ชัยรัตน์ จิตต์แก้ว - จากนักโหราศาสตร์สู่นักประกาศเพื่อพระคริสต์
ผมชื่อชัยรัตน์ จิตต์แก้ว อายุ 46 ปี ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย เทคโนโลยีสารสนเทศและการตลาดออนไลน์ (Senior Vice President of IT & Marketing Online Development Department) บริษัท มิลเลียไลฟ์ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
จบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยและคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ผ่านหลักสูตรการศึกษาอบรมสัมนาทั้งในและต่างประเทศด้านการบริหารจัดการและด้าน IT หลายหลักสูตร ภรรยาชื่อคุณสุชีดา (สุภาวงศ์วณิช) จิตต์แก้วเรามีบุตรสาว 1 คนชื่อเพ็ญธิดา จิตต์แก้ว อายุ 10 ปี เรียนอยู่โรงเรียนคริสต์ธรรมศึกษา
ผมเขียนคำพยานนี้ขึ้นเพื่อขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงมีเมตตาต่อชีวิตผม และทรงมีกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการเรียกผม ด้วยทรงรู้นิสัยของผมผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์ทรงกำหนดเงื่อนไขชีวิตของผมตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งผมพบว่าความยุ่งยากลำบากในชีวิตวัยเยาว์นั้น ที่แท้เป็นแผนการที่พระเจ้าทรงวาดไว้สำหรับผมโดยเฉพาะ พระองค์ทรงวางเงื่อนไขให้ผมต้องค้นหาความจริงของชีวิตด้วยวิถีทางต่างๆ ให้แจ้งใจก่อน ทรงให้ผมมีข้อมูลในเรื่องชีวิตมากพอที่จะศึกษาเปรียบเทียบด้วยตนเอง เพื่อว่าเมื่อถึงวาระที่พระองค์ทรงสำแดงแก่ผมแล้ว ผมจะได้สิ้นสงสัยและไม่อาจปฏิเสธพระองค์ได้ และนี่คงเป็นพระประสงค์ที่พระองค์ไม่ส่งคริสเตียนไปประกาศกับผมอย่างจริงจังตลอดสี่สิบกว่าปีในชีวิตที่ผ่านมาของผม
|
ชีวิตวัยเด็กของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความยุ่งยากเนื่องจากปัญหาในครอบครัวระหว่างคุณพ่อและคุณแม่ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าและพี่ ๆ น้อง ๆ ในฐานะลูกได้รับในวัยเด็กมีส่วนสำคัญที่หล่อหลอมนิสัยของข้าพเจ้าให้สนใจสงสัยในเรื่องความลึกลับของชีวิตมนุษย์ ข้าพเจ้ามักสงสัยในเรื่องมนุษย์เกิดมาจากไหน.. มนุษย์เกิดมาทำไม..ใครกำหนดแบบแผนชีวิตมนุษย์.. และเป้าหมายของชีวิตมนุษย์คืออะไร..
ข้าพเจ้าพยายามหาคำตอบเหล่านี้ด้วยกำลังและวิธีการของตนเองมาโดยตลอด เมื่อเติบโตขึ้นการแสวงหาคำตอบเรื่องความลึกลับของชีวิตนำข้าพเจ้าเข้าสู่การศึกษาในสาขาความรู้ใหญ่ 2 สาขา นอกเหนือจากการได้รับการศึกษาในโรงเรียนตามขั้นตอนปกติอย่างเด็กทั่วๆไป ข้าพเจ้าศึกษาวิชาโหราศาสตร์ตั้งแต่ปี 2516 เมื่ออายุประมาณ 13-14 ปี และข้าพเจ้าสนใจศึกษาวิชาพุทธศาสนาอย่างจริงจังซึ่งประกอบด้วยภาคปริยัติคือการเรียนรู้ศึกษาพระสูตร และมีการปฏิบัติภาวนาบ้างเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่อายุประมาณ 20 ปี
ยี่สิบกว่าปีกับการเรียนรู้และเก็บสถิติรูปแบบวิถีชีวิตของมนุษย์กับตำแหน่งดวงดาวบนท้องฟ้าในวิธีการทางโหราศาสตร์ หรือที่เรียกว่าการคำนวณดวงชะตา ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นความมหัศจรรย์ของความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งทั้งสองอย่างชัดเจน
|
ในการศึกษาทางโลกข้าพเจ้าจบการศึกษาทางด้านสถิติและคอมพิวเตอร์ ดังนั้นข้าพเจ้าเข้าใจดีถึงเรื่องของความสัมพันธ์โดยบังเอิญกับเรื่องของความสัมพันธ์ที่มีแบบแผนที่สามารถพยากรณ์หรือคาดการณ์ไปข้างหน้าได้ ในที่สุดข้าพเจ้าต้องยอมรับกับตัวเองว่าการที่จะอธิบายสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบในโหราศาสตร์นั้น วิธีที่ตรงมากที่สุดคือต้องยอมรับว่าจักรวาล โลก และมนุษย์ ถูกสร้างขึ้นอย่างมีแบบแผนและมีจุดมุ่งหมายโดยใครบางคน... ใครบางคนนี้เป็นผู้มีสติปัญญาลึกล้ำเหลือที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้ ท่านผู้นี้อาจเป็นองค์ที่คนไทยทั่ว ๆ ไปเรียกว่าพระพรหม แต่ข้าพเจ้าโน้มเอียงที่จะเรียกท่านว่า พระเจ้า
..ข้าพเจ้าเชื่อเองว่ามีพระเจ้าแต่ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า ข้าพเจ้าไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้านอกจากการยอมรับในประจักษ์พยานที่พระองค์แสดงไว้ในภาคพื้นฟ้าซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตมนุษย์ที่ผ่านมือข้าพเจ้าในโหราศาสตร์ ข้าพเจ้าต้องการหายสงสัยในเรื่องนี้แต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร...
แต่ พระเจ้า เป็นคำที่ถูกปฏิเสธในบริบทของพุทธศาสนา ข้าพเจ้าถูกสอนให้เชื่อในหลักว่า ตนนั้นแลย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน; ตนที่ฝึกดีแล้วเป็นที่พึ่งอันยอดเยี่ยมกว่าที่พึ่งใด ๆ ในโลก; และชีวิตย่อมเวียนว่ายตายเกิดเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำกันมา แต่หากว่าความเชื่อนี้เป็นความจริงแล้ว ใครเล่าที่ได้วางระเบียบของสิ่งเหล่านี้ไว้ ใครเล่าจึงขีดแผนที่ชีวิตไว้ให้ล้อกันกับผืนฟ้า หรืออีกนัยหนึ่งใครเล่าวาดผืนฟ้าไว้ให้ล้อกันกับวิถีชีวิตมนุษย์.. ลำพังศักยภาพของมนุษย์ทำสิ่งเหล่านี้เองไม่ได้แน่นอน แต่ใครเล่าที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการกระทำสิ่งเหล่านี้..
แต่การยืนยันปฏิเสธพระเจ้าในบริบททางศาสนานั้นกลับทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกลำบากใจมากขึ้นทุกทีเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าประจักษ์จากวิชาโหราศาสตร์นั้นยืนยันความคิดข้าพเจ้าว่ามีพระผู้สร้างหรือพระเจ้า และพระเจ้าต้องไม่ใช่เป็นเพียงกฎธรรมชาติ พระเจ้าจะต้องเป็นบุคคลที่เหนือไปกว่ากฏธรรมชาติ ในเวลาเดียวกันข้าพเจ้าก็เริ่มเป็นกังวลว่าหากมีพระเจ้าจริง ศาสนาและการปฎิบัติตามคำสอนในศาสนาของข้าพเจ้าที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าจะไม่เหลวเปล่าหรือ..
การศึกษาเพื่อแสวงหาคำตอบของชีวิตนานนับสิบ ๆ ปีของข้าพเจ้าได้มาถึงจุดขัดแย้งกันเองอย่างวิกฤติ ข้าพเจ้าไม่สามารถหาข้อสรุปให้แก่ชีวิตได้ ความจริงที่ข้าพเจ้าประสบอยู่มีขอบเขตเกินกว่าสติปัญญาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกเปล่าเปลี่ยวและเหมือนถูกจับแขวนลอยอยู่ในอากาศ"
นี่ทำข้าพเจ้าตระหนักในความเขลาของสติปัญญามนุษย์คือตัวข้าพเจ้าเอง ในเวลานั้นข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะปรึกษากับใครเพราะพระสงฆ์ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือมากและข้าพเจ้ามีความคุ้นเคยเป็นส่วนตัวนั้นก็ได้มรณภาพไปแล้ว และไม่มีใครเลยในแวดวงที่ข้าพเจ้ารู้จัก ที่จะเป็นผู้มีประสบการณ์ร่วมกับข้าพเจ้าในสองศาสตร์อย่างลึกซึ้งถึงขนาดจะแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์กันได้ ขณะเดียวกันลูกสาวคนเดียวของข้าพเจ้าก็เริ่มโตขึ้น... ด้วยการเห็นความจำเป็นในการปลูกฝังหลักศาสนาตั้งแต่วัยเด็ก ข้าพเจ้าพาเธอไปวัดใกล้บ้าน ทั้งนี้เพื่อปลูกฝังกิจกรรมและบรรยากาศทางศาสนาให้เธอ แต่เมื่อได้คลุกคลีกับวัดต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้บ้านมากขึ้น ข้าพเจ้าเริ่มมีปัญหาในใจในเรื่องรูปแบบกิจกรรมศาสนา ตลอดจนสภาพแวดล้อมหลาย ๆ อย่าง... หลายสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นทำให้ข้าพเจ้าอึดอัดใจ ในที่สุดข้าพเจ้าปฏิเสธวัด...
การปฎิเสธวัดเป็นประเด็นสำคัญสำหรับข้าพเจ้าทีเดียว เพราะเกิดคำถามในใจขึ้นมาว่าข้าพเจ้าจะสร้างภูมิคุ้มกันวิถีชีวิตแบบวัตถุนิยมที่แพร่ไปอย่างน่ากลัวให้แก่ลูกสาวได้อย่างไร... การก่อร่างสร้างชีวิตลูกสาวคนเดียวขึ้นมาให้เป็นมนุษย์ที่มีความสุขในอนาคตด้วยการปลูกฝังหลักศาสนาตั้งแต่เด็ก ๆ กลับไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเสียแล้ว... เรื่องนี้เป็นปัญหาคาใจข้าพเจ้ามาโดยตลอด...
พระเจ้าที่แท้จริง...?
แต่จิตวิญญาณในการแสวงหาคำตอบเรื่องชีวิตของข้าพเจ้ายังคงผลักดันข้าพเจ้าอยู่ และอาจเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา...อยากรู้ว่าศาสนาที่เชื่อในพระเจ้าเขาสอนอะไรกัน...
|
ข้าพเจ้าจึงได้ตัดใจวางคัมภีร์พุทธศาสนาลงก่อน และเริ่มเปิดใจค้นคว้าศาสนาฮินดูจากคัมภีร์ภควัตคีตา (BHAGAVAD GITA) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคัมภีร์หลักของศาสนานั้น ทั้งนี้เพราะศาสนาฮินดูมีอิทธิพลต่อพุทธศาสนาค่อนข้างมากและศัพท์แสงที่ใช้ในทั้งสองศาสนาก็มีความละม้ายคล้ายคลึงกันอยู่หลายเรื่อง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้รู้จักบุคคลิกภาพของพระเจ้าในศาสนาฮินดูก่อน....
ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าพยายามแสวงหาความรู้เรื่องพระเจ้าของศาสนาอิสลามจากเพื่อนฝูงและคนรู้จักที่เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลาม ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้รู้ในศาสนานั้นเท่าที่พอจะหาอ่านได้ ข้าพเจ้าเริ่มเข้าใจเรื่องของโองการ (ซูเราะห์) ของพระเจ้า และอรรถกถาของศาสนาจารย์ (หะดีษ) ข้าพเจ้าจึงได้เริ่มรู้จักพระเจ้าในศาสนานั้นขึ้นมาบ้างอย่างเลาๆรางๆ ... แต่คำตอบอันเด็ดขาดเรื่องพระเจ้าก็ยังคงมาไม่ถึงข้าพเจ้า... |
จวบจนกลางปี 2001 (พ.ศ. 2544) ข้าพเจ้าได้งานใหม่โดยได้ย้ายมาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีและสารสนเทศของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ขณะนั้นบริษัทมีที่ทำการอยู่ที่ถนนสุรวงศ์ใกล้ถนนสีลม..วันที่ 30 สิงหาคม 2001 เป็นวันพฤหัสบดี เวลาเที่ยงเศษ หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ข้าพเจ้าเดินเล่นไปในซอยเล็ก ๆ ซึ่งเชื่อมโยงถึงกันไปมาในย่านนั้น ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่คุ้นเคยในตรอกซอยเหล่านั้นจนไปพบร้านหนังสือร้านหนึ่งชื่อ ประเสริฐบรรณาคาร
เหตุว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ที่มีนิสัยรักการอ่าน ข้าพเจ้าจึงได้เดินเข้าไปในร้านหนังสือร้านนั้น... เมื่อเข้าไปในร้านจึงรู้ว่าเป็นร้านหนังสือคริสเตียน ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบพระคริสตธรรมคัมภีร์อย่างไม่คาดฝัน ข้าพเจ้าจึงได้ซื้อพระคัมภีร์มาเล่มหนึ่ง และตั้งใจว่าจะเริ่มอ่านก่อนนอนในคืนวันนั้น... ข้าพเจ้ากระหายอยากรู้เรื่องการสร้างโลก และการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าในคริสตศาสนา...
วันนั้นข้าพเจ้ากลับบ้านค่ำมากและรู้สึกเหนื่อยและตึงเครียดกับงานที่ทำมาตลอดวัน เมื่อรับประทานอาหารค่ำแล้วสักพักหนึ่งก็ได้เวลานอน ข้าพเจ้าจึงนำพระคัมภีร์ขึ้นไปบนห้องนอนด้วยเพื่อที่จะอ่าน แต่ปรากฎว่าข้าพเจ้าเหนื่อยเกินกว่าจะอ่านหนังสือต่อได้ ข้าพเจ้าจึงปิดไฟเพื่อเข้านอน แต่แล้วข้าพเจ้าได้ฉุกใจคิดขึ้นว่า... ข้าพเจ้ากำลังจะได้ทำความรู้จักกับพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง ของอีกศาสนาหนึ่งแล้ว... รวมเป็นสามพระเจ้าแล้ว... หากพระเจ้ามีจริงอย่างที่ข้าพเจ้าเชื่อแล้ว ใครคือพระเจ้าองค์จริงและเที่ยงแท้กันแน่...
ในอดีต ข้าพเจ้าได้เคยฝึกหัดทางจิตตภาวนามาบ้าง ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นนั่งสำรวมจิตและอธิษฐานในใจว่า... ถ้าพระเจ้ามีจริงขอให้พระองค์สำแดงให้ข้าพเจ้ารู้จักด้วยเถิด ข้าพเจ้าค้นหาความหมายของชีวิตมาหลายสิบปีแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีพระเจ้า แต่พระองค์คือใครกันแน่... บัดนี้ข้าพเจ้าอับจนหนทางแล้ว... และข้าพเจ้าอยากรู้ความจริง ขอโปรดสำแดงให้ข้าพเจ้ารู้ด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะได้เคารพบูชาต่อไปในชีวิต ทั้งของข้าพเจ้าเองและสำหรับลูกสาวของข้าพเจ้าด้วย... จากนั้นข้าพเจ้าจึงล้มตัวลงนอนและหลับไปอย่างรวดเร็ว...
พระเจ้าทรงตรัสกับข้าพเจ้า...
ตกดึกคืนนั้นเวลาประมาณ 2 นาฬิกาเศษข้าพเจ้าได้รับนิมิตในความฝันที่ชัดเจนติดตามากที่สุด ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองยืนอยู่ในที่แห่งหนึ่งที่มีอากาศเย็นสบายและมีสีทองสว่างสุกใสรอบตัวยิ่งกว่าอยู่ในร้านขายทองเสียอีก รอบตัวของข้าพเจ้ามีแต่ก้อนเมฆสีทองสุกปลั่ง เต็มไปหมด ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังออกมาจากก้อนเมฆสีทองด้านหน้าข้าพเจ้าว่า จงเปิดอ่านพระคัมภีร์หน้าสองร้อยสามสิบ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนั้นสองครั้ง เสียงนั้นเป็นเสียงที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดมาก จากนั้นได้บังเกิดเป็นตัวเลข 230 ทำด้วยทองคำขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นที่ก้อนเมฆข้างหน้าข้าพเจ้า ทันใดนั้นตัวเลขสีทองนั้นและก้อนเมฆสีทองรอบ ๆ ตัวข้าพเจ้าก็เริ่มเคลื่อนตัวบีบรัดเข้ามายังข้าพเจ้าจนคลุมตัวข้าพเจ้าแน่นหนา แล้วข้าพเจ้าจึงตกใจตื่นขึ้นกลางดึกนั้นเอง
|
ข้าพเจ้าเปิดไฟฟ้าสำหรับอ่านหนังสือและรีบหยิบพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่ข้างเตียงมาเปิดไปที่หน้า 230 ชะรอยพระเจ้าทรงทราบว่าข้าพเจ้าไม่มีความรู้เรื่องระบบการจัดเล่มพระธรรมในพระคัมภีร์จึงตรัสบอกเลขหน้าให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มอ่านอย่างตื่นเต้นและในที่นั้นข้าพเจ้าพบคำตรัสของพระเจ้าว่า...
จงรวมประชากรให้เข้ามาหน้าเราเพื่อเราจะให้เขาได้ยินคำของเราเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ฝึกตนที่จะยำเกรงเราตลอดวันคืนที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกและเพื่อว่าเขาจะได้สอนลูกหลานของเขาด้วย (เฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 4 ข้อ10)
|
และมีอีกตอนหนึ่งในหน้านั้นว่า แล้วพระเจ้าตรัสกับท่านทั้งหลายออกมาจากท่ามกลางเพลิงท่านทั้งหลายได้ยินสำเนียงพระวจนะแต่ไม่เห็นรูปสัณฐานมีแต่พระสุรเสียงเท่านั้น (เฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 4 ข้อ12) ข้าพเจ้าอ่านต่อไปเรื่อยๆข้ามไปยังหน้า 231 ซึ่งเป็นหน้าขวามือของหน้า 230 จนไปหยุดลงที่ประโยคที่เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า เหตุฉะนั้นจงทราบเสียในวันนี้ และตรึกตรองอยู่ในใจว่า พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์เบื้องบน และบนแผ่นดินเบื้องล่าง หามีพระเจ้าอื่นใดอีกไม่เลย (เฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 4 ข้อ39) ข้าพเจ้าตื่นเต้นจนขนลุก..
และฉับพลันนั้นเองที่ข้าพเจ้าตระหนักว่าพระเจ้ามีจริงและพระองค์คือพระเจ้าที่ปรากฎอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นเอง พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ต่อข้าพเจ้า ทรงตอบคำอธิษฐานและแก้ปัญหาคาใจของข้าพเจ้าทั้งเรื่องความสงสัยในพระเจ้าหรือสัจจธรรมของชีวิตที่ข้าพเจ้าแสวงหามานับสิบๆปีรวมทั้งเรื่องการปลูกฝังศาสนาให้ลูกสาวข้าพเจ้าด้วย ใจของข้าพเจ้าสว่างโล่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ข้าพเจ้าไม่ลังเลสงสัยในเรื่องพระเจ้าอีกต่อไป ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นปีติยินดีในนิมิตนั้น ความคิดในขณะนั้นคือพระเจ้ามีจริง พระเจ้าสร้างทุกสิ่ง พระเจ้าวาดฟ้าสวรรค์ และพระเจ้าทรงดูแลเลี้ยงชีวิตของเรา ตามน้ำพระทัยของพระองค์.. แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าควรทำอย่างไรเพื่อการมีชีวิตต่อไปโดยมีพระเจ้า พร้อม ๆ กันนั้นข้าพเจ้ารู้สึกใจหายเมื่อคิดถึงการเปลี่ยนไปถือศาสนาที่มีพระเจ้าในชีวิตจริง..
พระเจ้าทรงนำ...
วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้ากลับไปที่ร้านหนังสือนั้นอีกเพื่อขอความเห็นจากผู้ดูแลร้านที่เป็นคริสเตียน เธอรับฟังเรื่องของข้าพเจ้าด้วยความตื่นเต้นและบอกว่า พระเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าออกมาให้ได้รับความรอด ข้าพเจ้าถามว่า ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไร เธอตอบว่า ข้าพเจ้าต้องไปที่โบสถ์เพื่อรับเชื่อพระเจ้าโดยต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้ายังรู้สึกสับสนงงงัน เมื่อเธอพูดถึงพระเยซูว่าคือพระเจ้าและเป็นพระเจ้าองค์เดียวกับที่ทรงตรัสกับข้าพเจ้าในนิมิต และเนื่องจากบ้านพักอาศัยของข้าพเจ้าอยู่ในย่านถนนพัฒนาการ เธอจึงได้แนะนำที่ตั้งของคริสตจักรในซอยอ่อนนุชให้ข้าพเจ้าและบอกให้ข้าพเจ้ารีบไปในวันอาทิตย์นั้นเลย
เย็นวันนั้นเมื่อกลับถึงบ้านข้าพเจ้าบอกเรื่องนี้กับภรรยาว่าเราจะหาโอกาสไปเที่ยวที่โบสถ์คริสต์ที่ซอยอ่อนนุชกันในวันอาทิตย์หน้าเพราะวันอาทิตย์สุดสัปดาห์นั้นข้าพเจ้าไม่ว่าง แต่นี่ยังไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง ปัญหาที่แท้จริงคือข้าพเจ้าไม่รู้จักธรรมเนียมการไปโบสถ์ของชาวคริสต์ และข้าพเจ้าไม่รู้จักใครเลยที่จะไต่ถามได้... ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรดี...
แต่พระเจ้าไม่ทรงปล่อยงานที่ยังกระทำไม่เสร็จไว้กับข้าพเจ้าแต่เพียงลำพัง วันเสาร์รุ่งขึ้นนั้นเองพระเจ้าทรงส่งฑูตของพระองค์มาหาข้าพเจ้าเพื่อนำทางให้ข้าพเจ้ามาพบพระองค์..
ในซอยบ้านข้าพเจ้านั้นมีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่สุดซอย เจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้หญิงเป็นครูสอนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง (ภายหลังจึงได้รู้จักว่าท่านชื่ออาจารย์นันทิยา) ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักท่านโดยส่วนตัวมาก่อน ท่านเดินผ่านหน้าบ้านข้าพเจ้าบ่อยๆ แต่เราไม่เคยคุยกัน บางครั้งท่านทักทายยิ้มหัวหยอกเล่นกับลูกสาวของข้าพเจ้าที่วิ่งเล่นอยู่ เราจึงได้ยิ้มทักทายกันบ้าง.. แต่พระเจ้าทรงนำท่านให้ได้พบกับภรรยาของข้าพเจ้าในวันเสาร์นั้นเองและเธอทั้งสองได้คุยกัน ในที่สุดภรรยาข้าพเจ้าจึงได้ทราบว่าท่านเป็นคริสเตียน
เมื่อทราบดังนั้น ภรรยาข้าพเจ้าจึงตามข้าพเจ้าออกมาพบท่าน ข้าพเจ้าได้ทำความรู้จักกับท่านและได้เล่านิมิตของข้าพเจ้าให้ท่านฟัง และขอความรู้เรื่องการไปโบสถ์ของชาวคริสต์จากท่าน ท่านได้บอกว่าท่านขออาสาพาข้าพเจ้าไปโบสถ์ที่ใกล้บ้านของเรานั่นคือคริสตจักรร่มเย็น เราจึงนัดวันไปโบสถ์กันไว้เป็นวันอาทิตย์ถัดไป โดยข้าพเจ้าจะขับรถไปรับท่านที่บ้านสุดซอย แต่ครั้นถึงวันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2001 (2544) ท่านกลับเป็นฝ่ายเดินมาที่บ้านของข้าพเจ้าเสียเองตั้งแต่เช้าเพื่อพาข้าพเจ้าไปโบสถ์...
"ข้าพเจ้าจึงได้มาที่ คริสตจักรร่มเย็น พัฒนาการซอย 17 เป็นครั้งแรกในวันนั้น และก็ในขณะที่นิมิตของพระเจ้ายังติดตาตรึงใจข้าพเจ้าอยู่อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า นับจากนั้นมาข้าพเจ้าก็พยายามหาทางรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้าให้มากขึ้นด้วยการอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์... ข้าพเจ้าพยายามอ่าน และศึกษาพระคัมภีร์เท่าที่จะสามารถจัดสรรเวลาได้ และข้าพเจ้าอาศัยบทเรียนพระคัมภีร์ทางไปรษณีย์เป็นแผนที่นำทางในการศึกษาด้วย...
การแสวงหาสิ้นสุดลงแล้ว...
ผลของการใช้เวลานับสิบ ๆ ปีในการค้นหาคำตอบเรื่องความจริงของชีวิตหรือการแสวงหาพระเจ้าในชีวิตอย่างกระหายใคร่รู้ กับผลแห่งพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงประทานนิมิตแก่ข้าพเจ้านั้นเมื่อรวมกันเข้าแล้วทำให้ข้าพเจ้าสามารถกล่าวได้ว่า การค้นหาจุดหมายในชีวิตของข้าพเจ้าได้สิ้นสุดลงแล้วอย่างสิ้นเชิง
|
ไม่มีการค้นหาสัจธรรมแห่งชีวิต และไม่มีการค้นหาพระเจ้าอีกต่อไปในชีวิตของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าพบแล้วว่าพระเจ้าแห่งจักรวาลหรือพระผู้สร้างทรงมีอยู่จริง พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ในวันนี้ และมนุษย์ทุกคนควรที่จะรู้จักพระองค์และยึดถือพระองค์เป็นที่พึ่งที่หวังพระองค์เดียวในชีวิต...
ระบบความคิดต่าง ๆ ของศาสนา ของนักปรัชญา และของนักปราชญ์มนุษย์นั้น ไม่ดึงดูดใจข้าพเจ้าอีกต่อไป ข้าพเจ้าพบว่าเมื่อข้าพเจ้าย้อนกลับไปอ่านหนังสือแนวศาสนาปรัชญาที่สะสมไว้มากมายนั้น ข้าพเจ้าอ่านอย่างไม่มีรส มันจืดชืดและแห้งแล้งไปหมด ถึงแม้หลายมุมมองและหลายแนวคิดอาจสะท้อนถึงความจริงที่ยอมรับได้ แต่ก็เป็นเพียงความจริงที่สังเกตุและสรุปโดยวิสัยทัศน์และประสบการณ์ทางจิตของมนุษย์เท่านั้น...
|
ทุกการค้นพบทางศาสนาและปรัชญาของมนุษย์ล้วนมีเงื่อนไขและขีดจำกัด เป็นแอกและภาระอันหนักที่จะปฏิบัติตาม ไม่มีชีวิตและไม่มีความหวังอันแท้จริงถาวรของชีวิตอยู่ในนั้น... ไม่เหมือนการอ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ ซึ่งให้ทั้งความจริง ความหวัง และความมั่นคงของชีวิตอันเป็นนิรันดร์ภายใต้ร่มเงามหิทธานุภาพของพระเจ้าผู้เที่ยงแท้สูงสุดที่ทรงตรัสกับข้าพเจ้า... นี่คือความจริงที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาด้วยตัวเอง...
จากนั้นเป็นต้นมาชีวิตของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไป... นับสิบๆปีที่ผ่านมานอกจากการดิ้นรนประกอบอาชีพเลี้ยงตัวและครอบครัวแล้ว ข้าพเจ้ามีชีวิตสนใจอยู่กับการค้นคว้าหาความรู้ในระบบความคิดของนักคิดต่างๆ ข้าพเจ้ามักใช้เวลาใคร่ครวญเหตุผลในเชิงพุทธ-ปรัชญาทั้งหินยานและมหายานด้วยความศรัทธา
ข้าพเจ้าเคยได้รับความสงบสุขเยือกเย็นจากการทำจิตตภาวนาแต่ก็พบว่านั่นไม่ใช่รูปแบบชีวิตอันจะดำเนินไปได้จริงโดยมนุษย์ธรรมดาทั่วไป... ข้าพเจ้าได้พยายามฝึกหัดขัดเกลาตนเองในรูปแบบที่ฆราวาสพอจะกระทำได้จริง ควบคู่ไปกับการอยู่ในห้องสังเกตุการณ์ชีวิตมนุษย์จำนวนมากโดยใช้วิชาโหราศาสตร์เป็นเครื่องมือ...แต่ความทุกข์ความกังวลก็ยังมาเยือนข้าพเจ้าอยู่นั่นเอง...
แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีชีวิตใหม่ที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของสมองหรือเหตุผลนิยม ทั้งไม่ได้ตั้งอยู่บนความเป็นไปของสภาวะของจิตระดับต่าง ๆ หรือจิตนิยม หากแต่ตั้งมั่นอยู่บนฐานของความเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และจักรวาล เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเข้าใจเรื่องความบาป และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าบาปของข้าพเจ้าได้รับการชำระหมดสิ้นแล้วด้วยพระโลหิตบนกางเขนของพระเยซูคริสต์...
ในที่สุด ข้าพเจ้าได้รับบัพติศมาที่คริสตจักรร่มเย็นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2002 (2545)
โดยความเชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์นี้เองกลับทำให้ข้าพเจ้ามีชีวิตมีความสุขและมีความหวังมากกว่าเดิม... แอกและภาระหนักในการขัดเกลาตัวเองในรูปแบบเดิมๆนั้นข้าพเจ้าได้วางลงเสียทั้งหมด ข้าพเจ้ารู้สึกเบาสบายหายเหนื่อยและเป็นสุข...
ข้าพเจ้าเคยดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง ข้าพเจ้าเคยขวนขวายเตรียมตัว วางแผน และแก้ปัญหาในเรื่องต่างๆด้วยสติปัญญาของตนเอง อย่างที่คนทั้งหลายกระทำกัน ซึ่งนั่นล้วนอยู่บนหลักการที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่นั่นคือแอกและภาระที่เหน็ดเหนื่อยสำหรับชีวิต บัดนี้ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเจ้าทรงรักข้าพเจ้าและพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีให้แก่ข้าพเจ้าเสมอ
ข้าพเจ้าวางใจในการทรงนำของพระเจ้า พระบิดาของข้าพเจ้า... นี่คือภาพเดียวกันกับที่ลูกสาวของข้าพเจ้าจูงมือกับข้าพเจ้าเดินไปด้วยกัน เธอไม่ต้องกังวลว่าเราจะไปไหนกัน และมีอะไรรอเธออยู่ข้างหน้า ตราบใดที่มือของเธออยู่ในมือของคนที่เธอเรียกว่าพ่อนั้น เธอแน่ใจได้ว่าจะมีแต่สิ่งที่ดีเท่านั้นที่พ่อของเธอจะนำเธอไปพบ...
สำหรับวิชาโหราศาสตร์ซึ่งนำข้าพเจ้าในเบื้องต้นมาสู่พระเจ้านั้นข้าพเจ้าได้เห็นมันในมุมมองใหม่กล่าวคือ ข้าพเจ้ามองเห็นหมายสำคัญของพระเจ้าผ่านโหราศาสตร์ และข้าพเจ้าสรุปว่าถึงแม้โหราศาสตร์สามารถสะท้อนภาพชีวิตของมนุษย์ตามพระดำริของพระเจ้าได้จริง แต่พระเจ้าทรงอยู่เหนือนั้นขึ้นไปอีก การยึดถือในพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิต...
และสำหรับคนหลายๆคนแล้ว...บางทีการไม่ต้องรู้อะไรล่วงหน้าก็เป็นการดีกับชีวิตเสียยิ่งกว่า เพราะทำให้เขาไม่ต้องเป็นธุระกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง... อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าได้เห็นพระสิริของพระเจ้าผ่านโหราศาสตร์อย่างชัดเจนที่สุด อย่างที่พระคัมภีร์บอกว่า...
ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้าและภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์
(สดุดี 19:1)
โหราศาสตร์ยืนยันกับข้าพเจ้าโดยไม่มีข้อแก้ตัวเลยว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างกัลปจักรวาล พระองค์ทรงสร้างท้องฟ้า ดวงดาว และสรรพชีวิต พระองค์ทรงวางกฏเกณฑ์สำหรับการกำกับดูแล และที่สำคัญพระองค์ทรงมีวาระและกำหนดเวลาในเรื่องต่างๆสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น... เป็นวาระของพระองค์... เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์... และทรงกระทำการต่างๆด้วยวิธีการและพระปัญญาอันแยบยลลึกซึ้งของพระองค์ อันมนุษย์ไม่อาจหยั่งให้ตลอดได้ ..
พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้ยืนยันความจริงทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้แสวงหามาตลอดชีวิต...
พระคุณพระเจ้า....
ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับความเมตตาของพระองค์ และกำหนดเวลาที่เหมาะสมที่พระองค์ทรงประทานให้แก่ข้าพเจ้า... พระเจ้าทรงรู้นิสัยของข้าพเจ้าผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์ทรงกำหนดเงื่อนไขชีวิตเพื่อให้ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาค้นหาสิ่งต่างๆให้แจ้งใจก่อน เพื่อให้ข้าพเจ้ามีข้อมูลในชีวิตมากพอที่จะเปรียบเทียบด้วยตนเอง เพื่อว่าเมื่อถึงวาระที่พระองค์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะได้สิ้นสงสัย และไม่อาจปฎิเสธพระองค์ได้ และนี่คงเป็นพระประสงค์ที่พระองค์ไม่ส่งคริสเตียนไปประกาศกับข้าพเจ้าอย่างจริงจังตลอดสี่สิบกว่าปีในชีวิตที่ผ่านมาของข้าพเจ้า...
...ข้าแต่พระเจ้าผู้สูงสุด ข้าแต่พระเยซูคริสต์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอขอบพระคุณที่ทรงเรียกข้าพระองค์ออกมาให้ได้รับความรอด... ข้าพระองค์คือใครเล่าที่พระองค์ได้ทรงรักและทรงเอาพระทัยใส่อย่างเจาะจงถึงเพียงนี้ ... ข้าพระองค์คือผงคลีดินท่ามกลางมหาสาครและพิภพปฐพีอันไพศาลที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นเท่านั้นเองมิใช่หรือ...พระองค์เจ้าข้า... ขอพระนาม พระเกียรติ พระสิริของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะบูชาแก่มนุษย์ทั้งหลายสืบไปเป็นนิตย์ - อาเมน...ชัยรัตน์ จิตต์แก้ว
โดย : ชัยรัตน์ จิตต์แก้ว |