๑ซามูเอล
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31
1ซามูเอล 1
1 มีชายคนหนึ่งเป็นชาวรามาธาอิมโซฟิม แห่งแดนเทือกเขาเอฟราอิมชื่อเอลคานาห์บุตรเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรเอลีฮู ผู้เป็นบุตรโทหุ ผู้เป็นบุตรศูฟ คนเผ่าเอฟราอิม
2 ท่านมีภรรยาสองคน คนหนึ่งชื่อฮันนาห์ อีกคนหนึ่งชื่อเปนินนาห์ เปนินนาห์มีบุตรแต่ฮันนาห์ไม่มี
3 ฝ่ายชายผู้นี้เคยขึ้นไปจากเมืองของตนทุกปี ไปนมัสการและถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าจอมโยธาที่เมืองชิโลห์ ที่นั่นมีบุตรชายสองคนของเอลีชื่อโฮฟนีและฟีเนหัส ผู้เป็นปุโรหิตแห่งพระเจ้า
4 ในวันที่เอลคานาห์ถวายสัตวบูชา ท่านก็ได้แบ่งส่วนให้แก่เปนินนาห์ภรรยาของท่าน และแก่บุตรชายบุตรหญิงทุกคนของนาง
5 ท่านแบ่งให้ฮันนาห์สองส่วน เพราะท่านรักนางมาก แต่พระเจ้าทรงปิดครรภ์ของนางเสีย
6 เมียคู่กับนางก็ยั่วเย้านางอย่างรุนแรงเพื่อกระทำ ให้นางระคายเคือง ที่พระเจ้าทรงปิดครรภ์ของนางเสีย
7 เหตุการณ์ก็เป็นอยู่ดังนี้ปีแล้วปีเล่า เมื่อนางขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้าคราวใด เมียคู่ของนางก็เคยยั่วเย้านาง เพราะฉะนั้นนางฮันนาห์จึงร้องไห้ไม่รับประทานอาหาร
8 และเอลคานาห์สามีของนางจึงถามนางว่า "ฮันนาห์ เธอร้องไห้ทำไม และเหตุใดเธอจึงไม่รับประทานอาหาร และทำไมจิตใจของเธอจึงโศกเศร้า สำหรับเธอฉันไม่ดีกว่าบุตรชายสิบคนหรือ"
9 หลังจากที่ได้รับประทานอาหารและดื่มที่เมืองชิโลห์แล้ว ฮันนาห์ก็ลุกขึ้น ฝ่ายเอลีปุโรหิตนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเสาประตูพระวิหาร ของพระเจ้า
10 นางเป็นทุกข์ร้อนใจมากอธิษฐานต่อพระเจ้า และร้องไห้คร่ำครวญ
11 นางก็บนไว้ว่า "ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของผู้รับใช้ ของพระองค์จริงๆ และยังระลึกถึงข้าพระองค์ และยังไม่ลืมผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะทรงประทานบุตรชายแก่ผู้รับใช้ของพระองค์สักคนหนึ่ง แล้วข้าพระองค์จะถวายเขาไว้แด่พระเจ้าตลอดชีวิตของเขา
12 อยู่มาเมื่อนางยังอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่นั้น เอลีก็สังเกตดูปากของนาง
13 ฝ่ายฮันนาห์นั้นนางพูดแต่ในใจริมฝีปากของ นางมุบมิบเท่านั้น ไม่ได้ยินเสียงของนาง เพราะเหตุนี้เอลีจึงสำคัญว่านางมึนเมา
14 เอลีจึงพูดกับนางว่า "เธอจะเมาไปนานสักเท่าใด ทิ้งเหล้าองุ่นเสียเถิด"
15 แต่ฮันนาห์ตอบว่า "มิใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ดิฉันเป็นหญิงที่มีทุกข์หนักดิฉันมิได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัย แต่ดิฉันระบายความในใจของดิฉันออกต่อพระเจ้า
16 ขออย่าถือว่าหญิงผู้รับใช้ของท่านเป็นหญิงเลว ที่ดิฉันพูดตลอดมานั้น ก็พูดด้วยความกระวนกระวายและความทุรนทุรายมาก"
17 แล้วเอลีก็ตอบว่า "จงกลับไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าแห่งอิสราเอลโปรดประทานตามที่เจ้า ได้อธิษฐานทูลขอต่อพระองค์นั้น"
18 และนางก็ตอบว่า "ขอหญิงผู้รับใช้ของท่านประสบความกรุณาปรานี ในสายตาของท่านเถิด" แล้วหญิงนั้นก็ไปและรับประทานอาหาร และใบหน้าของนางก็ไม่โศกเศร้าอีกต่อไป
19 เขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าตรู่นมัสการพระเจ้า แล้วเขาทั้งหลายก็กลับไปบ้านที่รามาห์ และเอลคานาห์ก็สมสู่กับฮันนาห์ภรรยาของตน และพระเจ้าทรงระลึกถึงนาง
20 และอยู่มาเมื่อถึงกาลกำหนด ฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และนางเรียกชื่อเด็กนั้นว่าซามูเอล เพราะนางกล่าวว่า "ดิฉันทูลขอมาจากพระเจ้า"
21 ฝ่ายเอลคานาห์ และทุกคนในครอบครัวของท่านขึ้นไป ถวายสัตวบูชาประจำปีแด่พระเจ้า และแก้บนของท่าน
22 แต่ฮันนาห์มิได้ขึ้นไปด้วย เพราะนางบอกสามีว่า "ฉันจะไม่ไปจนกว่าเด็กคนนี้หย่านม แล้วฉันจะพาเขาขึ้นไป เพื่อเขาจะได้ปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระเจ้า และอยู่ที่นั่นตลอดไป"
23 เอลคานาห์สามีบอกนางว่า "จงทำตามที่เธอเห็นชอบเถิด รออยู่จนให้เขาหย่านม ขอเพียงให้พระดำรัสของพระเจ้าสำเร็จเถิด" นางนั้นก็คอยอยู่และให้บุตรกินนมของตัว จนนางให้เขาหย่านม
24 และเมื่อนางให้เขาหย่านมแล้ว นางก็พาเขาขึ้นไปพร้อมกับวัวผู้สามตัว แป้งหนึ่งเอฟาห์และเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง และนางก็นำเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าที่เมืองชิโลห์ และเด็กนั้นก็ยังเล็กอยู่
25 แล้วเขาทั้งหลายก็ฆ่าวัวผู้ตัวนั้นและนำเด็กมาหาเอลี
26 นางก็กล่าวว่า "ท่านเจ้าข้า ท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ท่านเจ้าข้า ดิฉันเป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ที่นี่ต่อหน้าท่าน และอธิษฐานต่อพระเจ้า
27 ดิฉันอธิษฐานขอเด็กคนนี้ และพระเจ้าประทานตามคำทูลขอของดิฉัน
28 เพราะฉะนั้นดิฉันจึงให้ยืมเขาไว้แด่พระเจ้าตราบใด ที่เขามีชีวิตอยู่ ดิฉันจะให้ยืมเขาไว้แด่พระเจ้า" และเขาก็นมัสการพระเจ้าที่นั่น
1ซามูเอล 2
1 นางฮันนาห์ได้อธิษฐานและกล่าวว่า "จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมในพระเจ้า ในพระเจ้ากำลังของข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง ปากของข้าพเจ้าก็อ้ากว้างเข้าใส่ศัตรูของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเปรมปรีดิ์ในความรอดของพระองค์
2 "ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์ดังพระเจ้า ไม่มีผู้ใดนอกเหนือพระเจ้า ไม่มีศิลาใดเหมือนพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย
3 อย่าพูดโอหังอีกต่อไปเลย อย่าให้ความจองหองออกมาจากปากของเจ้าเลย เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของความรู้ การกระทำทั้งหลายพระองค์ทรงเป็นผู้ชั่งตรวจ
4 คันธนูของผู้มีกำลังก็หัก แต่ผู้ที่ซวนเซก็ได้กำลังมาคาดเอว
5 บรรดาคนที่เคยกินอิ่มก็ต้องออกรับจ้างหากิน แต่คนที่เคยหิวก็หยุดหิว คนที่เป็นหมันมีบุตรเจ็ดคน แต่นางที่มีบุตรมากก็เหี่ยวแห้งไป
6 พระเจ้าทรงประหารและทรงให้มีชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและก็นำขึ้นมา
7 พระเจ้าทรงกระทำให้ยากจนและทรงกระทำให้มั่งคั่ง พระองค์ทรงกระทำให้ต่ำลงและพระองค์ทรงยกขึ้น
8 พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นจากผงคลี พระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขยะ กระทำให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย และได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก เพราะว่าเสาแห่งพิภพเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงวางพิภพไว้บนนั้น
9 "พระองค์จะทรงดูแลย่างเท้าของธรรมิกชนของพระองค์ แต่คนอธรรมจะต้องนิ่งอยู่ในความมืด เพราะว่ามนุษย์จะชนะด้วยกำลังของตนก็หาไม่
10 ศัตรูของพระเจ้าจะแตกเป็นชิ้นๆ พระองค์จะทรงเอาฟ้าร้องในสวรรค์ต่อสู้เขา พระเจ้าจะทรงพิพากษาที่สุดปลายพิภพ พระองค์จะทรงประทานกำลังแก่พระราชาของพระองค์ และจะทรงเสริมอำนาจของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้"
11 แล้วเอลคานาห์ก็กลับไปบ้านที่รามาห์ และเด็กนั้นก็ปรนนิบัติพระเจ้าต่อหน้าเอลีปุโรหิต
12 ฝ่ายบุตรทั้งสองของเอลีเป็นคนอันธพาล เขามิได้นับถือพระเจ้า
13 ธรรมเนียมของปุโรหิตที่มีต่อประชาชนเป็นอย่างนี้ เมื่อมีประชาชนคนใดถวายเครื่องสัตวบูชา คนใช้ของปุโรหิตจะเข้ามา มือถือสามง่าม ขณะเมื่อเนื้อกำลังต้มอยู่
14 เขาจะเอาสามง่ามแทงเข้าไปในกระทะ หรือหม้อหู หรือหม้อทะนน หรือหม้อธรรมดา สามง่ามติดอะไรขึ้นมา ปุโรหิตก็เอาสิ่งนั้นไปเป็นของตน ที่เมืองชิโลห์เขาก็กระทำเช่นนั้นแก่ คนอิสราเอลทุกคนที่มาบูชาที่นั่น
15 ยิ่งกว่านั้นอีก ก่อนที่เขาเผาไขมัน คนใช้ของปุโรหิตเคยเข้ามากล่าวแก่ชายผู้กระทำบูชานั้นว่า "ขอเนื้อไปให้ปุโรหิตทอด ท่านไม่รับเนื้อต้มจากเจ้าท่านต้องการเนื้อดิบ"
16 และถ้าชายคนนั้นกล่าวแก่เขาว่า "ขอให้เขาเผาไขมันเสียก่อน แล้วจงเอาไปตามชอบใจเถิด" เขาจะตอบว่า "ไม่ได้ เจ้าต้องให้เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ให้ข้าก็จะเอา"
17 ดังนี้แหละ บาปของคนหนุ่มทั้งสองนั้นจึงใหญ่หลวงนักใน สายพระเนตรของพระเจ้า เพราะว่าคนเหล่านั้นได้ดูหมิ่นของถวายแด่พระเจ้า
18 แต่ซามูเอลปรนนิบัติอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เป็นเด็กคนที่คาดเอวด้วยเอโฟดผ้าป่าน
19 ฝ่ายมารดาเคยเย็บเสื้อเล็กๆนำมาให้เขาทุกปี เมื่อนางขึ้นไปพร้อมกับสามีเพื่อถวายเครื่องบูชาประจำปี
20 แล้วเอลีเคยอวยพรเอลคานาห์และภรรยาของเขากล่าวว่า "ขอพระเจ้าประทานลูกๆแก่ท่านโดยหญิงคนนี้ แทนคนที่นางให้ยืมไว้ปรนนิบัติพระเจ้า" แล้วเขาทั้งหลายก็กลับบ้านของตน
21 และพระเจ้าทรงเยี่ยมเยียนฮันนาห์ และนางก็ได้ตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชายสามหญิงสอง และกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
22 ฝ่ายเอลีชรามากแล้ว และท่านได้ยินถึงเรื่องราวทั้งสิ้น ที่บุตรทั้งสองของท่านกระทำแก่คนอิสราเอล เช่นว่าเขาเข้าหาหญิงที่ปรนนิบัติอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบด้วย
23 และท่านก็ว่ากล่าวเขาทั้งสองว่า "ทำไมเจ้าจึงกระทำเช่นนั้น เพราะเราได้ยินจากประชาชน ทั้งปวงถึงความชั่วซึ่งเจ้ากระทำ
24 ลูกเราเอ๋ย อย่าทำเลยเราได้ยินประชากรของพระเจ้า เล่าแพร่ทั่วไปเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย
25 ถ้ามนุษย์คนใดกระทำผิดต่อมนุษย์ด้วยกัน พระเจ้าจะทรงวินิจฉัยให้เขา แต่ถ้ามนุษย์กระทำบาปต่อพระเจ้า ใครจะทูลขอเพื่อเขาได้เล่า" แต่เขาทั้งสองหาได้ฟังเสียงบิดาของเขาไม่ เพราะว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงประหารเขาเสีย
26 ฝ่ายกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้น และเป็นที่ชอบมากขึ้น เฉพาะพระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย
27 ครั้งนั้นมีบุรุษของพระเจ้ามาหาเอลี กล่าวแก่ท่านว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เราได้เผยเราเองให้แจ้งแก่พงศ์พันธุ์บิดาเจ้า เมื่อเขาทั้งหลายอยู่ในอียิปต์ใต้บังคับพงศ์พันธุ์ของฟาโรห์
28 และเราได้เลือกเขาออกจากเผ่าอิสราเอลทั้งหมด ให้เป็นปุโรหิตของเราเพื่อจะขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา เพื่อเผาเครื่องบูชาเพื่อใช้เอโฟดต่อหน้าเรา และเราได้มอบของที่บูชาด้วยไฟ ซึ่งคนอิสราเอลนำมาถวายนั้นแก่พงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า
29 เหตุใดเจ้าจึงเหยียบย่ำเครื่องสัตวบูชาของเรา และของที่เขาถวายตามบัญชาของเรา และให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเรา และกระทำให้ตัวของเจ้าทั้งหลายอ้วนพี ด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกราย จากอิสราเอลชนชาติของเรา'
30 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของอิสราเอลจึงตรัสว่า 'เราพูดจริงๆ ว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ บิดาของเจ้าจะเข้าออกต่อหน้าเราอยู่เป็นนิตย์' แต่บัดนี้พระเจ้าทรงประกาศว่า 'ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา เพราะว่าผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา เราจะให้เกียรติและบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเรา ผู้นั้นจะถูกดูหมิ่น
31 ดูเถิด วาระนั้นจะมาถึงอยู่แล้ว เมื่อเราจะตัดแขนของเจ้าออกและตัด แขนของพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าออก เพื่อจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้า
32 แล้วด้วยสายตาริษยาและด้วยความทุกข์ร้อน เจ้าจะมองดูความมั่งคั่งซึ่งเราจะพอกพูนให้อิสราเอล และจะไม่มีคนชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าเป็นนิตย์
33 คนของเจ้าซึ่งเรามิได้ตัดขาดเสียจากแท่น บูชาของเรานั้น เราจะไว้ชีวิตเพื่อให้ร้องไห้จนตาถลน และให้เจ้ามีจิตใจเศร้าโศกและผลอัน เพิ่มพูนในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะตายเสียเมื่อวัยฉกรรจ์
34 และสิ่งนี้จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า ซึ่งจะบังเกิดแก่บุตรทั้งสองของเจ้า คือโฮฟนีและฟีเนหัส ทั้งสองจะสิ้นชีวิตในวันเดียว
35 และเราจะให้ปุโรหิตผู้ซื่อสัตย์ของเราเกิดขึ้นมา ซึ่งจะกระทำตามสิ่งที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา และเราจะสร้างพงศ์พันธุ์มั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้าผู้ที่เราเจิมไว้เป็นนิตย์
36 และทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากราบไหว้เขา ขอเงินเหรียญหนึ่งและขนมปังก้อนหนึ่ง และจะกล่าวว่า "ขอท่านกรุณาตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งปุโรหิตสักทีหนึ่งเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับประทานอาหารสักหน่อยหนึ่ง"'"
1ซามูเอล 3
1 ฝ่ายกุมารซามูเอลปรนนิบัติพระเจ้าอยู่ต่อหน้าเอลี ในสมัยนั้นพระดำรัสของพระเจ้ามีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตบ่อยนัก
2 อยู่มาครั้งนั้นเอลีนอนอยู่ในที่นอนของตน (ตาของท่านเริ่มมืดมัวมองอะไรไม่เห็น)
3 ตะเกียงของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลนอนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ที่ที่หีบของพระเจ้าอยู่ที่นั่น
4 พระเจ้าทรงเรียกซามูเอลและซามูเอลทูลตอบว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่"
5 เขาจึงวิ่งไปหาเอลีและว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า" แต่เอลีตอบว่า "เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอนอีก" เขาก็ไปนอน
6 และพระเจ้าทรงเรียกขึ้นอีกว่า "ซามูเอลเอ๋ย" และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลีกล่าวว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า" แต่เอลีตอบว่า "ลูกเอ๋ย เรามิได้เรียกเจ้า จงนอนอีก"
7 ฝ่ายซามูเอลไม่เคยรู้จักพระเจ้า และยังไม่เคยทรงสำแดงพระดำรัสของพระเจ้าแก่เขา
8 และพระเจ้าทรงเรียกซามูเอลครั้งที่สาม ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลี กล่าวว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่ ด้วยท่านร้องเรียกข้าพเจ้า" แล้วเอลีจึงหยั่งรู้ได้ว่า พระเจ้าทรงเรียกเด็กนั้น
9 เพราะฉะนั้นเอลีจึงพูดกับซามูเอลว่า "จงไปนอนเสียเถิด ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้า เจ้าจงทูลว่า 'พระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่'" ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน
10 และพระเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่ ทรงเรียกอย่างครั้งก่อนๆว่า "ซามูเอล ซามูเอลเอ๋ย" และซามูเอลทูลตอบว่า "ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่"
11 แล้วพระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "ดูเถิด เราจะทำสิ่งหนึ่งในอิสราเอล หูของทุกคนผู้ที่ได้ยินจะแสบทั้งสองข้าง
12 ในวันนั้นเราจะกระทำให้สิ่งที่เราลั่นวาจาไว้เกี่ยวด้วย เรื่องพงศ์พันธุ์ของเอลีให้สำเร็จเสียต่อเอลี ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด
13 ดังนั้นเราจึงบอกเขาว่า เราจะลงโทษพงศ์พันธุ์ของเขาเป็นนิตย์ เพราะความบาปชั่วซึ่งเขารู้แล้ว เพราะบุตรทั้งสองของเขาเหยียดหยามพระเจ้า และเขาก็มิได้ห้ามปราม
14 เพราะฉะนั้นเราจึงปฏิญาณต่อพงศ์พันธุ์ของเอลีว่า ความบาปชั่วของพงศ์พันธุ์เอลีนั้นจะลบล้างเสียด้วย เครื่องสัตวบูชา และของถวายไม่ได้เป็นนิตย์"
15 ซามูเอลนอนอยู่จนรุ่งเช้า เขาเปิดประตูพระนิเวศของพระเจ้า และซามูเอลก็กลัวไม่กล้าบอกนิมิตนั้นแก่เอลี
16 เอลีก็เรียกซามูเอลมากล่าวว่า "ซามูเอลบุตรของข้าเอ๋ย" และซามูเอลตอบว่า "ข้าพเจ้าอยู่นี่"
17 และเอลีถามว่า "เรื่องอะไรนะที่พระองค์ทรงบอกเจ้า ขออย่าปิดบังไว้จากเราเลย ถ้าเจ้าปิดบังสิ่งใดไว้จากเราในเรื่องทั้งสิ้นที่พระองค์ ทรงบอกแก่เจ้าก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเจ้า และยิ่งหนักกว่า"
18 ดังนั้นซามูเอลจึงบอกทุกอย่างแก่เอลี ไม่ได้ปิดบังอะไรไว้จากท่านเลย และเอลีว่า "คือพระเจ้าเอง ขอพระองค์ทรงกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด"
19 และซามูเอลก็เติบโตขึ้น และพระเจ้าทรงสถิตกับท่านมิให้วาจาของท่านตกไป เปล่าแต่สักคำเดียว
20 และชนอิสราเอลทั้งปวง ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบาก็ทราบว่า ซามูเอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า
21 และพระเจ้าทรงปรากฏอีกที่ชิโลห์ เพราะพระเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลที่ชิโลห์ โดยพระดำรัสของพระเจ้า และถ้อยคำของซามูเอลมาถึงคนอิสราเอลทั้งปวง
1ซามูเอล 4
1 ฝ่ายคนอิสราเอลได้ยกกองทัพออกไปสู้รบกับคนฟีลิสเตีย ได้ตั้งค่ายอยู่ข้างเอเบนเอเซอร์ และคนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในเอเฟก
2 คนฟีลิสเตียได้จัดพลเป็นแนวเข้าต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อสงครามได้ขยายวงออกไป อิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่คนฟีลิสเตียผู้ได้ฆ่าคนเสียประมาณ สี่พันคนในสนามรบ
3 และเมื่อกองทัพกลับมาสู่ค่าย พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็ กล่าวว่า "ทำไมพระเจ้าจึงทรงให้เราพ่ายแพ้ต่อคนฟีลิสเตียในวันนี้ ขอเราไปนำหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้ามาให้เราจากเมือง ชิโลห์เถิด เพื่อว่าพระองค์จะเสด็จมาท่ามกลางเรา และทรงช่วยเราให้พ้นจากมือศัตรูของเรา"
4 เขาจึงใช้คนไปที่เมืองชิโลห์ และเขานำหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าจอมโยธา ผู้ประทับที่บัลลังก์พวกเครูบ บุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัส ก็อยู่กับหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าที่นั่น
5 เมื่อหีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้าเข้ามาในค่าย แล้วคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็โห่ร้องเสียงดัง จนแผ่นดินก้องไปด้วยเสียงนั้น
6 และเมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้องดังเช่นนั้น เขาก็กล่าวว่า "เสียงโห่ร้องอึกทึกครึกโครมในค่ายของคนฮีบรู นั้นหมายความว่าอะไรกัน" และเขาทราบว่าหีบแห่งพระเจ้าเข้ามาในค่ายแล้ว
7 คนฟีลิสเตียก็กลัวเพราะเขากล่าวว่า "พระเจ้าได้เสด็จมาในค่ายแล้ว" และเขากล่าวว่า "วิบัติแก่เราทั้งหลายเพราะแต่ก่อนไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้เลย
8 วิบัติแก่เราทั้งหลาย ใครจะช่วยกู้เราจากบรรดาพระอันทรงฤทธานุภาพนี้ได้ พระเหล่านี้เป็นผู้ที่ฆ่าฟันชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัตินานา ชนิดในถิ่นทุรกันดาร
9 โอ คนฟีลิสเตียเอ๋ยจงกล้าหาญเถิด จงกระทำตัว เป็นลูกผู้ชาย เพื่อว่าเจ้าจะไม่เป็นทาสของคนฮีบรูดังที่เขา เคยเป็นทาสเจ้า จงกระทำตัวให้เป็นลูกผู้ชายและเข้ารบ"
10 เพราะฉะนั้นคนฟีลิสเตียจึงสู้รบและอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างก็หนีไปยังเต็นท์ของตน ครั้งนั้นมีการฆ่าฟันกันมาก เพราะทหารราบของอิสราเอลตายเสียสามหมื่นคน
11 และหีบแห่งพระเจ้าก็ถูกยึดไป และบุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ถูกฆ่าตาย
12 ผู้ชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่งวิ่งไปจากแนวรบมาถึงชิโลห์ ในวันเดียวกัน เสื้อผ้าขาดและดินก็อยู่บนศีรษะของเขา
13 เมื่อเขามาถึงนั้น ดูซี เอลีอยู่บนที่นั่งข้างถนนคอยเฝ้าอยู่ เพราะจิตใจของท่านหวั่นด้วยเรื่องหีบแห่งพระเจ้า และเมื่อชายคนนั้นเข้ามาในเมืองและบอกข่าว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็ร้องขึ้น
14 เมื่อเอลีได้ยินเสียงร้องเช่นนั้นก็ถามว่า "นั่นเสียงอะไรกันโกลาหล" แล้วชายคนนั้นก็รีบเข้ามาบอกเอลี
15 ฝ่ายเอลีมีอายุเก้าสิบแปดปี ตาของท่านแข็งมองอะไรไม่เห็น
16 ชายคนนั้นบอกเอลีว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากแนวรบ ข้าพเจ้าหนีมาจากแนวรบวันนี้" เอลีก็ถามว่า "ลูกเอ๋ยเป็นอย่างไรบ้าง"
17 ผู้ที่ส่งข่าวนั้นก็ตอบว่า "อิสราเอลได้หนีพวกฟีลิสเตียไปแล้ว มีการฆ่าฟันกันมากท่ามกลางประชาชน บุตรทั้งสองของท่าน คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตาย และหีบแห่งพระเจ้าถูกยึดไปเสีย"
18 เมื่อเขากล่าวถึงหีบแห่งพระเจ้า เอลีก็หงายหลังจากที่นั่งที่อยู่ข้างประตู คอของท่านก็หัก และท่านสิ้นชีวิตแล้ว เพราะท่านชรามากและตัวก็หนัก ท่านได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่สี่สิบปี
19 ฝ่ายบุตรสะใภ้ของท่าน คือภรรยาของฟีเนหัสมีครรภ์กำลังจะคลอดบุตร และเมื่อนางได้ยินข่าวว่าเขายึดหีบแห่งพระเจ้าไป และพ่อผัวและสามีของนางก็สิ้นชีวิต นางก็โน้มตัวลงและคลอดบุตร เพราะความเจ็บปวดบังเกิดขึ้นแก่นาง
20 เมื่อนางกำลังจะตายนั้น พวกผู้หญิงที่เฝ้านางอยู่ได้บอกนางว่า "อย่ากลัวเลย เพราะเจ้ามีลูกผู้ชายคนหนึ่ง" แต่นางไม่ตอบไม่ฟัง
21 นางให้ชื่อเด็กนั้นว่า อีคาโบด กล่าวว่า "พระสิริพรากไปจากอิสราเอลแล้ว" เพราะเขายึดหีบแห่งพระเจ้าไป และเพราะเรื่องพ่อผัวและสามีของนาง
22 และนางกล่าวว่า "พระสิริได้พรากจากอิสราเอลแล้ว เพราะเขายึดหีบแห่งพระเจ้าไป"
1ซามูเอล 5
1 เมื่อคนฟีลิสเตียยึดหีบแห่งพระเจ้าไปนั้น เขานำไปจากเอเบนเอเซอร์ถึงเมืองอัชโดด
2 และคนฟีลิสเตียก็นำเอาหีบแห่งพระเจ้า เข้าไปไว้ในโบสถ์ของพระดาโกน และวางไว้ข้างพระดาโกน
3 และเมื่อประชาชนชาวอัชโดดตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนได้ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรง หน้าหีบแห่งพระเจ้า เขาทั้งหลายจึงยกพระดาโกนขึ้นตั้งไว้ในที่เดิม
4 แต่เมื่อเขาทั้งหลายตื่นเช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนก็ล้มหน้าคว่ำลงมายังพื้นดินตรงหน้าหีบแห่ง พระเจ้า เศียรของพระดาโกนและมือทั้งสองก็หักออกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่แต่ลำตัวพระดาโกน
5 เพราะเหตุนี้เอง ปุโรหิตของพระดาโกนและผู้ที่เข้าไปในโบสถ์ของพระดาโกน จึงไม่เหยียบธรณีประตูโบสถ์พระดาโกนที่เมืองอัชโดด จนถึงทุกวันนี้
6 พระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่เหนือประชาชนอัชโดดอย่างหนัก พระองค์ทรงกระทำให้เขาคร้ามกลัวและทรงเฆี่ยนเขาด้วยฝี ทั้งชาวอัชโดดและเขตแดนของชาวเมืองนั้น
7 และเมื่อชาวเมืองอัชโดดเห็นอย่างนั้น เขาทั้งหลายกล่าวว่า "อย่าให้หีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลอยู่กับเราเลย เพราะว่าพระหัตถ์ของพระอยู่เหนือเราและเหนือ พระดาโกนพระของเราอย่างหนัก"
8 เขาจึงใช้คนไปเรียกประชุมเจ้านายทั้งสิ้นของฟีลิสเตีย และกล่าวว่า "เราจะกระทำอะไรกับหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลดี" เขาทั้งหลายตอบว่า "ให้เรานำหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลอ้อมไปยังเมืองกัท" เพราะฉะนั้นเขาจึงนำหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลไปที่นั่น
9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายนำหีบอ้อมไปเมืองนั้นแล้ว พระหัตถ์ของพระเจ้าก็ต่อสู้เมืองนั้นกระทำให้ เกิดความวุ่นวายอย่างหนัก และทรงเฆี่ยนชาวเมืองนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ คือให้เกิดฝีขึ้นที่ตัวเขาทั้งหลาย
10 เขาจึงส่งหีบแห่งพระเจ้าไปยังเมืองเอโครน และอยู่มาเมื่อหีบแห่งพระเจ้ามาถึงเมืองเอโครน ชาวเมืองเอโครนร้องว่า "เขาได้นำหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลมาให้เรา เพื่อจะฆ่าเราและประชาชนของเราเสีย"
11 เพราะฉะนั้นเขาจึงส่งคนไปให้เรียก ประชุมเจ้านายทั้งหมดของคนฟีลิสเตีย และกล่าวว่า "จงส่งหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลไปเสียให้หีบนั้น กลับไปยังที่เดิม เพื่อหีบนั้นจะไม่ได้ฆ่าเราหรือประชาชนของเราเสีย" เพราะว่ามีความวุ่นวายอย่างน่ากลัวตายแพร่ไปทั่วประเทศนั้น พระหัตถ์ของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่นอย่างหนัก
12 คนที่ไม่ตายก็เป็นฝี และเสียงร้องของชาวเมืองนั้นก็ขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์
1ซามูเอล 6
1 หีบแห่งพระเจ้าอยู่ในถิ่นคนฟีลิสเตียเจ็ดเดือน
2 คนฟีลิสเตียก็เชิญพวกปุโรหิตและพวกโหรมา กล่าวว่า "เราจะกระทำอย่างไรกับหีบแห่งพระเจ้าดี ขอบอกเราว่าจะส่งหีบไปยังที่เดิมด้วยอะไรดี"
3 เขาทั้งหลายตอบว่า "ถ้าท่านทั้งหลายจะส่งหีบแห่งพระเจ้าของอิสราเอลไป ก็อย่าส่งไปเปล่า ถึงอย่างไรก็ขอส่งเครื่องบูชาไถ่ความผิดไปด้วย แล้วท่านทั้งหลายจะหายโรคและท่านทั้งหลายจะ ทราบด้วยว่าเหตุใดพระหัตถ์นี้จึงไม่หันไปเสียจากท่าน"
4 และเขากล่าวว่า "จัดอะไรเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดเล่า ที่เราจะต้องถวายให้พระองค์" เขาทั้งหลายตอบว่า "ลูกฝีทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัวตามจำนวน เจ้านายแห่งคนฟีลิสเตีย เพราะว่าโรคอย่างเดียวกันนั้นติดต่อท่านทั้งหลาย และเจ้านายด้วย
5 เพราะฉะนั้นท่านต้องทำรูปฝีของท่านและรูปหนูของท่าน ซึ่งทำลายแผ่นดิน และท่านทั้งหลายจงถวายพระสิริแด่พระเจ้าของอิสราเอล ชะรอยพระองค์จะทรงเบาพระหัตถ์ของพระองค์จากท่านทั้งหลาย ทั้งจากพระของท่านและแผ่นดินของท่าน
6 ทำไมท่านจึงกระทำให้จิตใจของท่านแข็งกระด้างไป อย่างที่ชาวอียิปต์และฟาโรห์ได้กระทำจิตใจของ เขาให้แข็งกระด้างนั้น เมื่อพระองค์ทรงกระทำเหตุการณ์สู้เขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็ต้องปล่อยให้ประชาชนไปมิใช่หรือ แล้วเขาทั้งหลายก็จากไป
7 บัดนี้จงเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งมาเทียม เข้ากับแม่โคคู่หนึ่งซึ่งยังไม่เคยเข้าเทียมแอกเลย จงเอาแม่โคมาเทียมเกวียนแล้วพรากลูกๆของมันกลับไปบ้านเสียให้พ้นจากมัน
8 จงนำหีบแห่งพระเจ้ามาวางไว้บนเกวียน และวางเครื่องทองคำซึ่งท่านทั้งหลาย ถวายให้พระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดไว้ในหีบข้างๆ แล้วก็ปล่อยให้มันไป
9 และคอยดู ถ้าไปตามทางถึงแผ่นดินของมันเอง คือทางไปเมืองเบธเชเมช พระองค์ก็เป็นผู้ทรงให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงนี้แก่เรา ถ้าไม่เช่นนั้น เราจะได้ทราบว่าไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ที่กระทำ ต่อเราเป็นเคราะห์กรรมที่บังเอิญเกิดขึ้นแก่เราเอง"
10 คนเหล่านั้นก็กระทำตาม นำเอาแม่โคคู่หนึ่งเทียมเข้ากับเกวียน แล้วขังลูกๆของมันไว้ที่บ้าน
11 และเขาก็วางหีบแห่งพระเจ้าไว้บนเกวียนพร้อม กับหีบหนูทองคำและรูปฝีของเขา
12 แม่โคก็เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย และบรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ตาม มันไปจนถึงพรมแดนเมืองเบธเชเมช
13 ฝ่ายชาวเมืองเบธเชเมชกำลังเกี่ยวข้าวสาลีอยู่ที่หุบเขา และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นหีบ เขาก็ชื่นชมยินดีที่ได้เห็น
14 เกวียนนั้นได้เข้ามาในนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช และหยุดอยู่ที่นั่น มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาจึงผ่าไม้เกวียนเป็นฟืน และเอาแม่โคเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่พระเจ้า
15 และคนเลวีก็เชิญหีบแห่งพระเจ้าลง และหีบที่อยู่ข้างๆซึ่งมีเครื่องทองคำวางไว้บนก้อนหินใหญ่นั้น และชาวเบธเชเมชก็ถวายเครื่องเผาบูชา และถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระเจ้าในวันนั้น
16 และเมื่อเจ้านายทั้งห้าของคนฟีลิสเตียได้เห็นแล้ว เขาก็กลับไปยังเมืองเอโครนในวันนั้น
17 ต่อไปนี้ เป็นรูปฝีทองคำซึ่งคนฟีลิสเตีย ถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดถวายแด่พระเจ้า รูปหนึ่งสำหรับเมืองอัชโดด เมืองกาซารูปหนึ่ง เมืองอัชเคโลนรูปหนึ่ง เมืองกัทรูปหนึ่ง เมืองเอโครนรูปหนึ่ง
18 รูปหนูทองคำก็เช่นเดียวกัน ตามจำนวนเมืองของฟีลิสเตียที่เป็นเมืองของเจ้านาย ทั้งห้าทั้งเมืองที่มีป้อมปราการและชนบทที่ไม่มีกำแพงเมือง หินก้อนใหญ่ซึ่งเขาวางหีบของพระเจ้าลงไว้นั้นก็ยัง เป็นพยานอยู่จนทุกวันนี้ที่ในทุ่งนาของโยชูวา ชาวเบธเชเมช
19 พระองค์จึงทรงประหารชาวเบธเชเมช เพราะว่าเขาทั้งหลายได้มองหีบแห่งพระเจ้า พระองค์ได้ทรงประหารเสียเจ็ดสิบคนและห้าหมื่นคน และประชาชนก็ไว้ทุกข์ เพราะว่าพระเจ้าทรงประหารประชาชนเสียเป็นอันมาก
20 แล้วชาวเบธเชเมชจึงกล่าวว่า "ผู้ใดสามารถยืนอยู่ต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าบริสุทธิ์ องค์นี้ได้พระองค์จะเสด็จไปจากเราไปหาผู้ใดดี"
21 ดังนั้นเขาจึงส่งสารไปยังชาวเมือง คีริยาทเยอาริมกล่าวว่า "คนฟีลิสเตียได้คืนหีบแห่งพระเจ้ามาแล้ว ขอลงมาเชิญหีบขึ้นไปอยู่กับท่านเถิด"
1ซามูเอล 7
1 ชาวคีริยาทเยอาริมได้มาเชิญหีบแห่งพระเจ้าขึ้นไปถึง เรือนของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา และเขาทั้งหลายก็ชำระเอเลอาซาร์บุตรของเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อให้ดูแลหีบแห่งพระเจ้า ซามูเอลวินิจฉัยคนอิสราเอล
2 นับแต่วันที่หีบแห่งพระเจ้าอยู่ที่คีริยาทเยอาริมก็ เป็นเวลาช้านานตั้งยี่สิบปี และบรรดาพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นก็คร่ำครวญถึงพระเจ้า
3 แล้วซามูเอลพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นว่า "ถ้าท่านทั้งหลายจะกลับมาหาพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน จงทิ้งพระต่างด้าวและพระอัชทาโรทเสียจากท่ามกลางท่านทั้งหลาย และปักใจของท่านตรงต่อพระเจ้าและปรนนิบัติแต่พระองค์ เท่านั้น พระองค์จะทรงช่วยกู้ท่านให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย"
4 คนอิสราเอลจึงทิ้งพระบาอัลและพระอัชทาโรท และเขาทั้งหลายปรนนิบัติแต่พระเจ้าเท่านั้น
5 แล้วซามูเอลกล่าวว่า "จงประชุมคนอิสราเอลทั้งสิ้นที่เมือง มิสปาห์และข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่าน"
6 เขาทั้งหลายจึงประชุมกันที่มิสปาห์ และตักน้ำมาเทออกถวายแด่พระเจ้า และอดอาหารในวันนั้น และกล่าวที่นั่นว่า "เราทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเจ้า" และซามูเอลก็วินิจฉัยคนอิสราเอลที่เมืองมิสปาห์
7 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าคนอิสราเอล ได้ประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ เจ้านายแห่งฟีลิสเตียก็ยกขึ้นไปต่อสู้กับอิสราเอล และเมื่อคนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้นเขาก็กลัวคนฟีลิสเตีย
8 และคนอิสราเอลร้องต่อซามูเอลว่า "อย่าหยุดร้องทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเพื่อเราทั้งหลาย เพื่อขอพระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย"
9 ซามูเอลก็เอาลูกแกะอ่อนที่ยังกินนมอยู่ตัวหนึ่งมา ถวายเป็นเครื่องเผาบูชาทั้งตัวแด่พระเจ้า และซามูเอลร้องทูลต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอล และพระเจ้าทรงตอบท่าน
10 ขณะที่ซามูเอลถวายเครื่องเผาบูชาอยู่นั้น คนฟีลิสเตียก็เข้ามาใกล้จะสู้รบกับอิสราเอล แต่พระเจ้าทรงให้ฟ้าร้องเสียงดังยิ่งนักในวันนั้นสู้กับคนฟีลิสเตีย กระทำให้คนฟีลิสเตียสับสนอลหม่าน จึงพ่ายแพ้แก่อิสราเอล
11 คนอิสราเอลก็ออกจากมิสปาห์ติดตามคนฟีลิสเตียและฆ่าฟันเขา จนไปถึงเมืองเบธคาร์
12 แล้วซามูเอลก็เอาศิลาก้อนหนึ่งตั้งไว้ระหว่าง เมืองมิสปาห์และเมืองเชน เรียกชื่อศิลานั้นว่า เอเบนเอเซอร์ เพราะท่านกล่าวว่า "พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้"
13 ดังนั้นคนฟีลิสเตียจึงพ่ายแพ้ไม่เข้ามาในดินแดน อิสราเอลอีก และพระหัตถ์แห่งพระเจ้าก็ต่อสู้คนฟีลิสเตียตลอดชีวิต ของซามูเอล
14 หัวเมืองที่คนฟีลิสเตียได้ยึดไปจากอิสราเอลนั้น ก็ได้กลับคืนมายังอิสราเอล ตั้งแต่เมืองเอโครนถึงเมืองกัท และอิสราเอลก็ได้ตีดินแดนของหัวเมืองเหล่านี้คืนมา จากมือของคนฟีลิสเตีย ครั้งนั้นมีสันติภาพระหว่างอิสราเอลและคนอาโมไรต์ด้วย
15 ซามูเอลได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่ตลอดชีวิตของท่าน
16 และท่านก็เที่ยวไปโดยรอบทุกปีเป็นประจำไปถึงเมืองเบธเอล กิลกาลและมิสปาห์ และท่านก็วินิจฉัยคนอิสราเอล ในบรรดาเมืองเหล่านั้น
17 แล้วท่านจะกลับมายังเมืองรามาห์ เพราะว่าบ้านของท่านอยู่ที่นั่น ท่านก็วินิจฉัยคนอิสราเอลที่นั่นด้วย ท่านได้สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้าที่นั่น
1ซามูเอล 8
1 อยู่มาเมื่อซามูเอลแก่แล้ว ท่านได้ตั้งพวกบุตรชายของท่านให้วินิจฉัยอิสราเอล
2 บุตรชายหัวปีของท่านชื่อโยเอล และคนที่สองชื่ออาบียาห์ ทั้งสองเป็นผู้วินิจฉัยในเมืองเบเออร์เชบา
3 แต่บุตรชายของท่าน มิได้ดำเนินในทางของท่าน ได้เลี่ยงไปหากำไร เขารับสินบน และบิดเบือนความยุติธรรมเสีย
4 และบรรดาพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็พากันมาหา ซามูเอลที่เมืองรามาห์
5 และเรียนท่านว่า "ดูเถิด ท่านชราแล้วและบุตรของท่านมิได้ดำเนินในทาง ของท่าน บัดนี้ขอท่านได้กำหนดตั้งพระราชาให้วินิจฉัยพวกเรา อย่างประชาชาติทั้งหลายเถิด"
6 แต่เมื่อเขาพูดว่า "ขอตั้งพระราชาให้วินิจฉัยเราทั้งหลาย" ก็กระทำให้ซามูเอลไม่พอใจ และซามูเอลได้ทูลอธิษฐานต่อพระเจ้า
7 และพระเจ้าทรงตอบซามูเอลว่า "จงฟังเสียงประชาชนในเรื่องที่เขาทั้งหลายขอต่อเจ้า เพราะว่าเขามิได้ละทิ้งเจ้า แต่เขาทั้งหลายได้ละทิ้งเราไม่ให้เราเป็นกษัตริย์เหนือเขา
8 ตามการกระทำทั้งสิ้นซึ่งเขาได้กระทำแก่เรา ตั้งแต่วันที่เรานำเขาออกมาจากอียิปต์จนถึงวันนี้ คือเขาได้ละทิ้งเราและปรนนิบัติพระอื่น เขาจึงกระทำเช่นเดียวกันต่อเจ้าด้วย
9 เหตุฉะนั้นจงฟังเสียงของเขา ขอแต่จงคอยทักท้วงเขา และสำแดงให้ทราบถึงวิธีการของกษัตริย์ผู้ที่จะครอบครอง เขาทั้งหลาย"
10 ซามูเอลจึงเอาพระดำรัสทั้งสิ้นของพระเจ้า มาบอกกล่าวแก่ประชาชน ผู้ร้องขอให้ท่านตั้งพระราชา
11 ท่านกล่าวว่า "นี่เป็นวิธีการของพระราชา ผู้ที่จะครอบครองเหนือเจ้า พระราชาจะเกณฑ์บุตรชายทั้งหลายของเจ้า และกำหนดให้ประจำรถรบ และให้เป็นพลม้า และให้วิ่งหน้ารถรบของพระองค์
12 แล้วพระองค์จะตั้งเขาให้เป็นนายพัน นายห้าสิบของพระองค์ ให้บางคนไถที่ดินของพระองค์และเกี่ยวข้าว และทำศัสตราวุธและเครื่องใช้ของรถรบ
13 พระองค์จะนำบุตรสาวของเจ้าไปเป็นผู้ปรุงเครื่องหอม ทำครัวและปิ้งขนม
14 พระองค์จะเอานา สวนองุ่นและสวนมะกอกเทศที่ดีที่สุดของเจ้า ให้แก่ข้าราชการของพระองค์
15 พระองค์จะชักหนึ่งในสิบของข้าวและผลองุ่นของท่าน ให้แก่มหาดเล็กและข้าราชการของพระองค์
16 พระองค์จะเอาคนใช้ผู้ชายและคนใช้ผู้หญิง และคนหนุ่มๆที่ดีที่สุดของท่าน และลาของท่านให้ไปทำงานของพระองค์
17 พระองค์จะชักหนึ่งในสิบของฝูงสัตว์ของท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นทาสของพระองค์
18 ในวันนั้นท่านจะร้องทุกข์เพราะพระราชาของท่าน ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายเลือกให้ครองท่านทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะไม่ทรงตอบท่านในวันนั้น"
19 แต่ประชาชนปฏิเสธไม่ฟังเสียงของซามูเอล เขาทั้งหลายกล่าวว่า "เราไม่ยอม แต่เราจะต้องมีพระราชาปกครองเรา
20 เพื่อเราจะเป็นเหมือนประชาชาติทั้งหลายด้วย และเพื่อพระราชาของเราจะวินิจฉัยเราและนำหน้า เราไปและรบศึกให้เรา"
21 และเมื่อซามูเอลได้ยินถ้อยคำทั้งสิ้นของประชาชน ท่านก็นำไปทูลพระเจ้าให้ทรงทราบ
22 และพระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "จงฟังเสียงของเขาทั้งหลายเถิด และจงตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งให้เขา" แล้วซามูเอลจึงกล่าวแก่อิสราเอลว่า "ให้ทุกคนกลับไปยังเมืองของตน"
1ซามูเอล 9
1 มีชายคนหนึ่งเผ่าเบนยามินชื่อคีช บุตรของอาบีเอล ผู้เป็นบุตรของเศโรร์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาหิยาห์ คนเผ่าเบนยามิน เป็นคนร่ำรวย
2 ท่านมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อซาอูล เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวรูปงาม ไม่มีชายคนใดในหมู่คนอิสราเอลที่จะงามกว่าเขา เขาสูงกว่าประชาชนทั้งหลายตั้งแต่บ่าขึ้นไป
3 ฝ่ายฝูงแม่ลาของคีชบิดาของซาอูลหายไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูลบุตรของตนว่า "ลุกขึ้น เอาคนใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า เพื่อไปหาลา"
4 เขาทั้งสองก็ผ่านแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ผ่านเข้าแผ่นดินชาลิชา เขาหาลาไม่พบ เขาก็ผ่านข้ามแผ่นดินชาอาลิมแต่ลาไม่อยู่ที่นั่น แล้วเขาผ่านเข้าแผ่นดินของคนเบนยามิน แต่ก็หาลาไม่พบ
5 เมื่อเขามาถึงแผ่นดินศูฟ ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ผู้ซึ่งอยู่กับท่านว่า "มาเถิด ให้เรากลับไป เกรงว่าบิดาของข้าจะเลิกกังวลเรื่องลา และมาร้อนใจด้วยเรื่องของเรา"
6 แต่คนใช้ตอบท่านว่า "ดูเถิด มีคนของพระเจ้าคนหนึ่งในเมืองนี้ เป็นคนที่เขานับถือกันมาก สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นเป็นไปตามที่กล่าวนั้นทุกอย่าง ขอให้เราไปที่นั่น ชะรอยท่านจะบอกเราถึงทางซึ่งเราควรดำเนิน"
7 แล้วซาอูลพูดกับคนใช้ของท่านว่า "แต่ดูเถิด ถ้าเราไปเราจะเอาอะไรไปให้ชายผู้นั้น เพราะขนมปังในย่ามของเราก็หมดแล้ว เราไม่มีของขวัญที่จะนำไปให้แก่คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง"
8 คนใช้ตอบซาอูลอีกว่า "ผมมีเงินอยู่หนึ่งเสี้ยวเชเขล และผมจะให้แก่คนของพระเจ้า เพื่อจะบอกหนทางให้แก่เรา"
9 (ในอิสราเอลสมัยเดิม เมื่อคนใดจะไปทูลถามพระเจ้า เขากล่าวว่า "มาเถิด ให้เราไปหาผู้ทำนายกัน" เพราะผู้ที่ในสมัยนี้เราเรียกว่าผู้เผยพระวจนะนั้น ในสมัยเดิมเขาเรียกว่าผู้ทำนาย)
10 และซาอูลจึงพูดกับคนใช้ของท่านว่า "พูดดีนี่ มาให้เราไปกันเถิด" เขาทั้งสองจึงไปที่เมืองซึ่งคนของพระเจ้าอยู่
11 ขณะเมื่อเขาขึ้นภูเขาไปยังเมืองนั้น เขาพบพวกผู้หญิงสาวออกมาตักน้ำ จึงถามว่า "ผู้ทำนายอยู่ที่นี่หรือ"
12 เธอทั้งหลายตอบว่า "อยู่นี่ ดูเถิด ท่านเพิ่งขึ้นหน้าท่านไป จงรีบเข้าเถิดท่านเพิ่งมาในเมืองเมื่อกี้นี้ เพราะว่าวันนี้ประชาชนทำการถวายสัตวบูชา ณ ปูชนียสถานสูง
13 พอท่านทั้งสองเข้าไปถึงในเมือง ท่านทั้งสองจะพบก่อนที่ผู้ทำนายขึ้นไปรับประทานอาหาร ณ ปูชนียสถานสูง เพราะว่าประชาชนจะไม่รับประทานจนกว่าท่านจะมาถึง เพราะท่านจะต้องมาอวยพรแก่เครื่องสัตวบูชา ภายหลังผู้ที่ได้รับเชิญจึงรับประทาน ขึ้นไปเถิด ท่านทั้งสองจะพบทันที"
14 เขาทั้งสองก็ขึ้นไปยังเมืองนั้น ขณะเมื่อเขาเข้าไปในเมือง ดูเถิด ซามูเอลกำลังเดินออกมาจะไปยังปูชนียสถานสูงนั้น
15 พระเจ้าทรงสำแดงแก่ซามูเอล แล้วในวันก่อนวันที่ซาอูลมาถึงว่า
16 "พรุ่งนี้เวลาประมาณเท่านี้ เราจะส่งชายผู้หนึ่งซึ่งมาจากดินแดนเบนยามิน เจ้าจงเจิมเขาให้เป็นเจ้าเหนืออิสราเอลประชากรของเรา เขาจะช่วยประชากรของเราให้พ้นจากมือคนฟีลิสเตีย เพราะเราได้มองดูความทุกข์ใจแห่งประชากรของเราแล้ว ด้วยเสียงร้องทุกข์ของเขามาถึงเรา"
17 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูลเข้าแล้ว พระเจ้าทรงบอกท่านว่า "นี่เป็นชายคนที่เราได้พูดกับเจ้าแล้วนั้น เขาเป็นผู้ที่จะปกครองเหนือประชากรของเรา"
18 แล้วซาอูลก็เข้ามาใกล้ซามูเอลที่ประตูและกล่าวว่า "ขอบอกข้าพเจ้าหน่อยว่า บ้านของผู้ทำนายอยู่ที่ไหน"
19 ซามูเอลตอบซาอูลว่า "ฉันเป็นผู้ทำนาย จงเดินขึ้นหน้าฉันไปยังปูชนียสถานสูงนั้น เพราะในวันนี้ท่านจะรับประทานอาหารกับฉัน และพรุ่งนี้เช้าฉันจึงจะให้ท่านไปและฉันจะ บอกทุกอย่างที่ข้องอยู่ในใจของท่านแก่ท่าน
20 ส่วนเรื่องลาของท่านที่หายไปสามวัน แล้วนั้นอย่าเอาใจใส่เลย เพราะเขาพบแล้ว ความปรารถนาของคนอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเอาใครเล่า ไม่ใช่ตัวท่านและพงศ์พันธุ์ของบิดาท่านดอกหรือ"
21 ซาอูลตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเผ่าเบนยามินดอกหรือ เป็นเผ่าเล็กน้อยที่สุดในอิสราเอล และตระกูลของข้าพเจ้าไม่ใช่ตระกูล ที่ด้อยที่สุดในเผ่าเบนยามินดอกหรือ ทำไมท่านจึงพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้เล่า"
22 แล้วซามูเอลก็พาซาอูลกับคนใช้ของท่านเข้าไปในห้องโถง ให้นั่งในตอนต้นที่นั่งสำหรับผู้ที่ รับเชิญ ซึ่งมีประมาณสามสิบคน
23 และซามูเอลพูดกับคนครัวว่า "จงนำส่วนที่ฉันได้มอบให้ ซึ่งฉันบอกว่า 'เก็บไว้ต่างหาก' นั้นมา"
24 คนครัวจึงนำเอา ส่วนขาและส่วนบนนั้นมาวางไว้ที่ข้างหน้าซาอูล และซามูเอลกล่าวว่า "ดูเถิด สิ่งที่ได้เก็บไว้ก็วางอยู่ต่อหน้าท่าน จงรับประทานเถิด เพราะว่าเก็บไว้ให้แก่ท่านจนถึงชั่วโมงที่กำหนดไว้ ฉันได้เชิญประชาชนมาแล้ว" ซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอลในวันนั้น
25 และเมื่อเขาทั้งหลายลงมาจากปูชนียสถาน สูงเข้ามาในเมือง ท่านสนทนากับซาอูลบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน
26 และเขาทั้งสองตื่นแต่เช้าตรู่ และอยู่มาเมื่อสว่างแล้ว ซามูเอลก็เรียกซาอูลผู้อยู่บนดาดฟ้าว่า "จงลุกขึ้นเถิด เพื่อฉันจะส่งท่านไปตามทางของท่าน" ซาอูลก็ลุกขึ้น ท่านทั้งสองก็เดินออกไปที่ถนน ทั้งท่านและซามูเอล
27 เมื่อเขาทั้งหลายกำลังลงมาที่ชานเมือง ซามูเอลจึงพูดกับซาอูลว่า "จงบอกคนใช้ให้เดินล่วงหน้าเราไปก่อน และเมื่อเขาเดินพ้นไปแล้วท่านจงหยุดที่นี่ก่อน เพื่อฉันจะได้แจ้งพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่านทราบ"
1ซามูเอล 10
1 แล้วซามูเอลก็หยิบขวดน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล และจุบท่านแล้วกล่าวว่า "พระเจ้าทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล ประชากรมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ
2 เมื่อท่านจากฉันไปในวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนริมที่ฝังศพของนางราเชลใน เขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า 'ลาซึ่งท่านไปหานั้นพบแล้ว นี่แน่ะ บัดนี้บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของท่านกล่าวว่า "เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี'"
3 และท่านจะเดินเลยที่นั่นไปถึงต้นก่อหลวงตำบลทาโบร์ ที่นั่นชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอล จะพบท่าน คนหนึ่งอุ้มลูกแพะสามตัวอีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่งถือถุงหนังเหล้าองุ่นถุงหนึ่ง
4 เขาทั้งหลายจะคำนับท่านและมอบขนมให้ท่านสองก้อน ซึ่งท่านจะรับจากมือของเขา
5 ต่อจากนั้นท่านจะมาถึงกิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่นมีกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย เมื่อท่านมาถึงเมืองนั้น ท่านจะพบผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งกำลังลงมาจาก ปูชนียสถานสูงถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังเผยพระวจนะเรื่อยมา
6 แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าจะมาสถิตกับท่านอย่างมาก และท่านจะเผยพระวจนะกับคนเหล่านั้น เปลี่ยนเป็นคนละคน
7 เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้ เกิดแก่ท่านแล้วจงกระทำอะไรตามแต่มีโอกาสเถิด เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับท่าน
8 และท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหาท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่นเจ็ดวันจน ฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ท่านว่า ท่านควรจะกระทำอะไร"
9 เมื่อซาอูลหันหลังไปจะจากซามูเอล พระเจ้าทรงประทานจิตใจอีกอย่างหนึ่งแก่ท่าน และหมายสำคัญเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น
10 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งพบกับท่าน และพระวิญญาณของพระเจ้าสิงสถิตกับท่านอย่างมาก และท่านก็เผยพระวจนะอยู่ในหมู่พวกเขา
11 และเมื่อคนทั้งหลายที่รู้จักท่านมาก่อน เห็นท่านเผยพระวจนะอยู่กับพวกผู้เผยพระวจนะ ประชาชนเหล่านั้นก็พูดกันและกันว่า "อะไรหนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ"
12 ชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นตอบว่า "และบิดาของเขาทั้งหลายคือใคร" ดังนั้นจึงเป็นคำภาษิตว่า "ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ"
13 เมื่อท่านเผยพระวจนะสิ้นลงแล้วท่านก็มายัง ปูชนียสถานสูง
14 ฝ่ายลุงของซาอูลจึงถามซาอูลกับคนใช้ว่า "เจ้าไปไหนมา" และเขาตอบว่า "ไปหาลา และเมื่อเราเห็นว่าเราไม่พบลานั้นแล้ว เราจึงไปหาซามูเอล"
15 ลุงของซาอูลกล่าวว่า "ซามูเอลบอกอะไรแก่เจ้าบ้างขอเล่าให้ฟัง"
16 และซาอูลตอบลุงของเขาว่า "เขาบอกเราแจ่มแจ้งว่าพบลาแล้ว" แต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลกล่าวถึงนั้นท่านไม่ได้บอกสิ่งใดเลย
17 ฝ่ายซามูเอลจึงเรียกประชาชน มาประชุมต่อพระเจ้าที่มิสปาห์
18 และท่านกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'เราได้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ และเราได้ช่วยกู้เจ้าทั้งหลายจากมือของชาวอียิปต์ และจากมือของราชอาณาจักรทั้งหลายที่บีบบังคับเจ้า'
19 แต่วันนี้ท่านละทิ้งพระเจ้าของท่าน ผู้ซึ่งช่วยท่านให้พ้นจากความยากลำบากและความทุกข์ร้อน และท่านทั้งหลายกล่าวว่า 'เราไม่ยอม แต่ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา' เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่านทั้งหลายจงเข้าเฝ้า พระเจ้าตามเผ่าของท่านและตามตระกูลของท่าน"
20 แล้วซามูเอลก็นำเผ่าอิสราเอลทุกเผ่าเข้ามาใกล้ และจับฉลากได้เผ่าเบนยามิน
21 ท่านก็นำเผ่าเบนยามินเข้ามาใกล้ตามตระกูล จับฉลากได้ตระกูลมัตรี และจับฉลากได้ซาอูลบุตรคีช แต่เมื่อเขาหาซาอูลก็หาไม่พบ
22 เขาจึงทูลถามพระเจ้าต่อไปว่า "ชายคนนั้นมาที่นี่หรือยัง" และพระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิด เขาซ่อนตัวอยู่ที่กองสัมภาระ"
23 เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปพาเขามาจากที่นั่น และเมื่อเขายืนอยู่ท่ามกลางประชาชน เขาก็สูงกว่าประชาชนทุกคนจากบ่าขึ้นไป
24 ซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า "ท่านเห็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้วหรือ ในท่ามกลางประชาชนไม่มีใครเหมือนท่าน" และประชาชนจึงร้องเสียงดังว่า "ขอพระราชาทรงพระเจริญ"
25 แล้วซามูเอลจึงบอกกับประชาชนให้ทราบถึงสิทธิ และหน้าที่ของตำแหน่งพระราชา และท่านบันทึกไว้ในหนังสือและวางถวายแด่พระเจ้าแล้ว ซามูเอลก็ให้ประชาชนกลับไปยังบ้านของตนทุกคน
26 ซาอูลก็กลับไปยังบ้านของท่านที่กิเบอาห์ด้วย และมีนักรบซึ่งพระเจ้าทรงดลจิตใจไปกับท่านด้วย
27 แต่มีคนอันธพาลบางคนกล่าวว่า "ชายคนนี้จะช่วยเราได้อย่างไร" และเขาทั้งหลายก็ดูหมิ่นท่าน ไม่นำเครื่องบรรณาการมาถวาย แต่ท่านก็นิ่งเสีย
1ซามูเอล 11
1 ฝ่ายนาหาชคนอัมโมนได้ยกขึ้นไปตั้ง ค่ายสู้เมืองยาเบชกิเลอาด บรรดาชาวเมืองยาเบชจึงพูดกับนาหาชว่า "ขอทำพันธสัญญากับพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย และข้าพเจ้าทั้งหลายจะยอมปรนนิบัติท่าน"
2 แต่นาหาชคนอัมโมนกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "เราจะกระทำพันธสัญญากับเจ้าทั้งหลาย ตามเงื่อนไขต่อไปนี้ คือเราจะทะลวงตาขวาของเจ้าเสียทุกคน ให้เป็นที่อัปยศแก่คนอิสราเอลทั้งปวง"
3 ฝ่ายพวกผู้ใหญ่แห่งเมืองยาเบชกล่าวแก่ท่านว่า "ขอผ่อนผันให้ข้าพเจ้าสักเจ็ดวัน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ส่งผู้สื่อสารไปให้ทั่วขอบเขตอิสราเอล แล้วถ้าไม่มีคนใดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจะยอมมอบตัวไว้ให้แก่ท่าน"
4 เมื่อผู้สื่อสารมาถึงกิเบอาห์เมืองของซาอูล เขาทั้งหลายก็รายงานเรื่องราวให้เข้าหูของ ประชาชนและประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้เสียงดัง
5 ดูเถิด ซาอูลต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่ง และซาอูลถามว่า "ประชาชนเป็นอะไรไป เขาจึงร้องไห้" ดังนั้นเขาจึงเรียนท่านให้ทราบถึงข่าวของพวกยาเบช
6 เมื่อท่านได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าก็สถิตกับซาอูลอย่างมากและ ความโกรธของท่านเกิดขึ้นอย่างรุนแรง
7 ท่านจึงเอาโคมาคู่หนึ่งฟันออกเป็นท่อนๆ ส่งไปทั่วเขตแดนทั้งสิ้นของอิสราเอลโดยมือของ ผู้สื่อสารกล่าวว่า "ผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่ออกมาตามซาอูลและซามูเอล จะกระทำอย่างนี้แก่โคของเขา" และความเกรงกลัวพระเจ้าก็มา เหนือประชาชน เขาทั้งหลายพากันออกมาเป็นใจเดียวกัน
8 เมื่อซาอูลตรวจพลอยู่ที่เบเซก นับคนอิสราเอลได้สามแสนคน และชาย เผ่ายูดาห์ได้สามหมื่นคน
9 เขาจึงบอกแก่ผู้สื่อสารที่มานั้นว่า "ท่านทั้งหลายจงบอกแก่ชาวยาเบชกิเลอาดว่า 'พรุ่งนี้เวลาแดดร้อนท่านทั้งหลายจะได้รับการช่วยกู้'" เมื่อผู้สื่อสารกลับมาบอกพวกยาเบช เขาทั้งหลายก็มีความยินดี
10 ดังนั้นชาวยาเบชจึงว่า "พรุ่งนี้เราจะมอบตัวของเราไว้ให้แก่ท่าน ท่านจงกระทำแก่เราตามที่ท่านเห็นควร"
11 พอวันรุ่งขึ้นซาอูลก็จัดพลออกเป็นสามกองทัพยกเข้า มากลางค่ายในยามสามและฆ่าฟันคนอัมโมนเสียจน เวลาแดดจัด ผู้ที่รอดชีวิตไปได้ก็กระจัดกระจายไปรวมกันไม่ ได้สักคู่เดียวเลย
12 แล้วประชาชนจึงเรียนซามูเอลว่า "คนที่พูดว่า 'ซาอูลจะปกครองเหนือพวกเราหรือ' นั้น มีใครบ้างจงนำคนเหล่านั้นออกมา เราจะได้ฆ่าเขาเสีย"
13 แต่ซาอูลกล่าวว่า "ในวันนี้อย่าให้ผู้ใดถูกประหารชีวิตเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พระเจ้าทรงช่วยกู้คนอิสราเอล"
14 แล้วซามูเอลจึงกล่าวแก่ประชาชนว่า "มาเถิด ให้เราพากันไปยังกิลกาลและรื้อฟื้นเรื่อง ราชอาณาจักรที่นั่นอีก"
15 ประชาชนทั้งปวงจึงขึ้นไปยังกิลกาล และที่นั่นเขาทั้งหลายก็ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ต่อพระพักตร์ พระเจ้าที่กิลกาล แล้วเขาทั้งหลายถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชาแด่พระเจ้า ซาอูลกับประชาชนอิสราเอลทั้งปวงก็ชื่นชมยินดี อย่างยิ่งที่นั่น
1ซามูเอล 12
1 ซามูเอลจึงกล่าวแก่คนอิสราเอลทั้งปวงว่า "ดูเถิด ข้าพเจ้าได้ฟังเสียงของท่านทุกเรื่อง ซึ่งท่านได้บอกข้าพเจ้าและได้แต่งตั้งพระราชา เหนือท่านทั้งหลายแล้ว
2 และดูเถิด พระราชาก็ดำเนินอยู่ต่อหน้าท่าน ส่วนข้าพเจ้าก็ชราผมหงอกแล้ว และดูเถิด บุตรของข้าพเจ้าก็อยู่กับท่านทั้งหลายและข้าพเจ้า ดำเนินอยู่ต่อหน้าท่านตั้งแต่หนุ่มๆ มาจนทุกวันนี้
3 ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอท่านเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้าต่อพระเจ้า และต่อท่านที่พระองค์ทรงเจิมไว้ ข้าพเจ้าได้ริบโคของผู้ใดบ้างหรือ หรือข้าพเจ้าเอาลาของผู้ใดไปบ้าง หรือข้าพเจ้าได้ฉ้อผู้ใด ข้าพเจ้าได้บีบบังคับใครบ้าง ข้าพเจ้าได้รับสินบนจากมือของผู้ใดซึ่งจะกระทำ ให้ตาของข้าพเจ้าบอดไป ขอกล่าวมาและข้าพเจ้าจะคืนให้แก่ท่าน"
4 เขาทั้งหลายกล่าวว่า "ท่านมิได้ฉ้อเราหรือบีบบังคับ เราหรือรับสิ่งใดไปจากมือของผู้ใด"
5 ท่านก็กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อท่าน และท่านที่พระองค์ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ ว่าท่านไม่พบสิ่งใดในมือของข้าพเจ้า" และเขาทั้งหลายกล่าวว่า "พระองค์ทรงเป็นพยานแล้ว"
6 และซามูเอลก็กล่าวแก่ประชาชนว่า "พระเจ้าทรงเป็นผู้แต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และทรงนำบรรพบุรุษของท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์
7 ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ข้าพเจ้าจะ ขอเสนอคดีของท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า เกี่ยวด้วยพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงช่วย ซึ่งพระองค์ทรงกระทำแก่ท่านทั้งหลายและ แก่บรรพบุรุษของท่านทั้งหลาย
8 เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และบรรพบุรุษของท่านร้องต่อพระเจ้า พระองค์ก็ทรงใช้โมเสสกับอาโรน ผู้ได้นำบรรพบุรุษของท่านออกจากอียิปต์และทำให้เขามา อาศัยอยู่ในที่นี้
9 แต่เขาทั้งหลายลืมพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาเสีย พระองค์จึงทรงขายเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพของยาบินกษัตริย์แห่งเมืองฮาโซร์และมอบไว้ ในมือของคนฟีลิสเตีย และไว้ในมือของกษัตริย์แห่งเมืองโมอับ และเขาเหล่านั้นก็ต่อสู้บรรพบุรุษของท่าน
10 และเขาทั้งหลายร้องทูลต่อพระเจ้าว่า 'ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปแล้ว เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งพระเจ้าไปปรนนิบัติ บรรดาพระบาอัลและพระอัชทาโรททั้งหลาย แต่บัดนี้ขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้น มือศัตรูของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ทั้งหลายจะปรนนิบัติพระองค์'
11 และพระเจ้าทรงใช้เยรุบบาอัล และเบดาน และเยฟธาห์ และซามูเอล และช่วยกู้ท่านทั้งหลายออกจากมือศัตรูทุกด้านและท่าน ทั้งหลายอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย
12 และเมื่อท่านทั้งหลายเห็นนาหาชกษัตริย์ คนอัมโมนมาต่อสู้ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า 'ไม่ได้ แต่ต้องมีกษัตริย์ปกครองเหนือเรา' ถึงแม้ว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านเป็น พระมหากษัตริย์ของท่าน
13 บัดนี้ จงดูพระราชาที่ท่านทั้งหลายได้เลือก ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้ร้องขอ ดูเถิด พระเจ้าทรงตั้งพระราชาไว้เหนือท่านแล้ว
14 ถ้าท่านทั้งหลายจะยำเกรงพระเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้า และถ้าท่านทั้งหลายและพระราชาผู้ปกครองเหนือท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ทั้งหลายก็ดีแล้ว
15 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ฟังพระสุรเสียงของ พระเจ้าแต่กบฏต่อพระบัญชาของพระเจ้า แล้วพระหัตถ์ของพระเจ้าจะต่อสู้ท่านทั้งหลาย และบรรพบุรุษของท่าน
16 เพราะฉะนั้นบัดนี้ท่านทั้งหลายจงยืนนิ่งอยู่ คอยดูเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ต่อไปนี้ ซึ่งพระเจ้าจะทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของท่านทั้งหลาย
17 วันนี้เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีไม่ใช่หรือ ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระเจ้าขอพระองค์จัดส่งฟ้าร้องและฝน และท่านทั้งหลายจะทราบและเห็นเองว่า ความอธรรมของท่านนั้นใหญ่โตเพียงใด ซึ่งท่านได้กระทำในสายพระเนตรพระเจ้า ในการที่ได้ขอให้มีพระราชาสำหรับตน"
18 ซามูเอลจึงร้องทูลต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงส่งฟ้าร้องและฝนมาในวันนั้น ประชาชนก็เกรงกลัวพระเจ้าและซามูเอลยิ่งนัก
19 และประชาชนทั้งหลายเรียนซามูเอลว่า "ขอท่านอธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของท่านเผื่อผู้รับใช้ทั้งหลายของท่าน เพื่อเราทั้งหลายจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้เพิ่มความชั่วนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของเรา คือขอให้มีพระราชาสำหรับเราทั้งหลาย"
20 และซามูเอลกล่าวแก่ประชาชนว่า "อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่วนี้ทั้งสิ้นจริงๆแล้ว แต่ท่านทั้งหลายอย่าหันไปเสียจากการติดตามพระเจ้า แต่จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน
21 และอย่าหันเหไปติดตามสิ่งอนิจจังซึ่งไม่เป็นประโยชน์ หรือไม่ช่วยให้พ้นเพราะเป็นสิ่งอนิจจัง
22 เพราะพระเจ้าจะไม่ละทิ้งประชากรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่พระนามใหญ่ยิ่งของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยแล้วที่จะ กระทำให้ท่านเป็นประชากรของพระองค์
23 ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าขออย่าให้มีวี่แววที่ ข้าพเจ้าจะกระทำบาปต่อพระเจ้าด้วยการหยุด อธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้าจะแนะนำทางที่ดีและที่ถูกให้ท่าน
24 จงยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น ปรนนิบัติพระองค์ด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต และด้วยสิ้นสุดใจของท่าน จงพิเคราะห์ถึงมหกิจซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่ท่านแล้วนั้น
25 แต่ถ้าท่านทั้งหลายขืนกระทำความชั่วอยู่ ท่านจะต้องพินาศทั้งตัวท่านทั้งหลายเองและ พระราชาของท่านด้วย"
1ซามูเอล 13
1 เมื่อซาอูลขึ้นครองราชสมบัตินั้น มีอายุ....ปี และเมื่อพระองค์ทรงปกครองอิสราเอล....สองปี
2 ซาอูลจึงทรงคัดเลือกชายอิสราเอลสามพันคน สองพันคนอยู่กับพระองค์ที่มิคมาช และที่แดนเทือกเขาเบธเอล อีกหนึ่งพันคนนั้นอยู่กับโยนาธานที่เมืองกิเบอาห์แห่ง เผ่าเบนยามิน ประชาชนนอกนั้นท่านก็ปล่อยให้กลับบ้านของตนทุกคน
3 โยนาธานได้ตีกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย ซึ่งอยู่ที่เกบาพ่ายแพ้ไปคนฟีลิสเตียทราบเรื่อง และซาอูลก็เป่าเขาสัตว์ทั่วแผ่นดินนั้นว่า "ขอให้คนฮีบรูทั้งหลายได้ยิน"
4 และคนอิสราเอลทั้งหลายได้ยินเขากล่าวว่า ซาอูลได้รบชนะกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตีย และคนอิสราเอลได้เป็นที่เกลียดชังของคนฟีลิสเตียยิ่งนัก ประชาชนก็ถูกเรียกออกมาให้สมทบกับซาอูลที่กิลกาล
5 และคนฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อจะต่อสู้คนอิสราเอล มีรถรบสามหมื่นและพลม้าหกพัน และกองทหารนั้นก็มากมายเหมือนทรายที่ฝั่งทะเล เขาก็ยกขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาชทาง ตะวันออกของเบธาเวน
6 เมื่อคนอิสราเอลเห็นว่าตกอยู่ในที่คับแค้น (เพราะประชาชนถูกบีบคั้นอย่างหนัก) แล้วประชาชนก็ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและในรูในซอกหิน ในอุโมงค์และในบ่อ
7 พวกฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและ กิเลอาด แต่ฝ่ายซาอูลพระองค์ยังประทับอยู่ที่กิลกาลและประชาชน ทั้งหมดติดตามพระองค์ไปด้วยตัวสั่น
8 พระองค์ทรงคอยอยู่เจ็ดวันตาม เวลาที่ซามูเอลกำหนดไว้ แต่ซามูเอลมิได้มาที่กิลกาล ประชาชนก็แตกกระจายไปจากพระองค์
9 ดังนั้นซาอูลจึงตรัสว่า "จงนำเครื่องเผาบูชามาให้เราที่นี่และเครื่องศานติบูชาด้วย" และพระองค์ก็ได้ถวายเครื่องเผาบูชา
10 พอพระองค์ถวายเครื่องเผาบูชาเสร็จ ดูเถิด ซามูเอลก็มาถึง ซาอูลก็เสด็จออกไปต้อนรับและทรงคำนับท่าน
11 ซามูเอลถามว่า "ท่านได้กระทำอะไรไปแล้วนี่" และซาอูลตรัสตอบว่า "เมื่อข้าพเจ้าเห็นประชาชนแตกกระจายไปจากข้าพเจ้า และท่านก็มิได้มาภายในวันที่กำหนดไว้และคน ฟีลิสเตียก็ได้ชุมนุมกันที่มิคมาช
12 ข้าพเจ้าจึงว่า 'บัดนี้ คนฟีลิสเตียจะยกมารบกับข้าพเจ้าที่กิลกาล และข้าพเจ้ายังมิได้ทูลขอพระกรุณาแห่งพระเจ้า' ข้าพเจ้าจึงข่มตัวเองและได้ถวายเครื่องเผาบูชา"
13 และซามูเอลกล่าวแก่ซาอูลว่า "ท่านได้กระทำการที่โง่เขลาเสียแล้ว ท่านมิได้รักษาพระบัญชาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ เพราะพระเจ้าจะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรของท่านเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แล้ว
14 แต่บัดนี้ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน พระเจ้าทรงหาชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระเจ้าทรงแต่งตั้งชายผู้นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือ ชนชาติของพระองค์ เพราะท่านมิได้รักษาสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาท่านไว้"
15 และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์ แห่งเผ่าเบนยามิน และซาอูลทรงนับพลซึ่งอยู่กับพระองค์ได้ประมาณหกร้อยคน
16 ซาอูลกับโยนาธานราชโอรสของพระองค์ และพลที่อยู่กับพระองค์ก็อยู่ในเกบาแห่งเผ่าเบนยามิน แต่คนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช
17 มีกองปล้นออกมาจากค่ายคนฟีลิสเตียสามกอง กองหนึ่งหันตรงไปยังโอฟราห์ยังแผ่นดินชูอัล
18 อีกกองหนึ่งหันตรงไปยังเบธโฮโรนและอีกกองหนึ่งหันตรง ไปยังพรมแดนซึ่งอยู่เหนือหุบเขาเศโบอิมตรงถิ่นทุรกันดาร
19 คราวนั้นจะหาช่างเหล็กทั่วแผ่นดินอิสราเอลก็ไม่มี เพราะคนฟีลิสเตียกล่าวว่า "เกรงว่าพวกฮีบรูจะทำดาบหรือหอกใช้เอง"
20 แต่คนอิสราเอลทุกคนไปยังฟีลิสเตียเพื่อลับผาล ขวานและจอบของเขา
21 ค่าลับนั้นพิม หนึ่งสำหรับลับจอบ ผาล สามง่าม ขวานและ ติดประตัก
22 เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันทำศึกจะหาดาบหรือหอก ในมือของพลที่อยู่กับซาอูลและโยนาธานก็ไม่ได้ แต่ซาอูลกับโยนาธานราชโอรสของพระองค์มี
23 และกองทหารรักษาการของคนฟีลิสเตียยกไปถึงทาง ที่ข้ามไปเมืองมิคมาช
1ซามูเอล 14
1 วันหนึ่งโยนาธานบุตรของซาอูลกล่าวกับคนหนุ่ม ที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "มาเถิด ให้เราข้ามไปยังค่ายฟีลิสเตียข้างโน้น" แต่หาได้ทูลพระบิดาของตนให้ทราบไม่
2 ซาอูลทรงพักอยู่ที่ชานเมืองกิเบอาห์ใต้ต้นทับทิม ซึ่งอยู่ที่ตำบลมิโกรน พลซึ่งอยู่ด้วยมีประมาณหกร้อยคน
3 กับอาหิยาห์บุตรอาหิทูบพี่ชายของอีคาโบด บุตรของฟีเนหัสผู้เป็นบุตรของเอลีปุโรหิตแห่ง พระเจ้าที่เมืองชิโลห์ เขาถือเอโฟดไป และพวกพลไม่ทราบว่าโยนาธานไปแล้ว
4 ตามทางข้ามเขาที่โยนาธานหาช่อง ที่จะข้ามไปยังค่ายของฟีลิสเตียนั้น มียอดหินแหลมอยู่ฟากทางข้างนี้ และฟากทางข้างโน้นยอดหนึ่งมีชื่อว่าโบเซส อีกยอดหนึ่งชื่อเสเนห์
5 หินแหลมยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างเหนือหน้ามิคมาช และอีกยอดหนึ่งโผล่ขึ้นข้างใต้หน้าเกบา
6 โยนาธานกล่าวกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการของ คนเหล่านั้นที่มิได้เข้าสุหนัต บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเจ้า ได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยกู้ ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย"
7 ผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านจึงตอบท่านว่า "จงกระทำทุกสิ่งที่จิตใจของท่านอยากกระทำ หันไปเถิด นี่แน่ะข้าพเจ้าอยู่กับท่าน ตามแต่จิตใจของท่านจะว่าอย่างไร"
8 แล้วโยนาธานกล่าวว่า "ดูเถิด เราจะข้ามไปหาคนเหล่านั้น และจะสำแดงตัวของเราให้เขาเห็น
9 ถ้าเขาจะกล่าวแก่เราว่า 'จงคอยอยู่จนกว่าเราจะมาหาเจ้า' แล้วเราจะยืนนิ่งอยู่ในที่ของเรา และเราจะไม่ไปหาเขา
10 แต่ถ้าเขาว่า 'จงขึ้นมาหาเราเถิด' แล้วเราจึงจะขึ้นไปเพราะพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเรา แล้วจะให้เรื่องนี้เป็นสัญญาณแก่เรา"
11 ทั้งสองจึงสำแดงตัวให้กองทหาร รักษาการคนฟีลิสเตียเห็น และคนฟีลิสเตียกล่าวว่า "ดูซิ พวกฮีบรูออกมาจากรูที่ซ่อนตัวอยู่แล้ว"
12 และคนที่กองทหารรักษาการจึงร้องบอก โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "จงขึ้นมาหาเราจะแจ้งให้เจ้าทราบสักเรื่องหนึ่ง" และโยนาธานบอกผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านว่า "จงตามข้ามา เพราะพระเจ้าได้ทรงมอบเขาไว้ในมืออิสราเอลแล้ว"
13 แล้วโยนาธานก็คลานขึ้นไปและผู้ถือเครื่องอาวุธ ของท่านก็ตามไปด้วย คนเหล่านั้นก็ล้มตายหน้าโยนาธาน และผู้ถืออาวุธก็ฆ่าเขาทั้งหลายตามท่านไป
14 การฆ่าฟันครั้งแรก ที่โยนาธานและผู้ถืออาวุธของท่านได้กระทำ นั้นมีประมาณยี่สิบคน อย่างในระยะทางครึ่งรอยไถในนาสักสองไร่
15 และบังเกิดการสั่นสะท้านในค่ายในทุ่งนาและในหมู่ ประชาชน กองทหารนั้นและถึงกองปล้นก็ตกใจตัวสั่นแผ่นดินได้ไหว กระทำให้เกิดการสั่นสะท้านมากยิ่งนัก
16 ยามของซาอูลที่อยู่ ณ กิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามินก็มองดูอยู่ และดูเถิด มวลชนก็สลายไป วิ่งวุ่นไปมา
17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งแก่พลที่อยู่กับท่านว่า "จงนับดูว่าผู้ใดได้ไปจากเราบ้าง" และเมื่อเขานับดูแล้ว ดูเถิด โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของท่านไม่อยู่ที่นั่น
18 และซาอูลรับสั่งกับอาหิยาห์ว่า "จงนำหีบของพระเจ้ามาที่นี่" เพราะคราวนั้นหีบของพระเจ้าอยู่กับคนอิสราเอลด้วย
19 อยู่มาเมื่อซาอูลตรัสกับปุโรหิตเสียงโกลาหลใน ค่ายฟีลิสเตียก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซาอูลจึงตรัสกับปุโรหิตว่า "หดมือไว้ก่อน"
20 ซาอูลกับพลที่อยู่ด้วยก็รวมกันเข้าไปทำศึกและดูเถิด ดาบของทุกคนก็ต่อสู้เพื่อนของตนมีความสับสนอลหม่าน อย่างยิ่ง
21 ฝ่ายคนฮีบรูซึ่งเคยอยู่กับคนฟีลิสเตียก่อนเวลานั้น และผู้ที่ไปในค่ายกับเขาทั้งหลายกลับมาเข้ากับคนอิสราเอล ผู้อยู่ฝ่ายซาอูลและโยนาธาน
22 ในทำนองเดียวกัน คนอิสราเอลผู้ซ่อนตัวอยู่ที่แดนเทือกเขา เอฟราอิมเมื่อได้ยินว่า คนฟีลิสเตียกำลังหนี พวกเหล่านี้ก็ไล่ติดตามเขาไปทำศึกด้วย
23 พระเจ้าทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้น และสงครามก็ผ่านตลอดเมืองเบธาเวนเลยไป
24 และคนอิสราเอลต้องทุกข์ยากในวันนั้น เพราะซาอูลได้ทรงให้ประชาชนสาบานไว้ว่า "ถ้าผู้ใดรับประทานอาหารก่อนเวลาเย็นวันนี้ ก่อนเราแก้แค้นศัตรูแล้ว ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง" เพราะฉะนั้นพวกพลจึงไม่รับประทานอาหารเลย
25 และชาวแผ่นดินก็เข้ามาในป่า มีน้ำผึ้งอยู่ตามพื้นทุ่ง
26 เมื่อประชาชนเข้าไปในป่านั้น ดูเถิด น้ำผึ้งก็กำลังย้อยอยู่ แต่ไม่มีคนใดเอามือใส่ปาก เพราะเขากลัวคำสาบาน
27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินคำสาบานของพระราชบิดา ที่ทรงให้ประชาชนสาบานจึงเอาปลายไม้ที่ถืออยู่ แหย่ที่รังผึ้ง แล้วก็เอามือของท่านใส่ปากตาก็แจ่มใสขึ้น
28 มีชายคนหนึ่งเรียนว่า "พระราชบิดาของท่านบังคับให้พวกพลสาบานว่า 'ผู้ใดที่รับประทานอาหารในวันนี้ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง'" และพวกพลก็อ่อนเพลีย
29 แล้วโยนาธานจึงกล่าวว่า "บิดาของข้ากระทำให้แผ่นดินลำบาก ดูซิ ว่าตาของข้าแจ่มแจ้งเพียงไรเพราะข้าได้รับประทาน น้ำผึ้งนี้แต่เล็กน้อย
30 ถ้าวันนี้พวกพลได้กินของที่ริบมาจากศัตรูซึ่งเขา หามาได้อย่างอิ่มหนำจะดีกว่านี้สักเท่าใด เพราะขณะนี้การฆ่าฟันคนฟีลิสเตียก็ไม่มากมายแล้ว"
31 ในวันนั้นเขาทั้งหลายฆ่าฟันคนฟีลิสเตียจากมิคมาช ถึงอัยยาโลนและพวกพลก็อ่อนเพลียนัก
32 และพวกพลก็วิ่งเข้าหาของที่ริบได้ เอาแกะและวัวและลูกวัวมาฆ่าเสีย ณ ที่นั้นเองและพวกพลก็กินเนื้อพร้อมกับเลือด
33 แล้วเขาก็ไปทูลซาอูลว่า "ดูเถิด พวกพลกำลังทำบาปต่อพระเจ้า โดยรับประทานพร้อมกับเลือด" และซาอูลจึงรับสั่งว่า "เจ้าได้ประพฤติอย่างทรยศแล้ว จงกลิ้งก้อนหินใหญ่มาให้เราวันนี้"
34 และซาอูลตรัสว่า "ท่านจงกระจัดกระจายกันไปท่ามกลางพวกพลและบอกเขาว่า 'ให้ทุกคนนำวัวหรือแกะของตัวมาฆ่าเสียที่นี่แล้ว รับประทาน อย่ากระทำบาปต่อพระเจ้าด้วยรับประทานพร้อมกับเลือด'" คืนนั้นทุกคนก็นำวัวมาและฆ่าเสียที่นั่น
35 และซาอูลก็สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระเจ้า เป็นแท่นบูชาแท่นแรกซึ่งท่านสร้างถวายแด่พระเจ้า
36 แล้วซาอูลรับสั่งว่า "ให้เราลงไปตามคนฟีลิสเตียทั้งกลางคืน แล้วริบข้าวของของเขาเสียจนรุ่งเช้าอย่า ให้เหลือสักคนเดียวเลย" และเขาทั้งหลายตอบว่า "จงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบทุกประการเถิด" แต่ปุโรหิตกล่าวว่า "ให้เราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าที่นี่เถิด"
37 และซาอูลก็ทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามคนฟีลิสเตียหรือไม่ พระองค์จะทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของอิสราเอลหรือ" แต่ในวันนั้นพระองค์มิได้ทรงตอบท่าน
38 และซาอูลจึงตรัสว่า "มาที่นี่เถิด ท่านทั้งหลายที่เป็นประมุขของ คนอิสราเอลพึงทราบและเห็นว่าบาปนี้ ได้เกิดขึ้นอย่างไรในวันนี้
39 เพราะว่าพระเจ้าผู้ทรงช่วยอิสราเอล ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด แม้ความผิดนั้นอยู่ที่โยนาธานบุตรของข้า เขาก็จะต้องตายเป็นแน่ฉันนั้น" แต่ไม่มีชายสักคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่ประชาชนนั้นตอบพระองค์
40 แล้วพระองค์จึงตรัสกับอิสราเอลทั้งปวงว่า "พวกท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายหนึ่ง เราและโยนาธานบุตรของเราจะอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง" และประชาชนทูลซาอูลว่า "ขอจงกระทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด"
41 ดังนั้นซาอูลจึงทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า "ขอทรงสำแดงฝ่ายถูก" ข้างฝ่ายโยนาธานและซาอูลถูกฉลาก แต่ฝ่ายประชากรรอดไป
42 แล้วซาอูลรับสั่งว่า "จับฉลากระหว่างเรากับบุตรของเรา" และโยนาธานถูกฉลาก
43 แล้วซาอูลจึงตรัสกับโยนาธานว่า "เจ้าได้กระทำอะไรจงบอกเรามา" โยนาธานก็ทูลว่า "ข้าพระบาทได้ชิมน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้เท้า ซึ่งอยู่ในมือของข้าพระบาทเล็กน้อยเท่านั้น ข้าพระบาทอยู่ที่นี่ ข้าพระบาทยอมตาย"
44 และซาอูลตรัสว่า "ขอพระเจ้าทรงลงโทษและยิ่งหนักกว่า โยนาธานเจ้าจะต้องตายแน่"
45 แล้วประชาชนจึงทูลซาอูลว่า "โยนาธานควรจะถึงตายหรือ เขาเป็นผู้ที่ได้นำให้มีชัยใหญ่ยิ่งนี้ในอิสราเอล อย่าให้มีวี่แววอย่างนั้นเลย พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของท่านสักเส้นหนึ่งจะไม่ตกถึงดิน เพราะในวันนี้ท่านได้กระทำศึกด้วยกันกับพระเจ้า" ประชาชนไถ่โยนาธานไว้ท่านจึงไม่ถึงตาย
46 แล้วซาอูลก็เลิกทัพไม่ติดตามคนฟีลิสเตีย และคนฟีลิสเตียกลับไปยังที่อยู่ของตน
47 เมื่อซาอูลได้รับตำแหน่งพระราชาเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูทุกด้าน ต่อสู้กับโมอับ กับชนอัมโมน กับเอโดม กับบรรดาพระราชาแห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะหันไปทางไหน พระองค์ก็ทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ไป
48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างเข้มแข็ง และทรงโจมตีพวกอามาเลขและทรงช่วยกู้คนอิสราเอล ให้พ้นจากมือของบรรดาผู้ที่เข้าปล้นเขา
49 ฝ่ายบุตรของซาอูลมี โยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา และชื่อธิดาทั้งสองของพระองค์คือคนหัวปีชื่อเมราบ และชื่อผู้น้องคือมีคาล
50 ชื่อมเหสีของซาอูลคืออาหิโนอัมบุตรีของอาหิมาอัส และชื่อแม่ทัพของพระองค์ คืออับเนอร์บุตรเนอร์ ลุงของซาอูล
51 คีชเป็นบิดาของซาอูล และเนอร์ผู้เป็นบิดาของอับเนอร์เป็นบุตรของอาบีเอล
52 ตลอดรัชกาลของซาอูลมีสงครามอย่างรุนแรงกับคน ฟีลิสเตียอยู่เสมอ เมื่อซาอูลทรงเห็นผู้ใดเป็นคนแข็งแรงหรือเป็นคนแกล้วกล้า ก็ทรงนำมาไว้ใช้ใกล้พระองค์
1ซามูเอล 15
1 ซามูเอลก็เรียนซาอูลว่า "พระเจ้าทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเจิมท่านเป็นพระราชาเหนืออิสราเอลประชากรของพระองค์ เพราะฉะนั้น บัดนี้ขอท่านฟังเสียงพระวจนะของพระเจ้า
2 พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า 'เราจะลงโทษอามาเลขในการที่สกัดทางอิสราเอล เมื่อเขาออกจากอียิปต์
3 ท่านจงไปโจมตีอามาเลข และทำลายบรรดาที่เขามีนั้นเสียให้สิ้นเชิง อย่าปรานีเขาเลย จงฆ่าเสียทั้งผู้ชายผู้หญิง ทั้งทารกและเด็กที่กินนมอยู่ ทั้งโค แกะ อูฐ และลา'"
4 ดังนั้นซาอูลจึงเกณฑ์พวกพลและตรวจพลที่ตำบลเทลาอิม ได้ทหารราบสองแสนคน และคนเผ่ายูดาห์หนึ่งหมื่นคน
5 ซาอูลก็ทรงยกกองทัพมายังเมืองอามาเลข และตั้งซุ่มอยู่ในหุบเขา
6 และซาอูลตรัสแก่คนเคไนต์ว่า "ไปเถิด จงแยกไปเสีย ลงไปเสียจากคนอามาเลข เกรงว่าเราจะทำลายพวกท่านไปพร้อมกับเขา เพราะท่านทั้งหลายได้แสดงความเอ็นดูต่ออิสราเอลเมื่อเขาออกจากอียิปต์" ดังนั้นคนเคไนต์ก็แยกออกไปจากคนอามาเลข
7 และซาอูลก็ทรงกระทำให้คนอามาเลขพ่ายแพ้ ตั้งแต่เมืองฮาวีลาห์ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอียิปต์
8 ทรงจับอากักพระราชาของคนอามาเลขได้ทั้งเป็น และได้ฆ่าฟันประชาชนเสียอย่างสิ้นเชิงด้วยคมดาบ
9 แต่ซาอูลและประชาชนได้ไว้ชีวิตอากักและสัตว์ที่ดีที่สุด มีแกะกับโคและสัตว์อ้วนพีกับลูกแกะ และสิ่งดีๆทั้งหมดไม่ยอมทำลายเสียอย่างสิ้นเชิง ทุกสิ่งที่เขาดูถูกและไร้ค่าเขาก็ทำลายเสียสิ้น
10 แล้วพระวจนะแห่งพระเจ้ามายังซามูเอลว่า
11 "เราเสียใจแล้วที่เราได้ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ เพราะเขาได้หันกลับเสียจากการตามเรา และไม่ได้กระทำตามบัญญัติของเรา" และซามูเอลก็โกรธจึงร้องทูลต่อพระเจ้าคืนยังรุ่ง
12 และซามูเอลลุกขึ้นแต่ เช้าตรู่เพื่อจะไปหาซาอูลในเช้าวันนั้น และมีคนไปเรียนซามูเอลว่า "ซาอูลเสด็จมาที่ภูเขาคารเมล และดูเถิด ทรงมาสร้างที่ระลึกของพระองค์แล้วก็หันและผ่าน เรื่อยไปจนลงไปถึงกิลกาล"
13 และซามูเอลก็มาหาซาอูล และซาอูลเรียนท่านว่า "ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านเถิด ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามพระธรรมบัญญัติของพระเจ้าแล้ว"
14 และซามูเอลกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นเสียงแกะที่ร้องเข้าหูข้าพเจ้ากับเสียงวัวที่ ข้าพเจ้าได้ยินหมายความว่ากระไร"
15 ซาอูลตอบว่า "เขาทั้งหลายได้นำมาจากคนอามาเลข เพราะพวกพลได้ไว้ชีวิตแกะและโคที่ดีที่สุด เพื่อเป็นเครื่องสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน นอกจากนั้นเราทั้งหลายก็ได้ทำลายเสียสิ้น"
16 แล้วซามูเอลจึงเรียนซาอูล "พอที ข้าพเจ้าจะขอเรียนท่าน ว่าพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไรคืนนี้" และซาอูลก็เรียนท่านว่า "จงกล่าวไปเถิด"
17 และซามูเอลเรียนว่า "แม้ท่านเป็นแต่ผู้เล็กน้อยในสายตาของท่าน ท่านมิได้รับแต่งตั้งให้เป็นประมุขของบรรดาเผ่า อิสราเอลดอกหรือ พระเจ้าทรงเจิมท่านไว้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล
18 และพระเจ้าทรงใช้ให้ท่านออกไปประกอบกิจ ตรัสว่า 'จงไปทำลายคนอามาเลขคนบาปหนาเสียให้สิ้นเชิง และต่อสู้กับเขาจนกว่าเขาจะถูกผลาญเสียหมด'
19 เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่ไปเฉี่ยวทรัพย์สิ่งของต่างๆ และกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า"
20 และซาอูลเรียนซามูเอลว่า "ข้าพเจ้าได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปประกอบกิจตามที่พระเจ้าทรงใช้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าได้คุมตัวอากักพระราชาแห่งคนอามาเลขมา และข้าพเจ้าก็ได้ทำลายคนอามาเลขเสียอย่างสิ้นเชิง
21 แต่พวกพลได้เก็บส่วนของทรัพย์เชลยรวมทั้งแกะและโคส่วน ที่ดีที่สุดจากของซึ่งกำหนดให้ทำลายนั้น เพื่อนำมาเป็นเครื่องสัตวบูชา แด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านที่ในเมืองกิลกาล"
22 และซามูเอลกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้
23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาป แห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์"
24 และซาอูลเรียนซามูเอลว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว เพราะข้าพเจ้าได้ฝ่าฝืนพระธรรม บัญญัติของพระเจ้าและคำของท่าน เพราะข้าพเจ้าเกรงกลัวประชาชน และยอมฟังเสียงของเขาทั้งหลาย
25 เพราะฉะนั้นขอท่านโปรดอภัยบาปของข้าพเจ้าและขอ กลับไปกับข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระเจ้า"
26 และซามูเอลเรียนซาอูลว่า "ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปกับท่าน เพราะท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระเจ้า และพระเจ้าทรงถอดท่านจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล"
27 พอซามูเอลหันจะไป ซาอูลก็ได้ยึดชายเสื้อของ ท่านไว้และเสื้อนั้นก็ขาด
28 และซามูเอลเรียนท่านว่า "ในวันนี้พระเจ้าได้ทรงฉีกราช อาณาจักรอิสราเอลเสียจากท่านแล้ว และทรงมอบให้แก่ผู้อื่นที่ดีกว่าท่าน
29 และผู้ทรงเป็นกำลังของอิสราเอลจะ ไม่มุสาหรือกลับใจ เพราะว่าพระองค์หาใช่มนุษย์ที่จะกลับใจไม่"
30 ฝ่ายซาอูลจึงเรียนว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว แต่บัดนี้ขอท่านให้ เกียรติแก่ข้าพเจ้า ต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของประชาชนของข้าพเจ้าและ ต่อหน้าคนอิสราเอล ขอกลับไปกับข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน"
31 ซามูเอลจึงกลับตามซาอูลไป และซาอูลก็ นมัสการพระเจ้า
32 แล้วซามูเอลกล่าวว่า "ท่านทั้งหลายจงนำอากักกษัตริย์ของคนอามาเลขมาให้ข้าพเจ้า" และอากักก็เข้ามาหาท่านด้วยหน้าตาเบิกบาน อากักกล่าวว่า "ความขมขื่นแห่งความตายก็ผ่านพ้นไปแน่แล้ว"
33 ฝ่ายซามูเอลกล่าวว่า "ดาบของท่านได้กระทำให้ผู้หญิงไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านจะไร้บุตรในหมู่พวกผู้หญิงทั้งหลายฉันนั้น" และซามูเอลก็ฟันอากักเสียเป็นท่อนๆ ต่อพระพักตร์พระเจ้าที่ในกิลกาล
34 ฝ่ายซามูเอลก็ไปรามาห์และซาอูลก็เสด็จ ขึ้นไปยังวังของพระองค์ที่กิเบอาห์แห่งซาอูล
35 และซามูเอลไม่มาพบซาอูลอีกจนวันสิ้นชีพ แต่ซามูเอลได้โศกเศร้าเพราะซาอูล และพระเจ้าทรงกลับพระทัยที่ได้ ทรงกระทำให้ซาอูลเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล
1ซามูเอล 16
1 พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูลนานเท่าใดเล่า เมื่อเราถอดเขาจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้า แล้วก็ไปเถอะ เราจะใช้เจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าในหมู่พวกบุตรของเขาเราจัด เตรียมกษัตริย์องค์หนึ่งไว้แล้วสำหรับเรา"
2 ซามูเอลก็กราบทูลว่า "ข้าพระองค์จะไปอย่างไรได้ ถ้าซาอูลได้ยินเขาคงฆ่าข้าพระองค์เสีย" และพระเจ้าตรัสว่า "จงนำโคตัวเมียไปกับเจ้าตัวหนึ่งและกล่าวว่า 'ข้าพเจ้ามาถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า'
3 จงเชิญเจสซีมาที่การถวายสัตวบูชานั้น แล้วเราจะสำแดงให้เจ้ารู้ว่าเจ้าควรจะกระทำประการใด เจ้าจงเจิมให้เราผู้ซึ่งเราจะบอกชื่อแก่เจ้า"
4 ซามูเอลก็กระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา และมาที่เบธเลเฮมพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นก็ตัว สั่นออกมาหาท่านกล่าวว่า "ท่านมาอย่างสันติหรือ"
5 และซามูเอลตอบว่า "มาอย่างสันติ เรามาถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า จงชำระตัวของท่านให้บริสุทธิ์และขอเชิญมาที่ การถวายสัตวบูชากับเรา" และซามูเอลก็ชำระตัวเจสซีและบุตรทั้งหลาย ของท่านให้บริสุทธิ์ และเชิญเขาเหล่านั้นให้ไปยังการถวายสัตวบูชา
6 อยู่มาเมื่อเขาทั้งหลายมาแล้ว ท่านก็มองเห็นเอลีอับจึงคิดว่า "ผู้ที่พระองค์ทรงให้เจิมไว้ก็อยู่ต่อพระพักตร์ พระเจ้าแน่แล้ว"
7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกาย ของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"
8 แล้วเจสซีก็เรียกอาบีนาดับให้เดินผ่านหน้าซามูเอล ท่านกล่าวว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกผู้นี้"
9 แล้วเจสซีให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และท่านก็กล่าวว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกผู้นี้"
10 แล้วเจสซีให้บุตรทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล และซามูเอลบอกกับเจสซีว่า "พระเจ้ามิได้ทรงเลือกคนเหล่านี้"
11 แล้วซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า "บุตรชายของท่านอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ" เจสซีตอบว่า "ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง ดูเถิด เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่" และซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า "จงใช้คนไปตามเขามา เพราะเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่"
12 เจสซีก็ใช้คนไปนำเขามา ฝ่ายเขาเป็นคนผิวแดงๆ มีหน้าตาสวยและรูปร่างงามน่าดู และพระเจ้าตรัสว่า "จงลุกขึ้นเจิมตั้งเขาไว้ เพราะเป็นคนนี้แหละ"
13 ซามูเอลจึงนำขวดเขาน้ำมันและ เจิมตั้งเขาไว้ท่ามกลางพี่ชายของเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าก็สวมทับ ดาวิดอย่างมากตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป และซามูเอลก็ลุกขึ้นกลับไปยังรามาห์
14 ฝ่ายพระวิญญาณของพระเจ้าก็พรากจากซาอูล และวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็ทรมานซาอูล
15 และพวกมหาดเล็กของซาอูลก็กราบทูลว่า "ดูเถิด วิญญาณชั่วจากพระเจ้ากำลังทรมานพระองค์อยู่
16 ขอเจ้านายของข้าพระบาททั้งหลาย จงบัญชาผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทผู้ที่อยู่ต่อพักตร์ฝ่าพระบาท ให้หาคนที่มีฝีมือในการดีดพิณ และเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้าสิงฝ่าพระบาท ก็ให้เขาดีดพิณแล้วฝ่าพระบาทจะหายดี"
17 ซาอูลก็รับสั่งผู้รับใช้ของพระองค์ว่า "จงไปหาชายคนหนึ่งที่ดีดพิณได้ดีมา ให้เรา นำเขามาหาเรา"
18 คนหนึ่งในพวกชายหนุ่มทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระบาทเห็นบุตรคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม เป็นผู้มีฝีมือในการดีดพิณ เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ พูดเก่ง และเป็นคนมีหน้าตาดี และพระเจ้าทรงสถิตกับเขา"
19 เพราะฉะนั้นซาอูลจึงส่งผู้สื่อสารไปยังเจสซีกล่าวว่า "จงให้ดาวิดบุตรของท่านผู้อยู่กับแกะนั้นมาหาเรา"
20 และเจสซีก็จัดลาตัวหนึ่งบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่เหล้าองุ่นถุงหนึ่ง กับลูกแพะตัวหนึ่ง ฝากไปกับดาวิดบุตรของท่านให้ถวายซาอูล
21 ดาวิดก็มาเฝ้าซาอูลและเข้ารับราชการ ซาอูลก็ทรงรักดาวิดมาก ดาวิดก็ได้เป็น คนถือเครื่องอาวุธของซาอูล
22 และซาอูลทรงส่งข่าวไปยังเจสซีว่า "จงอนุญาตให้ดาวิดอยู่รับราชการกับเรา เพราะเขาเป็นที่พอตาพอใจของเรา"
23 อยู่มาเมื่อวิญญาณชั่วจากพระเจ้ามาสิงซาอูลเมื่อไร ดาวิดก็หยิบพิณใช้มือดีดถวายซาอูลก็ทรงชุ่มชื่นขึ้นและหายดี และวิญญาณชั่วก็พรากจากพระองค์ไป
1ซามูเอล 17
1 ฝ่ายคนฟีลิสเตีย ก็รวบรวมกองทัพเพื่อจะทำสงคราม เขามาชุมนุมกันอยู่ที่ตำบลโสโคห์ ซึ่งเป็นเขตยูดาห์ และตั้งค่ายอยู่ระหว่างตำบลโสโคห์กับ ตำบลอาเซคาห์ที่เอเฟสดัมมิม
2 และซาอูลกับคนอิสราเอลก็ชุมนุมกัน และตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเอลาห์และวางแนวไว้ต่อสู้กับ คนฟีลิสเตีย
3 คนฟีลิสเตียยืนอยู่ที่ภูเขาข้างหนึ่งและคนอิสราเอล ยืนอยู่ที่ภูเขาอีกข้างหนึ่ง มีหุบเขาคั่นกลาง
4 มีผู้หนึ่งชื่อโกลิอัทเป็นยอดทหาร ได้ออกมาจากค่ายคนฟีลิสเตียเป็นชาวเมืองกัท สูงหกศอกคืบ
5 เขาสวมหมวกทองสัมฤทธิ์ไว้ที่ศีรษะ และสวมเสื้อเกราะ เสื้อเกราะนั้นหนักห้าพันเชเขลเป็นทองสัมฤทธิ์
6 และสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ และมีหอกทองสัมฤทธิ์แขวนอยู่ที่บ่า
7 ด้ามหอกนั้นเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ตัวหอกหนักหกร้อยเชเขลเป็นเหล็ก ทหารถือโล่ของเขาเดินออกหน้า
8 เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่า "เจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูลไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้าให้เขาลงมาหาข้านี่
9 ถ้าเขาสามารถสู้รบและฆ่าตัวข้าได้ พวกเราจะยอมเป็นข้าของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าชนะเขาและฆ่าเขาตาย แล้วพวกเจ้าต้องเป็นข้าของพวกเรา และรับใช้เรา"
10 และคนฟีลิสเตียคนนั้น กล่าวว่า "วันนี้ข้าขอท้ากองทัพอิสราเอล จงส่งคนมาสู้กันเถิด"
11 เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้น ได้ยินถ้อยคำของคนฟีลิสเตียคนนั้น เขาทั้งหลายก็ท้อใจและกลัวมาก
12 ฝ่ายดาวิดเป็นบุตรของชาวเอฟราธาห์ คนหนึ่งแห่งเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ ชื่อเจสซี ผู้มีบุตรแปดคน ในรัชกาลของซาอูล ชายคนนี้เป็นคนแก่แล้วเป็นคนอายุมาก
13 บุตรชายใหญ่สามคนของเจสซีก็ตามซาอูลไปทำศึกแล้ว ชื่อของบุตรชายสามคนที่ไปทำศึกนั้นคือ บุตรหัวปีเอลีอับ คนถัดมาอาบีนาดับ และคนที่สามชัมมาห์
14 ดาวิดเป็นบุตรสุดท้อง พี่ชายทั้งสามคนก็ตามซาอูลไปแล้ว
15 แต่ดาวิดไปๆมาๆอยู่ระหว่างซาอูลกับ การที่เลี้ยงแกะของบิดาที่เบธเลเฮม
16 คนฟีลิสเตียคนนั้น ได้ออกมายืนท้าอยู่ทั้งเช้าและเย็นตั้งสี่สิบวัน
17 เจสซีสั่งดาวิดบุตรของตนว่า "ข้าวคั่วนี้เอฟาห์หนึ่ง และขนมปังสิบก้อนนี้ อันจัดไว้ให้พวกพี่ชายของเจ้า จงเอาไปให้พี่ชายของเจ้าที่ค่ายเร็วๆ
18 และจงนำเนยแข็งสิบชิ้นนี้ไปให้ แก่ผู้บังคับกองพันของเขาด้วย ดูว่าพี่ชายของเจ้าทุกข์สุขอย่างไร แล้วรับของฝากมาจากเขาบ้าง"
19 ฝ่ายซาอูลกับเขาทั้งหลายและคนอิสราเอลทั้งปวง อยู่ที่หุบเขาเอลาห์สู้รบกับคนฟีลิสเตียอยู่
20 ดาวิดจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด และทิ้งแกะไว้กับผู้ดูแล นำเสบียงอาหารเดินทางไปตามที่เจสซีได้บัญชาแก่เขา และเขาก็มาถึงเขตค่าย ขณะเมื่อกองทัพกำลังยกออกไปสู่แนวรบ พลางร้องกราวศึก
21 คนอิสราเอลกับคนฟีลิสเตียก็ยกมาจะปะทะกัน กองทัพปะทะกองทัพ
22 ดาวิดก็มอบสัมภาระไว้กับผู้ดูแลกองสัมภาระ และวิ่งไปที่แนวรบไปทักทายพี่ชายของตน
23 เมื่อเขากำลังพูดกันอยู่ ดูเถิด คนฟีลิสเตียชาวเมืองกัท ยอดทหารที่ชื่อโกลิอัทออกมาจากแนวรบ ฟีลิสเตียกล่าวท้าอย่างแต่ก่อนและดาวิดก็ได้ยิน
24 เมื่อคนอิสราเอลเห็นชายคนนั้นก็วิ่งหนีเขาไป กลัวเขามาก
25 คนอิสราเอลพูดว่า "เจ้าเคยเห็นคนที่ออกมานั้นหรือ เขาออกมาท้าทายอิสราเอลแท้ๆ ถ้าใครฆ่าเขาได้ พระราชาจะพระราชทานทรัพย์ให้เขามากมาย และจะมอบราชธิดาให้ด้วยและกระทำให้ครอบครัว ของบิดาของเขาเป็นคนยกเว้นการเกณฑ์ในอิสราเอล"
26 และดาวิดกล่าวแก่ชายคนที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า "เขาจะทำอย่างไรแก่คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามอิสราเอลไปเสีย คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้คือใครเล่า เขาจึงมาท้าทายกองทัพของพระเจ้าอยู่"
27 ประชาชนก็ตอบเขาอย่างเดียวกันว่า "ผู้ที่ฆ่าเขาได้ก็จะได้รับดังที่กล่าวมาแล้วนั้น"
28 ฝ่ายเอลีอับพี่ชายหัวปี ได้ยินคำที่ดาวิดพูดกับชายคนนั้น เอลีอับก็โกรธดาวิดกล่าวว่า "เจ้าลงมาทำไมเจ้าทิ้งแกะไม่ กี่ตัวที่ถิ่นทุรกันดารไว้กับใคร ข้ารู้ถึงความทะเยอทะยานของเจ้า และความคิดชั่วของเจ้า เพราะเจ้าลงมาเพื่อจะมาดูเขารบกัน"
29 ดาวิดจึงตอบว่า "ผมได้ทำอะไรไปแล้วเล่า พูดแต่คำเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ"
30 เขาจึงหันไปหาคนอื่นเสีย และพูดอย่างเดียวกัน และประชาชนก็ตอบแก่เขาอย่างคราวก่อน
31 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินคำที่ดาวิดพูด เขาทั้งหลายก็เล่าความให้ซาอูลทราบ ซาอูลจึงใช้คนให้มาตามดาวิด
32 ดาวิดก็ทูลซาอูลว่า "อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้"
33 และซาอูลกล่าวแก่ดาวิดว่า "เจ้าไม่สามารถที่จะไปสู้รบกับชายฟีลิสเตียคนนั้นดอก เพราะเจ้าเป็นแต่เด็กหนุ่ม และเขาเป็นทหารชำนาญศึกมาตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว"
34 แต่ดาวิดทูลซาอูลว่า "ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเคยดูแลแพะแกะของบิดา และเมื่อมีสิงห์หรือหมีมาเอาลูกแกะตัวหนึ่งไปจากฝูง
35 ข้าพระบาทก็ไล่ตามฆ่ามัน และช่วยกู้ลูกแกะนั้นมาจากปากของมัน ถ้ามันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระบาท ข้าพระบาทก็จับหนวดเคราของมัน และทุบตีมันจนตาย
36 ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าสิงห์และหมีนั้นมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้มิได้เข้าสุหนัตคนนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น ตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่"
37 และดาวิดทูลต่อไปว่า "พระเจ้าผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากขยุ้มเท้าของสิงห์ และจากขยุ้มเท้าของหมี จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียคนนี้" และซาอูลจึงตรัสแก่ดาวิดว่า "จงไปเถอะ และพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับเจ้า"
38 แล้วซาอูลก็ทรงเอาเครื่องอาวุธของพระองค์สวมให้ดาวิด ทรงสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะของเขา และสวมเสื้อเกราะให้เขา
39 และดาวิดก็คาดดาบทับเครื่องอาวุธ เขาลองเดินดูก็เห็นว่าใช้ไม่ได้ เพราะเขาไม่ชิน แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า "ข้าพระบาทจะสวมเครื่องเหล่านี้ไปไม่ได้ เพราะว่าข้าพระบาทไม่ชิน" ดาวิดจึงปลดออกเสีย
40 แล้วจึงถือไม้เท้าไว้ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงจากลำธารได้ห้าก้อน จึงใส่ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขาในถุงของ เขาและมือถือสลิงอยู่ ท่านก็เข้าไปใกล้คนฟีลิสเตียคนนั้น
41 คนฟีลิสเตียนั้นก็ออกมาใกล้ดาวิด พร้อมกับคนถือโล่เดินออกหน้า
42 เมื่อคนฟีลิสเตียมองเห็นดาวิดก็ดูถูกเขา เพราะเขาเป็นแต่คนหนุ่ม ผิวแดงๆ รูปร่างงามน่าดู
43 คนฟีลิสเตียจึงพูดกับดาวิดว่า "ข้าเป็นหมาหรือ เจ้าจึงถือไม้เท้ามาหาข้า" และคนฟีลิสเตียคนนั้นก็แช่งด่าดาวิด ออกนามพระของตน
44 คนฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า "มาหาข้านี่ ข้าจะเอาเนื้อของเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ในทุ่งกิน"
45 แล้วดาวิดก็พูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า "ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้าพเจ้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทายนั้น
46 ในวันนี้พระเจ้าจะทรงมอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะประหารท่านและตัดศีรษะของท่านเสีย และในวันนี้ข้าพเจ้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตีย แก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่า เพื่อทั้งพิภพนี้จะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล
47 และชุมนุมชนนี้ทั้งสิ้นจะทราบว่า พระเจ้ามิได้ทรงช่วยด้วยดาบหรือด้วยหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระเจ้า พระองค์จะทรงมอบท่านไว้ในมือของเราทั้งหลาย"
48 อยู่มาเมื่อคนฟีลิสเตียคนนั้นลุกขึ้นเข้ามาใกล้เพื่อ ปะทะดาวิด ดาวิดก็วิ่งเข้าหาแนวรบเพื่อปะทะกับคนฟีลิสเตียคน นั้นอย่างรวดเร็ว
49 และดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่ามหยิบหินก้อน หนึ่งออกมา แล้วเหวี่ยงหินก้อนนั้นด้วยสายสลิงถูกคนฟีลิสเตียคนนั้น ที่หน้าผาก ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผากเขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน
50 ดังนั้นดาวิดก็ชนะคน ฟีลิสเตียคนนั้นด้วยสลิงและก้อนหินก้อนหนึ่ง และคว่ำคนฟีลิสเตียคนนั้นลง และฆ่าเขาเสีย ดาวิดไม่มีดาบอยู่ในมือ
51 แล้วดาวิดวิ่งไปยืนอยู่เหนือคนฟีลิสเตียคนนั้น หยิบดาบของเขาชักออกจากฝักฆ่าเขาเสีย และตัดศีรษะของเขาออกเสียด้วยดาบ เมื่อคนฟีลิสเตียเห็นว่ายอดทหารของเขาตายเสีย แล้วก็พากันหนีไป
52 คนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็ลุกขึ้นโห่ร้อง ไล่ติดตามคนฟีลิสเตีย ไกลไปจนถึงเมืองกัทและถึงประตูเมืองเอโครน ทหารฟีลิสเตียที่บาดเจ็บจึงล้มลงตามทางจากชาอาราอิม ไกลไปจนถึงเมืองกัทและเมืองเอโครน
53 และคนอิสราเอลก็กลับมาจากการไล่ติดตามคนฟีลิสเตีย และมาปล้นค่ายของเขา
54 ดาวิดก็นำศีรษะของคนฟีลิสเตียคนนั้นมาที่กรุง เยรูซาเล็ม แต่เขาเอาเครื่องอาวุธของเขาไว้ที่เต็นท์ของตนแล้ว
55 เมื่อซาอูลทรงเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย จึงตรัสถามอับเนอร์แม่ทัพของพระองค์ว่า "อับเนอร์ ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร" และอับเนอร์ทูลว่า "ข้าแต่พระราชา ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทไม่ทราบ"
56 พระราชาจึงรับสั่งว่า "ไปสืบถามดูว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นลูกของใคร"
57 เมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตีย อับเนอร์ก็มาพาตัวเขาเข้าไปเฝ้าซาอูล ถือศีรษะของคนฟีลิสเตียคนนั้นไปด้วย
58 ซาอูลจึงตรัสถามเขาว่า "เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าเป็นลูกของใคร" และดาวิดทูลว่า "ข้าพระบาทเป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮม ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท"
1ซามูเอล 18
1 อยู่มาเมื่อดาวิดทูลซาอูลเสร็จแล้ว จิตใจของโยนาธานก็ผูกสมัครรักใคร่กับจิตใจของดาวิด และโยนาธานก็รักเธออย่างรักชีวิตของท่านเอง
2 และวันนั้นซาอูลก็ทรงกักตัวเธอไว้ ไม่ยอมให้เธอกลับไปบ้านบิดาของเธอ
3 แล้วโยนาธานก็กระทำพันธสัญญากับดาวิด เพราะท่านรักเธออย่างกับรักชีวิตของท่านเอง
4 โยนาธานก็ถอดเสื้อคลุมออกมอบให้แก่ดาวิด พร้อมทั้งเครื่องใช้ แม้ดาบ คันธนู และเข็มขัดก็ประทานให้ด้วย
5 และดาวิดก็ออกไปกระทำความสำเร็จไม่ว่าซาอูล จะใช้เธอไป ณ ที่ใด ดังนั้นซาอูลจึงทรงตั้งเธอให้อยู่เหนือนักรบทั้งหลาย การกระทำดังนี้เป็นที่ชอบในสายตาของประชาชน และในสายตาของข้าราชการของซาอูลด้วย
6 อยู่มาเมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น กำลังเดินทางกลับบ้าน พวกผู้หญิงก็ออกมาจากหัวเมืองอิสราเอล ร้องเพลงและเต้นรำต้อนรับพระราชาซาอูลด้วยรำมะนา ด้วยเพลงร่าเริง และด้วยเครื่องดนตรี
7 และเมื่อพวกผู้หญิงเต้นรำรื่นเริงกันอยู่นั้นก็ขับร้องรับกันว่า "ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ"
8 ซาอูลทรงกริ้วนัก คำที่ร้องกันนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์เลย พระองค์ตรัสว่า "เขาสรรเสริญดาวิดว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ ส่วนเราเขาว่าฆ่าแต่เพียงเป็นพันๆ นอกจากราชอาณาจักรแล้ว ดาวิดจะได้อะไรอีกเล่า"
9 ซาอูลก็ทรงใช้สายตาจับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป
10 อยู่มาในวันรุ่งขึ้นวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็เข้าสิงซาอูล ซาอูลก็ทรงเพ้ออยู่ในวังของพระองค์ ดาวิดก็กำลังดีดพิณอย่างที่เธอเคยดีดถวายทุกวันมา ซาอูลทรงถือหอกอยู่
11 และซาอูลก็ทรงพุ่งหอก ด้วยนึกว่า "ข้าจะปักดาวิดให้ติดกับผนังเสีย" แต่ดาวิดก็หนีไปได้ถึงสองครั้ง
12 ซาอูลก็ทรงกลัวดาวิด เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ แต่ทรงพรากจากซาอูลแล้ว
13 ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งให้ย้ายดาวิดไปให้พ้นพระพักตร์ ตั้งเป็นผู้บังคับการกองพันและเธอได้เข้าออกอยู่ ต่อหน้าประชาชน
14 ดาวิดกระทำอะไรก็สำเร็จทุกประการ เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ
15 เมื่อซาอูลทรงเห็นว่าดาวิดได้กระทำความสำเร็จยิ่ง ก็ทรงเกรงกลัวดาวิด
16 แต่คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทั้งสิ้นรักดาวิด เพราะเธอเข้าออกต่อหน้าเขาทั้งหลายอยู่เสมอ
17 ฝ่ายซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า "ดูเถิด นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อเมราบ เราจะมอบแม่นางให้เป็นภรรยาของเธอ ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้าหาญและสู้ศึกของพระเจ้าเท่านั้น" เพราะซาอูลทรงดำริว่า "อย่าให้มือของเราแตะต้องเขาเลย ให้มือคนฟีลิสเตียแตะต้องเขาดีกว่า"
18 ดาวิดทูลซาอูลว่า "ในอิสราเอลข้าพระบาทคือผู้ใด วงศ์ญาติของข้าพระบาทคือตระกูลบิดาของข้าพระบาทคือผู้ใด ที่ข้าพระบาทควรจะเป็นราชบุตรเขยของพระราชา"
19 แต่อยู่มาเมื่อถึงเวลาที่จะทรงยกเมราบราชธิดา ของซาอูลให้เป็นภรรยาของดาวิด แม่นางก็ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์
20 ฝ่ายมีคาลราชธิดาของซาอูลนั้นรักดาวิด มีคนเอาเรื่องไปทูลซาอูลเรื่องนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์
21 ซาอูลทรงดำริว่า "ให้เรายกแม่นางให้แก่เธอ แม่นางจะได้เป็นกับดักเธอและมือของคนฟีลิสเตีย จะได้ต่อสู้เธอ" ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งแก่ดาวิดครั้งที่สองว่า "ครั้งนี้เธอจะเป็นบุตรเขยของเรา"
22 ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า "จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิดว่า 'ดูเถิด พระราชาพอพระทัยในเธอ และบรรดามหาดเล็กของพระองค์ก็รักเธอ เพราะฉะนั้นจงเป็นบุตรเขยของพระราชาเถิด'"
23 และมหาดเล็กของซาอูลพูดเรื่องนี้ให้ดาวิดฟัง ดาวิดก็ถามว่า "ท่านทั้งหลายเห็นว่าที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชา นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือ ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่คนจนและไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย"
24 และมหาดเล็กของซาอูลจึงทูลว่า "ดาวิดพูดอย่างนั้นอย่างนี้"
25 ซาอูลจึงรับสั่งว่า "เจ้าจงพูดเช่นนี้แก่ดาวิด 'พระราชาไม่มีพระประสงค์จะเอาอะไรในการแต่งงานเลย นอกจากหนังปลายองคชาตของคนฟีลิสเตียสักหนึ่งร้อย เพื่อพระองค์จะทรงแก้แค้นศัตรูของพระราชา'" ฝ่ายซาอูลทรงดำริว่าจะให้ดาวิดตายเสียด้วยมือ ของคนฟีลิสเตีย
26 และเมื่อมหาดเล็กกล่าวคำเหล่านั้นให้ดาวิดฟัง ก็เป็นที่พอใจดาวิดที่จะ เป็นบุตรเขยของพระราชา ก่อนเวลาที่กำหนดไว้จะหมดไป
27 ดาวิดก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับคนของเธอ ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียเสียสองร้อยคน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาตของคนเหล่านั้นมาถวาย แก่พระราชาครบจำนวน เพื่อเธอจะเป็นบุตรเขยของพระราชา ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็น ภรรยาของดาวิด
28 ซาอูลทรงเห็นและทราบว่า พระเจ้าทรงสถิตกับดาวิดและมีคาลพระราชธิดา ของซาอูลรักเธอ
29 ซาอูลทรงเกรงกลัวดาวิดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นซาอูลจึงเป็นศัตรูของดาวิดเรื่อยมา
30 บรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ออกมาทำสงคราม เขาทั้งหลายจะออกมาสักกี่ครั้งก็ตาม ดาวิดก็ได้กระทำความสำเร็จมากกว่าบรรดา ข้าราชการของซาอูล ชื่อเสียงของเธอจึงโด่งดังมาก
1ซามูเอล 19
1 ซาอูลตรัสกับโยนาธานราชบุตร และกับบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ให้เขาทั้งหลายฆ่าดาวิดเสีย แต่โยนาธานราชบุตรของซาอูลพอใจในดาวิดมาก
2 และโยนาธานก็บอกดาวิดว่า "ซาอูลเสด็จพ่อของฉันหาช่องจะฆ่าเธอเสีย เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เช้า ขอจงระวังตัวให้ดี จงอยู่เสียในที่ลับซ่อนตัวไว้
3 และฉันจะออกไปยืนอยู่ข้างๆเสด็จพ่อในทุ่งนาที่เธออยู่ และฉันจะกราบทูลเสด็จพ่อด้วยเรื่องของเธอ ถ้าฉันรู้เรื่องอะไรจะบอกให้ทราบ"
4 โยนาธานกล่าวชมดาวิดให้ราชบิดาฟังทูลว่า "ขอพระราชาอย่าทรงกระทำบาปต่อดาวิดผู้รับใช้ ของพระองค์เลย เพราะดาวิดหาได้กระทำบาปสิ่งใดต่อฝ่าพระบาทไม่ และการงานของเธอก็เป็นงานปฏิบัติฝ่าพระบาทอย่างดี
5 เพราะเธอเสี่ยงชีวิตของตน และประหารคนฟีลิสเตียนั้น และพระเจ้าทรง กระทำให้มีชัยใหญ่หลวงเพื่ออิสราเอลทั้งปวง ฝ่าพระบาททรงเห็นแล้วและทรงชื่นชมยินดี แต่ไฉนฝ่าพระบาทจึงจะกระทำบาปต่อโลหิตที่ไร้ความผิด ด้วยการฆ่าดาวิดเสียอย่างปราศจากเหตุผล"
6 ซาอูลก็ทรงฟังเสียงของโยนาธานและซาอูลจึงปฏิญาณว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดาวิดจะไม่ต้องถูกประหารชีวิตเลย"
7 และโยนาธานก็เรียกดาวิด และโยนาธานแจ้งให้เธอทราบถึงสิ่งเหล่านี้ และโยนาธานนำดาวิดเข้าเฝ้าซาอูล และดาวิดได้เข้าเฝ้าซาอูลอย่างแต่ก่อน
8 สงครามได้เกิดขึ้นอีก ดาวิดก็ออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย และได้ฆ่าฟันเสียเป็นอันมาก เขาทั้งหลายจึงหนีไปเสียจากเธอ
9 แล้ววิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็เข้ามาสิงซาอูล เมื่อพระองค์ประทับในนิเวศของพระองค์ทรงหอกอยู่ และดาวิดก็กำลังดีดพิณถวาย
10 และซาอูลทรงพุ่งหอกหมายปักดาวิดให้ติดฝาผนัง แต่เธอก็หลบหนีซาอูลไป ซาอูลจึงทรงพุ่งหอกติดผนัง และดาวิดก็หลบหนีรอดไปได้ในคืนนั้น
11 ซาอูลทรงใช้ผู้สื่อสารไปที่บ้านของดาวิดเพื่อเฝ้าดูเธอ และเพื่อจะฆ่าเธอเสียในเวลาเช้า แต่มีคาลภรรยาของดาวิดบอกดาวิดว่า "ถ้าคืนนี้เธอไม่ช่วยชีวิตของเธอ พรุ่งนี้เธอจะถูกฆ่าตาย"
12 มีคาลจึงหย่อนดาวิดลงทางหน้าต่าง และเธอก็หนีรอดไป
13 มีคาลได้นำรูปเคารพมาวางไว้บนเตียงนอน และวางหมอนขนแพะไว้ที่ศีรษะเอาผ้าห่มคลุมไว้
14 เมื่อซาอูลส่งผู้สื่อสารไปจับดาวิด มีคาลตอบว่า "เขาไม่สบาย"
15 แล้วซาอูลส่งผู้สื่อสารนั้นให้ไปดูดาวิด สั่งว่า "จงนำเขามาหาเราทั้งเตียง เพื่อเราจะได้ฆ่าเขาเสีย"
16 เมื่อผู้สื่อสารเข้ามา ดูเถิด รูปเคารพก็อยู่ในเตียงพร้อมกับหมอนขนแพะอยู่ที่ศีรษะ
17 ซาอูลรับสั่งถามมีคาลว่า "ไฉนเจ้าจึงหลอกลวงเราและปล่อยศัตรูของเราไปเสีย เขาจึงรอดพ้นไป" และมีคาลทูลตอบซาอูลว่า "เธอพูดกับหม่อมฉันว่า 'ปล่อยให้ฉันไปเถิด จะให้ฉันฆ่าเธอทำไมเล่า'"
18 ฝ่ายดาวิดก็หนีรอดไป เธอมาหาซามูเอลที่เมือง รามาห์ และเล่าเรื่องที่ซาอูลได้ทรงกระทำแก่เธอ ให้ซามูเอลฟัง เธอและซามูเอลก็ไปอยู่เสียที่นาโยท
19 มีคนไปทูลซาอูลว่า "ดูเถิด ดาวิดอยู่ที่นาโยทในเมืองรามาห์"
20 ซาอูลก็รับสั่งให้ผู้สื่อสารไปจับดาวิด และเมื่อเขาไปเห็นหมู่ผู้เผยพระวจนะกำลังเผยพระวจนะอยู่ และซามูเอลยืนเป็นหัวหน้าเขาทั้งหลาย พระวิญญาณของพระเจ้าก็มาสถิตกับผู้สื่อสารของซาอูล และเขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะด้วย
21 เมื่อมีคนไปทูลซาอูลพระองค์ก็ทรงใช้ผู้สื่อสารอื่นไป และคนเหล่านั้นก็เผยพระวจนะด้วย ซาอูลทรงใช้ให้ผู้สื่อสารไปครั้งที่สาม เขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะด้วย
22 ซาอูลก็เสด็จไปที่รามาห์เอง มาถึงบ่อน้ำใหญ่ที่ในเมืองเสคู และรับสั่งถามว่า "ซามูเอลกับดาวิดอยู่ที่ไหน" มีคนทูลว่า "ดูเถิด เขาทั้งสองอยู่ที่นาโยทในเมืองรามาห์"
23 พระองค์จึงเสด็จไปที่นั่นยังนาโยทในเมืองรามาห์ และพระวิญญาณของพระเจ้าสิงสถิตกับพระองค์ด้วย ทรงดำเนินพลางเผยพระวจนะพลางจนเสด็จถึงนาโยท ที่เมืองรามาห์
24 พระองค์ทรงถอดฉลองพระองค์ออก และก็ทรงเผยพระวจนะด้วยต่อหน้าซามูเอล และบรรทมเปลือยกายอยู่ตลอดคืนนั้นและตลอดวันนั้น ดังนั้นเขาจึงพูดกันว่า "ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ"
1ซามูเอล 20
1 ดาวิดก็หนีจากนาโยทในเมืองรามาห์ และมาหาโยนาธานกล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งใด อะไรเป็นความผิดของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้กระทำบาปอันใดต่อเสด็จพ่อของท่าน พระองค์จึงได้แสวงชีวิตของข้าพเจ้า"
2 และโยนาธานจึงตอบเธอว่า "ไม่มีวี่แววเลย เธอไม่ต้องตายดอก ดูเถิด เสด็จพ่อมิได้ทรงกระทำการใหญ่น้อยสิ่งใด โดยมิให้ฉันรู้ ทำไมเสด็จพ่อจะปิดบังเรื่องนี้จากฉันเล่า คงไม่เป็นเช่นนั้นแน่"
3 แต่ดาวิดตอบว่า "เสด็จพ่อของท่านทรงทราบดีว่า ข้าพเจ้าเป็นที่พอใจท่าน และพระองค์คงดำริว่า 'อย่าให้โยนาธานรู้เรื่องนี้เลย เกรงว่าเขาจะเศร้าใจ' พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตแน่ฉันใด ความจริงมีอยู่ว่า ระหว่างข้าพเจ้ากับความตายก็ยังเหลืออีกเพียงก้าวเดียว"
4 โยนาธานจึงพูดกับดาวิดว่า "เธอว่าอย่างไร ฉันจะทำตามเพื่อเธอ"
5 ดาวิดจึงกล่าวกับโยนาธานว่า "ดูเถิด พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ ข้าพเจ้าไม่ควรขาดที่จะนั่งร่วมโต๊ะเสวยกับพระราชา แต่ขอโปรดให้ข้าพเจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ในทุ่งนา จนถึงเย็นวันที่สาม
6 ถ้าเสด็จพ่อของท่านเห็นข้าพเจ้าขาดไป ก็ขอโปรดทูลพระองค์ว่า 'ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระบาทรีบกลับไปเมือง เบธเลเฮมเมืองของตน เพราะที่นั่นวงศ์ญาติทำการถวายสัตวบูชาประจำปี'
7 ถ้าพระองค์รับสั่งว่า 'ดีแล้ว' ผู้รับใช้ของท่านก็ดีไป แต่ถ้าพระองค์ทรงกริ้วก็ขอทราบเถิดว่า พระองค์ดำริการร้าย
8 เพราะฉะนั้นขอท่านกรุณากระทำ แก่ผู้รับใช้ของท่านด้วยใจจงรัก เพราะท่านได้กระทำพันธสัญญาแห่งพระเจ้ากับ ผู้รับใช้ของท่านแล้ว แต่ถ้าความผิดมีอยู่ในข้าพเจ้า ขอท่านฆ่าข้าพเจ้าเสียเองเถิด เพราะท่านจะนำข้าพเจ้าไปให้เสด็จพ่อของท่านทำไม"
9 โยนาธานจึงกล่าวว่า "อย่าให้มีวี่แววอย่างนี้เลยน่ะ ถ้าฉันทราบว่าเสด็จพ่อคิดร้ายต่อเธอ ฉันจะไม่ไปบอกเธอหรือ"
10 แล้วดาวิดก็กล่าวแก่โยนาธานว่า "ถ้าเสด็จพ่อของท่านตอบท่านอย่างดุดัน ใครจะบอกแก่ข้าพเจ้าได้"
11 และโยนาธานบอกดาวิดว่า "มาเถิดให้เราเข้าไปในทุ่งนา" เขาทั้งสองจึงเข้าไปในทุ่งนา
12 และโยนาธานกล่าวแก่ดาวิดว่า "ขอพระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นพยาน เมื่อฉันได้หยั่งดูเสด็จพ่อของฉันในวันพรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ หรือในวันที่สาม ดูเถิด ถ้ามีอะไรดีต่อดาวิดแล้ว ฉันจะไม่ใช้คนไปบอกเธอทีเดียวหรือ
13 แต่ถ้าเสด็จพ่อพอพระทัยที่จะทำร้ายเธอ ถ้าฉันไม่บอกเธอให้ทราบ และไม่ส่งให้เธอหนีไปให้พ้นภัยแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษแก่โยนาธาน และยิ่งหนักกว่า ขอพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ อย่างที่พระองค์ทรงสถิตกับเสด็จพ่อของฉัน
14 ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอเธอสำแดงความรักมั่นคงแห่งพระเจ้าต่อฉัน เพื่อฉันจะไม่ต้องตาย
15 ขออย่าตัดความรักมั่นคงของเธอที่มีต่อพงศ์พันธุ์ ของฉันเป็นนิตย์ ในเมื่อพระเจ้าทรงกำจัดศัตรูทั้งสิ้นของดาวิด เสียจากผิวพิภพแล้ว"
16 โยนาธานจึงทำพันธสัญญากับพงศ์พันธุ์ของดาวิดว่า "ขอพระเจ้าทรงแก้แค้นต่อศัตรูของดาวิดเถิด"
17 และโยนาธานก็ให้ดาวิดปฏิญาณอีกครั้งหนึ่ง โดยความรักของท่านที่มีต่อเธอ เพราะท่านรักเธออย่างกับรักชีวิตของตนเอง
18 แล้วโยนาธานจึงพูดกับเธอว่า "พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ และเขาจะเห็นว่าเธอขาดไป เพราะที่นั่งของเธอจะว่างอยู่
19 เมื่อเธออยู่สามวันแล้ว เธอจงลงไปโดยเร็ว ไปยังที่ที่เธอได้ซ่อนตัวอยู่ ในวันแห่งการกระทำนั้น และคอยอยู่ข้างศิลาเอเซล
20 ฉันจะยิงลูกธนูสามลูกไปข้างๆที่นั่น อย่างกับว่าฉันยิงเป้า
21 และดูเถิด ฉันจะใช้เด็กไปสั่งว่า 'จงไปหาลูกธนู' ถ้าฉันพูดกับเด็กนั้นว่า 'ดูเถิด ลูกธนูอยู่ทางข้างนี้ของเจ้า ไปเอามา' แล้วขอเธอเข้ามาเพราะพระเจ้าทรงพระชนม์แน่ฉันใด เธอก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอันตรายอันใด
22 ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มนั้นว่า 'ดูเถิด ลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าโน้น' เธอจงไปเถิด เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงส่งเธอไปแล้ว
23 ส่วนเรื่องที่เธอและฉันได้พูดกันนั้น ดูเถิด พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเธอและฉันเป็นนิตย์"
24 ดาวิดจึงซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนาและเมื่อถึงวันขึ้นค่ำ พระราชาก็ประทับเสวยพระกระยาหาร
25 พระราชาประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ อย่างที่เคยทรงกระทำ คือประทับที่พระที่นั่งข้างๆฝาผนัง โยนาธานยืนอยู่และอับเนอร์นั่งอยู่ข้างซาอูล แต่ที่ของดาวิดก็ว่างอยู่
26 อย่างไรก็ดีในวันนั้นซาอูลมิได้ตรัสประการใด เพราะทรงดำริว่า "ดาวิดคงเกิดเหตุบางอย่าง เขาคงมลทิน เขาคงมลทินแน่"
27 แต่รุ่งขึ้นจากวันขึ้นค่ำ คือวันที่สอง ที่ของดาวิดก็ว่างอยู่ และซาอูลก็ตรัสกับโยนาธานราชบุตรของพระองค์ว่า "ทำไมบุตรเจสซีมิได้มารับประทานอาหาร ทั้งวานนี้และวันนี้"
28 โยนาธานทูลตอบซาอูลว่า "ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระบาทไปยังบ้านเบธเลเฮม
29 เขาว่า 'ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าไป เพราะตระกูลของข้าพเจ้ามีการถวายสัตวบูชาในเมือง และพี่ชายของข้าพเจ้าบัญชาให้ข้าพเจ้าไปที่นั่น ถ้าข้าพเจ้าได้รับความปรานีในสายตาของท่าน ก็ขอให้ข้าพเจ้าไปเพื่อเยี่ยมพี่ชายของข้าพเจ้า' ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิได้มาที่โต๊ะของพระราชา"
30 แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน พระองค์ตรัสกับท่านว่า "เจ้า ลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาให้ ความอับอายแก่เจ้าเอง และให้ท้องแม่ของเจ้าได้อาย
31 ตราบใดที่ลูกของเจสซีมีชีวิตอยู่บนดิน ตัวเจ้าหรือราชอาณาจักรของเจ้าก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงใช้คนไปตามเขามาให้เรา เพราะเขาจะต้องตายแน่"
32 แล้วโยนาธานจึงทูลตอบพระราชบิดาของท่านว่า "ทำไมเขาจะต้องถูกประหาร เขาได้กระทำผิดสิ่งใดพระเจ้าข้า"
33 แต่ซาอูลได้ทรงพุ่งหอกใส่ท่าน เพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้นโยนาธานจึงทราบว่าพระราชบิดาของท่านหมาย ฆ่าดาวิดเสีย
34 โยนาธานจึงลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความโกรธยิ่งนักมิได้ รับประทานอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะท่านเศร้าใจด้วยเรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านได้หยามน้ำหน้าดาวิด
35 รุ่งเช้าขึ้นโยนาธานก็ออกไปที่ทุ่งนาตาม ที่นัดหมายไว้กับดาวิด มีเด็กไปด้วยคนหนึ่ง
36 และท่านสั่งเด็กนั้นว่า "จงวิ่งไปหาลูกธนูที่ฉันยิงไป" เมื่อเด็กนั้นวิ่งไป โยนาธานก็ยิงธนูลูกหนึ่งขึ้นหน้าไป
37 และเมื่อเด็กนั้นมาถึงที่ที่ลูกธนูซึ่งโยนาธานยิงไปนั้น โยนาธานก็ร้องสั่งเด็กนั้นว่า "ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน้นไม่ใช่หรือ"
38 และโยนาธานร้องสั่งเด็กนั้นว่า "จงรีบไปโดยเร็วอย่าหยุดอยู่" เด็กของโยนาธานก็ไปเก็บลูกธนู และกลับมาหานายของตน
39 แต่เด็กนั้นไม่ทราบเรื่อง โยนาธานและดาวิดเท่านั้นที่ทราบ
40 และโยนาธานก็มอบอาวุธของท่านให้เด็กนั้น และบอกเขาว่า "ไป จงแบกสิ่งเหล่านี้ไปในเมือง"
41 เมื่อเด็กนั้นไปแล้ว ดาวิดก็ลุกขึ้นมาจากที่ที่อยู่ทิศใต้ซบหน้าลงถึงดิน แล้วกราบลงสามครั้ง และทั้งสองก็จุบกัน และร้องไห้กัน จนดาวิดร้องมากเหลือเกิน
42 โยนาธานจึงกล่าวกับดาวิดว่า "ขอจงไปเป็นสุขเถิด เพราะเราทั้งสองได้ปฏิญาณไว้แล้วในพระนามแห่งพระเจ้าว่า 'พระเจ้าจะทรงเป็นพยานระหว่างฉันและเธอ และระหว่างพงศ์พันธุ์ของฉันกับพงศ์พันธุ์ของเธอ สืบไปเป็นนิตย์'" ดาวิดก็ลุกขึ้นจากไป และโยนาธานก็เข้าไปในเมือง
1ซามูเอล 21
1 แล้วดาวิดก็มาหาอาหิเมเลคปุโรหิตเมืองโนบ และอาหิเมเลคออกมาหาดาวิดตัวสั่นอยู่พูดกับท่านว่า "ทำไมท่านจึงมาคนเดียว และไม่มีผู้ใดมากับท่าน"
2 ดาวิดจึงพูดกับอาหิเมเลคปุโรหิตว่า "พระราชาทรงบัญชาข้าพเจ้าให้ทำเรื่องหนึ่ง รับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า 'อย่าบอกเรื่องซึ่งเราใช้เจ้าไปกระทำนั้นแก่ผู้ใดให้รู้เลย และด้วยเรื่องซึ่งเรามอบหมายแก่เจ้านั้น' ข้าพเจ้าได้นัดหมายไว้กับพวกคนหนุ่ม ณ ที่แห่งหนึ่ง
3 ท่านมีอะไรติดมืออยู่บ้างเล่า ขอขนมปังข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะไรๆที่มีที่นี่ก็ได้"
4 ปุโรหิตนั้นตอบดาวิดว่า "ข้าพเจ้าไม่มีขนมปังธรรมดาเลย แต่มีขนมปังบริสุทธิ์ ขอแต่คนหนุ่มได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมาแล้วก็แล้วกัน"
5 และดาวิดก็ตอบท่านปุโรหิตว่า "ที่จริงเมื่อเราทั้งหลายออกไปปฏิบัติงาน ผู้หญิงก็ถูกกันให้ห่างจากเราอย่างทุกครั้ง การเดินทางธรรมดากายของคนหนุ่มก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว ยิ่งวันนี้กายของเราก็ยิ่งบริสุทธิ์กว่า"
6 ดังนั้นปุโรหิตจึงมอบขนมปังให้แก่ดาวิดเพราะที่นั่นไม่มี ขนมปังอื่นนอกจากขนมปังที่ตั้งถวาย ซึ่งเก็บมาจากหน้าพระพักตร์พระเจ้า เพื่อวางขนมปังใหม่ในวันที่เก็บเอาขนมปังเก่านั้นออกไป
7 ในวันนั้นมีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นเป็นผู้รับใช้ของซาอูล มีธุระต้องเฝ้าพระเจ้าอยู่ เขาชื่อโดเอก คนเอโดม เป็นหัวหน้าคนเลี้ยงสัตว์ของซาอูล
8 และดาวิดกล่าวแก่อาหิเมเลคว่า "ท่านไม่มีหอกหรือดาบติดมืออยู่สักเล่มหนึ่งหรือ ด้วยข้าพเจ้ามิได้นำดาบหรือเครื่องอาวุธติดมาเลย เพราะราชการของพระราชาเป็นการด่วน"
9 ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า "ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตีย ซึ่งท่านฆ่าเสียที่หุบเขาเอลาห์นั้น ดูเถิด ยังห่อผ้าอยู่ที่ข้างหลังเอโฟด ถ้าท่านต้องการดาบนั้นจงเอาไปเถิด นอกจากเล่มนั้นแล้วก็ไม่มีดาบอื่นอีก" และดาวิดกล่าวว่า "ไม่มีดาบอื่นเหมือนดาบเล่มนั้นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเถิด"
10 และดาวิดก็ลุกขึ้นในวันนั้น หนีจากซาอูลไปหา อาคีชพระราชาเมืองกัท
11 และมหาดเล็กของอาคีชทูลว่า "ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดินนั้น เขามิได้เต้นรำและขับเพลงรับกันหรือว่า 'ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ'"
12 และดาวิดก็จำถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจและกลัวอาคีช กษัตริย์เมืองกัท
13 ท่านจึงเปลี่ยนอากัปกริยาต่อหน้าเขาทั้งหลาย และกระทำตนเป็นคนบ้า เที่ยวกาไว้ที่ประตู และปล่อยให้น้ำลายไหลลงเปรอะเครา
14 อาคีชจึงสั่งผู้รับใช้ของท่านว่า "นี่แน่ะ เจ้าเห็นว่าคนนั้นบ้า แล้วเจ้าพาเขามาหาเราทำไม
15 ข้าขาดคนบ้าหรือ เจ้าจึงพาคนนี้มาทำบ้าให้ข้าดู คนอย่างนี้ควรเข้ามาในนิเวศของข้าหรือ"
1ซามูเอล 22
1 ดาวิดก็จากที่นั่นหนีไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อพี่ชายของท่านและพงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งสิ้นได้ยิน เรื่องเขาก็ลงไปหาท่านที่นั่น
2 นอกนั้นทุกคนที่มีความทุกข์ยาก และทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่มีความพอใจก็พากันมาหาท่าน และท่านก็เป็นหัวหน้าของเขาทั้งหลาย มีคนมามั่วสุมอยู่กับท่านประมาณสี่ร้อยคน
3 ดาวิดก็ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในแผ่นดินโมอับ และท่านทูลพระราชาเมืองโมอับว่า "ขอโปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้ามาอยู่กับพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการ ใดเพื่อข้าพเจ้า"
4 และท่านก็นำบิดามารดามาฝากไว้กับพระราชาแห่งโมอับ และท่านทั้งสองก็อาศัยอยู่กับพระราชาตลอดเวลาที่ดาวิด อยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง
5 แล้วผู้เผยพระวจนะกาดกล่าวแก่ดาวิดว่า "ท่านอย่าอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งนี้เลย จงไปเข้าในแผ่นดินยูดาห์เถิด" ดาวิดก็ไปและมาอยู่ในป่าเฮเรท
6 ฝ่ายซาอูลทรงทราบว่ามีผู้พบดาวิดและคนที่อยู่กับท่าน เวลานั้นซาอูลประทับที่เมืองกิเบอาห์ใต้ต้นสนหมอก ณ ที่เนินสูง ทรงหอกอยู่และผู้รับใช้ของพระองค์ก็ยืนอยู่รอบพระองค์
7 และซาอูลตรัสกับผู้รับใช้ที่ยืนอยู่รอบพระองค์ว่า "เจ้าทั้งหลายพวกคนเบนยามิน จงฟังเถิด บุตรของเจสซีจะให้นาและสวนองุ่นแก่เจ้าหรือ จะตั้งเจ้าให้เป็นผู้บังคับการกองพันกองร้อยหรือ
8 เจ้าทั้งหลายจึงได้คิดกบฏต่อเราไม่มีใครแจ้งแก่เราเลย เมื่อลูกของเราทำพันธไมตรีกับบุตรของเจสซีนั้น ไม่มีผู้ใดร่วมทุกข์กับเรา หรือแจ้งแก่เราว่า ลูกของเราปลุกปั่นผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา คอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้"
9 โดเอกคนเอโดมซึ่งยืนอยู่ใกล้ผู้รับใช้ของซาอูล จึงทูลตอบว่า "ข้าพระบาทเห็นบุตรเจสซีมาที่เมืองโนบมาหา อาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ
10 แล้วเขาก็ทูลถามพระเจ้าให้ท่าน และให้เสบียงอาหาร และให้ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียแก่ท่านไป"
11 แล้วพระราชาก็ใช้ให้ไปเรียกอาหิเมเลคปุโรหิต บุตรอาหิทูบ และพงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งสิ้น ผู้เป็นปุโรหิตเมืองโนบ ทุกคนก็มาหาพระราชา
12 และซาอูลตรัสว่า "บุตรอาหิทูบเอ๋ย จงฟังเถิด" เขาทูลตอบว่า "เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทอยู่ที่นี่"
13 และซาอูลตรัสแก่เขาว่า "ทำไมเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเราทั้งเจ้าและบุตรของเจสซี ในการที่เจ้าได้ให้ขนมปังและดาบแก่เขา และได้ทูลถามพระเจ้าให้เขา เขาจึงลุกขึ้นต่อสู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่อย่างทุกวันนี้"
14 และอาหิเมเลคทูลตอบพระราชาว่า "ในบรรดาข้าราชการผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท มีผู้ใดเล่าที่จะซื่อสัตย์อย่างดาวิด พระราชบุตรเขยของพระราชาผู้บังคับบัญชา ทหารราชองครักษ์ และเป็นผู้มีเกียรติในพระราชสำนักของฝ่าพระบาท
15 ในวันนี้ข้าพระบาทได้ทูลขอพระเจ้าเพื่อเขาจริงหรือ เปล่าเลย ขอพระราชาอย่าทรงกล่าวโทษสิ่งใดต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือพงศ์พันธุ์ของบิดาของข้าพระบาท เพราะผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทไม่ทราบเรื่องนี้เลยไม่ว่า มากหรือน้อย"
16 พระราชาตรัสว่า "อาหิเมเลค เจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้าและพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าด้วย"
17 และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า "จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเจ้าเสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้" แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของพระราชาไม่ยอมลงมือ ทำกับปุโรหิตของพระเจ้า
18 แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า "เจ้าจงไปฟันปุโรหิตเหล่านั้น" โดเอกคนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าบุคคลที่สวมเอโฟดผ้าป่านเสีย แปดสิบห้าคน
19 และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมืองของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะ
20 แต่บุตรชายคนหนึ่งของอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ ชื่ออาบียาธาร์ได้รอดพ้นและหนีตามดาวิดไป
21 อาบียาธาร์ก็บอกดาวิดว่าซาอูลได้ประหารปุโรหิต ของพระเจ้าเสีย
22 ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ว่า "ในวันนั้นเมื่อโดเอกอยู่ที่นั่น เรารู้แล้วว่า เขาจะต้องทูลซาอูลแน่ เราเป็นต้นเหตุแห่งความตายของบุคคลใน ครอบครัวบิดาของท่าน
23 จงอยู่เสียกับเราเถิด อย่ากลัวเลย เพราะถ้าเขาแสวงชีวิตของท่าน ก็แสวงชีวิตของเราด้วย ท่านอยู่กับเราก็จะพ้นภัย"
1ซามูเอล 23
1 เขาบอกดาวิดว่า "ดูเถิด คนฟีลิสเตียกำลังรบเมือง เคอีลาห์อยู่และปล้นเอาข้าวที่ลาน"
2 ดาวิดจึงทูลถามพระเจ้าว่า "ควรที่ข้าพระองค์จะไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตียเหล่านี้หรือไม่" และพระเจ้าตรัสกับดาวิดว่า "จงไปต่อสู้คนฟีลิสเตียและช่วยเมืองเคอีลาห์ไว้"
3 แต่คนของดาวิดเรียนท่านว่า "ดูเถิด เราอยู่ในยูดาห์นี่ก็ยังกลัวอยู่ ถ้าเราขึ้นไปยังเคอีลาห์สู้รบกับ กองทัพของฟีลิสเตียเราจะยิ่งกลัวมากขึ้นเท่าใด"
4 แล้วดาวิดก็ทูลถามพระเจ้าอีก และพระเจ้าตรัสตอบท่านว่า "จงลุกขึ้นลงไปยังเคอีลาห์เถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้า"
5 และดาวิดกับคนของท่านก็ไปยังเคอีลาห์ ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย นำเอาสัตว์เลี้ยงของเขาไป และฆ่าฟันเขาทั้งหลายเสียเป็นอันมาก ดังนั้นแหละดาวิดก็ได้ช่วยกู้ชาวเมืองเคอีลาห์ไว้
6 อยู่มาเมื่ออาบียาธาร์ บุตรของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิดที่เมืองเคอีลาห์นั้น เขาถือเอโฟดลงมาด้วย
7 มีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดมาที่เคอีลาห์แล้ว ซาอูลจึงตรัสว่า "พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเราแล้ว เพราะที่เขาเข้าไปในเมืองที่มีประตูและดาล เขาก็ขังตัวเองไว้"
8 และซาอูลทรงให้เรียกพลทั้งปวงเข้าสงคราม ให้ลงไปยังเคอีลาห์เพื่อล้อมดาวิดกับคนของท่านไว้
9 ดาวิดทราบว่าซาอูลทรงคิดร้ายต่อท่าน ท่านจึงพูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า "จงนำเอาเอโฟดมาที่นี่เถิด"
10 ดาวิดกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินแน่ว่าซาอูลหา ช่องที่จะมายังเคอีลาห์ เพื่อทำลายเมืองนี้เพราะข้าพระองค์เป็นเหตุ
11 ประชาชนชาวเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ไว้ใน มือท่านหรือ ซาอูลจะเสด็จมาดังที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินนั้นหรือ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระองค์ทรงบอกผู้รับใช้ของพระองค์เถิด" และพระเจ้าตรัสว่า "เขาจะลงมา"
12 แล้วดาวิดจึงกราบทูลว่า "ประชาชนชาวเคอีลาห์จะ มอบข้าพระองค์และคนของข้าพระองค์ไว้ในมือของซาอูลหรือ" และพระเจ้าตรัสว่า "เขาทั้งหลายจะมอบเจ้าไว้"
13 แล้วดาวิดกับคนของท่านซึ่งมีประมาณหกร้อยคน ก็ลุกขึ้นไปเสียจากเคอีลาห์และเขาทั้งหลายก็ไป ตามแต่ที่เขาจะไปได้ เมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดหนีไปจากเคอีลาห์แล้ว ซาอูลก็ทรงเลิกการติดตาม
14 และดาวิดก็อยู่ในถิ่นทุรกันดารตามที่กำบังเข้มแข็ง และอยู่ในแดนเทือกเขาแห่งถิ่นทุรกันดาร และซาอูลก็ทรงแสวงท่านทุกวัน แต่พระเจ้ามิได้มอบท่านไว้ในมือของซาอูล
15 และดาวิดเห็นว่าซาอูลได้ทรงออกมาแสวงชีวิตของเธอ ดาวิดอยู่ในป่าศิฟที่โฮเรช
16 และโยนาธานราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นไป หาดาวิดที่โฮเรช และสนับสนุนมือของเธอให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า
17 โยนาธานพูดกับเธอว่า "อย่ากลัวเลยเพราะว่ามือของซาอูลเสด็จพ่อของฉันจะหา เธอไม่พบ เธอจะได้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นอุปราช ซาอูลเสด็จพ่อของฉันก็ทราบเรื่องนี้ด้วย"
18 และทั้งสองก็กระทำพันธสัญญาต่อพระพักตร์พระเจ้า ดาวิดยังค้างอยู่ที่โฮเรช และโยนาธานก็กลับไปวัง
19 ฝ่ายชาวศิฟได้ขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์ทูลว่า "ดาวิดได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกข้าพระบาท ในที่กำบังเข้มแข็งที่โฮเรช บนเนินเขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนมิใช่หรือ
20 ข้าแต่พระราชา เพราะฉะนั้นขอเสด็จลงไปตามพระทัยปรารถนาที่จะลงไป ฝ่ายพวกข้าพระบาทจะมอบเขาไว้ในหัตถ์ของพระราชา"
21 และซาอูลตรัสว่า "ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่พวกท่าน เพราะพวกท่านปรานีเรา
22 จงไปหาดูให้แน่นอนยิ่งขึ้น ดูให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ใครเห็นเขาที่นั่นบ้าง เพราะมีคนบอกข้าว่า เขาฉลาดนัก
23 เพราะฉะนั้นจงไปสังเกตดูที่ซุ่ม ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนและกลับมา เอาเนื้อความแน่นอนมาบอกเรา แล้วเราจะไปกับท่าน ถ้าเขาอยู่ในเขตแผ่นดิน เราจะค้นหาเขาในหมู่คนตระกูลยูดาห์"
24 เขาทั้งหลายก็ลุกขึ้นไปยังศิฟก่อนซาอูล ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอนใน อาราบาห์ใต้เยชิโมน
25 ซาอูลกับคนของพระองค์ก็แสวงท่าน มีคนบอกดาวิด ท่านจึงลงไปยังศิลาและอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอน เมื่อซาอูลทรงทราบดังนั้นก็ทรงติดตามดาวิดไปใน ถิ่นทุรกันดารมาโอน
26 ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างหนึ่ง ดาวิดกับคนของท่านอยู่ที่ภูเขาอีกฟากหนึ่ง ดาวิดก็รีบหนีจากซาอูล เพราะซาอูลกับคนของพระองค์เข้ามาใกล้ ดาวิดกับคนของท่านเพื่อจะจับ
27 แต่มีผู้สื่อสารคนหนึ่งมาทูลซาอูลว่า "ขอรีบเสด็จกลับ เพราะพวกฟีลิสเตียยกกองทัพมาปล้นแผ่นดิน"
28 ซาอูลจึงเสด็จกลับจากการไล่ตามดาวิดไปรบกับฟีลิสเตีย เขาจึงเรียกที่นั้นว่าศิลาพ้นภัย
29 ดาวิดก็ขึ้นไปจากที่นั่น ไปอาศัยอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งแห่งเอนเกดี
1ซามูเอล 24
1 อยู่มาเมื่อซาอูลเสด็จกลับจากการไล่ตามคนฟีลิสเตียแล้ว มีคนมาทูลว่า "ดูเถิด ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารเมืองเอนเกดี"
2 แล้วซาอูลก็ทรงนำพลที่คัดเลือกจากคน อิสราเอลแล้วสามพันคน ไปแสวงหาดาวิดกับคนของท่านที่หินเลียงผา
3 และพระองค์เสด็จมาที่คอกแกะริมทาง มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งที่นั่น และซาอูลก็เสด็จเข้าไปส่งทุกข์ ฝ่ายดาวิดกับคนของท่านนั่งอยู่ ที่ส่วนลึกที่สุดของถ้ำ
4 คนของดาวิดก็เรียนท่านว่า "วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า 'ดูเถิด เราจะได้มอบศัตรูของเจ้าไว้ในมือของเจ้า และเจ้าจะทำกับเขาตามที่เจ้าเห็นควร'" แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นย่องเข้าไปตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล
5 อยู่มาภายหลังดาวิดก็เสียใจ เพราะท่านได้ตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล
6 ท่านว่าแก่คนของท่านว่า "ขอพระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ข้าพเจ้า กระทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้ คือที่จะเหยียดมือออกต่อสู้กับท่าน ด้วยว่าท่านเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้"
7 ดาวิดก็ห้ามคนของท่านด้วยถ้อยคำเหล่านี้ และไม่ยอมให้เขาทั้งหลายทำร้ายซาอูล และซาอูลก็ทรงลุกขึ้นออกจากถ้ำเสด็จไปตามทางของพระองค์
8 ภายหลังดาวิดก็ลุกขึ้นด้วย และออกไปจากถ้ำร้องทูลซาอูลว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท" และเมื่อซาอูลทรงเหลียวดู ดาวิดก็ก้มลงถึงดินกราบไหว้
9 และดาวิดทูลซาอูลว่า "ไฉนพระองค์ทรงฟังถ้อยคำของคนที่กล่าวว่า 'ดูเถิด ดาวิดแสวงที่จะทำร้ายพระองค์'
10 นี่แน่ะ วันนี้พระเนตรของฝ่าพระบาทประจักษ์แล้วว่า พระเจ้าทรงมอบฝ่าพระบาทในวันนี้ไว้ในมือของ ข้าพระบาทที่ในถ้ำ และบางคนได้ขอให้ข้าพระบาทประหารฝ่าพระบาทเสีย แต่ข้าพระบาทก็ได้ไว้พระชนม์ของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทพูดว่า 'ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายเจ้านายของข้าพเจ้า เพราะพระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้'
11 ดูเถิด เสด็จพ่อของข้าพระบาท ขอดูชายฉลองพระองค์ในมือของข้าพระบาท เพราะโดยเหตุที่ว่าข้าพระบาทได้ตัดชายฉลองพระองค์ออก และมิได้ประหารฝ่าพระบาทเสีย ขอฝ่าพระบาททรงทราบและทรงเห็นเถิดว่า ในมือของข้าพระบาทไม่มีความผิดหรือการกบฏ ข้าพระบาทมิได้กระทำบาปต่อฝ่าพระบาท แม้ว่าฝ่าพระบาทจะล่าชีวิตของข้าพระบาทเพื่อจะทำลายเสีย
12 ขอพระเจ้าทรงพิพากษาระหว่างข้าพระบาทและฝ่าพระบาท ขอพระเจ้าทรงแก้แค้นแทนข้าพระบาทต่อฝ่าพระบาท แต่มือของข้าพระบาทจะไม่กระทำอะไรต่อฝ่าพระบาท
13 ดังสุภาษิตโบราณว่า 'ความอธรรมก็ออกมาจากคนอธรรม' แต่มือของข้าพระบาทจะไม่กระทำอะไรต่อฝ่าพระบาท
14 พระราชาแห่งอิสราเอลออกมาตามผู้ใด ฝ่าพระบาทไล่ตามผู้ใด ไล่ตามสุนัขที่ตายแล้ว ไล่ตามตัวหมัด
15 เพราะฉะนั้นขอพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา และขอทรงประทานคำพิพากษาระหว่างข้าพระบาท และฝ่าพระบาท และทอดพระเนตร และขอว่าความฝ่ายข้าพระองค์ และขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นหัตถ์ของฝ่าพระบาท"
16 อยู่มาเมื่อดาวิดทูลคำเหล่านี้ต่อซาอูลแล้ว ซาอูลตรัสว่า "ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย นั่นเป็นเสียงของเจ้าหรือ" ซาอูลก็ทรงส่งเสียงกันแสง
17 พระองค์ตรัสกับดาวิดว่า "เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ในเมื่อข้าได้ตอบแทนเจ้าด้วยความร้าย
18 เจ้าได้ประกาศในวันนี้แล้วว่า เจ้าได้กระทำความดีต่อข้าอย่างไร ในการที่เจ้ามิได้ประหารข้าเสีย ในเมื่อพระเจ้าทรงมอบข้าไว้ในมือของเจ้าแล้ว
19 เพราะว่าผู้ใดพบศัตรูของตน เขาจะยอมให้ปลอดภัยไปหรือ ดังนั้นขอพระเจ้าทรงกระทำดีแก่เจ้า สนองการที่เจ้าได้กระทำแก่ข้าในวันนี้
20 บัดนี้ ดูเถิด ข้าประจักษ์แล้วว่า เจ้าจะเป็นพระราชาแน่ และราชอาณาจักรอิสราเอลจะสถาปนาอยู่ในมือของเจ้า
21 เพราะฉะนั้นจงปฏิญาณให้แก่ข้าในพระนามของพระเจ้า ว่าเจ้าจะไม่ตัดพงศ์พันธุ์ของข้าเสียเมื่อข้าตายไป และเจ้าจะไม่ทำลายชื่อของข้าเสียจากพงศ์พันธุ์บิดาของข้า"
22 ดาวิดก็ปฏิญาณให้แก่ซาอูล แล้วซาอูลก็เสด็จกลับพระราชวัง และดาวิดกับคนของท่านก็ขึ้นไปยังที่กำบังเข้มแข็ง
1ซามูเอล 25
1 ฝ่ายซามูเอลก็สิ้นชีวิตและคนอิสราเอลทั้งปวงก็ ประชุมกันไว้ทุกข์ให้ท่าน และเขาทั้งหลายก็ฝังศพท่านไว้ในบ้านของท่านที่รามาห์ และดาวิดก็ลุกขึ้นไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน
2 มีชายคนหนึ่งในมาโอนมีการงานอยู่ในคารเมล ชายผู้นั้นมั่งมีมาก มีแกะสามพันและแพะหนึ่งพัน เขาตัดขนแกะของเขาอยู่ที่คารเมล
3 ชายคนนั้นชื่อนาบาล และภรรยาของท่านชื่ออาบีกายิล สตรีคนนั้นมีความรอบคอบและหน้าตาสวยงามด้วย แต่ชายคนนั้นเป็นคนสามานย์และประพฤติตัวเลวทราม เป็นวงศ์วานของคาเลบ
4 ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ทราบว่านาบาลกำลังตัดขนแกะของเขาอยู่
5 ดาวิดจึงใช้ชายหนุ่มสิบคน และดาวิดสั่งชายหนุ่มเหล่านั้นว่า "จงขึ้นไปที่คารเมลไปหานาบาล และคำนับเขาในนามของเรา
6 ท่านทั้งหลายจงกล่าวคำคำนับเขาเช่นนี้ว่า 'สวัสดิภาพจงมีแก่ท่าน สวัสดิภาพจงมีแก่ครอบครัวของท่าน และสวัสดิภาพจงมีแก่บรรดาสิ่งที่ท่านมี
7 ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะ ฝ่ายผู้เลี้ยงแกะของท่านนั้นอยู่กับเรา เรามิได้กระทำอันตรายเขาเลย และเขาก็มิได้ขาดอะไรไปตลอดเวลาที่เขาอยู่ในคารเมล
8 ขอถามคนหนุ่มของท่านดูเถิด เขาทั้งหลายคงจะบอกแก่ท่าน เพราะฉะนั้นขอให้คนหนุ่มของ ข้าพเจ้าได้รับความกรุณาในสายตาของท่าน เพราะเรามาในวันมีการเลี้ยง ขอท่านได้ให้สิ่งที่มีติดมือของท่านแก่พวกผู้รับใช้ของ ท่านและแก่ดาวิดบุตรของท่าน'"
9 เมื่อพวกคนหนุ่มของดาวิด มาถึงก็กล่าวคำเหล่านั้นแก่นาบาลในนามของดาวิด และเขาทั้งหลายก็คอยอยู่
10 และนาบาลตอบคนรับใช้ของดาวิดว่า "ดาวิดคือผู้ใด บุตรของเจสซีคือผู้ใด สมัยนี้มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของตน
11 ควรหรือที่ข้าจะนำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสียสำหรับคนตัดขน แกะของข้ามอบให้แก่คนซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้"
12 พวกคนหนุ่มของดาวิดก็หันกลับ และมาบอกเรื่องราวทั้งสิ้นนี้แก่ดาวิด
13 และดาวิดสั่งคนของท่านว่า "ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้" และทุกคนก็เอาดาบคาดเอวของตน และดาวิดก็เอาดาบคาดเอวด้วยและ มีคนติดตามดาวิดไปประมาณสี่ร้อยคน ส่วนอีกสองร้อยคนอยู่เฝ้ากองสัมภาระ
14 แต่มีคนหนุ่มคนหนึ่งไปบอกนางอาบีกายิล ภรรยาของนาบาลว่า "ดูเถิด ดาวิดส่งผู้สื่อสารมาจากถิ่นทุรกันดาร เพื่อจะคำนับนายของเราและนายกลับดุว่าคนเหล่านั้น
15 แต่คนเหล่านั้นเคยดีต่อเรามาก และเราไม่ต้องถูกทำร้ายอย่างใดเลย และไม่ขาดสิ่งไรตราบใดที่เราไปกับเขาเมื่อเราอยู่ใน ทุ่งนา
16 เขาเป็นเหมือนกำแพงของเราทั้งกลางคืนและกลางวัน ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงแกะอยู่กับเขา
17 บัดนี้ขอท่านทราบเรื่องนี้และพิจารณา ว่าท่านควรจะกระทำประการใด เพราะเขาคงมุ่งร้ายต่อนายของเรา และต่อครัวเรือนทั้งสิ้นของนาย นายนั้นเป็นคนสามหาว ใครจะพูดด้วยก็ไม่ได้"
18 แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และเหล้าองุ่นสองถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และองุ่นแห้งร้อยช่อและขนมมะเดื่อสองร้อยแผ่นบรรทุกหลังลา
19 นางก็สั่งชายหนุ่มของนางว่า "จงรีบไปก่อนเรา ดูเถิด เราจะตามเจ้าไป" แต่นางมิได้บอกนาบาลสามีของนาง
20 เมื่อนางขี่ลาลงมา มีสันเขาบังฝ่ายนางอยู่ ดูเถิด ดาวิดกับคนของท่านก็ลงมาทางนาง และนางก็พบเขาทั้งหลายเข้า
21 ดาวิดกล่าวไว้แล้วว่า "ข้าได้เฝ้าทุกสิ่งที่คนนี้มีอยู่ในถิ่นทุรกันดารเสียเปล่า ไม่มีสิ่งใดของเขาขาดไปเลย และเขายังกระทำความชั่วต่อข้าตอบแทนความดี
22 ถ้าถึงพรุ่งนี้เช้าข้ายังปล่อยให้ชายสักคน หนึ่งในบรรดาที่เขามีอยู่นั้นเหลืออยู่ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษดาวิด และยิ่งหนักกว่า"
23 เมื่อนางอาบีกายิลเห็นดาวิดนางก็รีบลงจากหลังลา ซบหน้าลงต่อดาวิดกราบลงถึงดิน
24 นางกราบลงที่เท้าของดาวิดกล่าวว่า "เจ้านายของดิฉันเจ้าข้า ความผิดนั้นอยู่ที่ดิฉันแต่ผู้เดียว ขอให้ผู้รับใช้ของท่านได้พูดให้ท่านฟัง ขอท่านได้โปรดฟังเสียงผู้รับใช้ของท่าน
25 ขอเจ้านายของดิฉันอย่าได้เอาความกับนาบาลชาย สามหาวคนนี้เลย คือนาบาล เพราะเขาเป็นอย่างที่ชื่อของเขาบอก นาบาลเป็นชื่อของเขา และความโง่เขลาก็อยู่กับเขา แต่ดิฉันผู้รับใช้ของท่านหาได้ เห็นพวกคนหนุ่มของเจ้านายซึ่งท่านได้ใช้ไปนั้นไม่
26 เหตุฉะนั้นเจ้านายของดิฉัน พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ด้วยว่าพระเจ้าทรงกระทำให้ท่านระงับ เสียจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง เพราะฉะนั้นขอให้ศัตรูของท่าน และบรรดา ผู้ที่กระทำร้ายต่อเจ้านายของดิฉันจงเป็นอย่างนาบาล
27 สิ่งเหล่านี้ซึ่งผู้รับใช้ของท่านได้นำมาให้เจ้านายของดิฉัน ขอมอบแก่บรรดาคนหนุ่มซึ่งติดตามเจ้านายของดิฉัน
28 ได้โปรดอภัยความผิดของผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะพระเจ้าคงทรงกระทำให้เจ้านายของดิฉันเป็นพงศ์พันธุ์ที่มั่นคง ด้วยว่าเจ้านายของดิฉันทำสงครามอยู่ฝ่ายพระเจ้า ตราบใดที่ท่านมีชีวิตอยู่จะหาความชั่วที่ตัวท่านไม่ได้เลย
29 แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่านและแสวงชีวิตของท่าน ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับกลุ่มชีวิตซึ่ง อยู่ในความพิทักษ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยงออกไปดั่งออกไปจากรังสลิง
30 และเมื่อพระเจ้าจะทรงกระทำแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ตามบรรดาความดีซึ่งพระองค์ทรงลั่นวาจาเกี่ยวกับท่าน และทรงตั้งท่านไว้เป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล
31 เจ้านายของดิฉันจะไม่มีเหตุที่ต้องเศร้าใจหรือระกำใจ เพราะได้กระทำให้โลหิตเขาตกด้วยไม่มีสาเหตุหรือ เพราะเจ้านายของดิฉันทำการแก้แค้นเสียเอง และเมื่อพระเจ้าทรงกระทำความดีแก่เจ้านาย ของดิฉันแล้วก็ขอระลึกถึงผู้รับใช้ของท่านบ้าง"
32 ดาวิดจึงกล่าวแก่อาบีกายิลว่า "สาธุการแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงใช้เจ้าให้มาพบเราในวันนี้
33 ขอให้ความสุขุมของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้าได้รับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง
34 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงระงับเราเสียจากการกระทำร้ายเจ้า ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าเจ้ามิได้รีบมาพบเราเสีย ถึงพรุ่งนี้เช้าคงไม่มีเหลือแก่นาบาลแม้แต่เพียงชายสัก คนหนึ่งเป็นแน่"
35 แล้วดาวิดก็รับบรรดาสิ่งที่นางนำมาจากมือของนาง และดาวิดกล่าวแก่นางว่า "จงกลับไปยังบ้านเรือนของเจ้าด้วยสวัสดิภาพเถิด ดูซิเราได้ฟังเสียงของเจ้าแล้ว และเราก็ได้อนุโลมตามคำขอร้องของเจ้า"
36 และอาบีกายิลก็กลับไปหานาบาล และนี่แน่ะ เขากำลังมีการเลี้ยงใหญ่ในบ้าน ของเขาอย่างการเลี้ยงของพระราชา และจิตใจของนาบาลก็ร่าเริงอยู่ เพราะเขามึนเมามาก นางจึงมิได้บอกอะไรให้เขาทราบจนเวลารุ่งเช้า
37 และในเวลาเช้า เมื่อเหล้าองุ่นสร่างจากนาบาลไปแล้ว ภรรยาของเขาก็เล่าเหตุการณ์เหล่านี้ให้ฟัง และจิตใจของเขาก็ตายเสียภายใน และเขากลายเป็นดังก้อนหิน
38 อยู่มาอีกประมาณสิบ วันพระเจ้าทรงประหารนาบาลและท่านก็สิ้นชีวิต
39 เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลสิ้นชีวิตแล้ว ท่านจึงว่า "สาธุการแด่พระเจ้าผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาลและทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ให้ทำความชั่ว พระเจ้าทรงตอบแทนการกระทำชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง" แล้วดาวิดก็ส่งคนไปสู่ขอ อาบีกายิลให้มาเป็นภรรยาของท่าน
40 และเมื่อผู้รับใช้ของดาวิดมาถึงอาบีกายิลที่คารเมล เขาทั้งหลายก็พูดกับนางว่า "ดาวิดได้ให้เราทั้งหลายมานำเธอไปให้เป็นภรรยาของท่าน"
41 และนางก็ลุกขึ้นซบหน้าลงถึงดินกล่าวว่า "ดูเถิด ผู้รับใช้ของท่านเป็นผู้รับใช้ที่จะล้าง เท้าให้แก่ผู้รับใช้แห่งเจ้านายของดิฉัน"
42 อาบีกายิลก็รีบลุกขึ้นขี่ ลาตัวหนึ่งพร้อมกับสาวใช้ปรนนิบัติเธออีกห้าคน นางตามผู้สื่อข่าวของดาวิดไป และได้เป็นภรรยาของดาวิด
43 ดาวิดยังได้รับนางอาหิโนอัม ชาวยิสเรเอลมาด้วย และทั้งสองก็เป็นภรรยาของท่าน
44 ซาอูลได้ทรงยกมีคาลราชธิดาของพระองค์ ผู้เป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรลาอิชชาวกัลลิมแล้ว
1ซามูเอล 26
1 ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์ทูลว่า "ดาวิดซ่อนตัวอยู่บนเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยชิโมนมิใช่หรือ"
2 ซาอูลจึงทรงลุกขึ้นลงไปที่ถิ่นทุรกันดารศิฟ พร้อมกับชายอิสราเอลที่คัดเลือกแล้วสามพันคน เพื่อแสวงดาวิดในถิ่นทุรกันดารศิฟ
3 และซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ที่เขา ฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ข้างถนนทางทิศตะวันออกของเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเมื่อท่านเห็นว่าซาอูลเสด็จมาหาท่านที่ในถิ่นทุรกันดาร
4 ดาวิดก็ส่งผู้สอดแนมออกไป จึงทราบว่าซาอูลทรงยกมาแน่แล้ว
5 แล้วดาวิดก็ลุกขึ้นมายังที่ซึ่งซาอูลทรงตั้งค่ายอยู่ และดาวิดก็เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตร เนอร์แม่ทัพ ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย ฝ่ายกองทัพก็ตั้งค่ายอยู่รอบพระองค์
6 แล้วดาวิดก็พูดกับอาหิเมเลคคนฮิตไทต์ และกับอาบีชัยบุตรของนางเศรุยาห์ น้องชายของโยอาบว่า "ผู้ใดจะลงไปในค่ายของซาอูลกับเราบ้าง" อาบีชัยตอบว่า "ข้าพเจ้าจะลงไปกับท่าน"
7 ดาวิดและอาบีชัยจึงลงไปที่กองทัพในเวลากลางคืน และดูเถิด ซาอูลบรรทมอยู่กลางเขตค่าย มีหอกปักอยู่ที่ที่ดินตรงศีรษะ อับเนอร์กับพวกพลก็นอนล้อมพระองค์อยู่
8 อาบีชัยพูดกับดาวิดว่า "ในวันนี้พระเจ้าทรงมอบศัตรูของท่านไว้ในมือของท่านแล้ว บัดนี้ขอให้ข้าพเจ้าแทงเขาด้วยหอกให้ติดดิน ครั้งเดียวก็พอ และข้าพเจ้าไม่ต้องแทงเขาครั้งที่สอง"
9 แต่ดาวิดบอกอาบีชัยว่า "ขออย่าทำลายพระองค์เลย เพราะผู้ใดเล่าจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเจิมไว้ และจะไม่มีความผิด"
10 และดาวิดกล่าวว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระเจ้าจะทรงฆ่าพระองค์ท่านเอง หรือจะถึงวันกำหนดที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ หรือพระองค์จะเสด็จเข้าสงครามและพินาศเสีย
11 ขอพระเจ้าทรงห้ามปรามข้าพเจ้าไม่ให้ เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ บัดนี้จงเอาหอกที่อยู่ตรงพระเศียรกับเหยือกน้ำ และให้เราไปกันเถิด"
12 ดาวิดจึงเอาหอกและเหยือกน้ำจากที่พระเศียรของซาอูล และเขาทั้งสองก็ออกไป ไม่มีใครเห็นไม่มีใครทราบ และไม่มีคนใดตื่นเพราะเขาหลับสนิททุกคน เพราะพระเจ้าทรงบันดาลให้เขาหลับสนิท
13 และดาวิดก็ข้ามไปอีกฟากหนึ่ง ไปยืนอยู่บนยอดเขาไกลออกไป มีที่ว่างกว้างใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย
14 ดาวิดก็ตะโกนเรียกพวกพลและเรียกอับเนอร์บุตรเนอร์ว่า "อับเนอร์เอ๋ย ท่านไม่ตอบหรือ" แล้วอับเนอร์ตอบว่า "ใครนั่นที่มาร้องเรียกพระราชา"
15 และดาวิดตอบอับเนอร์ว่า "ท่านไม่ใช่ผู้ชายดอกหรือ ในอิสราเอลมีใครเหมือนท่านบ้าง ทำไมท่านไม่เฝ้าพระราชาเจ้านายของท่านไว้ให้ดี เพราะมีคนหนึ่งเข้าไปจะทำลายพระราชาเจ้านายของท่าน
16 ที่ท่านกระทำเช่นนี้ไม่ดีแน่ พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ท่านควรตายเพราะท่านมิได้เฝ้าเจ้านายของท่านไว้ให้ดี ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ บัดนี้ตรวจดูทีว่า หอกของพระราชาอยู่ที่ไหน และเหยือกน้ำที่ตรงพระเศียรนั้นอยู่ที่ไหน"
17 ซาอูลทรงจำสำเนียงดาวิดได้จึงตรัสว่า "ดาวิดบุตรของข้าเอ๋ย นี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ" และดาวิดทูลว่า "ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท เป็นเสียงข้าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ"
18 และท่านทูลต่อไปว่า "ไฉนเจ้านายของข้าพระบาทจึงไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระบาทได้กระทำอะไรไป มือข้าพระบาทผิดอย่างไรเล่า
19 เพราะฉะนั้นบัดนี้ขอพระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ทรงฟังเสียงผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท ถ้าพระเจ้าทรงปลุกปั่นฝ่าพระบาทให้ต่อสู้ข้าพระบาท ขอพระเจ้าให้ได้รับเครื่องถวาย ถ้าเป็นคนยุ ก็ขอให้คนนั้นเป็นที่สาปแช่งต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะเขาได้ขับไล่ข้าพระบาทออกไปในวันนี้มิให้ ได้ส่วนมรดกของพระเจ้า โดยกล่าวว่า 'จงไปปรนนิบัติพระอื่น'
20 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระบาทตกถึงดินไกลจากพระพักตร์ พระเจ้า เพราะพระราชาแห่งอิสราเอลได้ออกมาหาชีวิตหมัดตัวเดียว ดังผู้หนึ่งไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา"
21 แล้วซาอูลตรัสว่า "ข้าได้กระทำผิดแล้ว ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย จงกลับเถิด เราจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกต่อไป เพราะในวันนี้ชีวิตของเราก็ประเสริฐในสายตาของเจ้า ดูเถิด เราสำแดงตัวเป็นคนเขลาและได้กระทำผิดมาก"
22 และดาวิดทูลว่า "ข้าแต่พระราชา หอกนั้นอยู่ที่นี่ ขอรับสั่งให้คนหนุ่มคนหนึ่งมารับไปจากที่นี่
23 พระเจ้าทรงประทานรางวัลแก่ทุกคนตาม ความชอบธรรมและความสัตย์ซื่อของเขา เพราะในวันนี้พระเจ้าทรงมอบฝ่าพระบาทไว้ในมือของ ข้าพระบาทแล้ว แต่ข้าพระบาทมิได้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระเจ้าทรง เจิมไว้
24 ดูเถิด ในสายตาของข้าพระบาท ชีวิตของฝ่าพระบาท นั้นประเสริฐ จึงขอให้ชีวิตของข้าพระบาทประเสริฐในสายพระเนตร ของพระเจ้า และขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทให้พ้นจากบรรดา ความทุกข์ยากลำบาก"
25 แล้วซาอูลจึงตรัสกับดาวิดว่า "ดาวิดบุตรของเราเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงอวยพรเจ้า เจ้าจะกระทำหลายสิ่งหลายอย่างและจะสำเร็จแน่" ดาวิดจึงไปตามทางของท่านและซาอูลก็เสด็จกลับสู่ ราชสำนักของพระองค์
1ซามูเอล 27
1 ดาวิดนึกในใจว่า "ข้าคง__จะพินาศสักวันหนึ่งด้วยมือของซาอูล ไม่มีสิ่งใดดีกว่าที่ข้าจะหนีไปอยู่ที่แผ่นดินคนฟีลิสเตีย แล้วซาอูลก็จะทรงเลิกไม่ติดตามข้าอีก ภายในพรมแดนอิสราเอล และข้าจะรอดพ้นจากมือของท่านได้"
2 ดาวิดจึงลุกขึ้นยกข้ามไป ทั้งตัวท่านและคนที่อยู่กับท่านหกร้อยคนด้วยกัน ไปหาอาคีชบุตรมาโอค กษัตริย์เมืองกัท
3 และดาวิดก็อาศัยอยู่กับอาคีชที่เมืองกัท คือตัวท่านและคนของท่าน ทุกคนมีครัวเรือนไปด้วย ทั้งดาวิดพร้อมกับภรรยาสองคน คืออาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลชาวคารเมลแม่ม่ายของนาบาล
4 และเมื่อมีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดได้หนีไปเมืองกัทแล้ว พระองค์ก็มิได้แสวงท่านอีกต่อไป
5 แล้วดาวิดจึงทูลอาคีชว่า "ถ้าข้าพระบาทเป็นที่โปรดปราน ในสายพระเนตรของฝ่าพระบาท ขอทรงให้เขามอบที่ในหัวเมืองแก่ข้าพระบาทสักแห่งหนึ่ง เพื่อข้าพระบาทจะได้อาศัยอยู่ที่นั่น ไฉนผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะอยู่ในกรุงกับฝ่าพระบาทเล่า"
6 ในวันนั้นอาคีชทรงมอบเมืองศิกลากให้ ศิกลากจึงเป็นหัวเมืองขึ้นแก่กษัตริย์ยูดาห์จนถึงทุกวันนี้
7 ระยะเวลาที่ดาวิดเข้าไปอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตียนั้น เป็นหนึ่งปีกับสี่เดือน
8 ฝ่ายดาวิดกับคนของท่าน ก็ขึ้นไปปล้นชาวเกชูร์ คนเกอร์กาชี คนอามาเลข เพราะประชาชาติเหล่านี้เป็นชาวแผ่นดินนั้น ตั้งแต่สมัยโบราณ ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ถึงแผ่นดินอียิปต์
9 ดาวิดก็โจมตีแผ่นดินนั้น ไม่ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ริบแกะ โค ลา อูฐ และเสื้อผ้า แล้วกลับมาหาอาคีช
10 เมื่อไรอาคีชถามว่า "วันนี้ท่านไปปล้นผู้ใดมา" ดาวิดก็ทูลว่า "ปล้นถิ่นใต้ที่แผ่นดินยูดาห์" หรือ "ปล้นเนเกบที่ตระกูลเยราเมเอล" หรือ "ปล้นถิ่นใต้คนเคไนต์"
11 ดาวิดมิได้ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง ที่จะนำมาที่เมืองกัท โดยคิดว่า "เกรงว่า เขาจะบอกเรื่องของเรา และกล่าวว่า 'ดาวิดได้ทำอย่างนั้นๆ'" นี่เป็นวิธีการ ขณะที่ท่านอาศัยอยู่ในแผ่นดินฟีลิสเตีย
12 อาคีชทรงวางพระทัยในดาวิด ด้วยทรงดำริว่า "เขาได้กระทำให้อิสราเอลชนชาติของเขาเกลียดอย่างที่สุด เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นผู้รับใช้ของเราได้ตลอดไป"
1ซามูเอล 28
1 อยู่มาในครั้งนั้น คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกำลัง เพื่อทำสงครามสู้รบกับอิสราเอล และอาคีชตรัสกับดาวิดว่า "จงเข้าใจเถิดว่า ท่านกับคนของท่านจะออกทัพไปกับเรา"
2 ดาวิดทูลอาคีชว่า "ดีทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่าผู้รับใช้ ของฝ่าพระบาทจะกระทำอะไรได้บ้าง" และอาคีชรับสั่งกับดาวิดว่า "ดีแล้ว เราจะให้ท่านเป็นองครักษ์ของเราตลอดชีพ"
3 ฝ่ายซามูเอลได้สิ้นชีพแล้ว และคนอิสราเอลทั้งปวงก็ไว้ทุกข์ให้ ท่านและฝังศพท่านไว้ในเมืองรามาห์ ซึ่งเป็นเมืองของท่านเอง และซาอูลทรงกำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน
4 คนฟีลิสเตียก็ชุมนุมกันและมาตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม และซาอูลทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้น และเขาทั้งหลายตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา
5 เมื่อซาอูลทอดพระเนตรกองทัพของคนฟีลิสเตียก็กลัว และพระทัยของพระองค์ก็หวั่นไหวมาก
6 และเมื่อซาอูลทูลถามพระเจ้า พระเจ้ามิได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม หรือด้วยผู้เผยพระวจนะ
7 ซาอูลจึงรับสั่งกับมหาดเล็กของพระองค์ว่า "จงออกไปหาหญิงที่เป็นคนทรง เพื่อเราจะได้ไปหาและถามเขาดู" และมหาดเล็กก็กราบทูลว่า "ดูเถิด มีหญิงคนทรงคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเอนโดร์"
8 ซาอูลจึงปลอม พระองค์และทรงฉลองพระองค์อย่างอื่นเสด็จออกไป พร้อมกับชายสองคน ไปหาหญิงคนทรงในเวลากลางคืน พระองค์ตรัสว่า "ขอทำนายให้ฉันโดยวิญญาณของคนตาย ฉันจะออกชื่อผู้ใดก็ให้เรียกผู้นั้นขึ้นมา"
9 หญิงคนนั้นจึงทูลตอบพระองค์ว่า "ท่านคงทราบแน่แล้วว่าซาอูลทรงกระทำอะไร ที่ได้กำจัดคนทรงและพ่อมดแม่มดเสียจากแผ่นดิน ทำไมท่านจึงมาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้าเล่า"
10 แต่ซาอูลทรงปฏิญาณกับหญิงนั้นในพระนามของพระเจ้าว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่ถูกโทษเพราะเรื่องนี้แน่ฉันนั้น"
11 หญิงนั้นจึงทูลถามว่า "ท่านจะให้ข้าพเจ้าเรียกใครขึ้นมา" ซาอูลตรัสว่า "เรียกซามูเอลขึ้นมาให้ฉัน"
12 และเมื่อหญิงคนนั้นเห็นซามูเอล จึงร้องเสียงดังและหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า "ไฉนพระองค์จึงทรงล่อลวงหม่อมฉัน พระองค์คือซาอูล"
13 พระราชาตรัสแก่นางว่า "อย่ากลัวเลย เจ้าได้เห็นอะไร" และหญิงนั้นกราบทูลซาอูลว่า "หม่อมฉันเห็นเทพยเจ้าองค์หนึ่งเสด็จขึ้นมาจากแผ่นดิน"
14 พระองค์ถามนางว่า "รูปร่างของเขาเป็นอย่างไร" และนางตอบว่า "เป็นผู้ชายแก่ขึ้นมามีเสื้อคลุมกายอยู่" ซาอูลก็ทรงทราบว่าเป็นซามูเอล พระองค์ทรงโน้มพระกายลงถึงดินกราบไหว้
15 แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า "ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม" ซาอูลทรงตอบว่า "ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว มิได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยผู้เผยพระวจนะหรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอเรียกท่านขึ้นมาเพื่อท่านจะได้แจ้งว่า ข้าพเจ้าจะกระทำประการใดดี"
16 และซามูเอลตอบว่า "ในเมื่อพระเจ้าทรงหันจากท่านเสียแล้ว และเป็นศัตรูของท่าน ท่านจะมาถามข้าพเจ้าทำไมเล่า
17 พระเจ้าได้ทรงกระทำแก่ท่านอย่างที่พระองค์ ตรัสบอกทางข้าพเจ้าแล้วนั้น เพราะพระเจ้าทรงฉีกราชอาณาจักรนั้นออกเสียจากมือ ของท่านและทรงมอบให้แก่คนอื่น คือดาวิด
18 เพราะท่านมิได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า มิได้กระทำตามพระพิโรธของพระองค์ที่ทรงมีต่ออามาเลข ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงกระทำสิ่งนี้แก่ท่านในวันนี้
19 ยิ่งกว่านั้นอีกพระเจ้าจะทรงมอบอิสราเอล พร้อมกับตัวท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย พรุ่งนี้ตัวท่านพร้อมกับบุตรชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา และพระเจ้าจะทรงมอบกองทัพอิสราเอลไว้ในมือของคน ฟีลิสเตียด้วย"
20 แล้วซาอูลก็ทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นดินในทันที กลัวยิ่งนักเพราะถ้อยคำของซามูเอล และไม่มีกำลังเหลืออยู่ในพระองค์ เพราะไม่ได้เสวยมาตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้ว
21 หญิงนั้นก็เข้ามาหาซาอูล และเมื่อนางเห็นว่าพระองค์ตกพระทัยมาก จึงทูลว่า "ดูเถิด ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทก็ย่อมฟังรับสั่งของฝ่าพระบาท ยอมเสี่ยงชีวิต และยอมฟังพระดำรัสที่พระองค์ตรัสสั่งทุกประการ
22 เพราะฉะนั้นขอฝ่าพระบาทจงฟังเสียงผู้รับใช้ของ ฝ่าพระบาทบ้าง ขอหม่อมฉันได้ถวายพระกระยาหารแก่พระองค์สักหน่อยหนึ่ง ขอพระองค์เสวย เพื่อพระองค์จะทรงมีพระกำลังเมื่อกลับตามทางของพระองค์"
23 พระองค์ก็ทรงปฏิเสธ รับสั่งว่า "ไม่กิน" แต่มหาดเล็กกับหญิงนั้นอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเสียงของเขา พระองค์ทรงลุกขึ้นประทับบนเตียง
24 หญิงนั้นมีลูกโคอ้วนอยู่ในบ้านตัวหนึ่ง ก็รีบฆ่าเสีย เอาแป้งมานวดปิ้งทำขนมปังไร้เชื้อ
25 นางก็นำมาถวายแก่ซาอูลและทรงเสวย กับให้มหาดเล็กเขารับประทาน แล้วก็ทรงลุกขึ้นเสด็จกลับไปในคืนนั้น
1ซามูเอล 29
1 ฝ่ายคนฟีลิสเตีย ชุมนุมกำลังทั้งสิ้นอยู่ที่อาเฟก และคนอิสราเอลก็ตั้งค่ายอยู่ที่น้ำพุซึ่งอยู่ในเมือง อิสราเอล
2 เมื่อเจ้านายฟีลิสเตียเดินผ่านไปตามกองร้อยและกองพัน และดาวิดกับคนของท่านก็ผ่านไปเป็นกองหลังกับอาคีช
3 แม่ทัพของคนฟีลิสเตียกล่าวว่า "พวกฮีบรูเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่" และอาคีชก็รับสั่งแก่แม่ทัพคนฟีลิสเตียว่า "นี่คือดาวิดมหาดเล็กซาอูลกษัตริย์อิสราเอลไม่ใช่หรือ เขาอยู่กับเรามาเป็นวันเป็นปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาหนีมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่พบความผิดในตัวเขาเลย"
4 แต่เจ้านายฟีลิสเตียโกรธท่าน และเจ้านายฟีลิสเตียทูลท่านว่า "ขอส่งชายคนนั้นกลับไป เพื่อให้เขากลับไปยังที่ที่ท่านกำหนดให้เขาอยู่ และอย่าให้เขาลงไปรบพร้อมกับเราเกรงว่าเมื่อเรารบกัน เขาจะเป็นศัตรูของเรา เพราะว่าชายคนนี้จะคืนดีกับเจ้านายของเขาได้อย่างไร มิใช่ด้วยศีรษะของคนที่นี่ดอกหรือ
5 คนนี้ดาวิดมิใช่หรือ ซึ่งเขาร้องเพลงขับรำรับกันว่า 'ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ'"
6 อาคีชจึงเรียกดาวิดเข้ามารับสั่งแก่ท่านว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ท่านได้ปฏิบัติตนเป็นคนซื่อสัตย์มาแล้ว สำหรับเรา เราก็เห็นชอบที่ท่านออกทัพไปกับเรา เพราะเราไม่เห็นมีความผิดอันใดในท่านตั้งแต่วันที่ท่าน มาอยู่กับเราจนถึงวันนี้ แต่อย่างไรก็ตามบรรดาเจ้านายไม่เห็นพ้องในเรื่องท่าน
7 ฉะนั้นขอท่านกลับไปเสียจงไปอย่างสันติเถิด เพื่อไม่ให้เป็นที่ขัดใจเจ้านายฟีลิสเตียทั้งหลาย"
8 และดาวิดก็ทูลอาคีชว่า "แต่ข้าพระบาทได้กระทำสิ่งใด หรือฝ่าพระบาทได้พบสิ่งใดในตัวของข้าพระบาท ตั้งแต่วันที่ข้าพระบาทเข้ามารับราชการจนบัดนี้ว่า ข้าพระบาทไม่ควรจะไปรบกับศัตรูของพระราชาเจ้านาย ของข้าพระบาท"
9 อาคีชก็รับสั่งตอบดาวิดว่า "เราทราบแล้วว่าในสายตาของเรา ท่านดีแล้วอย่างทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่บรรดาแม่ทัพแห่งฟีลิสเตียกล่าวว่า 'อย่าให้เขาขึ้นไปในการรบกับเราเลย'
10 เมื่อเป็นอย่างนี้ ขอท่านลุกขึ้นแต่เช้าพร้อมกับพวก พลแห่งนายของท่านคือคนที่มากับท่าน เมื่อพวกท่านลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด พอมีแสงก็จงออกเดิน"
11 ดาวิดจึงลุกขึ้นตั้งแต่มืด คือตัวท่านพร้อมกับคนของท่านเพื่อออกเดินในตอนเช้า กลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย แต่คนฟีลิสเตียขึ้นไปยังยิสเรเอล
1ซามูเอล 30
1 อยู่มาในวันที่สามเมื่อดาวิดกับคนของท่านมาถึง เมืองศิกลาก ปรากฏว่าคนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับปล้นศิกลากแล้ว เขาชนะศิกลากและเผาเสียด้วยไฟ
2 และจับผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นไปเป็น เชลยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ได้ฆ่าผู้ใดเลยแต่กวาดต้อนไปตามทางของเขา
3 เมื่อดาวิดกับคนของท่านมาที่ตัวเมือง ก็เห็นว่าเมืองนั้นถูกเผาด้วยไฟ และภรรยากับบุตรชายบุตรหญิงของเขาก็ถูกกวาดไปเป็นเชลย
4 แล้วดาวิดกับประชาชนที่อยู่กับท่านก็ร้องไห้เสียง ดังจนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก
5 อาหิโนอัมชาวยิสเรเอล และอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคารเมล ภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ถูกกวาดไปเป็นเชลยด้วย
6 และดาวิดก็เป็นทุกข์หนักเพราะประชาชนพูดกันว่า จะขว้างท่าน เสียด้วยก้อนหินด้วยจิตใจของประชาชนต่างก็ขมขื่นมาก เพราะบุตรชายและบุตรหญิงของเขา แต่ดาวิดก็มีกำลังขึ้นในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน
7 ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ ปุโรหิตบุตรของอาหิเมเลคว่า "ขอนำเอโฟดมาให้ข้าพเจ้า" อาบียาธาร์ก็นำเอโฟดมาให้ดาวิด
8 และดาวิดทูลถามพระเจ้าว่า "สมควรที่ข้าพระองค์จะติดตามกองปล้นนี้หรือ ข้าพระองค์จะขับทันเขาหรือ" พระองค์ตอบท่านว่า "จงติดตามเถิด เจ้าจะไปทันเขาแน่ และจะช่วยได้แน่"
9 ดาวิดก็ยกออกติดตามพร้อมกับคนที่อยู่กับท่านหกร้อยนั้น และเขามาถึงลำธารเบโสร์ คนที่ล้าหลังก็พักอยู่ที่นั่น
10 แต่ดาวิดติดตามต่อไป ทั้งตัวท่านและคนสี่ร้อย สองร้อยที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่
11 เขาทั้งหลายพบชาวอียิปต์คนหนึ่งอยู่ที่กลางแจ้ง จึงนำเขามาหาดาวิด ให้ขนมปังและเขาก็รับประทานและให้น้ำเขาดื่ม
12 และให้ขนมมะเดื่อแผ่นหนึ่งกับช่อองุ่นแห้งสองช่อ เมื่อเขารับประทานแล้ว จิตใจของเขาก็ฟื้นขึ้น เพราะเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือ ดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว
13 และดาวิดถามเขาว่า "เจ้าเป็นคนพวกไหน และเจ้ามาจากไหน" เขาตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มชาวอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลข คนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วข้าพเจ้าป่วยนายข้าพเจ้าจึงทิ้งข้าพเจ้าไว้
14 เรามาปล้นที่ถิ่นใต้ของคนเคเรธี และปล้นที่ส่วนของยูดาห์ และที่ถิ่นใต้ของคาเลบ และเราเผาเมืองศิกลากเสียด้วยไฟ"
15 ดาวิดถามเขาว่า "เจ้าจะพาเราลงไปถึงกองปล้นนี้หรือไม่" เขาตอบว่า "ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่า จะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่มอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่กองปล้นนั้น"
16 เมื่อเขาพาท่านลงไปแล้ว ดูเถิด ก็พบเขาทั้งหลายแผ่กันอยู่เต็มดินไปหมด ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะเขาริบได้ข้าว ของมากมายมาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์
17 และดาวิดก็ฆ่าฟันเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลา เย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีชายคนใดหนีรอดไปได้สักคนเดียว เว้นแต่ชายสี่ร้อยคนซึ่งขี่อูฐหนีไป
18 ดาวิดได้สิ่งของต่างๆ ที่คนอามาเลขริบคืนมาทั้งหมด และดาวิดช่วยภรรยาทั้งสองของท่านมาได้
19 ไม่มีอะไรขาดจากท่านไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ บุตรชายหรือบุตรหญิง ในสิ่งที่ริบไปหรือสิ่งที่เขาเหล่านั้นเอาไป ดาวิดได้คืนมาหมด
20 ดาวิดยังจับได้บรรดาฝูงแพะ แกะ ฝูงโค และเขาไล่ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้า ท่านกล่าวว่า "นี่เป็นส่วนหนึ่งของดาวิดริบมา"
21 แล้วดาวิดกลับมายังคน สองร้อยผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามดาวิดไป ซึ่งให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ และเขาก็ออกไปต้อนรับดาวิด และต้อนรับประชาชนที่อยู่กับท่าน เมื่อดาวิดเข้ามาใกล้ประชาชน ท่านก็คำนับเขาทั้งหลาย
22 คนอธรรมและคนถ่อยทั้งสิ้น ในพวกพลที่ติดตามดาวิดไปจึงกล่าวว่า "เพราะเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรากู้มาได้แก่เขาเลย นอกจากให้ต่างคนมาพาภรรยาและบุตรของเขาไปก็แล้วกัน"
23 แต่ดาวิดกล่าวว่า "พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย ท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่เรา ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาเราไว้และทรงมอบกองปล้นซึ่ง มาต่อสู้กับเราไว้ในมือของเรา
24 ในเรื่องนี้ใครจะฟังเสียงของท่าน เพราะคนที่ลงไปรบได้ส่วนแบ่งของเขาอย่างไร คนที่เฝ้ากองสัมภาระอยู่ก็ควรได้ส่วนแบ่งอย่างนั้น ให้เขาทั้งหลายรับส่วนแบ่งเหมือนกัน"
25 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไป ดาวิดก็ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมายแก่ อิสราเอลจนทุกวันนี้
26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลากแล้ว ก็ส่งของที่ริบได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้เพื่อน ซึ่งเป็นพวกผู้ใหญ่ในยูดาห์กล่าวว่า "นี่เป็นของขวัญฝากมาให้ท่านซึ่งเป็นส่วนของของริบจาก ศัตรูของพระเจ้า"
27 คือแก่คนที่อยู่ในเบธเอลในราโมทที่เนเกบ ในยัททีร
28 ในอาโรเออร์ ในสิฟโมท ในเอชเทโมอา
29 ในราคาล ในหัวเมืองของคนเยราเมเอล ในหัวเมืองของคนเคไนต์
30 ในโฮเรมาห์ ในโบราชาน ในอาธาค
31 ในเฮโบรน คือให้แก่ทุกตำบลที่ดาวิดกับคนของท่านได้เคยไปๆมาๆ
1ซามูเอล 31
1 ฝ่ายคนฟีลิสเตียก็ต่อสู้กับคนอิสราเอล และคนอิสราเอลก็หนีคนฟีลิสเตีย ล้มตายอยู่ที่บนภูเขากิลโบอา
2 และคนฟีลิสเตียก็ไล่ทันซาอูลกับพวกราชโอรส และคนฟีลิสเตียก็ฆ่าโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวาราชโอรสของซาอูลเสีย
3 การรบหนักก็ประชิดซาอูลเข้าไป นักธนูมาพบพระองค์เข้า พระองค์ก็บาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของนักธนู
4 แล้วซาอูลรับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า "จงชักดาบออกแทงเราเสียให้ทะลุเถิด เกรงว่าคนที่มิได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาแทงเราทะลุ เป็นการลบหลู่เรา" แต่ผู้ถืออาวุธไม่ยอมกระทำตาม เพราะเขากลัวมาก ซาอูลจึงทรงชักดาบของพระองค์ออกทรงล้มทับดาบนั้น
5 และเมื่อผู้ถืออาวุธเห็นว่า ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็ล้มทับดาบของเขาเองตายด้วย
6 ดังนั้น ซาอูลก็สิ้นพระชนม์ ราชโอรสทั้งสาม และผู้ถืออาวุธของพระองค์ก็สิ้นชีวิต ตลอดจนคนของพระองค์ทั้งสิ้นก็ตายเสียในวันเดียวกัน
7 เมื่อคนอิสราเอลซึ่งอยู่ฟากภูเขาข้างโน้น และผู้ที่อยู่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนเห็นคนอิสราเอลหนีไป และเห็นว่าซาอูลกับราชโอรสของพระองค์สิ้นชีพแล้ว เขาก็ทิ้งบ้านเมืองของเขาเสียหลบหนีไป คนฟีลิสเตียก็เข้ามาอาศัยอยู่ในนั้น
8 อยู่มาในวันรุ่งขึ้น เมื่อคนฟีลิสเตียมาปลดเสื้อผ้าจากคนที่ถูกฆ่า ก็พบพระศพซาอูล และราชโอรสทั้งสามอยู่บนภูเขากิลโบอา
9 เขาจึงตัดพระเศียรของซาอูล และถอดเครื่องอาวุธของพระองค์ออก ส่งผู้สื่อสารออกไปทั่วแผ่นดินฟีลิสเตีย นำเอาข่าวดีไปยังเรือนรูปเคารพ และยังประชาชนของเขา
10 เขาเอาเครื่องอาวุธของพระองค์บรรจุไว้ในวัด ของพระอัชทาโรท และมัดพระศพของพระองค์ไว้กับกำแพงเมืองเบธชาน
11 แต่เมื่อชาวยาเบชกิเลอาดได้ยินว่าคนฟีลิสเตีย กระทำอย่างนั้นกับซาอูล
12 ชายที่กล้าหาญทุกคนก็ลุกขึ้นเดินคืนยังรุ่ง ไปปลดพระศพของซาอูล และศพราชโอรสทั้งสามลงเสียจากกำแพงเมืองเบธชาน และมาที่เมืองยาเบช ถวายพระเพลิงเสียที่นั่น
13 เขาก็เก็บอัฐิไปฝังไว้ที่ใต้ต้นสนหมอกในยาเบช และอดอาหารเจ็ดวัน |