแล้ว
25 ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่าอับเนอร์บุตรเนอร์ มาเพื่อล่อลวงฝ่าพระบาท และเพื่อทราบถึงการเสด็จเข้าออกของฝ่าพระบาท และเพื่อทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝ่าพระบาททรงกระทำ"
26 เมื่อโยอาบออกมาจากการเข้าเฝ้าดาวิด จึงส่งผู้สื่อสารไปตามอับเนอร์ เขาทั้งหลายก็นำท่านกลับมาจากที่ขังน้ำชื่อสีราห์ แต่ดาวิดหาทรงทราบเรื่องไม่
27 และเมื่ออับเนอร์กลับมาถึงเฮโบรนแล้ว โยอาบก็พาท่านหลบเข้าไปที่กลางประตูเมืองเพื่อจะพูดกับท่านเป็นการลับ และโยอาบแทงท้องของท่านเสียที่นั่น ท่านก็สิ้นชีวิต โยอาบแก้แค้นโลหิตของอาสาเฮลน้องชายของตน
28 ภายหลังเมื่อดาวิดทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์ตรัสว่า "ตัวเราและราชอาณาจักรของเรา ปราศจากความผิดสืบไปเป็นนิตย์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วยเรื่องโลหิตของอับเนอร์บุตรเนอร์
29 ขอให้โทษนั้นตกเหนือศีรษะของโยอาบ และเหนือพงศ์พันธุ์บิดาของเขาทั้งสิ้น ขออย่าให้คนที่มีสิ่งไหลออก คนที่เป็นโรคเรื้อน คนที่ถือไม้เท้า คนที่ถูกประหารด้วยดาบ หรือคนขาดขนมปัง ขาดจากพงศ์พันธุ์ของโยอาบ"
30 นี่แหละโยอาบกับอาบีชัยน้องชายของเขาได้ฆ่าอับเนอร์ เพราะอับเนอร์ได้ฆ่าอาสาเฮลน้องชายของเขาเมื่อรบกันที่ กิเบโอน
31 แล้วดาวิดก็ตรัสกับโยอาบ และประชาชนทุกคนที่อยู่กับพระองค์ว่า "จงฉีกเสื้อผ้าของท่านทั้งหลาย และเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้และจงไว้ทุกข์ให้อับเนอร์" และพระราชาดาวิดเสด็จตามศพอับเนอร์ไป
32 เขาก็ฝังศพอับเนอร์ไว้ที่เฮโบรน และพระราชาก็ส่งพระสุรเสียงกันแสง ณ ที่ฝังศพของอับเนอร์ และประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้
33 และพระราชาทรงคร่ำครวญด้วยเรื่องอับเนอร์ว่า "ควรหรือที่อับเนอร์จะตายอย่างคนโง่ตาย
34 มือของท่านก็มิได้ถูกมัด เท้าของท่านก็มิได้ติดตรวน ท่านได้ล้มลง เหมือนอย่างคนล้มลงต่อหน้าคนชั่วร้าย และประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้ถึงอับเนอร์อีก
35 แล้วประชาชนทั้งปวงก็มาทูลชวนเชิญ ให้ดาวิดเสวยพระกระยาหารเมื่อเวลายังวันอยู่ แต่ดาวิดทรงปฏิญาณว่า "ถ้าเราลิ้มรสขนมปังหรือสิ่งใดๆก่อนดวงอาทิตย์ตก ขอพระเจ้าทรงทำโทษเราและยิ่งหนักกว่า"
36 ประชาชนทั้งปวงสังเกตเห็นเช่นนั้นก็พอใจ ดังที่ประชาชนพอใจทุกสิ่งที่พระราชาทรงกระทำ
37 ประชาชนทั้งสิ้นและชนอิสราเอลทั้งปวง จึงเข้าใจในวันนั้นว่า ไม่เป็นพระประสงค์ของพระราชาที่จะให้ฆ่า อับเนอร์บุตรเนอร์เสีย
38 พระราชาตรัสกับข้าราชการของพระองค์ว่า "ท่านไม่ทราบหรือว่า วันนี้เจ้านายและคนสำคัญยิ่งคนหนึ่งสิ้นชีวิตในอิสราเอล
39 แม้เราได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์แล้ว เราก็อ่อนกำลังในวันนี้ ชายเหล่านี้ซึ่งเป็นบุตรของนางเศรุยาห์หนักแก่เราเกินไป ขอพระเจ้าทรงสนองผู้กระทำผิดตามความผิดของเขาเถิด"
2ซามูเอล 4
1 เมื่ออิชโบเชทราชโอรส ของซาอูลได้ทรงทราบข่าวว่าอับเนอร์สิ้นชีวิตเสียที่เฮโบรนแล้ว พระหัตถ์ของพระองค์ก็อ่อนลง และอิสราเอลทั้งปวงก็ท้อใจ
2 ฝ่ายราชบุตรของ ซาอูลยังมีชายอีกสองคนเป็นหัวหน้าของกองปล้น คนหนึ่งชื่อบาอานาห์ อีกคนหนึ่งชื่อเรคาบบุตรของริมโมน คนเบนยามินชาวเมืองเบเอโรท (เพราะว่า เบเอโรทก็นับเข้าเป็นของเบนยามินด้วย
3 ชาวเบเอโรทหนีไปยังเมืองกิททาอิม และอาศัยอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้)
4 โยนาธานราชโอรสของซาอูล มีบุตรชายคนหนึ่งเป็นง่อย เมื่อมีข่าวเรื่องซาอูลกับโยนาธานมาจากยิสเรเอลนั้น เด็กคนนี้มีอายุห้าขวบพี่เลี้ยงก็อุ้มลุกขึ้นหนีไป เมื่อเธอรีบหนีไปนั้นเด็กนั้นก็หล่นลง และเป็นง่อย ท่านชื่อเมฟีโบเชท
5 ฝ่ายบุตรทั้งสองของริมโมนชาวเบเอโรท ที่ชื่อเรคาบและบาอานาห์นั้นได้ออกเดินทาง พอแดดออกจัดก็มาถึงตำหนักของอิชโบเชท ขณะเมื่อพระองค์กำลังบรรทมพักเที่ยง
6 และเขาเข้าไปกลางตำหนักทำ เหมือนจะขนข้าวสาลีและเขาก็แทงพระองค์ เรคาบและบาอานาห์พี่ก็หนีไป
7 และเมื่อเขาทั้งสองเข้าไปในตำหนักนั้น พระองค์บรรทมหลับอยู่บนพระที่ เขาก็ทุบตีพระองค์และประหารพระองค์ และตัดพระเศียรของพระองค์เสีย นำพระเศียรนั้นเดินทางไปทางอาราบาห์ทั้งกลางคืน
8 และเขานำพระเศียรของอิชโบเชทไปถวายดาวิดที่เมืองเฮโบรน เขาทั้งสองกราบทูลพระราชาว่า "นี่ศีรษะของอิชโบเชทบุตรของซาอูลศัตรูของฝ่าพระบาท ผู้แสวงหาชีวิตของฝ่าพระบาท พระเจ้าทรงแก้แค้นแทนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทในวันนี้เหนือซาอูล และพืชพันธุ์ของซาอูล"
9 แต่ดาวิดตรัสตอบเรคาบและ บาอานาห์พี่ชายบุตรของริมโมนชาวเบเอโรทว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราจากบรรดาความทุกข์ยาก
10 เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดบอกเราว่า 'ดูเถิด ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว' และคิดว่าตนนำข่าวดีมา เราก็จับคนนั้นฆ่าเสียที่ศิกลาก ซึ่งเป็นรางวัลที่เราให้แก่เขาสำหรับข่าวนั้น
11 ยิ่งกว่านั้นเท่าใดเมื่อคนอธรรมได้ฆ่าคนชอบธรรม ที่ในบ้านและบนที่นอนของคนชอบธรรมนั้น เราจะไม่ลงโทษเจ้าทั้งสองเพราะความตายของเขาหรือ และทำลายเจ้าเสียจากพิภพ"
12 และดาวิดก็ทรงบัญชาคนหนุ่มของพระองค์ และเขาทั้งหลายก็พาเขาทั้งสองไปฆ่าเสีย ตัดมือตัดเท้าออก แขวนศพนั้นไว้ที่ข้างสระที่เมืองเฮโบรน แต่เขานำพระเศียรของอิชโบเชทไปฝังไว้ ณ ที่ฝังศพของอับเนอร์ในเมืองเฮโบรน
2ซามูเอล 5
1 และบรรดาเผ่าคนอิสราเอลก็มาหาดาวิดที่ เมืองเฮโบรนทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระบาททั้งหลายเป็นกระดูกและเนื้อของฝ่าพระบาท
2 ในอดีตเมื่อซาอูลเป็นพระราชาปกครองเหนือเหล่าข้าพระบาท ฝ่าพระบาททรงเป็นผู้นำอิสราเอลออกไปและเข้ามา และพระเจ้าตรัสแก่ฝ่าพระบาทว่า 'เจ้าจะเป็นผู้ปกครองอิสราเอล ประชากรของเราอย่างผู้เลี้ยงแกะ และเจ้าจะเป็นเจ้าเหนือคนอิสราเอล'"
3 ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลก็มาเฝ้าพระราชา ที่เมืองเฮโบรน และพระราชาดาวิดทรงกระทำพันธสัญญากับเขา ทั้งหลายที่เมืองเฮโบรนต่อพระพักตร์พระเจ้า และเขาทั้งหลายก็เจิมตั้งดาวิดให้เป็นพระราชา เหนืออิสราเอล
4 ดาวิดมีพระชนมายุสามสิบพรรษาเมื่อเริ่มการปกครองและ พระองค์ทรงปกครองอยู่ยี่สิบปี
5 ทรงปกครองเหนือยูดาห์ที่เฮโบรนเจ็ดปีหกเดือน และที่กรุงเยรูซาเล็มทรงปกครองเหนืออิสราเอล และยูดาห์อีกสามสิบสามปี
6 พระราชาและคนของพระองค์ได้ยกทัพไปยังเยรูซาเล็ม รบกับคนเยบุส ชาวแผ่นดินนั้นผู้ที่กล่าวกับดาวิดว่า "แกยกเข้ามาที่นี่ไม่ได้ดอก คนตาบอดและคนง่อยก็จะป้องกันไว้ได้" ด้วยคิดว่า "ดาวิดคงเข้ามาที่นี่ไม่ได้"
7 แต่อย่างไรก็ตาม ดาวิดทรงยึดที่กำบังเข้มแข็งชื่อศิโยนได้คือเมืองของดาวิด
8 ในวันนั้นดาวิดตรัสว่า "ผู้ใดจะโจมตีคนเยบุส ก็ให้ผู้นั้นขึ้นไปตามทางน้ำไหลไปสู้คนง่อย และคนตาบอดผู้ซึ่งจิตใจของดาวิดเกลียดชัง" เพราะฉะนั้นเขาจึงว่ากันว่า "อย่าให้คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาในพระนิเวศ"
9 ดาวิดก็ทรงประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และเรียกที่นั้นว่าเมืองของดาวิด และดาวิดทรงสร้างเมืองรอบตั้งแต่มิลโลเข้าไปข้างใน
10 และดาวิดทรงเจริญยิ่งๆขึ้นไป เพราะว่าพระเจ้าจอมโยธาทรงสถิตกับพระองค์
11 ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งผู้สื่อสารมาหาดาวิดและ ได้ส่งไม้สนสีดาร์ พวกช่างไม้ และพวกช่างก่อมาสร้างพระราชวังของดาวิด
12 และดาวิดทรงทราบว่า พระเจ้าทรงสถาปนาพระองค์ให้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และพระองค์ได้ทรงยกย่องราชอาณาจักรของพระองค์ด้วย เห็นแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์
13 ภายหลังที่พระองค์เสด็จจากเฮโบรน ดาวิดทรงได้นางสนมและมเหสีจากเยรูซาเล็มเพิ่มขึ้นอีก และบังเกิดราชโอรสและราชธิดาอีก
14 ต่อไปนี้เป็นชื่อของผู้ที่บังเกิด กับพระองค์ในเยรูซาเล็มคือ ชัมมุอา โชบับ นาธัน ซาโลมอน
15 อิบฮาร์ เอลีชูอา เนเฟก ยาเฟีย
16 เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท
17 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินข่าวว่าดาวิดได้รับการเจิมเป็น พระราชาเหนืออิสราเอล คนฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงทราบข่าวนั้น จึงลงไปยังที่กำบังเข้มแข็ง
18 ฝ่ายคนฟีลิสเตียยกขึ้นมาและขยายแนวออกที่หุบเขาเรฟาอิม
19 และดาวิดทรงทูลถามพระเจ้าว่า "ควรที่ข้าพระองค์จะยกขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียหรือ พระองค์จะทรงมอบเขาไว้ในมือข้าพระองค์หรือไม่" และพระเจ้าทรงตอบดาวิดว่า "จงขึ้นไปเถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้าเป็นแน่"
20 ดาวิดเสด็จมายังบาอัลเปราซิม และดาวิดทรงชนะคนฟีลิสเตียที่นั่น พระองค์ตรัสว่า "พระเจ้าทรงทะลวงข้าศึกของข้าพเจ้าดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่" เพราะฉะนั้นจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า บาอัลเปราซิม
21 และคนฟีลิสเตียได้ทิ้งรูปเคารพที่นั่น ดาวิดกับข้าราชการของพระองค์ก็ขนเอาไปเสีย
22 คนฟีลิสเตียยกขึ้นมาอีกและขยายแนวอยู่ใน หุบเขาเรฟาอิม
23 และเมื่อดาวิดทูลถามพระเจ้าพระองค์ตรัสว่า "เจ้าอย่าขึ้น จงอ้อมไปข้างหลังของเขา และโจมตีเขาตรงข้ามกับหมู่ต้นโพธิ์
24 และเมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพเดินอยู่ที่ ยอดหมู่ต้นโพธิ์เจ้าจงรีบรุกไป เพราะพระเจ้าเสด็จไปข้างหน้าเพื่อจะโจมตี กองทัพของคนฟีลิสเตีย"
25 และดาวิดทรงกระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ และได้โจมตีคนฟีลิสเตียจากเกบาถึงเกเซอร์
2ซามูเอล 6
1 ดาวิดทรงรวบรวมคนอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วอีก ครั้งหนึ่งได้สามหมื่นคน
2 และดาวิดก็ทรงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้น ที่อยู่กับพระองค์จากบาอาเลยูดาห์ เพื่อทรงนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจาก ที่นั่นซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระนามของพระเจ้าจอมโยธาผู้ประทับบนเครูบ
3 และเขาทั้งหลายก็เอาเกวียนใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้า และนำออกมาจากเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และอุสซาห์กับอาหิโยบุตรของอาบีนาดับก็ขับ เกวียนใหม่เล่มนั้น
4 และนำออกมาจากเรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา เกวียนบรรจุหีบของพระเจ้าไป และอาหิโยเดินนำหน้าหีบ
5 ดาวิดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลก็ร่าเริงกัน อยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยเต็มกำลังของ เขาทั้งหลายมีการร้องเพลง เล่นพิณเขาคู่และพิณใหญ่ รำมะนา กรับ และฉาบ
6 และเมื่อมาถึงลานนวดข้าวของนาโคน อุสซาห์ก็เหยียดมือออกจับหีบของพระเจ้าไว้เพราะโคสะดุด
7 และพระพิโรธของพระเจ้าก็เกิดขึ้นกับอุสซาห์ และพระเจ้าทรงประหารเขาเสียที่นั่น เพราะเขาเหยียดมือออกจับหีบนั้น และเขาก็สิ้นชีวิตอยู่ข้างหีบของพระเจ้า
8 และดาวิดก็ไม่ทรงพอพระทัย เพราะพระเจ้าทรงทลายออกมาเหนืออุสซาห์ จึงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์ จนถึงทุกวันนี้
9 ในวันนั้นดาวิดก็ทรงกลัวพระเจ้า และพระองค์ตรัสว่า "หีบของพระเจ้าจะมาถึงข้าได้อย่างไร"
10 ดังนั้นดาวิดจึงไม่ยอมที่จะนำหีบของพระเจ้าเข้าไป ในเมืองของดาวิดให้อยู่กับตน แต่ดาวิดได้ทรงนำไปที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัท
11 หีบของพระเจ้าก็ค้างอยู่ที่บ้านของโอเบดเอโดม ชาวกัทสามเดือน และพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่โอเบดเอโดม และครัวเรือนของเขาทั้งสิ้น
12 มีคนไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิดว่า "พระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า" ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จไปนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจาก บ้านของโอเบดเอโดมถึงเมืองดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี
13 และเมื่อผู้ที่หามหีบของพระเจ้าเดินไปได้หกก้าว ดาวิดก็ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง
14 และดาวิดก็ทรงรำถวายแด่พระเจ้าด้วยสุด กำลังของพระองค์ และดาวิดมีเอโฟดผ้าป่านคาดอยู่ที่พระองค์
15 ดังนั้นแหละดาวิดและพงศ์พันธุ์อิสราเอล ด้วยได้นำหีบของพระเจ้าขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้อง และด้วยเสียงเป่าเขาสัตว์
16 และขณะเมื่อหีบของพระเจ้าเข้ามาถึงเมืองดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นพระราชาดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายแด่พระเจ้า และนางก็มีใจหมิ่นประมาท
17 เขาทั้งหลายนำหีบของพระเจ้าเข้ามาตั้งไว้ในที่กำหนดภายในเต็นท์ซึ่งดาวิดได้ทรงสร้างขึ้นไว้ และดาวิดก็ทรงถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องศานติบูชาแด่ พระเจ้า
18 และเมื่อดาวิดทรงกระทำการถวาย เครื่องเผาบูชาและศานติบูชาสำเร็จแล้ว พระองค์ก็ทรงถวายอวยพรประชาชน ในพระนามของพระเจ้าจอมโยธา
19 และทรงแจกขนมปังคนละแผ่น เนื้อคนละก้อน และขนมองุ่นแห้งคนละแผ่นแก่ประชาชนทั้งปวง คือประชาชนอิสราเอลทั้งหมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย แล้วประชาชนทั้งหลายต่างก็กลับไปยังบ้านของตน
20 และดาวิดก็ทรงกลับไปอวยพรแก่ราชวงศ์ของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลได้ออกมาพบดาวิดและทูลว่า "วันนี้พระราชาแห่งอิสราเอลได้เกียรติยศนักหนาทีเดียวนะเพคะ ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ต่อหน้าสาวใช้ของข้าราชการ อย่างกับคนถ่อยแก้ผ้าด้วยไม่มีความอาย"
21 และดาวิดตรัสตอบมีคาลว่า "เป็นงานที่ถวายแด่พระเจ้าผู้ทรงเลือกเราไว้แทนเสด็จพ่อของเจ้า และแทนราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน ทรงแต่งตั้งให้เราเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของพระเจ้า และเราจึงจะร่าเริงต่อพระพักตร์พระเจ้า
22 เราจะถ่อมตัวของเราลงยิ่งกว่านี้อีกให้ปรากฏแก่ตาของเราเองว่าเป็นคนต่ำ แต่โดยพวกสาวใช้ที่เจ้าพูดถึงนั้น เราจะเป็นผู้ที่เขาถือว่ามีเกียรติ"
23 และมีคาลราชธิดาของซาอูลก็ไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพ
2ซามูเอล 7
1 อยู่มาเมื่อพระราชาประทับในพระราชวังของพระองค์ และพระเจ้าทรงโปรดให้พระองค์พักจากการรบศึกรอบด้าน
2 พระราชาตรัสกับนาธันผู้เผยพระวจนะว่า "ดูซิ เราอยู่ในบ้านทำด้วยไม้สนสีดาร์ แต่หีบของพระเจ้าอยู่ในผ้าม่านเต็นท์"
3 และนาธันทูลพระราชาว่า "ขอเชิญทรงกระทำทั้งสิ้นตามพระประสงค์ของฝ่าพระบาทเพราะพระเจ้าทรงสถิตกับฝ่าพระบาท"
4 แต่อยู่มาในคืนวันนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้ามาถึงนาธันว่า
5 "จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะสร้างนิเวศให้เราอยู่หรือ
6 เราไม่เคยอยู่ในนิเวศนับ แต่วันที่เราพาคนอิสราเอลออกจากอียิปต์จนกระทั่งวันนี้ แต่เราก็ไปมากับเต็นท์และกับพลับพลา
7 ในที่ต่างๆที่เราได้เคลื่อนไปมากับชนชาติอิสราเอล ทั้งหมด เราได้เคยพูดสักคำกับผู้วินิจฉัยของอิสราเอลคนใด ผู้ที่เราบัญชาให้เขาเลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของ เราหรือว่า "ทำไมเจ้ามิได้สร้างนิเวศด้วยไม้สนสีดาร์ให้แก่เรา'"
8 เพราะฉะนั้น บัดนี้เจ้าจงกล่าวแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า 'พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า เราเอาเจ้ามาจากทุ่งหญ้า จากการตามฝูงแพะ แกะ เพื่อให้เจ้าเป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของเรา
9 เราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และได้กำจัดศัตรูของเจ้าให้พ้นหน้าเจ้า และเราจะกระทำให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต อย่างกับชื่อเสียงของผู้ใหญ่ในโลก
10 และเราจะกำหนดที่หนึ่งให้อิสราเอลประชากรของเรา และเราจะปลูกฝังเขาไว้เพื่อเขาทั้งหลายจะ ได้อยู่ในที่ของเขาเองและไม่ต้องถูกกวนใจอีก และคนชั่วจะไม่ข่มเหงเขาอีกดังแต่ก่อนมา
11 ตั้งแต่สมัยเมื่อเราตั้งผู้วินิจฉัยเหนืออิสราเอล ประชากรของเรา และเราจะให้เจ้าพ้นจากการรบศึกรอบด้าน ยิ่งกว่านั้นอีก พระเจ้าตรัสแก่เจ้าว่า พระเจ้าจะทรงให้เจ้ามีราชวงศ์
12 เมื่อวันของเจ้าครบแล้ว และเจ้านอนพักอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งของเจ้าเกิด ขึ้นสืบต่อจากเจ้าผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเองและ เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา
13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศเพื่อ นามของเราและเราจะสถาปนา บัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์
14 เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา ถ้าเขากระทำผิดเราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์ ด้วยการเฆี่ยนแห่งบุตรมนุษย์ทั้งหลาย
15 แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเขาเสีย ดังที่เราพรากไปจากซาอูล ซึ่งเราได้ถอดเสียให้พ้นหน้าเจ้า
16 ราชวงศ์ของเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะดำรง อยู่ต่อหน้าเจ้าอย่างมั่นคงเป็นนิตย์ และบัลลังก์ของเจ้าจะถูกสถาปนาไว้เป็นนิตย์'"
17 นาธันก็กราบทูลดาวิดตามถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้น และตามนิมิตนี้ทั้งหมด
18 แล้วพระราชาดาวิดจึงเสด็จเข้าไปเฝ้าพระเจ้า และกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่าและพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เป็นผู้ใด พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาไกลถึงแค่นี้
19 ข้าแต่พระเจ้า แต่นี่ก็เป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ และพระองค์ทรงลั่นพระวาจาถึงราชวงศ์ของข้าพระองค์ ในอนาคตอันไกลนั้น ข้าแต่พระเจ้า และทั้งนี้ตามวิสัยของมนุษย์
20 ดาวิดจะกราบทูลประการใดอีกต่อพระองค์ได้เล่า ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงรู้จักผู้รับใช้ของพระองค์
21 ที่พระองค์ทรงกระทำสิ่งใหญ่โตนี้ทั้งสิ้น เพื่อให้ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบก็เพราะพระสัญญาของพระองค์ และตามชอบพระทัยของพระองค์
22 ข้าแต่พระเจ้า ฉะนั้นพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ไม่มีใดๆเหมือนพระองค์ ไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์ ตามที่หูของข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยินมา
23 ประชากรในโลกนี้จะเหมือนอิสราเอลประชากรของ พระองค์ ซึ่งพระเจ้าเสด็จไปทรงไถ่มาให้เป็นประชากรของพระองค์ กระทำให้พระนามของพระองค์มีเกียรติ และทรงกระทำสิ่งที่ใหญ่เพื่อเจ้าทั้งหลาย และทรงกระทำสิ่งน่าสะพรึงกลัว เพื่อแผ่นดินของพระองค์ ต่อหน้าประชากรของพระองค์ คือชนชาติซึ่งพระองค์ทรงไถ่ออกจากอียิปต์ เพื่อพระองค์จากบรรดาประชาชาติ และบรรดาพระเจ้าของเขา
24 และพระองค์ทรงสถาปนาอิสราเอล ประชากรของพระองค์ไว้ ให้เป็นประชากรเพื่อพระองค์เองเป็นนิตย์ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าของเขาทั้งหลาย
25 ข้าแต่พระเจ้า พระวาทะซึ่งพระองค์ทรงลั่นออกมาเกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์ และเกี่ยวกับราชวงศ์ของเขา ขอทรงดำรงซึ่งพระวาทะนั้นให้ถาวรเป็นนิตย์ และทรงกระทำดังที่พระองค์ทรงลั่นพระวาจาไว้
26 ขอพระนามของพระองค์เป็นที่สรรเสริญอยู่เป็นนิตย์ว่า 'พระเจ้าจอมโยธาทรงเป็นพระเจ้าเหนืออิสราเอล' และราชวงศ์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์จะดำรง อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
27 ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธาพระเจ้าของอิสราเอล เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า 'เราจะสร้างราชวงศ์ให้เจ้า' เพราะฉะนั้น ผู้รับใช้ของพระองค์จึงกล้าหาญที่จะวิงวอนด้วยคำ อธิษฐานนี้ต่อพระองค์
28 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และบรรดาพระวาทะของพระองค์เป็นความจริง และพระองค์ทรงสัญญาจะพระราชทานสิ่งดีนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์
29 เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอโปรดให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ที่ จะอำนวยพระพรแก่ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อให้ดำรงอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงลั่นพระวาจาเช่นนั้นแล้ว และด้วยพระพรของพระองค์ก็ขอ ให้ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ได้อยู่เย็นเป็นสุขเป็นนิตย์"
2ซามูเอล 8
1 อยู่มาภายหลัง ดาวิดทรงโจมตีพวกฟีลิสเตียและปราบปรามได้ และดาวิดทรงยึดเมืองเมเธกฮัมมาห์ได้จากมือคนฟีลิสเตีย
2 พระองค์ทรงชนะโมอับ ทรงวัดเขาด้วยเชือกวัด คือบังคับให้เรียงตัวเข้าแถวนอนลงที่พื้นดิน ทรงวัดดูแล้วให้ประหารเสียสองแถว และไว้ชีวิตเต็มหนึ่งแถว คนโมอับก็เป็นไพร่ของดาวิด และได้นำเครื่องบรรณาการมาถวาย
3 ดาวิดทรงรบชนะฮาดัดเอเซอร์บุตรเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์ เมื่อเสด็จไปฟื้นอำนาจของพระองค์ที่แม่น้ำยูเฟรติส
4 และดาวิดทรงยึดพลม้าหนึ่งพันเจ็ดร้อยคน ทหารราบสองหมื่นคน และดาวิดรับสั่งให้ตัดเอ็นขาม้ารถรบเสียให้หมด เหลือไว้ให้พอแก่รถรบหนึ่งร้อยคัน
5 และเมื่อคนซีเรียชาวเมืองดามัสกัสมาช่วยฮาดัดเอเซอร์ กษัตริย์เมืองโศบาห์ ดาวิดทรงประหารคนซีเรียเสียสองหมื่นสองพันคน
6 แล้วดาวิดทรงตั้งทหารประจำป้อมไว้เหนือคนซีเรียชาวเมืองดามัสกัสหลายกอง และคนซีเรียก็เป็นพลไพร่ของดาวิด และนำเครื่องบรรณาการไปถวาย พระเจ้าทรงประทานชัยชนะแก่ดาวิดไม่ว่าจะไปรบ ณ ที่ใดๆ
7 และดาวิดทรงนำโล่ทองคำที่ข้าราชการทหารของฮาดัดเอเซอร์ถือนั้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
8 และกษัตริย์ดาวิดทรงริบทองสัมฤทธิ์เป็นอันมากไปจากเมืองเบทาห์ และเมืองเบโรธัยหัวเมืองของฮาดัดเอเซอร์
9 เมื่อโทอิกษัตริย์เมืองฮามัททราบว่าดาวิดรบชนะกองทัพทั้งสิ้นของฮาดัดเอเซอร์
10 โทอิก็ส่งโยรัมโอรสของตนไปเฝ้ากษัตริย์ดาวิด ถวายพระพรและแสดงความยินดีที่ดาวิดทรงรบชนะฮาดัดเอเซอร์ เพราะว่าฮาดัดเอเซอร์เคยทำสงครามกับโทอิ และโยรัมได้นำเครื่องเงิน เครื่องทองคำ และเครื่องทองสัมฤทธิ์ไปถวาย
11 สิ่งเหล่านี้ กษัตริย์ดาวิดทรงนำมอบถวายแด่พระเจ้า พร้อมกับบรรดาเงินและทองคำ ซึ่งพระองค์ทรงได้มาจากบรรดาประชาชาติที่พระองค์ทรงรบชนะและยึดครอง และทรงนำมามอบถวาย
12 คือได้มาจากซีเรีย โมอับ คนอัมโมน คนฟีลิสเตีย อามาเลข และจากของที่ริบมาจากฮาดัดเอเซอร์โอรสของเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์
13 เมื่อดาวิดเสด็จกลับจากการประหารคนซีเรียเสีย ในหุบเขาเกลือหนึ่งหมื่นแปดพันคน พระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไป
14 และพระองค์ทรงตั้งทหารประจำป้อมขึ้นเหนือเมืองเอโดม พระองค์ทรงตั้งทหารประจำป้อมในเอโดมทั่วไปหมด และคนเอโดมทั้งสิ้นจึงเป็นพลไพร่ของดาวิดและพระเจ้าทรงประทานชัยชนะแก่ดาวิด ไม่ว่าจะเสด็จไปรบ ณ ที่ใด
15 ดังนั้นดาวิดจึงทรงปกครองเหนืออิสราเอลทั้งสิ้น และดาวิดทรงให้ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมแก่ชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น
16 และโยอาบบุตรนางเศรุยาห์เป็นแม่ทัพ และเยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ
17 ศาโดกบุตรอาหิทูบและอาหิเมเลคบุตรอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต และเสไรอาห์เป็นราชเลขา
18 และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บังคับบัญชาคนเคเรธี และคนเปเลทและบรรดาราชโอรสของดาวิดเป็นปุโรหิต
2ซามูเอล 9
1 ดาวิดรับสั่งว่า "พงศ์พันธุ์ของซาอูลนั้นมีเหลืออยู่บ้างหรือ เพื่อเราจะสำแดงสัจกรุณาแก่ผู้นั้นโดยเห็นแก่โยนาธาน"
2 มีมหาดเล็กในวงศ์ซาอูลคนหนึ่งชื่อศิบา เขาก็เรียกให้มาเฝ้าดาวิดและพระราชาตรัสกับเขาว่า "เจ้าคือศิบาหรือ" เขาทูลตอบว่า "ข้าพระบาทคือศิบาพ่ะย่ะค่ะ"
3 พระราชาจึงตรัสว่า "ไม่มีใครในวงศ์ซาอูลยังเหลืออยู่บ้างหรือ เพื่อเราจะได้แสดงความรักมั่นคงของพระเจ้าต่อเขา" ศิบากราบทูลพระราชาว่า "ยังมีโอรสของโยนาธานเหลืออยู่คนหนึ่ง เท้าของเขาเป็นง่อยพ่ะย่ะค่ะ"
4 พระราชาตรัสถามเขาว่า "เขาอยู่ที่ไหน" ศิบาจึงกราบทูลพระราชาว่า "เขาอยู่ในเรือนของมาคีร์บุตรอัมมีเอลในเมือง โลเดบาร์พ่ะย่ะค่ะ"
5 แล้วกษัตริย์ดาวิดรับสั่งให้คนไปนำเขามาจากเรือนของ มาคีร์บุตรอัมมีเอลที่โลเดบาร์
6 เมฟีโบเชทโอรสของโยนาธานราชโอรสของซาอูลได้ มาเฝ้าดาวิดและซบหน้าลงกราบถวายบังคม และดาวิดตรัสว่า "เมฟีโบเชทเอ๋ย" เขาทูลตอบว่า "ดูเถิด ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท"
7 และดาวิดตรัสกับท่านว่า "อย่ากลัวเลย เพราะเราจะสำแดงสัจกรุณาต่อท่าน เพื่อเห็นแก่โยนาธานบิดาของท่าน และเราจะมอบที่ดินทั้งหมดของซาอูลราชบิดาของ ท่านคืนแก่ท่าน และท่านจงรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะของเราเสมอไป"
8 และเขาก็กราบถวายบังคมและทูลว่า "ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเป็นผู้ใดเล่า ซึ่งฝ่าพระบาทจะทอดพระเนตรสุนัขตายอย่างข้าพระบาทนี้"
9 แล้วพระราชาตรัสเรียกศิบามหาดเล็กของซาอูล และตรัสแก่เขาว่า "บรรดาสิ่งของที่เป็นของซาอูลและของวงศ์ทั้งสิ้นของท่าน เราได้มอบให้แก่โอรสเจ้านายของเจ้าแล้ว
10 ตัวเจ้าและพวกบุตรของเจ้าและเหล่าคนใช้ ของเจ้าต้องทำนาให้เขา และนำผลพืชที่ได้นั้นเข้ามาเพื่อโอรสแห่ง เจ้านายของเจ้าจะได้มีอาหารรับประทาน แต่เมฟีโบเชทโอรสแห่งเจ้านายของเจ้านั้น จะรับประทานอาหารที่โต๊ะของเราเสมอไป" ฝ่ายศิบามีบุตรชายสิบห้าคนกับคนใช้ยี่สิบคน
11 แล้วศิบาจึงกราบทูลพระราชาว่า "ตามที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทบัญชา ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทนั้น ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะกระทำ" เมฟีโบเชทจึงรับประทานที่โต๊ะเสวยของดาวิด อย่างกับเป็นโอรสของกษัตริย์
12 เมฟีโบเชทมีบุตรชายเล็กคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเรือนของศิบาก็ได้ เป็นมหาดเล็กของเมฟีโบเชท
13 ดังนั้นเมฟีโบเชทจึงอยู่ใน เยรูซาเล็มเพราะท่านรับประทานที่โต๊ะของกษัตริย์เสมอ เท้าของท่านเป็นง่อยทั้งสองข้าง
2ซามูเอล 10
1 อยู่มาภายหลังพระราชาแห่งคนอัมโมนก็สิ้นพระชนม์ และฮานูนราชโอรสได้เสวยราชสมบัติแทน
2 ดาวิดจึงตรัสว่า "เราจะซื่อตรงต่อฮานูนราชโอรสของนาฮาช ดังที่บิดาของเขาซื่อตรงต่อเรา" ดาวิดจึงส่งพวกข้าราชการของพระองค์ไปเล้าโลมท่าน เกี่ยวด้วยเรื่องราชบิดาของท่าน และข้าราชการของดาวิดก็เข้ามาในแผ่นดินของคนอัมโมน
3 แต่บรรดาเจ้านายของคนอัมโมนทูลฮานูนเจ้านายของ ตนว่า "ฝ่าพระบาทดำริว่า ดาวิดส่งผู้เล้าโลมมาหาฝ่าพระบาท เพราะนับถือพระราชบิดาของฝ่าพระบาทเช่นนั้นหรือ ดาวิดมิได้ส่งข้าราชการมาเพื่อตรวจเมืองและสอดแนมดู และเพื่อจะคว่ำเมืองนี้เสียดอกหรือ"
4 ฮานูนจึงจับข้าราชการของดาวิดมาโกนเคราเสียครึ่งหนึ่ง และตัดเครื่องแต่งกายเสียที่ตรงตอนกลางเพียงตะโพก แล้วปล่อยให้ไป
5 เมื่อมีคนไปกราบทูลดาวิดให้ทรงทราบ พระองค์ก็รับสั่งให้คนไปรับข้าราชการเหล่านั้น เพราะว่าเขาทั้งหลายได้รับความอับอายมาก และพระราชาตรัสว่า "จงพักอยู่ที่เมืองเยรีโคจนกว่าเคราของท่านทั้งหลาย จะขึ้นแล้วจึงค่อยกลับมา"
6 เมื่อคนอัมโมนเห็นว่า เขาทั้งหลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด คนอัมโมนจึงส่งคนไปจ้างคนซีเรียชาวเมืองเบธเรโหบ และคนซีเรียชาวเมืองโศบาห์เป็นทหารราบ จำนวนสองหมื่นคนกับกษัตริย์เมืองมาอาคาห์พร้อม กับทหารหนึ่งพันคนและชาวเมืองโทบหนึ่งหมื่นสองพันคน
7 เมื่อดาวิดทรงทราบเช่นนั้นจึงรับสั่งโยอาบ และพลโยธาทั้งสิ้นให้ไป
8 ฝ่ายคนอัมโมนก็ยกออกมาและจัดทัพไว้ที่ ทางเข้าประตูเมือง ฝ่ายคนซีเรียชาวเมืองโศบาห์และชาวเมืองเรโหบ กับคนเมืองโทบ และเมืองมาอาคาห์อยู่ที่ชนบทกลางแจ้งต่างหาก
9 เมื่อโยอาบเห็นว่าการศึกนั้นขนาบอยู่ทั้งข้างหน้า และข้างหลัง ท่านจึงคัดเอาคนอิสราเอลที่สรรไว้แล้วจัดทัพ เข้าต่อสู้คนซีเรีย
10 ท่านมอบคนที่เหลืออยู่ไว้ในบังคับบัญชา ของอาบีชัยน้องชายของท่าน และเขาก็จัดคนเหล่านั้นเข้าต่อสู้กับคนอัมโมน
11 ท่านกล่าวว่า "ถ้ากำลังคนซีเรียแข็งเหลือกำลังของเรา เจ้าจงยกไปช่วยเรา แต่ถ้ากำลังคนอัมโมนแข็งเกินกำลังของเจ้า เราจะยกมาช่วยเจ้า
12 จงมีความกล้าหาญเถิด ให้เราเป็นลูกผู้ชายเพื่อชนชาติของเรา และเพื่อหัวเมืองแห่งพระเจ้าของเราและขอพระเจ้าทรง กระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด"
13 ดังนั้น โยอาบกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ยกเข้า ใกล้ต่อสู้กับคนซีเรีย ข้าศึกก็แตกหนีไปต่อหน้าเขา
14 เมื่อคนอัมโมนเห็นว่าคนซีเรียหนีไปแล้ว เขาทั้งหลายก็หนีอาบีชัยเข้าไปในเมือง แล้วโยอาบก็กลับจากการสู้รบกับคน อัมโมนมายังกรุงเยรูซาเล็ม
15 ครั้นคนซีเรียเห็นว่าตนพ่ายแพ้ต่ออิสราเอลแล้ว จึงรวบรวมเข้าด้วยกัน
16 ฝ่ายฮาดัดเอเซอร์ทรงใช้คนไปนำคนซีเรียผู้อยู่ฟาก ตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติสออกมา เขามายังตำบลเฮลาม มีโชบัคแม่ทัพของท่านเป็นผู้นำหน้า
17 เมื่อมีผู้กราบทูลดาวิด พระองค์ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมดข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาถึงตำบลเฮลาม และคนซีเรียก็จัดทัพเข้าต่อสู้ดาวิดและได้รบกับพระองค์
18 คนซีเรียก็หนีจากอิสราเอล และดาวิดทรงประหารคนซีเรียซึ่งเป็นทหารรถรบเจ็ดร้อยคน กับทหารม้าสี่หมื่นคนเสีย และประหารโชบัคแม่ทัพของเขาทั้งหลายให้สิ้นชีวิตเสียที่นั่น
19 และเมื่อบรรดากษัตริย์ซึ่งขึ้นกับฮาดัดเอเซอร์เห็นว่า ตนพ่ายแพ้ต่ออิสราเอลแล้ว เขาก็ยอมสงบสุขกับอิสราเอล และยอมเป็นเมืองขึ้น ดังนั้นคนซีเรียจึงกลัวไม่กล้าช่วยคนอัมโมนอีกต่อไป
2ซามูเอล 11
1 ครั้นถึงฤดูแล้งเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปรบ ดาวิดทรงใช้โยอาบพร้อมกับพวกข้าราชการและ อิสราเอลทั้งหมด เขาไปกวาดล้างคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่เยรูซาเล็ม
2 อยู่มาเวลาเย็นวันหนึ่งเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นจากพระแท่น และดำเนินอยู่บนดาดฟ้าหลังคาพระราชวัง ทอดพระเนตรจากหลังคาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอาบน้ำอยู่ หญิงคนนั้นสวยงามมาก
3 ดาวิดทรงใช้คนไปไต่ถามเรื่องผู้หญิงคนนั้น คนหนึ่งมากราบทูลว่า "หญิงคนนี้ชื่อบัทเชบา บุตรีของเอลีอัม ภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ"
4 ดาวิดก็ทรงใช้ผู้สื่อสารไปรับนางมา นางก็มาเฝ้าพระองค์ แล้วพระองค์ทรงสมสู่กับนาง (พอดีนางได้ชำระตัวให้สิ้นมลทินของนางแล้ว) แล้วนางก็กลับไปเรือนของตน
5 ผู้หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์ นางจึงใช้คนไปกราบทูลดาวิดว่า "หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว"
6 ดาวิดทรงใช้คนไปบอกโยอาบว่า "จงส่งอุรีอาห์คนฮิตไทต์มาให้เรา" โยอาบก็ส่งตัวอุรีอาห์ไปให้ดาวิด
7 เมื่ออุรีอาห์เข้าเฝ้าพระองค์ ดาวิดรับสั่งถามว่าโยอาบเป็นอย่างไรบ้าง พวกพลเป็นอย่างไร การสงครามคืบหน้าไปอย่างไร
8 แล้วดาวิดรับสั่งอุรีอาห์ว่า "จงลงไปบ้านของเจ้า และล้างเท้าของเจ้าเสีย" อุรีอาห์ก็ออกไปจากพระราชวัง และมีคนนำของประทานจากพระราชาตามไปให้
9 แต่อุรีอาห์ได้นอนเสียที่ประตูพระราชวัง พร้อมกับบรรดาข้าราชการของเจ้านายของพระองค์ มิได้ลงไปที่บ้านของตน
10 เมื่อมีคนกราบทูลดาวิดว่า "อุรีอาห์ไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขาพ่ะย่ะค่ะ" ดาวิดรับสั่งแก่อุรีอาห์ว่า "เจ้ามิได้เดินทางมาดอกหรือ ทำไมจึงไม่ลงไปบ้านของเจ้า"
11 อุรีอาห์ทูลตอบดาวิดว่า "หีบพันธสัญญาและอิสราเอลกับยูดาห์อยู่ในทับอาศัย โยอาบเจ้านายของข้าพระบาทกับบรรดาข้าราชการ ของฝ่าพระบาทตั้งค่ายอยู่ที่พื้นทุ่ง ส่วนข้าพระบาทจะไปบ้าน ไปกิน ไปดื่ม และนอนกับภรรยาของข้าพระบาทเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และวิญญาณจิตของพระองค์ มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทจะไม่กระทำอย่างนี้เลย"
12 แล้วดาวิดก็รับสั่งแก่อุรีอาห์ว่า "วันนี้ก็ค้างเสียที่นี่เถิด พรุ่งนี้เราจะให้เจ้าไป" อุรีอาห์ก็ค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในวันนั้นและ ในวันรุ่งขึ้น
13 ดาวิดทรงเชิญเขามา เขาก็มา รับประทานและดื่มต่อพระพักตร์ และพระองค์ทรงกระทำให้เขามึนเมา ในเย็นวันนั้นเขาก็ออกไปนอนกับข้าราชการ ของเจ้านายของเขา แต่มิได้ลงไปบ้าน
14 ครั้นรุ่งเช้าดาวิดทรง อักษรถึงโยอาบและทรงฝากไปกับอุรีอาห์
15 ในลายพระหัตถ์นั้นว่า "จงตั้งอุรีอาห์ให้เป็นกองหน้าเข้าสู้รบตรงที่ดุเดือดที่สุด แล้วล่าทัพกลับเสียเพื่อให้เขาถูกโจมตีให้ตาย"
16 อยู่มาเมื่อโยอาบกำลังเฝ้าล้อมเมืองอยู่ ท่านจึงกำหนดให้อุรีอาห์ไปรบตรงที่ที่ ท่านทราบว่ามีทหารเข้มแข็งมาก
17 คนในเมืองก็ออกมาสู้รบกับโยอาบ มีคนตายบ้างคือข้าราชการบางคนของดาวิดได้ล้มตาย อุรีอาห์คนฮิตไทต์ก็ตายด้วย
18 โยอาบจึงส่งคนไปกราบทูลข่าวการรบทั้งสิ้นต่อดาวิด
19 ท่านได้แนะนำผู้สื่อสารนั้นว่า "เมื่อเจ้ากราบทูลข่าวการรบต่อพระราชาเสร็จทุกประการแล้ว
20 ถ้าพระราชากริ้วและตรัสถามเจ้าว่า 'ทำไมเจ้าทั้งหลายจึงยกเข้ารบใกล้เมืองนัก เจ้าไม่ทราบหรือว่าเขาจะยิงออกมาจากกำแพง
21 ใครฆ่าอาบีเมเลคบุตรเยรุบเบเชท ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่งเอาหินโม่ท่อนบนทุ่ม เขาจากกำแพงเมืองจนเขาตายเสียที่เมืองเธเบศดอกหรือ ทำไมเจ้าทั้งหลายจึงเข้าไปใกล้กำแพง' แล้วเจ้าจงกราบทูลว่า 'อุรีอาห์คนฮิตไทต์ผู้รับใช้ของพระองค์ก็ตายด้วย'"
22 ผู้สื่อสารก็ไป เขามาทูลต่อดาวิดถึงทุกอย่างที่ โยอาบสั่งเขาให้มากราบทูล
23 ผู้สื่อสารนั้นกราบทูลดาวิดว่า "ข้าศึกได้เปรียบต่อเรามาก และได้ออกมาสู้รบกับ ฝ่ายเราที่กลางทุ่ง แต่เราได้ขับไล่เขาเข้าไปถึงทางเข้าประตูเมือง
24 แล้วทหารธนูก็ยิงข้าราชการของพระองค์จากกำแพง ข้าราชการของพระราชาบางคนก็สิ้นชีวิต และอุรีอาห์คนฮิตไทต์ข้าราชการของพระองค์ก็สิ้นชีวิตด้วย"
25 ดาวิดก็รับสั่งผู้สื่อสารนั้นว่า "เจ้าจงบอกโยอาบดังนี้ว่า 'อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ท่านลำบากใจ เพราะดาบย่อมสังหารไม่เลือกว่าคนนั้นหรือคนนี้ จงสู้รบหนักเข้าไป และตีเอาเมืองนั้นเสียให้ได้' เจ้าจงหนุนน้ำใจท่านด้วย"
26 เมื่อภรรยาของอุรีอาห์ทราบข่าว ว่าอุรีอาห์สามีของตนสิ้นชีวิตแล้ว นางก็คร่ำครวญด้วยเรื่องสามีของนาง
27 เมื่อสิ้นการไว้ทุกข์แล้วดาวิดก็ ส่งคนไปให้พานางมาที่พระราชวัง และนางก็ได้เป็นมเหสีของพระองค์ ประสูติโอรสองค์หนึ่งให้พระองค์ แต่สิ่งซึ่งดาวิดทรงกระทำนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
2ซามูเอล 12
1 พระเจ้าทรงใช้ให้นาธันไปหาดาวิด นาธันก็ไปเข้าเฝ้าและกราบทูลพระองค์ว่า "ในเมืองหนึ่งมีชายสองคน คนหนึ่งมั่งมี อีกคนหนึ่งยากจน
2 คนมั่งมีนั้นมีแพะแกะและโคเป็นอันมาก
3 แต่คนจนนั้นไม่มีอะไรเลย เว้นแต่แกะตัวเมียตัวเดียวที่ซื้อเขามา ซึ่งเขาเลี้ยงไว้ และอยู่กับเขา มันได้เติบโตขึ้นพร้อมกับบุตรของเขา กินอาหารร่วมและดื่มน้ำถ้วยเดียวกับเขา นอนในอกของเขา และเป็นเหมือนบุตรสาวของเขา
4 ฝ่ายคนมั่งมีคนนั้นมีแขกคนหนึ่งมาเยี่ยม เขาเสียดายที่จะเอาแพะแกะหรือโคของตน มาทำอาหารเลี้ยงคนที่มาเยี่ยมนั้น จึงเอาแกะตัวเมียของชายคนจนนั้นเตรียมเป็น อาหารให้แก่ชายที่มาเยี่ยมตน"
5 ดาวิดกริ้วชายคนนั้นมาก และรับสั่งแก่นาธันว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผู้ชายที่กระทำเช่นนั้นจะต้องตาย
6 และจะต้องคืนแกะให้สี่เท่าเพราะเขาได้กระทำอย่างนี้ และเพราะว่าเขาไม่มีเมตตาจิต"
7 นาธันจึงทูลดาวิดว่า "ฝ่าพระบาทนั่นแหละคือชายคนนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเราช่วยกู้เจ้าออกมาจากมือของซาอูล
8 และเราได้มอบวงศ์เจ้านายของเจ้าไว้ในมือของเจ้า และได้มอบภรรยาเจ้านายของเจ้าไว้ในอกของเจ้า และมอบวงศ์วานอิสราเอลและวงศ์วานยูดาห์ให้แก่เจ้า ถ้าเท่านี้ยังน้อยไป เราจะเพิ่มให้อีกเท่านี้
9 ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าได้ฆ่าอุรีอาห์คนฮิตไทต์เสียด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของตน และได้ฆ่าเขาเสียด้วยดาบของคนอัมโมน
10 เพราะฉะนั้นดาบนั้นจะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของ เจ้าเพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา เอาภรรยาของอุรีอาห์คนฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของเจ้า'
11 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ดูเถิด เราจะให้เหตุร้ายบังเกิดขึ้นกับเจ้า จากครัวเรือนของเจ้าเอง และเราจะเอาภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า ยกไปให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า ผู้นั้นจะนอนร่วมกับภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย
12 เพราะเจ้าทำการนั้นอย่างลับๆ แต่เราจะกระทำการนี้ต่อหน้า อิสราเอลทั้งสิ้นและอย่างเปิดเผย'"
13 ดาวิดจึงรับสั่งกับนาธันว่า "เรากระทำบาปต่อพระเจ้าแล้ว" และนาธันกราบทูลดาวิดว่า "พระเจ้าทรงให้อภัยบาปของฝ่าพระบาทแล้ว ฝ่าพระบาทจะไม่ถึงแก่มรณา
14 อย่างไรก็ตาม เพราะฝ่าพระบาทได้เหยียดหยามพระเจ้าอย่าง ที่สุดด้วยการกระทำครั้งนี้ ราชบุตรที่จะประสูติมานั้นจะต้องสิ้นชีวิต"
15 แล้วนาธันก็กลับไปยังบ้านของตน แล้วพระเจ้าทรงกระทำแก่บุตร ซึ่งภรรยาของอุรีอาห์บังเกิดกับดาวิด และพระกุมารนั้นก็ประชวรหนัก
16 ดาวิดก็ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อพระกุมารนั้น และดาวิดทรงอดพระกระยาหารและบรรทมบนพื้นดิน คืนยังรุ่ง
17 บรรดาพวกผู้ใหญ่ในราชสำนักของพระองค์ก็ ลุกขึ้นมายืนเข้าเฝ้าอยู่ หมายจะทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกจากพื้นดิน แต่พระองค์หาทรงยอมไม่ หรือหาทรงรับประทานกับเขาทั้งหลายไม่
18 พอวันที่เจ็ดพระกุมารนั้นก็สิ้นพระชนม์ ส่วนข้าราชการของดาวิดก็กลัวไม่กล้า กราบทูลดาวิดว่าเด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้ว เขาพูดกันว่า "ดูเถิด เมื่อพระกุมารนั้นทรงพระชนม์อยู่ เราทูลพระองค์ พระองค์หาทรงฟังเสียงของเราไม่ แล้วเราทั้งหลายอาจจะกราบทูลได้อย่างไรว่า พระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็จะกระทำอันตรายต่อพระองค์เอง"
19 แต่เมื่อดาวิดทอดพระเนตรเห็นข้าราชการ กระซิบกระซาบกันอยู่ ดาวิดเข้าพระทัยว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ดาวิดจึงรับสั่งถามข้าราชการของพระองค์ว่า "เด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้วหรือ" เขาทูลตอบว่า "สิ้นชีวิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
20 แล้วดาวิดทรงลุกขึ้นจากพื้นดิน ชำระพระกายชโลมพระองค์ และทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์ ทรงดำเนินเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและทรงนมัสการ แล้วเสด็จไปสู่พระราชวังของพระองค์ รับสั่งให้นำพระกระยาหารมา เขาก็จัดพระกระยาหารให้พระองค์เสวย
21 ข้าราชการจึงทูลถามพระองค์ว่า "เป็นไฉนฝ่าพระบาททรงกระทำเช่นนี้ ฝ่าพระบาททรงอดพระกระยาหาร และกันแสงเพื่อพระกุมารนั้นเมื่อทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว ฝ่าพระบาทก็ทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหาร"
22 พระองค์รับสั่งว่า "เมื่อเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เราอดอาหารและร้องไห้ เพราะเราว่า 'ใครจะทราบได้ว่าพระเจ้าจะทรงพระเมตตาเรา โปรดให้เด็กนั้นมีชีวิตอยู่หรือไม่'
23 แต่เมื่อเขาสิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม เราจะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาอีกได้หรือ มีแต่เราจะตามทางเด็กนั้นไป เขาจะกลับมาหาเราหามิได้"
24 ฝ่ายดาวิดทรงเล้าโลมใจบัทเชบามเหสีของพระองค์ และทรงสมสู่กับพระนาง พระนางก็ประสูติบุตรชายคนหนึ่งชื่อซาโลมอน และพระเจ้าทรงรักซาโลมอน
25 และทรงใช้นาธันผู้เผยพระวจนะไป ท่านจึงตั้งชื่อราชโอรสนั้นว่า เยดีดิยาห์ เพราะเห็นแก่พระเจ้า
26 ฝ่ายโยอาบสู้รบกับเมืองรับบาห์ของคนอัมโมน และยึดราชธานีไว้ได้
27 และโยอาบได้ส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าดาวิด ทูลว่า "ข้าพระบาทได้สู้รบกับกรุงรับบาห์ ยิ่งกว่านั้นอีก ข้าพระบาทตีได้เมืองที่มีน้ำพุนั้นแล้ว
28 บัดนี้ขอพระองค์ทรงรวบรวมพลที่เหลือ เข้าตั้งค่ายตีเมืองนั้นให้ได้ เกลือกว่าถ้าข้าพระบาทตีได้ ก็จะต้องเรียกชื่อเมืองนั้นตามชื่อของข้าพระบาท"
29 ดาวิดจึงทรงรวบรวมพลเข้าด้วยกันยกไป ยังเมืองรับบาห์ และต่อสู้จนยึดเมืองนั้นได้
30 ทรงริบมงกุฎจากเศียรกษัตริย์ของเมืองนั้น มงกุฎนั้นเป็นทองคำหนักหนึ่งตะลันต์ ประดับด้วยเพชรและเขาก็สวมบนพระเศียรของดาวิด และพระองค์ทรงเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติของเมืองนั้นได้ เป็นอันมาก
31 ทรงควบคุมประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นให้ทำงาน ด้วยเลื่อย คราดเหล็กและขวานเหล็ก และบังคับให้ทำงานที่เตาเผาอิฐ ได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่บรรดาหัวเมืองของคนอัมโมนทั่วไป แล้วดาวิดก็เสด็จกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพลทั้งสิ้น
2ซามูเอล 13
1 ฝ่ายอับซาโลมราชโอรสของดาวิดมีขนิษฐาองค์หนึ่ง รูปโฉมสะคราญชื่อทามาร์ ครั้นอยู่มาอัมโนนราชโอรสของดาวิดก็รักเธอ
2 ด้วยเหตุทามาร์น้องหญิงนี้ จิตใจของอัมโนนก็ถูกทรมานจนถึงกับล้มป่วย ด้วยเหตุว่าเธอเป็นสาวพรหมจารี อัมโนนจึงรู้สึกว่าจะทำอะไรกับเธอไม่ได้เลย
3 แต่อัมโนนมีสหายคนหนึ่งชื่อโยนาดับบุตร ของชิเมอาห์เชษฐาของดาวิด โยนาดับนั้นเป็นคนเจ้าปัญญา
4 จึงทูลถามว่า "ข้าแต่ราชโอรสของพระราชา ไฉนทูลกระหม่อมจึงซมเซาอยู่ทุกเช้าๆ จะไม่บอกให้เกล้าฯทราบบ้างหรือ" อัมโนนตอบเขาว่า "เรารักทามาร์น้องหญิงของอับซาโลมอนุชาของเรา"
5 โยนาดับจึงทูลท่านว่า "ขอเชิญบรรทมบนพระแท่นแสร้งกระทำเป็นประชวร และเมื่อเสด็จพ่อมาเยี่ยมทูลกระหม่อมขอกราบทูลว่า 'ขอโปรดรับสั่งทามาร์น้องหญิงมาให้อาหารแก่ข้าพระบาท ให้มาเตรียมอาหารต่อหน้าข้าพระบาทเพื่อข้าพระบาทจะ ได้เห็น และได้รับประทานจากมือของเธอ'"
6 อัมโนนจึงบรรทมแสร้งทำเป็นประชวร เมื่อพระราชาเสด็จมาเยี่ยม อัมโนนก็ทูลพระราชาว่า "ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงมาทำขนมสักสองอันต่อ หน้าข้าพระบาท เพื่อข้าพระบาทจะได้รับประทานจากมือของเธอ"
7 ดาวิดทรงใช้คนไปหาทามาร์ที่วังรับสั่งว่า "ขอจงไปที่บ้านของอัมโนนพี่ของเจ้า และเตรียมอาหารให้เขารับประทาน"
8 ทามาร์ก็ไปยังวังของอัมโนนเชษฐาของเธอ ที่ที่เขาบรรทมอยู่ เธอก็หยิบแป้งมานวดทำขนมต่อหน้าเชษฐาแล้วปิ้ง
9 และเธอก็ยกกระทะมาเทออกต่อหน้าเชษฐา แต่อัมโนนก็ไม่ทรงเสวย กล่าวว่า "ให้ทุกคนออกไปเสียให้พ้นเรา" ทุกคนก็ออกไป
10 อัมโนนก็รับสั่งกับทามาร์ว่า "จงเอาอาหารเข้ามาในห้องใน เพื่อพี่จะได้รับประทานจากมือของน้อง" ทามาร์ก็นำขนมที่เธอทำนั้นเข้าไปใน ห้องเพื่อให้แก่อัมโนนเชษฐา
11 แต่เมื่อเธอนำขนมมาใกล้เพื่อให้ท่านรับประทาน ท่านก็จับมือเธอไว้รับสั่งว่า "น้องของพี่เข้ามานอนกับพี่เถิด"
12 เธอจึงตอบท่านว่า "ไม่ได้ดอกพระเชษฐาขออย่าบังคับน้องเลย สิ่งอย่างนี้เขาไม่กระทำกันในอิสราเอล ขออย่ากระทำการโฉดเขลาอย่างนี้เลย
13 ฝ่ายหม่อมฉัน หม่อมฉันจะเอาความอายไปซ่อนไว้ที่ไหน ฝ่ายท่านเล่า ท่านจะเป็นคนโฉดเขลาในอิสราเอล เพราะฉะนั้นขอทูลพระราชาพระองค์คงจะไม่หวง หม่อมฉันไว้ไม่ให้ท่าน"
14 แต่ท่านก็หาฟังเสียงเธอไม่ ด้วยท่านมีกำลังมากกว่าจึงข่มขืน และนอนร่วมกับเธอ
15 ต่อมาอัมโนนก็เบื่อหน่าย และเกลียดชังเธอยิ่งนัก ความเกลียดชังครั้งนี้ก็มากยิ่งกว่าความรักซึ่งท่านได้ รักเธอมาก่อน และอัมโนนรับสั่งกับเธอว่า "จงลุกขึ้นไป"
16 แต่เธอตอบท่านว่า "อย่าเลยพระเชษฐา ที่จะขับไล่หม่อมฉันไปครั้งนี้นั้นก็เป็นความผิดใหญ่ยิ่งกว่าที่พระเชษฐาได้ทำกับน้องมาแล้ว" แต่ท่านหาได้เชื่อฟังเธอไม่
17 ท่านจึงเรียกมหาดเล็กที่ปรนนิบัติอยู่สั่งว่า "จงไล่ผู้หญิงคนนี้ให้ออกไปพ้นหน้าของข้าแล้วปิด ประตูใส่กลอนเสีย"
18 เธอสวมเสื้อคลุมยาวมีแขนดังที่ราชธิดาพรหมจารี ของพระราชาสวมกัน มหาดเล็กของท่านจึงไล่เธอออกไปและใส่กลอนประตูเสีย
19 ทามาร์ก็เอาขี้เถ้าใส่ที่ศีรษะของเธอและฉีกเสื้อคลุมยาวมีแขนที่เธอสวมอยู่นั้นเสีย เอามือกุมศีรษะเดินพลางร้องครวญไปพลาง
20 อับซาโลมเชษฐาของเธอก็กล่าวกับเธอว่า "อัมโนนเชษฐาได้อยู่กับน้องหรือ น้องเอ๋ย นิ่งเสีย เพราะเขาเป็นพี่ อย่าร้อนใจเพราะเรื่องนี้เลย" ฝ่ายทามาร์ก็อยู่เปล่าเปลี่ยวในวังของอับซาโลมเชษฐา
21 เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงทราบเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก
22 แต่อับซาโลมมิได้ตรัสประการใดกับอัมโนนเลย ไม่ว่าดีหรือร้าย เพราะอับซาโลมเกลียดชังอัมโนนมาก เหตุที่ท่านได้ข่มขืนทามาร์น้องหญิงของท่าน
23 ต่อมาอีกสองปีเต็ม อับซาโลมมีงานตัดขนแกะที่ตำบลบาอัลฮาโซร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอฟราอิม และอับซาโลมได้เชิญโอรสทั้งสิ้นของพระราชา ไปในงานนั้น
24 อับซาโลมไปเฝ้าพระราชาทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระบาทมีงานตัดขนแกะ ขอเชิญพระราชาและมหาดเล็กของพระองค์ ไปในงานนั้นกับข้าพระบาท"
25 แต่พระราชาตรัสกับอับซาโลมว่า "ลูกเอ๋ย อย่าเลย อย่าให้พวกเราไปกันหมดเลย จะเป็นภาระแก่เจ้าเปล่าๆ" อับซาโลมคะยั้นคะยอพระองค์ ถึงกระนั้นพระองค์มิได้ยอมเสด็จ แต่ทรงอำนวยพระพรให้
26 อับซาโลมจึงกราบทูลว่า "ถ้าไม่โปรดเสด็จก็ขอ อนุญาตให้พระเชษฐาอัมโนนไปด้วยกันเถิด" และพระราชาตรัสถามว่า "ทำไมเขาต้องไปกับเจ้าด้วย"
27 แต่อับซาโลมทูลคะยั้นคะยอจนพระองค์ทรงยอม ให้อัมโนนและราชโอรสของพระราชาทั้งสิ้นไปด้วย
28 แล้วอับซาโลมบัญชามหาดเล็กของท่านว่า "จงคอยดูว่าจิตใจของอัมโนนเพลิดเพลินด้วย เหล้าองุ่นเมื่อไร เมื่อเราสั่งเจ้าว่า 'จงตีอัมโนน' เจ้าทั้งหลายจงฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวเลย เราบัญชาเจ้าแล้วมิใช่หรือ จงกล้าหาญและเป็นคนเก่งกล้าเถิด"
29 และมหาดเล็กของอับซาโลมก็ กระทำกับอัมโนนตามที่อับซาโลมได้บัญชาไว้ แล้วบรรดาราชโอรสของพระราชาก็พากันลุกขึ้น ทรงล่อของแต่ละองค์หนีไปสิ้น
30 ขณะเมื่อราชโอรสได้ดำเนินอยู่ตามทาง มีข่าวไปถึงดาวิดว่า "อับซาโลมได้ประหารราชโอรสของพระราชาหมดแล้ว ไม่เหลืออยู่สักองค์เดียว"
31 พระราชาทรงลุกขึ้นฉีกฉลองพระองค์ และทรง บรรทมบนพื้นดิน บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นสวมเสื้อผ้าฉีกขาดยืนเฝ้าอยู่
32 แต่โยนาดับบุตรชิเมอาห์เชษฐาของดาวิดกราบทูลว่า "ขออย่าให้เจ้านายของข้าพระบาทสำคัญผิดไปว่า เขาได้ประหารราชโอรสหนุ่มแน่นเหล่านั้นหมดแล้ว เพราะว่าอัมโนนสิ้นชีวิตแต่ผู้เดียว เพราะตามบัญชาของอับซาโลม เรื่องนี้ท่านตั้งใจไว้แต่ครั้งที่ อัมโนนข่มขืนทามาร์น้องหญิงของท่านแล้ว
33 ฉะนั้น ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทอย่าได้ร้อนพระทัย ด้วยสำคัญว่า ราชโอรสทั้งหมดของพระองค์สิ้นชีวิตเพราะอัมโนน สิ้นชีพแต่ผู้เดียว"
34 แต่อับซาโลมได้หนีไป ฝ่ายทหารยามหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดู ดูเถิด ประชาชนเป็นอันมากกำลังมาจากถนนโฮโรนาอิมข้างๆภูเขา
35 โยนาดับจึงกราบทูลพระราชาว่า "ดูเถิด ราชโอรสกำลังดำเนินมาแล้ว ตามที่ข้าพระบาทกราบทูลก็เป็นจริงดังนั้น"
36 อยู่มาเมื่อเขาพูดจบลง ดูเถิด ราชโอรสของพระราชาก็มาถึงและได้ร้องไห้ ฝ่ายพระราชาก็กันแสง และบรรดาข้าราชการก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วย
37 อับซาโลมได้หนีไปเข้าเฝ้าทัลมัย โอรสของอัมมีฮูด พระราชาเมืองเกชูร์ แต่ดาวิดทรงไว้ทุกข์ให้ราชโอรสของพระองค์วันแล้ววันเล่า
38 ฝ่ายอับซาโลมก็หนีไปยังเมืองเกชูร์ และทรงอยู่ที่นั่นสามปี
39 ดาวิดพระราชาก็ทรงตรอมพระทัยอาลัยถึงอับซาโลม เพราะการที่ทรงคิดถึงอัมโนนนั้นค่อยคลายลง ด้วยเขาสิ้นชีพแล้ว
2ซามูเอล 14
1 ฝ่ายโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ทราบว่า พระราชาอาลัยถึงอับซาโลม
2 โยอาบจึงใช้คนไปยังเมืองเทโคอาพาหญิงที่ฉลาด มาจากที่นั่นคนหนึ่ง บอกนางว่า "ขอจงแสร้งทำเป็นคนไว้ทุกข์ สวมเสื้อของคนไว้ทุกข์อย่าชโลมน้ำมัน แต่แสร้งทำเหมือนผู้หญิงที่ไว้ทุกข์ให้ผู้ตายมาหลายวันแล้ว
3 จงเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลข้อความนี้แก่พระองค์" แล้วโยอาบก็สอนคำกราบทูลให้หญิงนั้น
4 เมื่อหญิงชาวเทโคอามาเฝ้าพระราชา นางก็ซบหน้าลงถึงดินถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระราชา ขอพระกรุณาคุณเป็นที่พึ่ง"
5 พระราชาตรัสถามหญิงนั้นว่า "เจ้ามีเรื่องอะไร" นางกราบทูลว่า "อนิจจา หม่อมฉันเป็นหญิงม่าย สามีตายเสียแล้ว
6 สาวใช้ของฝ่าพระบาทมีบุตรสองคน วิวาทกันที่ในทุ่งนา ไม่มีใครช่วยห้ามปราม บุตรคนหนึ่งจึงตีอีกคนหนึ่งตาย
7 ดูเถิด หมู่ญาติรุมกันมาหาสาวใช้ของฝ่าพระบาทบอกว่า 'จงมอบผู้ที่ฆ่าพี่ชายของตัวมาให้เรา เพื่อเราจะฆ่าเขาเสีย เพื่อแก้แค้นแทนพี่ชายที่เขาได้ฆ่าเสียนั้น จะได้ฆ่าผู้ที่รับมรดกเสียด้วย' ดังว่าจะดับถ่านไฟของหม่อมฉันที่ยังเหลืออยู่นั้นเสีย ไม่ให้สามีของหม่อมฉันมีชื่อหรือมีเชื้อเหลืออยู่บนพื้นโลกเลย"
8 พระราชาจึงรับสั่งแก่หญิงคนนั้นว่า "ไปบ้านของเจ้าเถิด เราจะสั่งการเรื่องเจ้า"
9 หญิงชาวเทโคอาได้กราบทูลพระราชาว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน ขอให้โทษตกอยู่กับหม่อมฉัน และกับพงศ์พันธุ์บิดาของหม่อมฉัน แต่พระราชาและราชบัลลังก์ของพระองค์อย่าให้มีโทษเลย"
10 พระราชาตรัสว่า "ถ้ามีผู้ใดกล่าวอะไรแก่เจ้า จงพาเขามาหาเรา คนนั้นจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเลย"
11 นางก็กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ ขอพระราชาทรงกระทำสาบานในพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท เพื่อผู้อาฆาตจะไม่กระทำการฆ่าอีกต่อไป และบุตรของหม่อมฉันจะไม่ต้องถูกทำลาย" พระองค์ตรัสว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของบุตรของเจ้าสักเส้นเดียวจะไม่ตกลงถึงดิน"
12 แล้วหญิงนั้นกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ ขอสาวใช้ของฝ่าพระบาท กราบทูลอีกสักคำหนึ่ง แก่พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน" พระองค์ตรัสว่า "พูดไป"
13 หญิงนั้นจึงกราบทูลว่า "เหตุใดพระองค์ทรงดำริจะกระทำอย่างนี้แก่ประชากร ของพระเจ้า ในการที่ตรัสเช่นนี้พระราชาทรงกล่าวโทษพระองค์เอง ในประการที่พระราชามิได้ทรงนำผู้ถูก เนรเทศกลับสู่พระราชสำนัก
14 คนเราจะต้องตายหมดด้วยกันทุกคน เป็นเหมือนน้ำที่หกบนแผ่นดิน จะเก็บรวมกลับคืนมาอีกไม่ได้ พระเจ้ามิทรงทำลายชีวิต แต่ทรงดำริหาหนทางไม่ให้ผู้ที่ถูก เนรเทศต้องถูกทรงทอดทิ้ง
15 ที่หม่อมฉันมากราบทูลเรื่องนี้ ต่อพระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน เพราะประชาชนขู่หม่อมฉันให้กลัว และสาวใช้ของฝ่าพระบาทคิดว่า 'ฉันจะกราบทูลพระราชา หวังว่าพระราชาจะโปรดตามคำขอของผู้รับใช้ของพระองค์
16 ด้วยพระราชาจะทรงสดับฟังและทรงช่วยกู้ผู้รับใช้ของ พระองค์ ให้พ้นจากมือของผู้ที่ตั้งใจทำลายฉันและลูกของฉันเสีย จากมรดกของพระเจ้า'
17 และสาวใช้ของฝ่าพระบาทคิดว่า 'ขอให้พระดำรัสของพระราชาเจ้านาย ของฉันเป็นที่ให้พำนัก' เพราะพระราชาเจ้านายของฉันเปรียบประดุจทูตของพระเจ้า ในการที่จะประจักษ์ความดีและความชั่ว ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท ทรงสถิตกับฝ่าพระบาทเถิด"
18 แล้วพระราชาทรงตอบหญิงนั้นว่า "สิ่งใดที่เราจะถามเจ้าเจ้าอย่าปิดบังนะ" ผู้หญิงนั้นกราบทูลว่า "ขอพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันจงตรัสเถิด"
19 พระราชาจึงตรัสถามว่า "ในเรื่องทั้งสิ้นนี้มือของโยอาบ เกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยหรือเปล่า" หญิงนั้นทูลตอบว่า "ข้าแต่พระราชา เจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ไม่มีใครหลบหลีกพระดำรัสของพระราชาเจ้านายของ หม่อมฉันไปทางขวาหรือทางซ้ายได้ โยอาบผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทนั่นแหละให้หม่อมฉันกราบทูล เขาเป็นผู้สอนคำกราบทูลแก่หม่อมฉันสาวใช้ของฝ่าพระบาท
20 โยอาบได้กระทำเช่นนี้ก็เพื่อจะเปลี่ยนโฉมหน้าของ เหตุการณ์ แต่เจ้านายของหม่อมฉันทรงมีพระสติปัญญา ดังสติปัญญาแห่งทูตของพระเจ้า ทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนพิภพ"
21 พระราชาตรัสสั่งโยอาบว่า "ดูเถิด เราอนุมัติตามคำขอนี้แล้ว จงไปพาอับซาโลมชายหนุ่มคนนั้นกลับมา"
22 โยอาบก็ซบหน้าลงถึงดินถวายบังคม แล้วโมทนาพระคุณพระราชา โยอาบกราบทูลว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท วันนี้ข้าพระบาททราบว่า ข้าพระบาทได้รับพระกรุณาในประการที่ พระราชาทรงอนุมัติ ตามคำทูลขอของข้าพระบาท"
23 โยอาบจึงลุกขึ้นไปยังเมือง เกชูร์และพาอับซาโลมมายังกรุงเยรูซาเล็ม
24 และพระราชารับสั่งว่า "ให้เขาไปอยู่วังของเขาเถิด อย่าให้เข้าเฝ้าเรา" อับซาโลมก็ไปอยู่วังของท่านมิได้ เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา
25 ในบรรดาอิสราเอลหามีผู้ใดรูปงามน่าชมอย่าง อับซาโลมไม่ ในตัวท่านตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงกระหม่อมไม่มีตำหนิเลย
26 เมื่อท่านตัดผม (ท่านเคยตัดผมสิ้นปีทุกปีเพราะผมหนักแล้วท่านก็ตัดเสีย) ท่านก็ชั่งผมของท่านได้หนักสองร้อยเชเขลตามพิกัดหลวง
27 มีบุตรชายสามคนเกิดแก่อับซาโลม และบุตรีคนหนึ่งชื่อทามาร์ เธอเป็นหญิงที่สวยงาม
28 อับซาโลมประทับในกรุงเยรูซาเล็มได้สองปีเต็ม โดยมิได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา
29 แล้วอับซาโลมก็ให้ไปตามโยอาบ จะใช้ให้เข้าไปเฝ้าพระราชาแต่โยอาบไม่ยอมมาหาท่าน ท่านก็ใช้คนไปครั้งที่สองแต่โยอาบก็ไม่มาเหมือนกัน
30 ท่านจึงสั่งมหาดเล็กของท่านว่า "ดูซิ นาของโยอาบอยู่ถัดนาของเรา เขามีข้าวบารลีที่นั่น จงเอาไฟเผาเสีย" มหาดเล็กของอับซาโลมก็ไปเอาไฟเผานา
31 โยอาบก็ลุกขึ้นไปหาอับซาโลมที่วัง ของท่านถามท่านว่า "ทำไมมหาดเล็กของท่านจึงเอาไฟเผานาของหม่อมฉัน"
32 อับซาโลมตอบโยอาบว่า "ดูเถิด เราส่งคนไปบอกท่านว่า 'มานี่เถิด เราจะส่งท่านไปหาพระราชาทูลว่า "ให้ข้าบาทมาจากเกชูร์ทำไม ข้าบาทยังอยู่ที่นั่นก็ดีกว่า" บัดนี้ขอให้เราได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา ถ้าเรามีความผิดก็ขอพระองค์ทรงประหารเราเสีย'"
33 โยอาบจึงเข้าไปเฝ้าพระราชากราบทูลพระองค์ พระองค์ก็ทรงเรียกอับซาโลม ท่านจึงเข้าไปเฝ้าพระราชา โน้มกายลงซบหน้าลงถึงดินต่อพระพักตร์พระราชา พระราชาก็ทรงจุบอับซาโลม
2ซามูเอล 15
1 อยู่มาภายหลัง อับซาโลมได้รถรบและม้ากับทหารวิ่งนำหน้าห้าสิบคน
2 อับซาโลมตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ไปประทับริมทาง ไปยังประตูเมือง ถ้าผู้ใดมีเรื่องที่จะถวายพระราชาให้ทรงตัดสิน อับซาโลมก็เรียกผู้นั้น ถามว่า "เจ้ามาจากเมืองไหน" และเมื่อเขาทูลตอบว่า "ผู้รับใช้ของท่านเป็นคนเผ่าหนึ่งในอิสราเอล"
3 อับซาโลมจึงจะบอกเขาว่า "ดูซิ ข้อหาของเจ้าก็ดีและถูกต้อง แต่พระราชามิได้ทรงตั้งผู้ใดไว้ฟังคดีของเจ้า"
4 อับซาโลมเคยกล่าวยิ่งกว่านั้นว่า "เออ ถ้าข้าเป็นผู้พิพากษาในแผ่นดินนี้ก็ดี เมื่อใครมีข้อหาหรือคดีจะได้มาหาข้า ข้าจะตัดสินให้ความยุติธรรมแก่เขา"
5 เมื่อมีผู้ใดเข้ามาใกล้จะกราบถวายบังคมท่าน ท่านจะยื่นมือออกจับคนนั้นไว้และจุบเขา
6 อับซาโลมกระทำอย่างนี้แก่บรรดาคนอิสราเอล ผู้มาเฝ้าพระราชาเพื่อขอการพิพากษา อับซาโลมก็ลอบเอาใจคนอิสราเอลอย่างนี้
7 ครั้นล่วงมาได้สี่สิบปี อับซาโลมกราบทูลพระราชาว่า "ขอโปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระบาทไปแก้บนที่เมืองเฮโบรน ซึ่งข้าพระบาทได้บนไว้ต่อพระเจ้า
8 เพราะว่าข้าพระบาทได้บนไว้เมื่อ ครั้งยังอยู่ในเมืองเกชูร์ประเทศซีเรียว่า 'ถ้าพระเจ้าทรงโปรดนำข้าพระองค์มา ยังกรุงเยรูซาเล็มจริงแล้ว ข้าพระองค์จะถวายนมัสการพระเจ้า'"
9 พระราชาตรัสตอบท่านว่า "จงไปเป็นสุขเถิด" ท่านก็ลุกขึ้นไปยังเมืองเฮโบรน
10 แต่อับซาโลมได้ส่งผู้สื่อสารไป ทั่วอิสราเอลทุกเผ่าว่า "ท่านทั้งหลายได้ยินเสียงเขาสัตว์เมื่อไร จงกล่าวกันว่า 'อับซาโลมเป็นกษัตริย์ที่กรุงเฮโบรน'"
11 มีชายสองร้อยคนไปกับอับซาโลมจากกรุงเยรูซาเล็ม เป็นคนที่ถูกเชิญให้ไป คนเหล่านี้ก็ไปกันเฉยๆ หาทราบเรื่องอะไรไม่
12 ขณะเมื่ออับซาโลมถวายสัตวบูชาอยู่ ท่านส่งคนไปเชิญอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ที่ ปรึกษาของดาวิดมาจากนครของเขา คือกิโลห์ การที่คบคิดกันนั้นก็เพิ่มกำลังขึ้น คนที่มาฝักใฝ่อยู่กับอับซาโลมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
13 ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาเฝ้าดาวิดกราบทูลว่า "ใจของคนอิสราเอล ได้คล้อยตามอับซาโลมไปแล้ว"
14 แล้วดาวิดรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ ณ เยรูซาเล็มว่า "จงลุกขึ้นให้เราหนีไปเถิด มิฉะนั้นเราจะหนีไม่พ้นจากอับซาโลมสักคนเดียว จงรีบไป เกรงว่าเขาจะตามเราทันโดยเร็วและนำเหตุร้ายมาถึงเรา และทำลายกรุงนี้เสียด้วยคมดาบ"
15 ข้าราชการของพระราชาจึงกราบทูลพระราชาว่า "ดูเถิด ข้าพระบาทพร้อมที่จะกระทำตามสิ่งซึ่งพระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาทตัดสินพระทัยทุกประการ"
16 พระราชาก็เสด็จออกไปพร้อมกับคนในราชสำนัก ของพระองค์ด้วย เว้นแต่นางสนมสิบคนได้ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง
17 พระราชาก็เสด็จออกไป พลทั้งสิ้นก็ตามพระองค์ ไปและเสด็จประทับที่บ้านสุดท้าย
18 บรรดาข้าราชการทั้งสิ้นเดินผ่านพระองค์ไป บรรดาคนเคเรธีและคนเปเลท กับคนกัทหกร้อยคนที่ติดตามพระองค์มาจากเมืองกัท ได้เดินผ่านพระราชาไป
19 พระราชาจึงตรัสสั่งอิททัยคนกัทว่า "ทำไมเจ้าจึงไปกับเราด้วย กลับเถิดไปอยู่กับพระราชา เจ้าเป็นแต่คนต่างด้าว และถูกเนรเทศมาด้วย จงกลับไปบ้านเมืองของเจ้าเถิด
20 เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ และวันนี้ควรที่เราจะให้เจ้าไปมากับเราหรือ ด้วยเราไม่ทราบว่าจะไปที่ไหน จงกลับไปเถิด พาพี่น้องของเจ้าไปด้วย ขอความรักมั่นคงและความสัตย์จริงจงมีกับเจ้าเถิด"
21 แต่อิททัยทูลตอบพระราชาว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และพระราชาเจ้านายของข้าพระบาททรงพระชนม์ อยู่แน่ฉันใด พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเสด็จประทับที่ไหน จะสิ้นพระชนม์หรือทรงพระชนม์ ข้าพระบาทขอไปอยู่ที่นั้นด้วย"
22 ดาวิดก็รับสั่งกับอิททัยว่า "จงผ่านไปเถิด" อิททัยชาวเมืองกัทจึงผ่านไปพร้อมกับ บรรดาพรรคพวกของเขาทั้งผู้ใหญ่และเด็ก
23 เมื่อพลเดินผ่านไปเสีย ชาวเมือง นั้นทั้งสิ้นก็ร้องไห้เสียงดัง พระราชาก็เสด็จข้ามลำธารขิดโรน และพลทั้งหมดก็ผ่านเข้าทางไปถิ่นทุรกันดาร
24 และนี่แน่ะศาโดกก็มาด้วยพร้อมกับคนเลวีทั้งสิ้น หามหีบพันธสัญญาของพระเจ้ามา และเขาวางหีบของพระเจ้าลง ฝ่ายอาบียาธาร์ก็ขึ้นมาจนประชาชนออกจากเมืองไปหมด
25 แล้วพระราชาตรัสสั่งศาโดกว่า "จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยเรา พระองค์จะทรงโปรดนำเรากลับมาให้เห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย
26 แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า 'เราไม่พอใจเจ้า' ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงกระทำกับเราตามที่พระองค์ ทรงโปรดเห็นชอบเถิด"
27 พระองค์ตรัสกับศาโดกปุโรหิตด้วยว่า "ท่านเป็นผู้พยากรณ์หรือ จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับบุตรชายทั้งสองของท่านคืออาหิมาอัสบุตรของท่าน และโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์
28 ดูก่อนท่าน เราจะคอยอยู่ที่ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร จนจะมีข่าวมาจากท่านให้เราทราบ"
29 ฝ่ายศาโดกกับอาบียาธาร์จึง หามหีบของพระเจ้ากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มและพักอยู่ที่นั่น
30 ฝ่ายดาวิดเสด็จขึ้นไปตามทางขึ้นภูเขามะกอกเทศ เสด็จพลางกันแสงพลางมีผ้าคลุมพระเศียรเสด็จโดยพระบาทเปล่า และประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับ พระองค์ก็เอาผ้าคลุมศีรษะเดินไปพลางร้องไห้พลาง
31 มีคนมากราบทูลดาวิดว่า "อาหิโธเฟลอยู่ในพวกคิดกบฏของอับซาโลมด้วย" ดาวิดกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลฟั่นเฝือไป"
32 อยู่มาเมื่อดาวิดมาถึง ยอดซึ่งเป็นที่นมัสการพระเจ้า ดูเถิด หุชัยตระกูลอารคีได้เข้ามาเฝ้า มีเสื้อผ้าฉีกขาดและดินอยู่บนศีรษะ
33 ดาวิดตรัสกับเขาว่า "ถ้าเจ้าไปกับเราเจ้าจะเป็นภาระแก่เรา
34 แต่ถ้าเจ้ากลับเข้าไปในเมืองและกล่าวกับอับซาโลมว่า 'ข้าแต่พระราชา ข้าพระบาทขอถวายตัวเป็นข้าของฝ่าพระบาท ดังที่ข้าพระบาทเป็นข้าของพระราชบิดาของ ฝ่าพระบาทมาแต่กาลก่อนฉันใด ข้าพระบาทขอเป็นข้าของฝ่าพระบาทฉันนั้น' แล้วเจ้าจะกระทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลพ่ายแพ้ไป เพื่อเห็นแก่เรา
35 ศาโดกกับอาบียาธาร์ปุโรหิต ก็อยู่กับเจ้าที่นั่นมิใช่หรือ สิ่งใดที่เจ้าได้ยินในพระราชวัง จงบอกให้ศาโดกกับอาบียาธาร์ทราบ
36 ดูเถิด บุตรสองคนของเขาก็อยู่ด้วย คืออาหิมาอัสบุตรศาโดก และโยนาธานบุตรอาบียาธาร์ ดังนั้นเมื่อท่านได้ยินเรื่องอะไรจงใช้เขามา บอกเราทุกเรื่องเถิด"
37 หุชัยสหายของดาวิดจึงกลับเข้าไปในเมือง พอดีกับอับซาโลมกำลังเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
2ซามูเอล 16
1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทก็เข้ามาเฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อม บรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน องุ่นแห้งร้อยพวง และผลไม้ฤดูร้อนอีกหนึ่งร้อย กับเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง
2 พระราชาตรัสกับศิบาว่า "เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาทำไม" ศิบาทูลตอบว่า "ลาคู่นั้นเพื่อราชวงศ์จะได้ทรง ขนมปังและผลไม้ฤดูร้อนสำหรับชายฉกรรจ์รับประทาน และเหล้าองุ่นเพื่อผู้ที่อ่อนเปลี้ยอยู่กลาง ถิ่นทุรกันดารจะได้ดื่ม"
3 พระราชาตรัสว่า "บุตรเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า" ศิบากราบทูลพระราชาว่า "ดูเถิด ท่านพักอยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะท่านว่า 'วันนี้พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะคืนราชอาณาจักร บิดาของเราให้แก่เรา'"
4 แล้วพระราชาตรัสกับศิบาว่า "ดูเถิด บัดนี้ทรัพย์สมบัติของเมฟีโบเชทก็ตกเป็นของเจ้า" และศิบากราบทูลว่า "ข้าพระบาทขอกราบถวายบังคมข้าแต่ พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ขอข้าพระบาทเป็นที่โปรดปรานของฝ่าพระบาท"
5 เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมายังตำบลบาฮูริม มีชายคนหนึ่งอยู่ในตระกูลวงศ์วานซาอูล ชื่อชิเมอีบุตรเก-รา เขาออกมาเดินพลางด่าพลาง
6 และเอาหินขว้างดาวิดและขว้างบรรดาข้าราชการ ของกษัตริย์ดาวิด พวกพลและชายฉกรรจ์ทั้งสิ้นก็อยู่ข้างขวาและ ข้างซ้ายของพระองค์
7 ชิเมอีร้องด่ามาว่า "เจ้าคนกระหายโลหิต เจ้าคนถ่อย จงไปเสียให้พ้น
8 พระเจ้าได้ทรงสนองเจ้า ในเรื่องโลหิตแห่งพงศ์พันธุ์ของซาอูล ผู้ซึ่งเจ้าเข้าครองแทนอยู่นั้น และพระเจ้าทรงมอบราชอาณาจักร ไว้ในมืออับซาโลมบุตรของเจ้า ดูซิ ความพินาศตกอยู่บนเจ้าแล้ว เพราะเจ้าเป็นคนกระหายโลหิต"
9 อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์จึงกราบทูลพระราชาว่า "ทำไมปล่อยให้สุนัขตายตัวนี้มาด่าพระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาท ขออนุญาตให้ข้าพระบาทข้ามไปตัดหัวมันออกเสีย"
10 แต่พระราชาตรัสว่า "บุตรทั้งสองของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับเจ้า ถ้าเขาด่าเพราะพระเจ้าตรัสสั่งเขาว่า 'จงด่าดาวิด' แล้วใครจะพูดว่า 'ทำไมเจ้าจึงกระทำเช่นนี้'"
11 ดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ว่า "ดูเถิด ลูกของเราเองยังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมกับคนเบนยามินคนนี้จะไม่กระทำเล่า ช่างเขาเถิดให้เขาด่าไป เพราะพระเจ้าทรงบอกเขาแล้ว
12 บางทีพระเจ้าจะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของเรา และพระองค์จะทรงสนองเราด้วยความดีเพราะเขาด่า เราในวันนี้"
13 ดาวิดจึงทรงดำเนินไปตามทางพร้อมกับพลของพระองค์ ฝ่ายชิเมอีก็เดินไปตามเนินเขาตรงข้าม เขาเดินพลางด่าพลาง เอาก้อนหินปาและเอาฝุ่นซัดใส่
14 พระราชากับพลทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ก็มา ถึงแม่น้ำจอร์แดนด้วยความเหนื่อยอ่อน จึงทรงพักผ่อนเอาแรง ณ ที่นั่น
15 ฝ่ายอับซาโลมกับประชาชนทั้งสิ้น คือคนอิสราเอลก็มาถึงกรุงเยรูซาเล็ม และอาหิโธเฟลก็มาด้วย
16 และอยู่มาเมื่อหุชัยชาวอารคี สหายของดาวิดเข้าเฝ้าอับซาโลม หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า "ขอทรงพระเจริญ ขอพระราชาทรงพระเจริญ"
17 และอับซาโลมตรัสกับหุชัยว่า "นี่หรือความจงรักภักดีต่อสหายของท่าน ทำไมท่านไม่ไปกับสหายของท่านเล่า"
18 หุชัยกราบทูลอับซาโลมว่า "มิใช่พ่ะย่ะค่ะ พระเจ้ากับประชาชนเหล่านี้ กับคนอิสราเอลทั้งสิ้นเลือกตั้งผู้ใดไว้ ข้าพระบาทขอเป็นฝ่ายผู้นั้น ข้าพระบาทจะขออยู่กับผู้นั้น
19 อีกประการหนึ่ง ข้าพระบาทควรจะปรนนิบัติผู้ใด มิใช่โอรสของท่านผู้นั้นดอกหรือ ข้าพระบาทได้ปรนนิบัติเสด็จพ่อของฝ่าพระบาทมาแล้วฉันใด ก็ขอปรนนิบัติฝ่าพระบาทฉันนั้น"
20 อับซาโลมตรัสถามอาหิโธเฟลว่า "เราจะทำอย่างไรดี จงให้คำปรึกษาของท่าน"
21 อาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า "จงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของฝ่าพระบาท ซึ่งเสด็จพ่อทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง เมื่อคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินว่าฝ่าพระบาทได้กระทำ ให้ตนเป็นที่เกลียดชังของเสด็จพ่อแล้ว บรรดามือเหล่านั้นที่อยู่ฝ่ายฝ่าพระบาทก็จะเข้มแข็งขึ้น"
22 เขาจึงกางเต็นท์ให้อับซาโลมไว้ที่บนดาดฟ้าหลังคา และอับซาโลมก็ทรงเข้าหานางสนมของพระราชบิดา ของพระองค์ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้น
23 ในสมัยนั้น คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ทูลถวาย เหมือนกับเป็นพระบัญชาของพระเจ้า ทั้งดาวิดและอับซาโลมจึงทรงนับถือ คำปรึกษาของอาหิโธเฟลมาก
2ซามูเอล 17
1 และอาหิโธเฟลกราบทูลอับซาโลมว่า "ขอโปรดอนุญาตให้ข้าพระบาทเลือกทหารหนึ่งหมื่นสองพันคน ข้าพระบาทจะยกออกไปติดตามดาวิดคืนวันนี้
2 ข้าพระบาทจะไปทันท่านเมื่อท่านยังเหนื่อยอ่อน อยู่และท้อถอย กระทำให้ท่านกลัวตัวสั่น พลทั้งปวงที่อยู่กับท่านก็จะหนีไป ข้าพระบาทจะฆ่าฟันแต่กษัตริย์
3 แล้วจะนำประชาชนทั้งสิ้นกลับมาเข้าฝ่ายฝ่าพระบาท เมื่อได้คนที่ฝ่าพระบาทมุ่งหาคนเดียว ก็เหมือนได้ประชาชนกลับมาทั้งหมดแล้ว ประชาชนทั้งปวงก็จะอยู่เป็นผาสุก"
4 คำทูลนี้เป็นที่พอพระทัยอับซาโลม และบรรดาผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลก็พอใจด้วย
5 อับซาโลมตรัสว่า "จงเรียกหุชัยคนอารคีเข้ามา เพื่อเราจะฟังเขาจะว่าอย่างไรด้วย"
6 เมื่อหุชัยเข้ามาเฝ้าอับซาโลมแล้ว อับซาโลมจึงตรัสถามเขาว่า "อาหิโธเฟลว่าอย่างนี้แล้ว เราควรจะทำตามคำแนะนำของเขาหรือไม่ ถ้าไม่ ท่านจงพูดมา"
7 หุชัยจึงกราบทูลอับซาโลมว่า "คำปรึกษาซึ่งอาหิโธเฟลให้ในครั้งนี้ไม่ดี"
8 หุชัยกราบทูลต่อไปว่า "ฝ่าพระบาททรงทราบแล้วว่าเสด็จพ่อและคนที่อยู่ด้วย เป็นทหารแข็งกล้าและเขาทั้งหลายกำลังโกรธเหมือนหมี ที่ลูกถูกลักเอาไปในป่า นอกจากนั้นเสด็จพ่อของพระองค์ทรงชำนาญศึก พระองค์คงไม่ทรงพักอยู่กับพวกพล
9 ดูเถิด ถึงขณะนี้พระองค์ก็ทรงซ่อนอยู่ในบ่อแห่งหนึ่ง หรือในที่หนึ่งที่ใดแล้วเมื่อมีคนล้ม ตายในการสู้รบครั้งแรกใครที่ทราบเรื่องก็จะกล่าวว่า 'ทหารที่ติดตามอับซาโลมถูกฆ่าฟัน'
10 แม้คนที่กล้าหาญ ที่จิตใจเหมือนอย่างสิงห์ก็จะกลัวลาน เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นทราบว่าเสด็จพ่อของฝ่าพระบาท เป็นวีรบุรุษ และคนที่อยู่ก็เป็นทหารที่แข็งกล้า
11 แต่คำปรึกษาของข้าพระบาทมีว่า ขอฝ่าพระบาทรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้น ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ให้มากมายดั่งทรายที่ทะเล แล้วฝ่าพระบาทก็เสด็จคุมทัพไปเอง
12 เราทั้งหลายจะเข้ารบกับเขา ณ ที่หนึ่งที่ใดที่พบกัน และเราจะเข้าโจมตีเหมือนน้ำค้างตกใส่พื้นดิน ตัวเขาและคนที่อยู่กับเขาก็จะไม่มีเหลือสักคนหนึ่ง
13 ถ้าเขาจะถอยร่นเข้าไปในเมือง คนอิสราเอลทั้งสิ้นก็จะเอาเชือกมาลากเมืองนั้นลง ไปที่ลุ่มแม่น้ำ จนกระทั่งก้อนกรวดสักก้อนหนึ่งก็ไม่มีให้เห็นที่นั่น"
14 อับซาโลมและคนอิสราเอลทั้งปวงว่า "คำปรึกษาของหุชัยคนอารคีดีกว่าคำปรึกษา ของอาหิโธเฟล" เพราะพระเจ้าทรงสถาปนาที่จะให้คำปรึกษา อันดีของอาหิโธเฟลพ่ายแพ้ เพื่อพระเจ้าจะทรงนำเหตุร้ายมายังอับซาโลม
15 แล้วหุชัยจึงบอกศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า "อาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษาอย่างนั้นอย่างนี้แก่อับซาโลม และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลและข้าพเจ้าได้ให้คำปรึกษา อย่างนั้นอย่างนี้
16 จงรีบส่งคนไปกราบทูลดาวิดว่า 'คืนวันนี้อย่าพักอยู่ที่ท่าข้ามไปถิ่นทุรกันดาร อย่างไรก็จงให้เสด็จข้ามไปเสียเกรงว่า พระราชาและประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ จะถูกกลืนไปหมด'"
17 ฝ่ายโยนาธานและอาหิมาอัสกำลังคอยอยู่ที่เอนโรเกลแล้ว มีสาวใช้คนหนึ่งเคยไปบอกเรื่องแก่เขา แล้วเขาก็ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เพราะเขาไม่กล้าเข้ากรุงให้ใครเห็น
18 แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเห็นเขาทั้งสอง จึงไปทูลอับซาโลม เขาทั้งสองก็รีบไปโดยเร็วจนถึงบ้านชายคนหนึ่งที่บาฮูริม เขามีบ่อน้ำอยู่ที่ลานบ้าน เขาทั้งสองจึงลงไปอยู่ในบ่อนั้น
19 หญิงแม่บ้านก็เอาผ้ามาปูปิดปากบ่อ แล้วก็เกลี่ยปลายข้าวตากอยู่บนนั้นไม่มีใครทราบเรื่องเลย
20 เมื่อข้าราชการของอับซาโลมมาถึงที่บ้านหญิงคนนี้ เขาก็ถามว่า "อาหิมาอัสกับโยนาธานอยู่ที่ไหน" หญิงนั้นก็ตอบเขาว่า "เขาข้ามลำธารน้ำไปแล้ว" เมื่อเขาเที่ยวหาไม่พบแล้วก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
21 เมื่อคนเหล่านั้นไปแล้ว ชายทั้งสองก็ขึ้นมาจากบ่อ ไปกราบทูลกษัตริย์ดาวิด เขาทูลดาวิดว่า "ขอทรงลุกขึ้น และรีบข้ามแม่น้ำไปเพราะอาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษา ต่อสู้อย่างนั้นอย่างนี้"
22 ดาวิดก็ทรงลุกขึ้น พร้อมกับพวกพลที่อยู่กับพระองค์และข้ามแม่น้ำจอร์แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน
23 เมื่ออาหิโธเฟลเห็นว่าเขาไม่กระทำตามคำปรึกษา ของท่าน ก็ผูกอานลาขึ้นขี่กลับไปเรือนของตนที่อยู่ในเมืองของตน เมื่อสั่งเสียเสร็จแล้วก็ผูกคอตาย เขาจึงเอาศพฝังไว้ที่อุโมงค์บิดาของท่าน
24 ฝ่ายดาวิดก็เสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม และอับซาโลมก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดนพร้อมกับคนอิสราเอล
25 อับซาโลมทรงตั้งอามาสาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ อามาสาเป็นบุตรของชายคนหนึ่งชื่ออิธราคนอิสราเอล ได้แต่งงานกับอาบีกัลบุตรีของนาหาชน้องสาวของนาง เศรุยาห์มารดาของโยอาบ
26 ฝ่ายคนอิสราเอลและอับซาโลม ตั้งค่ายอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด
27 เมื่อดาวิดเสด็จมาถึงมาหะนาอิม โชบีบุตรนาหาชชาวเมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมน และมาคีร์บุตรอัมมีเอลชาวโลเดบาร์ และบารซิลลัยชาวกิเลอาดจากเมืองโรเกลิม
28 ได้ขนที่นอน อ่างน้ำและเครื่องภาชนะดิน ข้าวสาลี ข้าวบารลี และแป้ง ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วยาง และถั่วแดง
29 น้ำผึ้ง เนย แกะ และเนยแข็งที่ได้มาจากฝูงสัตว์ถวายแด่ดาวิด และให้พวกพลที่อยู่กับพระองค์รับประทาน เพราะเขาทั้งหลายกล่าวว่า "พวกพลหิวและอ่อนเพลีย และกระหายอยู่ที่ในถิ่นทุรกันดาร"
2ซามูเอล 18
1 ดาวิดจึงตรวจพลที่อยู่กับพระองค์ และทรงจัดตั้งนายพันนายร้อยให้ควบคุม
2 และดาวิดทรงจัดทัพออกไป ให้อยู่ในบังคับบัญชาของโยอาบหนึ่งในสาม และในบังคับของอาบีชัยน้องชายของโยอาบ บุตรนางเศรุยาห์หนึ่งในสาม และอีกหนึ่งในสามอยู่ในบังคับบัญชาของอิททัยคนกัท และพระราชาตรัสกับพวกพลว่า "เราจะไปกับท่านทั้งหลายด้วย"
3 แต่พวกพลเหล่านั้นทูลว่า "ขอฝ่าพระบาทอย่าเสด็จเลย ถ้าข้าพระบาททั้งหลายจะหนีไป เขาทั้งหลายก็ไม่ไยดีอะไรหนักหนา ถ้าข้าพระบาททั้งหลายตายเสียสักครึ่งหนึ่ง เขาทั้งหลายก็ไม่ไยดีอะไรแต่ฝ่าพระบาท มีค่าเท่ากับพวกข้าพระบาทหนึ่งหมื่นคน เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาทพร้อมที่จะส่ง กองหนุนจากในเมืองจะดีกว่า"
4 พระราชาตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "ท่านทั้งหลายเห็นชอบอย่างไร เราจะกระทำตาม" พระราชาจึงทรงประทับที่ข้างประตูเมือง และบรรดาพลทั้งหลายเดินออกไปเป็นกองร้อยกองพัน
5 พระราชารับสั่งโยอาบ อาบีชัย และอิททัยว่า "เบาๆมือกับชายหนุ่มนั้น ด้วยเห็นแก่เราเถิด คือกับอับซาโลม" พวกพลก็ได้ยินคำรับสั่งซึ่งพระราชาประทานแก่ ผู้บังคับบัญชาด้วยเรื่องอับซาโลม
6 พวกพลจึงเคลื่อนออกไปเพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล การสงครามนั้นทำกันในป่าเอฟราอิม
7 คนอิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่ข้าราชการของดาวิด มีการฆ่าฟันกันอย่างหนักที่นั่น ทหารตายเสียสองหมื่นคนในวันนั้น
8 การสงครามกระจายไปทั่วแผ่นดิน ในวันนั้นป่ากินคนเสียมากกว่าดาบกิน
9 เผอิญอับซาโลมไปพบข้าราชการของดาวิดเข้า อับซาโลมทรงล่ออยู่และล่อนั้นได้วิ่งเข้าไปใต้กิ่ง ต้นก่อหลวงใหญ่ ศีรษะของท่านก็ติดกิ่งต้นก่อแน่น เมื่อล่อนั้นวิ่งเลยไปแล้วท่านก็แขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน
10 มีชายคนหนึ่งมาเห็นเข้า จึงไปเรียนโยอาบว่า "ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมแขวนอยู่ที่ต้นก่อหลวง"
11 โยอาบก็พูดกับชายที่บอกท่านว่า "อะไรนะ เจ้าเห็นเขาแล้ว ทำไมเจ้าไม่ฟันให้ตกดินเสียทีเดียวเล่า เราก็จะยินดีที่จะรางวัลเงินสิบเหรียญกับสายรัดเอว เส้นหนึ่งให้เจ้า"
12 แต่ชายคนนั้นเรียนโยอาบว่า "ถึงมือของข้าพเจ้าอุ้มเงินพันเหรียญอยู่ ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำแก่ราชบุตร เพราะว่าหูของพวกเราได้ยินพระบัญชาของพระราชา ที่ตรัสสั่งท่านและอาบีชัยกับอิททัยว่า 'เพื่อเห็นแก่เราขอจงป้องกันอับซาโลมชายหนุ่มนั้น'
13 แต่ถ้าข้าพเจ้าประทุษร้ายต่อชีวิตของเขา (และไม่มีอะไรจะปิดบังให้พ้นพระราชาได้) แล้วตัวท่านเองก็คงใส่โทษข้าพเจ้าด้วย"
14 โยอาบจึงว่า "เราไม่ควรเสียเวลากับเจ้าเช่นนี้" ท่านก็หยิบหลาวสามอันแทงเข้าไปที่หัวใจของอับซาโลม ขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ที่ในต้นก่อหลวง
15 ทหารหนุ่มสิบคนที่ถือเครื่องรบของโยอาบ ก็ล้อมอับซาโลมไว้ แล้วประหารชีวิตท่านเสีย
16 โยอาบก็เป่าเขาสัตว์ และกองทัพก็กลับจากการไล่ตาม อิสราเอลเพราะโยอาบยับยั้งเขาทั้งหลายไว้
17 เขาก็ยกศพอับซาโลมโยนลง ไปในบ่อใหญ่ซึ่งอยู่ในป่า เอาหินกองทับไว้เป็นกองใหญ่มหึมา คนอิสราเอลทั้งสิ้นต่างก็หนีกลับไปบ้านเรือนของตน
18 เมื่ออับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ ได้ตั้งเสาไว้เป็น อนุสรณ์ที่หุบเขาหลวง เพราะท่านกล่าวว่า "เราไม่มีบุตรชายที่จะสืบชื่อของเรา" ท่านเรียกเสานั้นตามชื่อของตน เขาเรียกกันว่าอนุสรณ์อับซาโลมจนทุกวันนี้
19 อาหิมาอัสบุตรศาโดกกล่าวว่า "ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งนำข่าวไปทูลพระราชาว่า พระเจ้าทรงช่วยกู้พระองค์ให้พ้นจากมือศัตรูของพระองค์แล้ว"
20 โยอาบก็ตอบเขาว่า "ท่านอย่านำข่าวไปในวันนี้เลย ท่านจงนำข่าวในวันอื่นเถิด แต่วันนี้ท่านอย่านำข่าวเลย เพราะว่าโอรสสิ้นชีพแล้ว"
21 โยอาบก็สั่งชาวคูชคนหนึ่งว่า "จงนำข่าวไปกราบทูลพระราชา ตามสิ่งที่ท่านได้เห็น" ชาวคูชคนนั้นก็กราบลงคำนับโยอาบ แล้วก็วิ่งไป
22 อาหิมาอัสบุตรศาโดกจึงเรียนโยอาบอีกว่า "จะอย่างไรก็ช่างเถิด ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งตามชาวคูชคนนั้นไปด้วย" โยอาบตอบว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าจะวิ่งไปทำไม ด้วยว่าการส่งข่าวนี้จะไม่มีรางวัลให้แก่เจ้า"
23 เขาตอบว่า "จะอย่างไรก็ช่างเถิด ข้าพเจ้าจะขอวิ่งไป" โยอาบจึงบอกเขาว่า "วิ่งไปเถอะ" และอาหิมาอัสก็วิ่งไปตามทางที่ราบขึ้นหน้าชาวคูชนั้นไป
24 ฝ่ายดาวิดประทับอยู่ระหว่างประตูเมืองทั้งสอง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาซุ้มประตูที่กำแพงเมือง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นชายคนหนึ่งวิ่งมาลำพัง
25 ทหารยามคนนั้นก็ร้องกราบทูลพระราชา พระราชาตรัสว่า "ถ้าเขามาลำพังก็คงคาบข่าวมา" ชายคนนั้นก็วิ่งเข้ามาใกล้
26 ทหารยามเห็นชายอีกคนหนึ่งวิ่งมา ทหารยามก็ร้องบอกไปที่นายประตูเมืองว่า "ดูซี มีชายอีกคนหนึ่งวิ่งมาแต่ลำพัง" พระราชาตรัสว่า "เขาคงนำข่าวมาด้วย"
27 ทหารยามนั้นกราบทูลว่า "ข้าพระบาทคิดว่าคนที่วิ่ง มาก่อนวิ่งเหมือนอาหิมาอัสบุตรศาโดก" และพระราชาตรัสว่า "เขาเป็นคนดี เขามาด้วยข่าวดี"
28 แล้วอาหิมาอัสร้องทูลพระราชาว่า "สวัสดี พ่ะย่ะค่ะ" เขาก็กราบพระราชาซบหน้าลงถึงพื้นดินกราบทูลว่า "สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท พระองค์ได้ทรงมอบบรรดาผู้ที่ยกมือของเขา ต่อสู้กับพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทแล้ว"
29 พระราชาตรัสถามว่า "อับซาโลม ชายหนุ่มนั้นสวัสดีอยู่หรือ" อาหิมาอัสทูลตอบว่า "เมื่อโยอาบใช้ให้ข้าพระบาทมานั้น ข้าพระบาทเห็นผู้คนสับสนกันใหญ่ แต่ไม่ทราบเหตุ"
30 พระราชาตรัสว่า "จงหลีกมายืนตรงนี้" เขาจึงหลีกไปยืนนิ่งอยู่
31 ดูเถิด ชาวคูชนั้นก็มาถึง ชาวคูชนั้นกราบทูลว่า "มีข่าวดีถวายแด่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท เพราะในวันนี้พระเจ้าทรงช่วยกู้ฝ่าพระบาทให้พ้น จากมือของบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้ฝ่าพระบาท"
32 พระราชาตรัสถามชาวคูชนั้นว่า "อับซาโลมชายหนุ่มนั้นเป็นสุขอยู่หรือ" ชาวคูชนั้นทูลตอบว่า "ขอให้ศัตรูของพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท และผู้ที่ลุกขึ้นกระทำอันตรายต่อฝ่าพระบาทเป็น เหมือนชายหนุ่มผู้นั้นเถิด"
33 พระราชาทรงโทมนัสนัก เสด็จขึ้นไปบนห้องที่อยู่เหนือประตู และกันแสง เมื่อเสด็จไปพระองค์ตรัสว่า "โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย เราอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเราเอ๋ย"
2ซามูเอล 19
1 เขาไปเรียนโยอาบว่า "ดูเถิด พระราชากันแสงและไว้ทุกข์เพื่ออับซาโลม"
2 เพราะฉะนั้นชัยชนะในวันนั้นก็กลาย เป็นการไว้ทุกข์ของประชาชนทั้งหลาย เพราะในวันนั้นประชาชนได้ยินว่า "พระราชาทรงโทมนัสเพราะพระราชบุตรของพระองค์"
3 ในวันนั้นประชาชนได้แอบเข้ามาในเมืองอย่าง กับคนหนีศึก แล้วอายแอบเข้ามา
4 พระราชาทรงคลุมพระพักตร์กันแสงเสียงดังว่า "โอ อับซาโลมบุตรของเราเอ๋ย โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา"
5 โยอาบก็เข้ามาในพระราชวังทูลว่า "วันนี้ฝ่าพระบาทได้ทรงกระทำให้ข้าราชการ ทั้งสิ้นของฝ่าพระบาท ผู้ซึ่งวันนี้ได้อารักขาพระชนม์ของฝ่าพระบาท ทั้งราชบุตรและราชธิดาและชีวิตของบรรดามเหสี และสนมทั้งหลายของฝ่าพระบาทให้เขาได้รับความละอาย
6 เพราะว่าฝ่าพระบาททรงรักผู้ที่เกลียดชังฝ่าพระบาท และทรงเกลียดชังผู้ที่รักฝ่าพระบาท เพราะในวันนี้ ฝ่าพระบาทได้กระทำให้ประจักษ์แล้วว่า ฝ่าพระบาทไม่ไยดีต่อนายทหารและบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ในวันนี้ข้าพระบาททราบว่า ถ้าในวันนี้อับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ และข้าพระบาททั้งหลายก็ตายสิ้น ฝ่าพระบาทก็จะพอพระทัย
7 ขอฝ่าพระบาททรงลุกขึ้น ณ บัดนี้ขอเสด็จออกไป ตรัสให้ถึงใจข้าราชการทั้งหลาย เพราะข้าพระบาทได้ปฏิญาณในพระนามพระเจ้าว่า ถ้าฝ่าพระบาทไม่เสด็จจะไม่มีชายสักคนหนึ่งอยู่ กับฝ่าพระบาทในคืนนี้ เรื่องนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆทั้งสิ้น ซึ่งบังเกิดแก่ฝ่าพระบาทตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จนบัดนี้"
8 พระราชาก็ทรงลุกขึ้นประทับที่ประตูเมือง เขาไปบอกประชาชนว่า "ดูเถิด พระราชาประทับอยู่ที่ประตูเมือง" ประชาชนทั้งหลายก็มาเฝ้าพระราชา ฝ่ายอิสราเอลนั้นต่างคนต่างก็หนีไปยัง บ้านเรือนของตนหมดแล้ว
9 ประชาชนทั้งสิ้นก็หมางใจกันไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า กล่าวว่า "พระราชาเคยทรงช่วยกู้เราให้พ้นจากมือศัตรูของเรา และทรงช่วยเราให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย บัดนี้พระองค์ทรงหนีอับซาโลมออกจากแผ่นดิน
10 แต่อับซาโลมผู้ที่เราเจิมตั้งไว้เหนือเรา นั้นก็สิ้นชีวิตเสียแล้วในสงคราม ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบ้างเลยในเรื่องที่จะเชิญ พระราชาให้เสด็จกลับ"
11 กษัตริย์ดาวิดทรงใช้คนไปหาศาโดกและ อาบียาธาร์ปุโรหิต รับสั่งว่า "ขอบอกพวกผู้ใหญ่ของคนยูดาห์ว่า 'ทำไมท่านทั้งหลายจึงเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญพระราชากลับพระราชวังของพระองค์ เมื่อถ้อยคำเหล่านี้มาจากอิสราเอลถึงพระราชา ที่จะเชิญพระองค์ให้กลับพระราชวังของพระองค์
12 ท่านทั้งหลายเป็นญาติของเรา เป็นกระดูกและ เนื้อหนังของเรา ทำไมท่านจึงจะเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญพระราชากลับ'
13 และจงบอกอามาสาว่า 'ท่านมิได้เป็นกระดูกและเนื้อหนังของเราหรือ ถ้าท่านมิได้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพแทน โยอาบสืบต่อไป ขอพระเจ้าทรงลงโทษเรา และยิ่งหนักกว่านั้นอีก'"
14 ท่านก็ได้ชักจูงจิตใจของ บรรดาคนยูดาห์ดังกับเป็นจิตใจของชายคนเดียว เขาจึงส่งคนไปทูลพระราชาว่า "ขอฝ่าพระบาทเสด็จกลับพร้อมกับบรรดาข้าราชการ ทั้งหลายด้วย"
15 พระราชาก็เสด็จกลับและมายังแม่น้ำจอร์แดน และยูดาห์ก็พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จพระราชา และนำเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
16 ชิเมอี บุตรเก-รา คนเบนยามินผู้มาจากบาฮูริม รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อจะรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด
17 มีคนจากเผ่าเบนยามินพร้อมกับท่านหนึ่งพันคน และศิบามหาดเล็กในราชวงศ์ของซาอูล พร้อมกับบุตรสิบห้าคนกับคนใช้อีกยี่สิบ ก็รีบมายังแม่น้ำจอร์แดนต่อพระพักตร์พระราชา
18 เขาทั้งหลายได้ข้ามท่าข้ามไปรับราชวงศ์ของพระราชา และคอยปฏิบัติให้ชอบพระทัย ชิเมอีบุตรเก-รา ได้กราบลงต่อพระพักตร์ พระราชาขณะที่พระองค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
19 กราบทูลพระราชาว่า "ขอเจ้านายของข้าพระบาทอย่าทรงถือโทษข้าพระบาท และทรงจดจำความผิดที่ข้าพระบาทได้กระทำในวัน ที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทสละกรุงเยรูซาเล็ม ขอพระราชาอย่าทรงจดจำไว้ในพระทัย
20 ด้วยข้าพระบาทได้ทราบแล้วว่าได้กระทำบาป เพราะฉะนั้น ดูเถิด ในวันนี้ข้าพระบาทได้มาเป็นคนแรกในพงศ์พันธุ์โยเซฟ ที่ลงมารับเสด็จพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท"
21 อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์จึงตอบว่า "ที่ชิเมอีกระทำเช่นนี้ไม่ควรจะถึงที่ตายดอกหรือ เพราะเขาได้ด่าผู้ที่เจิมตั้งของพระเจ้า"
22 แต่ดาวิดตรัสว่า "บุตรทั้งสองของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับท่าน ซึ่งในวันนี้ท่านจะมาเป็นปฏิปักษ์กับเรา ในวันนี้น่ะควรที่จะให้ใครมีโทษถึงตาย หรือในวันนี้เราไม่ทราบดอกหรือว่า เราเป็นกษัตริย์ครอบครองอิสราเอล"
23 และพระราชาตรัสกับชิเมอีว่า "เจ้าจะไม่ถึงตาย" แล้วพระราชาก็ประทานคำปฏิญาณแก่เขา
24 เมฟีโบเชท โอรสซาอูลก็ลงมารับเสด็จ โดยมิได้แต่งเท้าหรือขลิบเครา หรือซักเสื้อผ้าของตนตั้งแต่วันที่พระราชาเสด็จจาก ไปจนวันที่เสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ
25 เมื่อเมฟีโบเชทมายังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อจะรับเสด็จพระราชาตรัสถามว่า "เมฟีโบเชททำไมท่านมิได้ไปกับเรา"
26 ท่านทูลตอบว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท มหาดเล็กของข้าพระบาทหลอกลวงข้าพระบาท เพราะข้าพระบาทบอกเขาว่า 'ข้าจะผูกอานลาตัวหนึ่ง เพื่อข้าจะได้ขี่ไปตามเสด็จพระราชา' เพราะว่าข้าพระบาทเป็นง่อย
27 เขากลับไปทูลพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ใส่ร้ายข้าพระบาท แต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทเหมือนทูตของพระเจ้า เมื่อฝ่าพระบาททรงเห็นสมควรจะกระทำแก่ข้าพระบาท ประการใด ก็ขอทรงกระทำเถิดพ่ะย่ะค่ะ
28 เพราะว่าเชื้อวงศ์ราชบิดาของข้าพระบาทก็สมควรถึงตาย ต่อพระพักตร์พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท แต่ฝ่าพระบาทก็ทรงแต่งตั้งข้าพระบาทไว้ใน หมู่ผู้ที่รับประทานร่วมโต๊ะเสวยของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทจะมีสิทธิประการใดเล่าที่จะ ร้องทูลอีกต่อพระราชา"
29 พระราชาจึงตรัสกับท่านว่า "ท่านจะพูดเรื่องธุรกิจของท่านต่อไปทำไม เราตัดสินใจว่า ท่านกับศิบาจงแบ่งที่ดินกัน"
30 เมฟีโบเชทกราบทูลพระราชาว่า "เมื่อพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ได้เสด็จกลับสู่พระราชสำนักโดยสวัสดิภาพเช่นนี้แล้ว ก็ให้ศิบารับไปหมดเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
31 ฝ่ายบารซิลลัย ชาวกิเลอาดได้ลงมาจากโรเกลิม และไปกับพระราชาถึงแม่น้ำจอร์แดน เพื่อส่งพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป
32 บารซิลลัยเป็นคนชรามากแล้ว อายุแปดสิบปี ท่านได้นำเสบียงอาหารมาถวายพระราชาขณะ พระองค์ประทับที่มาหะนาอิมเพราะท่านเป็นคนมั่งมีมาก
33 พระราชาจึงตรัสกับบารซิลลัยว่า "ข้ามมาอยู่กับเราเสียเถิด เราจะชุบเลี้ยงท่านให้อยู่กับเราที่กรุงเยรูซาเล็ม"
34 แต่บารซิลลัยทูลพระราชาว่า "ข้าพระบาทจะอยู่ต่อไปได้อีกกี่ปี ที่ข้าพระบาทจะไปอยู่กับพระราชาที่กรุงเยรูซาเล็ม
35 วันนี้ข้าพระบาทมีอายุแปดสิบปีแล้ว ข้าพระบาทจะสังเกตว่าอะไรเป็นที่พอใจและไม่พอใจได้หรือ ข้าพระบาทจะลิ้มรสอร่อยของสิ่งที่กินและดื่มได้หรือ ข้าพระบาทจะฟังเสียงชายหญิงร้องเพลงได้หรือ ทำไมจะให้ข้าพระบาทเป็นภาระเพิ่มแก่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาทอีกเล่า
36 ข้าพระบาทจะตามเสด็จพระราชาข้ามแม่น้ำ จอร์แดนไปเท่านั้น ไฉนพระราชาจะพระราชทานรางวัลเช่นนี้เล่า
37 ขอให้ข้าพระบาทกลับเพื่อไปตายที่ในเมืองของข้าพระบาท ใกล้ที่ฝังศพของบิดามารดาของข้าพระบาท ขอทรงโปรดให้คิมฮามข้าของฝ่าพระบาท ตามเสด็จพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทไป ฝ่าพระบาทจะโปรดเขาประการใดก็แล้วแต่ทรงเห็นควร"
38 พระราชาตรัสตอบว่า "คิมฮามจงข้ามไปกับเรา เราจะกระทำคุณแก่เขาตามที่ท่านเห็นควร สิ่งใดที่ท่านปรารถนาให้เรากระทำแก่ท่าน เรายินดีกระทำตาม"
39 แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน พระราชาเสด็จข้ามไป พระราชาทรงจุบบารซิลลัย และทรงอวยพระพรแก่ท่าน ท่านก็กลับไปยังบ้านช่องของตน
40 พระราชาเสด็จไปยังกิลกาล และคิมฮามก็ข้ามตามเสด็จไปด้วย ประชาชนยูดาห์ทั้งหมดกับประชาชน อิสราเอลครึ่งหนึ่งได้นำพระราชาข้ามมา
41 แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดมาเฝ้าพระราชา กราบทูลพระราชาว่า "ไฉนคนยูดาห์พี่น้องของเราจึงได้ลักพาฝ่าพระบาทไปเสีย พาพระราชาและราชวงศ์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อม กับคนของดาวิดด้วย"
42 ประชาชนยูดาห์จึงตอบประชาชนอิสราเอลว่า "เพราะพระราชาเป็นญาติสนิทกับเรา ท่านทั้งหลายจะโกรธด้วยเรื่องนี้ทำไมเล่า เราได้อยู่กินสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์ของพระราชาหรือ พระองค์ได้ให้รางวัลอะไรแก่เราหรือ"
43 คนอิสราเอลก็ตอบคนยูดาห์ว่า "เรามีส่วนในพระราชาสิบส่วนและในดาวิดเราก็ มีมากกว่าท่าน ทำไมท่านจึงดูถูกเราเช่นนี้เล่า เราไม่ได้เป็นพวกแรกที่พูดเรื่องการนำพระราชากลับดอกหรือ" แต่ถ้อยคำของคนยูดาห์รุนแรงกว่าถ้อยคำของคนอิสราเอล
2ซามูเอล 20
1 เผอิญที่นั่นมีคนอันธพาลอยู่ คนหนึ่งชื่อเชบาบุตรบิครีคนเบนยามิน เขาได้เป่าเขาสัตว์ขึ้นกล่าวว่า "เราไม่มีส่วนในดาวิด เราไม่มีมรดกในบุตรของเจสซี โอ อิสราเอลเอ๋ย ให้ต่างคนต่างกลับไปเต็นท์ของตนเถิด"
2 ดังนั้นพวกคนอิสราเอลทั้งหมดจึงถอนตัวจากดาวิด และไปตามเชบาบุตรบิครี แต่พวกคนยูดาห์ได้ติดตาม พระราชาของเขาอย่างมั่นคงจากแม่น้ำจอร์แดน ไปถึงกรุงเยรูซาเล็ม
3 ดาวิดเสด็จกลับพระนิเวศที่กรุงเยรูซาเล็ม พระราชาก็รับสั่งให้นำนางสนมทั้งสิบคน ที่พระองค์ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวัง นั้นไปรวมกักอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ทรงชุบเลี้ยงไว้แต่มิได้ทรงสมสู่อยู่ด้วย นางเหล่านั้นก็ต้องถูกกักให้มีชีวิตอยู่อย่างแม่ม่ายจนวันตาย
4 พระราชาตรัสสั่งอามาสาว่า "จงระดมพลยูดาห์ให้มาพร้อมกันที่นี่ภายในสามวัน ตัวท่านจงมาด้วย"
5 อามาสาก็ออกไประดมคนยูดาห์ แต่เขาก็ทำงานล่าช้าเกินกำหนดที่พระองค์รับสั่งไว้
6 ดาวิดตรัสกับอาบีชัยว่า "บัดนี้เชบาบุตรบิครีคงทำอันตรายแก่เรายิ่งกว่าอับซาโลม จงนำข้าราชการทหารของเจ้านายของท่านไปติดตาม เกรงว่าเขาจะหาเมืองที่มีป้อมได้ และหนีพ้นสายตาเรา"
7 มีคนของโยอาบตามเขาไปและคนเคเรธีกับคน เปเลทกับทหารที่แข็งกล้าทั้งหมด และเขาทั้งหลายยกออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไล่ ตามเชบาบุตรบิครี
8 เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงศิลาใหญ่ที่อยู่ในเมืองกิเบโอน อามาสาก็มาพบกับเขาทั้งหลาย ฝ่ายโยอาบสวมเครื่องแต่งกาย ทหารมีเข็มขัดติดดาบที่อยู่ในฝักคาดอยู่ที่บั้นเอว เมื่อท่านเดินไปดาบก็ตกลง
9 โยอาบจึงถามอามาสาว่า "พี่ชายเอ๋ย สบายดีหรือ" และโยอาบก็เอามือขวาจับเคราอามาสาจะจุบเขา
10 แต่อามาสาไม่ได้สังเกตเห็นดาบซึ่งอยู่ใน มือของโยอาบ โยอาบจึงเอาดาบแทงท้องอามาสาไส้ทะลักถึงดิน ไม่ต้องแทงครั้งที่สอง เขาก็ตายเสียแล้ว แล้วโยอาบกับอาบีชัยน้องชายก็ไล่ตามเชบาบุตรบิครีไป
11 ทหารหนุ่มคนหนึ่งของโยอาบมายืนอยู่ใกล้อามาสาพูดว่า "ผู้ใดเห็นชอบฝ่ายโยอาบและผู้ใดอยู่ฝ่ายดาวิดให้ผู้นั้น ติดตามโยอาบไป"
12 อามาสาก็นอนเกลือกโลหิตของตัวอยู่ที่ในทางหลวง เมื่อชายคนนั้นเห็นประชาชนทั้งสิ้นมาหยุดอยู่ เขาก็นำศพอามาสาไปทิ้งในทุ่งนาและเอาเสื้อผ้าปิดไว้ เพราะเมื่อใครมาก็เข้าไปดูและหยุดอยู่
13 เมื่อเอาศพอามาสาออกจากทางหลวงแล้ว ประชาชนทั้งปวงก็ตามโยอาบเพื่อติดตามเชบาบุตรบิครี
14 เชบาก็ผ่านคนอิสราเอลทุกเผ่าไปจนถึงตำบลอาเบล และเมืองเบธมาอาคาห์ และคนตระกูลเบเคอร์คนเหล่านั้น ก็มารวมกันและติดตามเขาไป
15 ประชาชนที่อยู่กับโยอาบก็ มาถึงและล้อมเขาไว้ในตำบลอาเบล แขวงเมืองเบธมาอาคาห์ เขาทำเชิงเทินขึ้นที่ริมกำแพงเมือง เขาก็ทะลวงกำแพงเพื่อจะให้พัง
16 มีหญิงฉลาดคนหนึ่งร้องออกมาจากในเมืองว่า "ขอฟังหน่อย ขอฟังหน่อย ขอบอกโยอาบให้มาที่นี่ ฉันอยากจะพูดด้วย"
17 โยอาบก็เข้ามาใกล้หญิงนั้น นางนั้นก็พูดว่า "ท่านคือโยอาบหรือ" เขาตอบว่า "ใช่แล้ว" นางจึงเรียนท่านว่า "ขอท่านฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่านสักหน่อย" ท่านก็ตอบว่า "ฉันกำลังฟังอยู่แล้ว"
18 นางก็พูดว่า "สมัยโบราณเขาพูดกันว่า 'ให้เขาขอคำปรึกษาที่อาเบลเถิด' แล้วเขาก็ตกลงกันได้
19 ฉันเป็นคนหนึ่งที่รักสงบและสัตย์ซื่อในอิสราเอล ท่านหาช่องที่จะทำลายเมือง อันเป็นเมืองแม่ในอิสราเอล ทำไมท่านจึงจะกลืนมรดกของพระเจ้าเสีย"
20 โยอาบจึงตอบว่า "ซึ่งฉันจะกลืนหรือทำลายนั้น ขอให้ห่างไกลจากฉัน ขอให้ห่างไกลทีเดียว
21 เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่มีชายคนหนึ่งจากแดนเทือกเขาเอฟราอิม ชื่อเชบาบุตรบิครี ได้ยกมือของเขาขึ้นต่อสู้กษัตริย์ คือต่อสู้ดาวิด จงมอบเขามาแต่คนเดียว ฉันจะถอยทัพกลับจากเมืองนี้" หญิงนั้นจึงตอบโยอาบว่า "ดูเถิด เราจะโยนศีรษะของเขาข้ามกำแพงมาให้ท่าน"
22 แล้วหญิงนั้นก็ไปหาประชาชนด้วยปัญญาของนาง เขาทั้งหลายได้ตัดศีรษะของเชบาบุตรบิครีโยนออก มาให้โยอาบ โยอาบก็เป่าเขาสัตว์ ต่างก็แยกกันไปจากนครนั้นกลับไปยังบ้านเรือนของตน โยอาบก็กลับไปเฝ้าพระราชาที่กรุงเยรูซาเล็ม
23 โยอาบเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพ ทั้งหมดในอิสราเอล และเบไนยาห์ บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บังคับบัญชา กองคนเคเรธีและคนเปเลท
24 และอาโดรัมดูแลคนงานโยธา เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ
25 เชวาเป็นราชเลขา ศาโดกกับอาบียาธาร์ปุโรหิต
26 อิราตระกูลยาอีร์เป็นปุโรหิตของดาวิดด้วย
2ซามูเอล 21
1 ในสมัยของดาวิดมีการกันดารอาหารอยู่สามปี ปีแล้วปีเล่า และดาวิดก็เข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า "เพราะเขาฆ่าคนกิเบโอน ความผิดที่เขาทั้งหลายต้องตายจึง ตกอยู่กับซาอูลและพงศ์พันธุ์ของเขา"
2 พระราชาจึงทรงเรียกคนกิเบโอนมาตรัสแก่เขา (ฝ่ายคนกิเบโอนนั้นไม่ใช่ประชาชนอิสราเอล แต่เป็นคนอาโมไรต์ที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าประชาชนอิสราเอลจะ ได้ปฏิญาณไว้ว่าจะไว้ชีวิตเขาทั้งหลาย แต่ซาอูลก็ทรงหาช่องที่จะสังหารเขาทั้งหลายเสีย เพราะความร้อนใจที่เห็นแก่คนอิสราเอลและคนยูดาห์)
3 ดาวิดตรัสถามคนกิเบโอนว่า "เราจะกระทำอะไรให้แก่พวกท่านได้ เราจะทำอย่างไรจึงจะลบมลทินบาปเสียได้ เพื่อพวกท่านจะได้อวยพรแก่มรดกของพระเจ้าได้"
4 คนกิเบโอนทูลตอบพระองค์ว่า "ระหว่างพวกข้าพระบาทกับซาอูลและพงศ์พันธุ์ของท่าน นั้นไม่ใช่เรื่องเงินหรือทอง ทั้งไม่ใช่เรื่องของพวกข้าพระบาทที่จะประหารชีวิต อิสราเอลคนหนึ่งคนใด" พระองค์จึงตรัสว่า "แล้วพวกท่านจะให้เรากระทำอะไรแก่ท่านเล่า"
5 เขากราบทูลพระราชาว่า "ชายผู้ที่เผาผลาญพวกข้าพระบาท และวางแผนการทำลายพวกข้าพระบาท เพื่อมิให้พวกข้าพระบาทมีที่อยู่ในเขตแดนอิสราเอล
6 ขอทรงมอบบุตรเจ็ดคนของเขาให้แก่พวกข้าพระบาท เพื่อพวกข้าพระบาทจะได้แขวนเขาเสียต่อ พระพักตร์พระเจ้าที่กิเบอาห์แห่งซาอูลผู้เลือกสรรของพระเจ้า" และพระราชาตรัสว่า "เราจะจัดเขามาให้"
7 แต่พระราชาทรงไว้ชีวิตเมฟีโบเชท บุตรของโยนาธานราชโอรสของซาอูล ด้วยเหตุคำปฏิญาณระหว่างทั้งสองที่กระทำในพระนามพระเจ้า คือระหว่างดาวิดกับโยนาธานราชโอรสของซาอูล
8 แต่พระราชานำเอาบุตรสองคนของนาง ริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ ซึ่งบังเกิดกับซาอูล ชื่ออารโมนีกับเมฟีโบเชท กับบุตรห้าคนของเมราบ ราชธิดาของซาอูล ซึ่งพระนางมีกับอาดรีเอลบุตรบารซิลลัยชาวเมโหลาห์
9 พระองค์ทรงมอบคนเหล่านี้ไว้ในมือของคนกิเบโอน เขาทั้งหลายจึงแขวนคนทั้งเจ็ดไว้บนภูเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า และทั้งเจ็ดคนก็พินาศไปด้วยกัน เขาถูกฆ่าตายในวันแรกของฤดู เกี่ยวข้าวในวันต้นการเกี่ยวข้าวบารลี
10 แล้วนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ก็เอาผ้ากระสอบ ปูไว้บนก้อนหินสำหรับตนเอง ตั้งแต่ต้นฤดูเกี่ยวจนฝนจากท้องฟ้าตกบนเขาทั้งหลาย กลางวันนางก็ไม่ยอมให้นกมาเกาะหรือกลางคืนก็ ไม่ให้สัตว์ป่าทุ่งมา
11 เมื่อเขากราบทูลดาวิดว่านางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ นางสนมของซาอูลกระทำอย่างไร
12 ดาวิดก็เสด็จไปนำอัฐิของซาอูลและของ โยนาธานราชโอรสมาจากเมืองยาเบชกิเลอาด จากผู้ที่ลักลอบเอาไปจากลานเมืองเบธชาน ที่คนฟีลิสเตียได้แขวนพระองค์ทั้งสองไว้ ในวันที่คนฟีลิสเตียประหารซาอูลบนเขากิลโบอา
13 พระองค์ทรงนำอัฐิของซาอูลและของโยนาธาน ราชโอรสขึ้นมาจากที่นั่น และรวบรวมกระดูกของผู้ที่ถูกแขวนไว้ให้ตายนั้น
14 และเขาก็ฝังอัฐิของซาอูลและของโยนาธานราชโอรส ไว้ในแผ่นดินของเบนยามินในเมืองเศลาในอุโมงค์ของ คีชบิดาของพระองค์ เขาทั้งหลายก็กระทำตามทุกอย่างที่พระราชาทรงสั่งไว้ ครั้นต่อมาพระเจ้าก็ทรงสดับฟังคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น อาบีชัยช่วยดาวิดให้พ้นจากคนยักษ์
15 คนฟีลิสเตียได้ทำสงครามกับคนอิสราเอลอีก ดาวิดก็ลงไปพร้อมกับบรรดาข้าราชการของพระองค์ และได้สู้รบกับคนฟีลิสเตีย และดาวิดก็ทรงอ่อนเพลีย
16 อิชบีเบโนบคนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนยักษ์ ถือหอกทองสัมฤทธิ์หนักสามร้อยเชเขล มีดาบใหม่คาดเอว คิดจะสังหารดาวิดเสีย
17 แต่อาบีชัยบุตรนางเศรุยาห์เข้ามาช่วยพระองค์ไว้ และสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนั้นฆ่าเขาเสีย แล้วบรรดาประชาชนของดาวิดก็ทูลวิงวอน พระองค์ด้วยการสาบานว่า "ขอฝ่าพระบาทอย่าเสด็จไปทำศึกพร้อมกับพวก ข้าพระบาททั้งหลายอีกต่อไปเลย เกรงว่าฝ่าพระบาทจะดับประทีปของอิสราเอลเสีย"
18 อยู่มาภายหลังนี้ มีการรบกับคนฟีลิสเตียที่เมืองโกบ คราวนั้นสิบเบคัยตระกูลหุชาห์ได้ฆ่าสัฟคนหนึ่งใน พงศ์พันธุ์ของคนยักษ์
19 และมีการรบกับคนฟีลิสเตียที่เมืองโกบอีก เอลฮานันบุตรยาอาเรโอเรกิม ชาวเบธเลเฮมได้ฆ่าโกลิอัท ชาวกัทผู้มีหอกที่มีด้ามโตเท่าไม้กระพั่นทอผ้า
20 มีการรบกันอีกที่เมืองกัท อันเป็นเมืองที่มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว รวมกันยี่สิบสี่นิ้ว เขาก็สืบเนื่องมาจากพวกคนยักษ์ด้วย
21 เมื่อเขาท้าทายอิสราเอล โยนาธานบุตรของชิเมอีเชษฐาของดาวิดก็ สังหารเขาเสีย
22 คนทั้งสี่นี้สืบเนื่องมาจากคนยักษ์ในเมืองกัท เขาทั้งหลายล้มตายด้วยพระหัตถ์ของดาวิด และด้วยมือของข้าราชการของพระองค์
2ซามูเอล 22
1 เมื่อพระเจ้าทรงช่วยกู้ดาวิด ให้พ้นจากมือของศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ท่าน และให้พ้นจากพระหัตถ์ของซาอูล ดาวิดก็ถวายถ้อยคำของเพลงบทนี้แด่พระเจ้า
2 พระองค์ท่านตรัสว่า "พระเจ้าทรงเป็นพระศิลา ป้อม ปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า
3 เป็นพระเจ้า ซึ่งทรงเป็นพระศิลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์ เป็นโล่ และเป็นพลังแห่งความรอดของข้าพเจ้า เป็นที่กำบังเข้มแข็งและเป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า องค์พระผู้ช่วยของข้าพระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความทารุณ
4 ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า ผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญ และข้าพเจ้าได้รับการช่วยให้พ้นจากศัตรูของข้าพเจ้า
5 "เพราะคลื่นมัจจุราชล้อมข้าพเจ้า กระแสแห่งความหายนะท่วมทับข้าพเจ้า กระทำให้กลัว
6 สายใยของแดนคนตายพันตัวข้าพเจ้า บ่วงมัจจุราชปะทะข้าพเจ้า
7 "ในยามทุกข์ใจข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้าของข้าพเจ้า จากพระวิหารของพระองค์ พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้า และเสียงร้องของข้าพเจ้ามาถึงพระกรรณของพระองค์
8 "แล้วแผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือนและโคลงเคลง รากฐานของฟ้าสวรรค์ก็หวั่นไหว และสั่นสะเทือนเพราะพระองค์ทรงกริ้ว
9 ควันออกไปตามช่องพระนาสิกของพระองค์ และเพลิงผลาญออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ถ่านก็ติดเปลวไฟนั้น
10 พระองค์ทรงโน้มฟ้าสวรรค์ลงด้วยและเสด็จลงมา ความมืดทึบอยู่ใต้พระบาทของพระองค์
11 พระองค์ทรงเครูบตนหนึ่ง และทรงเหาะไป เออ เห็นพระองค์เสด็จโดยปีกของลม
12 พระองค์ทรงกระทำความมืดเป็นปะรำของพระองค์ คือที่รวบรวมบรรดาน้ำ เมฆทึบแห่งฟ้า
13 ถ่านลุกเป็นเพลิง จากความสุกใสข้างหน้าพระองค์
14 พระเจ้าทรงคะนองกึกก้องจากฟ้าสวรรค์ และองค์ผู้สูงสุดก็เปล่งพระสุรเสียงของพระองค์
15 และพระองค์ทรงใช้ลูกธนูของพระองค์ออกมา ทำให้เขากระจายไป พระองค์ทรงปล่อยฟ้าแลบและทำให้เขาโกลาหล
16 แล้วก็เห็นท้องธาร รากฐานของพิภพก็ปรากฏแจ้ง ตามการขนาบของพระเจ้า ตามที่ลมพวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์
17 "พระองค์ทรงเอื้อมมาจากที่สูง ทรงจับข้าพเจ้า พระองค์ทรงดึงข้าพเจ้าออกมาจากน้ำมากหลาย
18 พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าจากศัตรู ที่เข้มแข็งของข้าพเจ้า จากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้า เพราะเขามีอานุภาพเกินกว่าข้าพเจ้า
19 เขาปะทะข้าพเจ้าในวันที่ข้าพเจ้าเกิดภัยพิบัติ แต่พระเจ้าทรงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
20 พระองค์ทรงนำข้าพเจ้า ออกมายังที่กว้างใหญ่ด้วย พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงยินดีในข้าพเจ้า
21 "พระเจ้าทรงประทานรางวัลแก่ข้าพเจ้าตามความชอบธรรม ของข้าพเจ้า พระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าตามความสะอาดแห่งมือของข้าพเจ้า
22 เพราะข้าพเจ้ารักษาบรรดาพระมรรคาของพระเจ้า และไม่ได้พรากจากพระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างอธรรม
23 เพราะกฎหมายทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า และข้าพเจ้ามิได้หันจากกฎเกณฑ์ของพระองค์
24 ต่อพระพักตร์พระองค์ข้าพเจ้าไร้ตำหนิ และข้าพเจ้ารักษาตัวไว้ให้พ้นจากกรรมชั่วของข้าพเจ้า
25 เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงตอบแทนข้าพเจ้าตามความชอบธรรม ของข้าพเจ้า ตามความสะอาดของข้าพเจ้าในสายพระเนตรของพระองค์
26 "พระองค์ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อผู้ที่จงรักภักดี พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ไร้ตำหนิต่อผู้ที่ไร้ตำหนิ
27 พระองค์ทรงสำแดงพระองค์บริสุทธิ์ต่อผู้ที่บริสุทธิ์ พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ที่คดโกง
28 พระองค์ทรงช่วยกู้ประชาชนที่อนาถ แต่พระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่ยโสเพื่อนำเขาให้ต่ำลง
29 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นประทีปของข้าพระองค์ พระเจ้าทรงกระทำให้ความมืดของข้าพเจ้าสว่าง
30 พ่ะย่ะค่ะ ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพได้โดยพระองค์ โดยพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากระโดดข้ามกำแพงได้
31 ฝ่ายพระเจ้า พระมรรคาของพระองค์บริสุทธิ์หมดจด พระสัญญาของพระเจ้า พิสูจน์แล้วเป็นความจริง พระองค์ทรงเป็นโล่ของบรรดาผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์
32 "เพราะผู้ใดจะเป็นพระเจ้า นอกจากพระเยโฮวาห์ และผู้ใดเล่าเป็นพระศิลา นอกจากพระเจ้าของเรา
33 พระเจ้าทรงเป็นป้อมเข้มแข็งของข้าพเจ้า และพระองค์ทรงนำผู้ไร้ตำหนิในพระมรรคาของพระองค์
34 พระองค์ทรงกระทำให้เท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมีย และทรงวางข้าพเจ้าไว้บนที่สูงของข้าพเจ้า
35 พระองค์ทรงหัดมือของข้าพเจ้าให้ทำสงคราม แขนของข้าพเจ้าจึงโก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้
36 พระองค์ประทานโล่ความรอดของพระองค์ให้ข้าพระองค์ และซึ่งพระองค์ทรงน้อมพระทัยลง ก็กระทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
37 พระองค์ประทานที่กว้างขวางสำหรับเท้าของข้าพระองค์ เท้าของข้าพระองค์จึงไม่พลาด
38 ข้าพระองค์ไล่ตามศัตรูของข้าพระองค์ และได้ทำลายเขาเสีย และไม่หันกลับจนกว่าเขาจะถูกผลาญเสียสิ้น
39 ข้าพระองค์ผลาญเขา ข้าพระองค์แทงเขาทะลุ เขาจึงไม่สามารถลุกขึ้นอีกได้ พ่ะย่ะค่ะ เขาล้มลงใต้เท้าของข้าพระองค์แล้ว
40 เพราะพระองค์ทรงคาดเอวข้าพระองค์ไว้ด้วยกำลัง เพื่อทำสงคราม พระองค์ทรงกระทำให้พวกที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ จมลงใต้ข้าพระองค์
41 พระองค์ทรงกระทำให้ศัตรูของ ข้าพระองค์หันหลังหนีข้าพระองค์ บรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ทำลายเสีย
42 เขามองหา แต่ไม่มีใครช่วยให้รอดได้ เขาร้องทูลต่อพระเจ้า แต่พระองค์มิได้ทรงตอบเขา
43 ข้าพระองค์ทุบตีเขาแหลกละเอียดอย่างผงคลีดิน ข้าพระองค์เหยียบเขาลง เหมือนโคลนตามถนนและกระจายเขาออกไปทั่ว
44 "พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากการเกี่ยงแย่ง ประชาชนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ไว้ ให้เป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ ชนชาติที่ข้าพระองค์ไม่เคยรู้จัก ก็จะปรนนิบัติข้าพระองค์
45 ชนต่างด้าวจะมาหมอบราบต่อข้าพระองค์ พอเขาได้ยินถึงข้าพระองค์ เขาก็จะเชื่อฟังข้าพระองค์
46 ชนต่างด้าวเสียกำลังใจ และตัวสั่นออกมาจากที่กำบังของเขาทั้งหลาย
47 "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และพระศิลา ของข้าพระองค์เป็นที่สรรเสริญ พระเจ้า พระศิลาแห่งความรอด ของข้าพระองค์เป็นที่ยกย่อง
48 คือพระเจ้าผู้ทรงกระทำการแก้แค้นให้แก่ข้าพระองค์ และนำชนชาติทั้งหลายลงให้อยู่ใต้ข้าพระองค์
49 ผู้ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากศัตรูของข้าพระองค์ พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงยกข้าพระองค์ให้เหนือปฏิปักษ์ของข้าพระองค์ พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากคนทารุณ
50 "ข้าแต่พระเจ้า เพราะ เหตุนี้ข้าพระองค์ขอเชิดชูพระองค์ ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย และร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
51 พระองค์ประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่พระราชาของพระองค์ และทรงสำแดงความรักมั่นคง แก่ผู้ที่ทรงเจิมของพระองค์แก่ดาวิด และพงศ์พันธุ์ของท่านเป็นนิตย์
2ซามูเอล 23
1 ต่อไปนี้เป็นวาทะสุดท้ายของดาวิด ดาวิดบุตรเจสซีได้กล่าว และชายที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นให้สูงได้กล่าว คือผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ของพระเจ้าแห่งยาโคบ นักแต่งสดุดีอย่างไพเราะของอิสราเอล ได้กล่าวดังนี้ว่า
2 "โดยข้าพเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าได้ตรัส พระวจนะของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า
3 พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงลั่นพระวาจา พระศิลาแห่งอิสราเอลได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม คือปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า
4 เขาทอแสงเหนือประชาชนเหมือนแสงอรุณเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น คือรุ่งเช้าที่ไม่มีเมฆ ซึ่งเมื่อภายหลังฝน กระทำให้หญ้างอกออกจากดิน
5 เออ พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าตั้งมั่นอยู่กับพระเจ้ามิใช่หรือ เพราะพระองค์ทรงกระทำพันธสัญญาเนืองนิตย์กับ ข้าพเจ้าไว้ อันเป็นระเบียบทุกอย่างและมั่นคง เพราะพระองค์จะไม่ทรงกระทำ ให้ความอุปถัมภ์และความปรารถนาของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ
6 แต่คนที่อธรรมก็เป็นเหมือนหนามที่ต้องผลักไสไป เพราะว่าจะเอามือหยิบก็ไม่ได้
7 แต่คนที่ถูกต้องมัน ต้องมีอาวุธที่ทำด้วยเหล็กและมีด้ามหอก และต้องเผาผลาญเสียให้สิ้นเชิงด้วยไฟ"
8 ต่อไปนี้เป็นชื่อวีรบุรุษที่ดาวิดทรงมีอยู่ คือ โยเชบบัสเชเบธตระกูลทัคโมนี เป็นจอมในคนทั้งสามนั้น เขาเหวี่ยงหอกเข้าแทงคนแปดร้อยคน ซึ่งเขาได้ฆ่าเสียในครั้งเดียว
9 ในจำนวนวีรบุรุษสามคน คนที่รองคนนั้นมา คือเอเลอาซาร์บุตรโดโด ผู้เป็นบุตรของอาโหไฮ ท่านอยู่กับดาวิดตั้งแต่ครั้งที่เขาทั้งหลายได้ พูดหยามพวกฟีลิสเตียซึ่งชุมนุมกันที่นั่นเพื่อสู้รบ และคนอิสราเอลก็ถอยทัพ
10 ท่านได้ลุกขึ้นฆ่าฟันพวกฟีลิสเตียจนมือของท่านเป็น เหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระเจ้าทรงกระทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง ทหารก็กลับตามท่านมา เพื่อปลดข้าวของจากผู้ที่ถูกฆ่าตายเท่านั้น
11 รองเขามาคือชัมมาห์ บุตรอาเกชาวฮาราร์ คนฟีลิสเตียมาชุมนุมกันอยู่ที่เลฮี เป็นที่ที่มีพื้นดินผืนหนึ่งมีถั่วแดงเต็มไปหมด พวกพลก็หนีพวกฟีลิสเตียไป
12 แต่ท่านยืนมั่นอยู่ ท่ามกลางพื้นดินผืนนั้น และป้องกันที่ดินนั้นไว้ และฆ่าฟันคนฟีลิสเตีย และพระเจ้าได้ทรงประทานชัยชนะอย่างใหญ่หลวง
13 ในพวกทหารเอกสามสิบคนนั้นมีสามคนที่ลงมา และได้มาหาดาวิดที่ถ้ำอดุลลัมในฤดูเกี่ยวข้าว มีคนฟีลิสเตียกองหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม
14 คราวนั้นดาวิดประทับในที่กำบังเข้มแข็ง และทหารประจำป้อมของฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม
15 ดาวิดตรัสด้วยความอาลัยว่า "ใครหนอจะส่งน้ำจากบ่อที่เบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้าง ประตูเมืองมาให้เราดื่มได้"
16 ทแกล้วทหารสามคนนั้นก็แหกค่ายคนฟีลิสเตียเข้าไป ตักน้ำที่บ่อเบธเลเฮมซึ่งอยู่ข้างประตูเมือง นำมาถวายแก่ดาวิด แต่ดาวิดหาทรงดื่มน้ำนั้นไม่ พระองค์ทรงเท ออกถวายแด่พระเจ้า
17 และตรัสว่า "ข้าแต่พระเจ้า ซึ่งข้าพระองค์จะกระทำเช่นนี้ ก็ขอให้ห่างไกลจากข้าพระองค์ ควรที่ข้าพระองค์จะดื่มโลหิต ของผู้ที่ตักมาด้วยการเสี่ยงชีวิตของเขาหรือ" เพราะฉะนั้นพระองค์หาทรงดื่มไม่ ทแกล้วทหารทั้งสามได้กระทำสิ่งเหล่านี้
18 ฝ่ายอาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรนางเศรุยาห์ เป็นหัวหน้าของทั้งสามสิบคนนั้น ท่านได้ยกหอกต่อสู้ทหารสามร้อยคน และฆ่าตายสิ้น และได้รับชื่อเสียงดังวีรบุรุษสามคนนั้น
19 ท่านเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสามสิบคนนั้น ฉะนั้นได้เป็นผู้บังคับบัญชาของเขา แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนนั้น
20 เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นคนแข็งกล้า แห่งเมืองขับเซเอล เป็นคนประกอบมหกิจ ท่านได้ฆ่าบุตรอารีเอลของโมอับเสียสองคน ท่านได้ลงไปฆ่าสิงห์ที่ในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย
21 ท่านได้ฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่งเป็นชายรูปร่างงาม คนอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ แต่เบไนยาห์ถือไม้เท้าลงไปหา เขาและแย่งเอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์คนนั้น และฆ่าเขาตายด้วยหอกของเขาเอง
22 เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาได้ กระทำกิจเหล่านี้และได้ชื่อเสียงดั่งวีรบุรุษสามคนนั้น
23 ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังกว่าสามสิบคนนั้น แต่ท่านไม่มียศเท่ากับสามคนนั้น และดาวิดก็ทรงแต่งท่านให้เป็น ผู้บังคับบัญชาทหารรักษาพระองค์
24 อาสาเฮลน้องชายของโยอาบเป็นคนหนึ่งในสามสิบคนนั้น เอลฮานันบุตรชายของโดโดชาวเบธเลเฮม
25 ชัมมาห์ชาวเมืองฮาโรด เอลีคาชาวเมืองฮาโรด
26 เฮเลสตระกูลเปเลท อิราบุตรอิกเขช ชาวเมืองเทโคอา
27 อาบีเฮเซอร์ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัยตระกูลหุชาห์
28 ศัลโมนชาวอาโหไฮ มาหะรัย ชาวเนโทฟาห์
29 เฮเลบบุตรบาอานาห์ ชาวเนโทฟาห์ อิททัยบุตรรีบัยชาวกิเบอาห์ แห่งคนเบนยามิน
30 เบไนยาห์ ชาวปิราโธน ฮิดดัย ชาวลำธารกาอัช
31 อาบีอัลโบนตระกูลอารบาห์ อัสมาเวทชาวบาฮูริม
32 เอลียาบาชาวชาอัลโบน บรรดาบุตรชายของยาเชน โยนาธาน
33 ชัมมาห์ชาวฮาราร์ อาหิยัมบุตรของชาราร์ คนฮาราร์
34 เอลีเฟเลทบุตรอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัม บุตรอาหิโธเฟล ชาวกิโลห์
35 เฮสโร ชาวคารเมล ปารัย ชาวอาราบ
36 อิกาล บุตรนาธัน ชาวโศบาห์ บานีคนเผ่ากาด
37 เศเลก คนอัมโมน นาหะรัย ชาวเบเอโรท คนถือเครื่องอาวุธของโยอาบ บุตรนางเศรุยาห์
38 อิรา ตระกูลอิทไรต์ กาเรบ ตระกูลอิทไรต์
39 อุรีอาห์คนฮิตไทต์ รวมสามสิบเจ็ดคนด้วยกัน
2ซามูเอล 24
1 พระพิโรธของพระเจ้าได้เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีก เพื่อทรงต่อสู้เขาทั้งหลายจึงทรงดลใจดาวิดตรัสว่า "จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์"
2 พระราชาจึงรับสั่งโยอาบ แม่ทัพซึ่งอยู่กับพระองค์ว่า "จงไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา และท่านจงนับจำนวนประชาชน เพื่อเราจะได้ทราบจำนวนรวมของประชาชน"
3 แต่โยอาบกราบทูลพระราชาว่า "ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท ทรงให้มีประชาชนเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่าของที่มีอยู่ ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาททรงเห็นทันตา แต่ไฉนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจึงพอพระทัย ในเรื่องนี้"
4 แต่โยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพก็ต้องยอม จำนนต่อพระดำรัสของพระราชา โยอาบกับบรรดาผู้บังคับบัญชาของกองทัพจึงออกไป จากพระพักตร์พระราชา เพื่อจะนับประชาชนอิสราเอล
5 เขาทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและตั้งค่าย ในเมืองอาโรเออร์ ด้านขวาของเมืองที่อยู่กลางหุบเขากาดถึงยาเซอร์
6 แล้วเขาทั้งหลายก็มายังกิเลอาดและมาถึงแผ่นดินตะทิมโหดฉิ และเขาทั้งหลายมาถึงเมืองดานยาอัน อ้อมไปยังเมืองไซดอน
7 และมาถึงป้อมเมืองไทระ และทั่วทุกหัวเมืองของคนฮีไวต์ และของคนคานาอัน และเขาออกไปยังเนเกบแห่งยูดาห์ที่เมืองเบเออร์เชบา
8 เมื่อเขาไปทั่วแผ่นดินนั้นแล้ว เขาจึงมายังกรุงเยรูซาเล็มเมื่อสิ้นเก้าเดือนกับยี่สิบวัน
9 และโยอาบก็ถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่ พระราชาในอิสราเอล มีทหารแข็งกล้าแปดแสนคน ผู้ซึ่งชักดาบ และ คนยูดาห์มีห้าแสนคน
10 เมื่อได้นับจำนวนเสร็จแล้วพระทัยของดาวิดก็โทมนัส และดาวิดกราบทูลต่อพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์ได้กระทำบาปใหญ่ยิ่งในสิ่งซึ่ง ข้าพระองค์ได้กระทำนี้ ข้าแต่พระเจ้า แต่ขอพระองค์ทรงให้อภัยความบาปชั่วของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์กระทำการอย่างโง่เขลามาก"
11 และเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นในตอนเช้า พระวจนะของพระเจ้าก็มายังกาดผู้เผย พระวจนะผู้ทำนายของดาวิดว่า
12 "จงไปบอกดาวิดว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เราเสนอเจ้าสามประการ จงเลือกเอาประการหนึ่งเพื่อเราจะได้กระทำให้แก่เจ้า'"
13 กาดจึงเข้าเฝ้าดาวิดและกราบทูลพระองค์ว่า "จะให้เกิดกันดารอาหารในแผ่นดินของฝ่า พระบาทสิ้นเจ็ดปีหรือ หรือฝ่าพระบาทจะยอมหนีศัตรูสิ้น เวลาสามเดือนด้วยเขาไล่ติดตาม หรือจะให้โรคระบาดเกิดขึ้นใน แผ่นดินของฝ่าพระบาทสิ้นสามวัน บัดนี้ขอฝ่าพระบาททรงตรึกตรอง และตัดสินในพระทัยว่าจะให้คำตอบประการใด เพื่อข้าพระบาทจะนำกลับไปกราบทูลพระองค์ผู้ทรง ใช้ข้าพระบาทมา"
14 ดาวิดจึงตรัสกับกาดว่า "เรามีความกระวนกระวายมาก ขอให้เราทั้งหลายตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะพระกรุณาคุณของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก แต่ขออย่าให้เราตกเข้าไปในมือของมนุษย์เลย"
15 ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอล ตั้งแต่เวลาเช้าจนสิ้นเวลากำหนด และประชาชนที่ตายตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา มีเจ็ดหมื่นคน
16 และเมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือออกเหนือกรุงเยรูซาเล็ม จะทำลายเมืองนั้น พระเจ้าทรงกลับพระทัยในเหตุร้ายนั้น ตรัสสั่งทูตสวรรค์ผู้กำลังทำลายประชาชนว่า "พอแล้ว ยับยั้งมือของเจ้าได้" ส่วนทูตของพระเจ้าก็อยู่ที่ลาน นวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส
17 เมื่อดาวิดทอดพระเนตร ทูตสวรรค์ผู้กำลังสังหารประชาชนนั้น พระองค์กราบทูลพระเจ้าว่า "นี่แหละข้าพระองค์ได้ละเมิดกระทำบาปแล้ว แต่บรรดาแกะเหล่านี้ เขาได้กระทำอะไร ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือข้าพระองค์และพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เถิด"
18 ในวันนั้นกาดก็เข้ามาเฝ้าดาวิด กราบทูลพระองค์ว่า "ขอเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชา ถวายแด่พระเจ้าบนลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส"
19 ดาวิดก็เสด็จขึ้นไปตาม คำของกาดตามที่พระเจ้าทรงบัญชา
20 เมื่ออาราวนาห์มองลงมา เห็นพระราชาและข้าราชการขึ้นมาหาตน อาราวนาห์ก็ออกไปถวายบังคมพระราชาซบหน้าลงถึงดิน
21 และอาราวนาห์กราบทูลว่า "ไฉนพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท จึงเสด็จมาหาข้าพระบาท" ดาวิดตรัสว่า "มาซื้อลานนวดข้าวจากท่าน เพื่อจะสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เพื่อโรคร้ายจะได้ระงับเสียจากประชาชน"
22 อาราวนาห์จึงกราบทูลดาวิดว่า "ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท จงรับสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบขึ้นถวาย ที่นี่มีวัวสำหรับทำเครื่องเผาบูชา และเลื่อนนวดข้าวกับแอกสำหรับวัวเป็นฟืน
23 ของทั้งสิ้นนี้อาราวนาห์ขอถวายแด่พระราชา" และอาราวนาห์กราบทูลพระราชาอีกว่า "ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท จงโปรดปรานฝ่าพระบาท"
24 แต่พระราชาตรัสกับอาราวนาห์ว่า "หามิได้ แต่เราจะขอเสียเงินซื้อจากท่าน เราจะถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของ เราโดยที่เราไม่เสียค่าอะไรเลยนั้นไม่ได้" ดาวิดจึงทรงซื้อลานนวดข้าวกับวัวเป็นเงินห้าสิบเชเขล
25 ดาวิดก็ทรงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าที่นั่น และถวายเครื่องเผาบูชากับเครื่องศานติบูชา พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น และโรคร้ายก็ระงับเสียจากอิสราเอล