กันดารวิถี
กันดารวิถี 1
1 ณวันที่หนึ่งเดือนที่สองปีที่สอง ตั้งแต่เขาทั้งหลายออกจากประเทศอียิปต์ พระเจ้าตรัสกับโมเสสในเต็นท์นัดพบ ณถิ่นทุรกันดารซีนายว่า
2 "เจ้าจงทำสำมะโนครัว ชุมนุมชน อิสราเอลทั้งหมดตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน
3 เจ้ากับอาโรนจงนับทุกคนในอิสราเอลซึ่งออกรบได้ อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปไว้เป็นกองๆ
4 และให้มีชายจากทุกเผ่ามาอยู่กับเจ้าเผ่าละคน แต่ละคนให้เป็นหัวหน้าในครอบครัวของตน
5 และชื่อชายทั้งปวงที่จะช่วยเจ้านั้น คือเอลีซูร์บุตรเชเดเออร์ จากเผ่ารูเบน
6 เชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัย จากเผ่าสิเมโอน
7 นาโชนบุตรอัมมีนาดับ จากเผ่ายูดาห์
8 เนธันเอลบุตรศุอาร์ จากเผ่าอิสสาคาร์
9 เอลีอับบุตรเฮโลน จากเผ่าเศบูลุน
10 จากเผ่าพันธุ์ของโยเซฟ มีเอลีชามา บุตรอัมมีฮูด จากเผ่าเอฟราอิม และกามาลิเอลบุตรเปดาซูร์จากเผ่ามนัสเสห์
11 อาบีดันบุตรกิเดโอนี จากเผ่าเบนยามิน
12 อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัย จากเผ่าดาน
13 ปากีเอลบุตรโอคราน จากเผ่าอาเชอร์
14 เอลียาสาฟบุตรเดอูเอล จากเผ่ากาด
15 อาหิราบุตรเอนัน จากเผ่านัฟทาลี"
16 คนเหล่านี้เป็นคนที่ชุมนุมชนเลือกให้เป็นประมุข แห่งเผ่าของบรรพบุรุษของเขาเป็นหัวหน้าพงศ์พันธุ์คนอิสราเอล
17 โมเสสและอาโรนได้นำคนเหล่านี้ที่ระบุชื่อมาแล้ว
18 และในวันที่หนึ่งเดือนที่สองคนเหล่านี้ก็เรียก ประชุมชนทั้งหมด เขามาขึ้นทะเบียนตามตระกูลและตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อเรียงตัวคนทั้งปวงที่มีอายุ ตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป
19 ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสไว้ ท่านจึงนับคนที่ถิ่นทุรกันดารซีนายดังนี้
20 คนเผ่ารูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอล ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออกรบได้ทั้งหมด
21 จำนวนคนในเผ่ารูเบนเป็นสี่หมื่นหกพันห้าร้อยคน
22 คนเผ่าสิเมโอน ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ทุกคนที่เขานับตามจำนวนรายชื่อผู้ชายเรียงตัวทุกคน ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ที่ออกรบได้ทั้งหมด
23 จำนวนคนในเผ่าสิเมโอนเป็นห้าหมื่นเก้าพันสามร้อยคน
24 คนเผ่ากาด ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ออก รบได้ทั้งหมด
25 จำนวนคนในเผ่ากาดเป็นสี่หมื่นห้าพันหกร้อยห้าสิบคน
26 คนเผ่ายูดาห์ ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ที่ออกรบได้ทั้งหมด
27 จำนวนคนในเผ่ายูดาห์เป็นเจ็ดหมื่นสี่พันหกร้อยคน
28 คนเผ่าอิสสาคาร์ ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ที่ออกรบได้ทั้งหมด
29 จำนวนคนในเผ่าอิสสาคาร์เป็นห้าหมื่นสี่พันสี่ร้อยคน
30 คนเผ่าเศบูลุน ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปที่ ออกรบได้ทั้งหมด
31 จำนวนคนในเผ่าเศบูลุนเป็นห้าหมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยคน
32 คนพงศ์พันธุ์โยเซฟ คือคนเผ่าเอฟราอิม ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ที่ออกรบได้ทั้งหมด
33 จำนวนคนเผ่าเอฟราอิมเป็นสี่หมื่นห้าร้อยคน
34 คนเผ่ามนัสเสห์ ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ที่ออกรบได้ทั้งหมด
35 จำนวนคนในเผ่ามนัสเสห์เป็นสามหมื่นสองพันสองร้อยคน
36 คนเผ่าเบนยามิน ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ที่ออกรบได้ทั้งหมด
37 จำนวนคนในเผ่าเบนยามินเป็นสามหมื่นห้าพันสี่ร้อยคน
38 คนเผ่าดาน ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ที่ออกรบได้ทั้งหมด
39 จำนวนคนในเผ่าดานเป็นหกหมื่นสองพันเจ็ดร้อยคน
40 คนเผ่าอาเชอร์ ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ที่ออกรบได้ทั้งหมด
41 จำนวนคนในเผ่าอาเชอร์เป็นสี่หมื่นหนึ่งพันห้าร้อยคน
42 คนเผ่านัฟทาลี ชาติพันธุ์ของเขาตามตระกูลตามครอบครัว ตามจำนวนรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ที่ออกรบได้ทั้งหมด
43 จำนวนคนในเผ่านัฟทาลีเป็นห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยคน
44 จำนวนคนเหล่านี้เป็นคนที่โมเสสกับอาโรน และประมุขทั้งสิบสองคนของคนอิสราเอล ผู้แทนคนเผ่าของตนได้นับไว้
45 ฉะนั้นจำนวนคนอิสราเอลทั้งหมดที่นับตามครอบครัว ตามจำนวนคนที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป ทุกคนในอิสราเอลซึ่งออกรบได้
46 จำนวนคนทั้งหมดเป็นหกแสนสามพันห้าร้อยห้าสิบคน
47 แต่มิได้นับคนเลวีตามเผ่าบรรพบุรุษของตนรวมด้วย
48 เพราะพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
49 "เฉพาะเผ่าเลวีเจ้าอย่านับและอย่าทำสำมะโนครัวไว้ ในคนอิสราเอล
50 แต่เจ้าจงตั้งคนเลวีไว้สำหรับพลับพลาพระโอวาท สำหรับบรรดาเครื่องใช้กับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพลับพลา ให้เขาขนพลับพลาและเครื่องใช้กับปฏิบัติงานพลับพลานั้น และตั้งเต็นท์อยู่รอบพลับพลา
51 เมื่อจะยกพลับพลาไปคนเลวีจะต้องรื้อพลับพลาลง และเมื่อจะตั้งพลับพลาขึ้น ก็ให้คนเลวีเป็นผู้จัดตั้ง ผู้อื่นเข้ามาใกล้พลับพลา ผู้นั้นต้องถูกโทษถึงตาย
52 ให้คนอิสราเอลตั้งเต็นท์ตามที่ของตนแต่ละพวก และแต่ละคนตามค่ายของตน และแต่ละคนตามธงเผ่าของตน
53 แต่ให้คนเลวีตั้งเต็นท์รอบพลับพลาพระโอวาท เพื่อมิให้พระพิโรธเกิดเหนือชุมนุมชนอิสราเอล ให้เผ่าเลวีปฏิบัติงานพลับพลาพระโอวาท"
54 คนอิสราเอลก็กระทำดังนั้น เขาทั้งหลายกระทำตามที่พระเจ้า ทรงบัญชาโมเสสไว้ทุกประการ
กันดารวิถี 2
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
2 "ให้คนอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ตามธงของตนทุกคน ตามธงตราครอบครัวของตน ให้ตั้งเต็นท์หันหน้าเข้าหาเต็นท์นัดพบทุกด้าน
3 พวกที่ตั้งค่ายด้านตะวันออกทางดวงอาทิตย์ขึ้น ให้เป็นของธงค่ายยูดาห์ตามกองของเขา นาโชนบุตรอัมมีนาดับ เป็นประมุขของคนยูดาห์
4 พลโยธาที่นับไว้นี้มีเจ็ดหมื่นสี่พันหกร้อยคน
5 ให้เผ่าอิสสาคาร์ตั้งค่ายเรียงถัดมา เนธันเอลบุตรศุอาร์เป็นประมุขของคนเผ่าอิสสาคาร์
6 พลโยธาที่นับไว้นี้มีห้าหมื่นสี่พันสี่ร้อยคน
7 ให้เผ่าเศบูลุนเรียงถัดยูดาห์ไป เอลีอับบุตรเฮโลนเป็นประมุขคนเผ่าเศบูลุน
8 พลโยธาที่นับไว้นี้มีห้าหมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยคน
9 จำนวนชนทั้งหมดที่นับเข้าในค่ายยูดาห์ตามกองของเขา เป็นหนึ่งแสนแปดหมื่นหกพันสี่ร้อยคน เมื่อออกเดินคนเหล่านี้จะยกไปก่อน
10 "ให้ธงค่ายของรูเบนตั้งทางทิศใต้ตามกองของเขา เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์เป็นประมุขของคนเผ่ารูเบน
11 พลโยธาที่นับไว้นี้มีสี่หมื่นหกพันห้าร้อยคน
12 ให้เผ่าสิเมโอนตั้งค่ายเรียงถัดมา เชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัยเป็นประมุขคนเผ่าสิเมโอน
13 พลโยธาที่นับไว้นี้มีห้าหมื่นเก้าพันสามร้อยคน
14 ให้เผ่ากาดเรียงถัดรูเบนไป เอลียาสาฟบุตรเรอูเอลเป็นประมุขคนเผ่ากาด
15 พลโยธาที่นับไว้นี้มีสี่หมื่นห้าพันหกร้อยห้าสิบคน
16 จำนวนคนทั้งหมดที่นับเข้าในค่ายรูเบน ตามกองของเขาเป็นหนึ่งแสนห้าหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบคน เมื่อออกเดินคนเหล่านี้จะเป็นพวกที่สอง
17 "แล้วให้ยกเต็นท์นัดพบเดินตามไป ให้ค่ายคนเลวีอยู่กลางกระบวนค่าย เขาตั้งค่ายอยู่อันดับใดก็ให้ออกเดินไปตามอันดับนั้น ทุกค่ายตามอันดับตามธงเผ่าของตน
18 "ให้ธงค่ายของเอฟราอิมตั้งทางทิศตะวันตกตามกอง ของเขา เอลีชามาบุตรอัมมีฮูดเป็นประมุขของคนเผ่าเอฟราอิม
19 พลโยธาที่นับไว้นี้มีสี่หมื่นห้าร้อยคน
20 ให้คนเผ่ามนัสเสห์เรียงถัดมา กามาลิเอลบุตรเปดาซูร์เป็นประมุขคนเผ่ามนัสเสห์
21 พลโยธาที่นับไว้นี้มีสามหมื่นสองพันสองร้อยคน
22 ให้เผ่าเบนยามินเรียงถัดเอฟราอิมไป อาบีดันบุตรกิเดโอนีเป็นประมุขของคนเผ่าเบนยามิน
23 พลโยธาที่นับไว้นี้มีสามหมื่นห้าพันสี่ร้อยคน
24 จำนวนคนทั้งหมดที่นับเข้าในค่าย เอฟราอิมตามกองของเขาเป็นหนึ่งแสนแปดพันหนึ่งร้อยคน เมื่อออกเดินคนเหล่านี้จะเป็นพวกที่สาม
25 "ให้ธงค่ายของดานตั้งทางทิศเหนือตามกองของเขา อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัยเป็นประมุขของคนเผ่าดาน
26 พลโยธาที่นับไว้นี้มีหกหมื่นสองพันเจ็ดร้อยคน
27 ให้เผ่าอาเชอร์ตั้งค่ายเรียงถัดมา ปากีเอลบุตรโอครานเป็นประมุขของคนเผ่าอาเชอร์
28 พลโยธาที่นับไว้นี้มีสี่หมื่นหนึ่งพันห้าร้อยคน
29 ให้เผ่านัฟทาลี เรียงถัดดานไป อาหิราบุตรเอนันเป็นประมุขคนเผ่านัฟทาลี
30 พลโยธาที่นับไว้นี้มีห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยคน
31 จำนวนคนทั้งหมดที่นับเข้าในค่ายดาน เป็นหนึ่งแสนห้าหมื่นเจ็ดพันหกร้อยคน เมื่อออกเดินคนเหล่านี้จะเป็นพวกสุดท้าย เดินตามธงเผ่าของตน"
32 คนเหล่านี้เป็นชนชาติอิสราเอลที่นับตามครอบครัว คนทั้งหมดที่อยู่ในค่ายนับตามกองมีหกแสนสามพัน ห้าร้อยห้าสิบคน
33 แต่มิได้นับพวกเลวีรวมเข้าในคนอิสราเอล ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสส
34 คนอิสราเอลก็กระทำดังนั้น เขาทั้งหลายตั้งค่ายอยู่ตามธง และยกออกเดินไปทุกคนตามครอบครัวของตน ตามตระกูลของตน ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้ทุกประการ
กันดารวิถี 3
1 ต่อไปนี้เป็นเผ่าพันธุ์ของอาโรนและโมเสส ครั้งเมื่อพระเจ้าตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนาย
2 ชื่อบุตรของอาโรนมีดังนี้ นาดับบุตรหัวปี อาบีฮู เอเลอาซาร์และอิธามาร์
3 นี่แหละเป็นชื่อบุตรของอาโรนที่ได้เจิมไว้เป็นปุโรหิต เป็นผู้ที่ท่านสถาปนาไว้ให้ปฏิบัติในหน้าที่ปุโรหิต
4 แต่นาดับและอาบีฮูตายต่อพระพักตร์ พระเจ้า เมื่อเขาเอาไฟที่ต้องห้ามมาถวายบูชาแด่พระเจ้า ที่ถิ่นทุรกันดารซีนาย และต่างก็ไม่มีบุตร ดังนั้นเอเลอาซาร์และอิธามาร์จึงได้ปฏิบัติในหน้าที่ปุโรหิต ในความดูแลของอาโรนบิดาของเขา
5 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
6 "จงนำเผ่าเลวีเข้ามาใกล้ และตั้งเขาไว้ต่อหน้าอาโรนปุโรหิตให้เขาปรนนิบัติอาโรน
7 เขาจะปฏิบัติหน้าที่แทนอาโรนและแทนชุมนุมชน ทั้งหมดหน้าเต็นท์นัดพบ ขณะเขาปฏิบัติงานที่พลับพลา
8 เขาจะดูแลเครื่องใช้ของเต็นท์นัดพบ และปฏิบัติหน้าที่แทนคนอิสราเอล เมื่อเขาปฏิบัติงานที่พลับพลา
9 จงมอบคนเลวีไว้กับอาโรนและกับบุตรทั้งหลายของอาโรน เขาทั้งหลายรับเลือกจากคนอิสราเอลมอบไว้กับอาโรนแล้ว
10 เจ้าจงแต่งตั้งอาโรนและบุตรชายทั้งหลายของอาโรน ให้ปฏิบัติงานตามตำแหน่งปุโรหิต แต่คนอื่นที่เข้ามาใกล้จะต้องถูกลงโทษถึงตาย"
11 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
12 "ดูเถิด เราเองได้เลือกคนเลวีจากคนอิสราเอลแทนบุตร หัวปีท่ามกลางคนอิสราเอลที่คลอดจากครรภ์มารดา ก่อนคนเลวีเป็นของเรา
13 เพราะบรรดาบุตรหัวปีเป็นของเรา ในวันที่เราได้ประหารชีวิตลูกหัวปีทั้งหลาย ในประเทศอียิปต์นั้น เราได้เลือกบรรดาลูกหัวปีในอิสราเอล ทั้งมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานไว้เป็นของเรา ทั้งหลายเหล่านี้ต้องเป็นของเรา เราคือพระเจ้า"
14 พระเจ้าตรัสกับโมเสสที่ถิ่นทุรกันดารซีนายว่า
15 "จงนับเผ่าพันธุ์เลวีตามตระกูลและตามครอบครัว คือท่านจงนับผู้ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่เดือนหนึ่งขึ้นไป"
16 โมเสสจึงได้นับเขาทั้งหลายตามพระดำรัสของพระเจ้า ดังที่พระองค์ตรัสสั่งไว้
17 ต่อไปนี้เป็นชื่อบุตรชายของเลวี คือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี
18 ชื่อบุตรของเกอร์โชนตามครอบครัวคือ ลิบนีและชิเมอี
19 บุตรของโคฮาทตามครอบครัวคือ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล
20 และบุตรของเมรารีตามครอบครัวคือ มาลี และมูชี นี่เป็นครอบครัวคนเลวี ตามตระกูลของเขา
21 วงศ์เกอร์โชนมีตระกูลลิบนีและตระกูลชิเมอี เหล่านี้เป็นวงศ์วานเกอร์โชน
22 จำนวนคนทั้งหลาย คือจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มี อายุตั้งแต่เดือนหนึ่งขึ้นไปเป็นเจ็ดพันห้าร้อยคน
23 วงศ์วานเกอร์โชนนั้นจะต้องตั้งค่ายอยู่ข้างหลัง พลับพลาด้านตะวันตก
24 มีเอลียาสาฟบุตรลาเอลเป็นหัวหน้าวงศ์วานเกอร์โชน
25 งานที่วงศ์เกอร์โชนปฏิบัติในเต็นท์นัดพบ มีงานพลับพลา งานเต็นท์พร้อมกับเครื่องคลุมเต็นท์ และม่านประตูเต็นท์นัดพบ
26 ม่านบังลานและม่านประตูลาน ซึ่งอยู่รอบพลับพลาและแท่นบูชารวมทั้งเชือกโยง ทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
27 วงศ์โคฮาทมีตระกูลอัมราม ตระกูลอิสฮาร์ ตระกูลเฮโบรน ตระกูลอุสซีเอล เหล่านี้เป็นวงศ์วานโคฮาท
28 ตามจำนวนผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่เดือนหนึ่งขึ้นไป เป็นแปดพันหกร้อยคน เป็นคนปฏิบัติหน้าที่สถานนมัสการ
29 บรรดาตระกูลลูกหลานของโคฮาทจะตั้งค่ายอยู่ ทางด้านใต้ของพลับพลา
30 มีเอลีซาฟานบุตรชายอุสซีเอลเป็นหัวหน้าของ วงศ์วานโคฮาท
31 คนเหล่านี้มีหน้าที่ดูแลหีบพระบัญญัติ โต๊ะ คันประทีป แท่นบูชาทั้งสองและเครื่องใช้ของสถานนมัสการ ซึ่งปุโรหิตใช้ปฏิบัติงานและม่าน ทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
32 เอเลอาซาร์บุตรของอาโรนปุโรหิตเป็นนายใหญ่ เหนือหัวหน้าของคนเลวีและตรวจตราผู้ที่มีหน้าที่ ปฏิบัติสถานนมัสการ
33 วงศ์เมรารีมีตระกูลมาลี และตระกูลมูชี เหล่านี้เป็นวงศ์วานเมรารี
34 จำนวนคนทั้งหลายคือจำนวนผู้ชายทั้งหมด ที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปเป็นหกพันสองร้อยคน
35 และศุรีเอลบุตรอาบีฮาอิลเป็นหัวหน้าของวงศ์วาน เมรารี คนเหล่านี้จะตั้งค่ายอยู่ด้านเหนือของพลับพลา
36 งานที่กำหนดให้แก่วงศ์วานเมรารี คืองานดูแลไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสา ฐานรองและเครื่องประกอบ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งงานสารพัดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
37 และเสารอบลาน พร้อมกับฐานรองหลักหมุดและเชือกโยง
38 และบุคคลที่จะตั้งค่ายอยู่หน้าพลับพลาด้าน ตะวันออกหน้าเต็นท์นัดพบ ด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้น มีโมเสสและอาโรนกับบุตรหลานของท่าน มีหน้าที่ดูแลพิธีการภายในสถานนมัสการ และบรรดากิจการที่พึงกระทำเพื่อคนอิสราเอล และผู้ใดอื่นที่เข้ามาใกล้จะต้องถูกลงโทษถึงตาย
39 บรรดาคนที่นับเข้าในคนเลวี ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับตามพระดำรัสของพระเจ้า เป็นบรรดาผู้ชายทั้งหมดตามครอบครัวที่มีอายุตั้งแต่ หนึ่งเดือนขึ้นไปเป็นสองหมื่นสองพันคน
40 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงนับบุตรชายหัวปีทั้งหลายของคนอิสราเอล ที่มีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป จงจดจำนวนรายชื่อไว้
41 เจ้าจงกันพวกเลวีไว้ให้เรา เราคือพระเจ้า ทั้งนี้เพื่อแทนบุตรหัวปีท่ามกลางคนอิสราเอล และให้สัตว์ทั้งปวงของคนเลวีแทนสัตว์หัวปีทั้งหลายของคน อิสราเอล"
42 ดังนั้นโมเสสจึงได้นับบุตรหัวปีท่ามกลางคนอิสราเอล ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งท่าน
43 บุตรชายหัวปีทั้งหลายตามจำนวนชื่อที่นับได้ ซึ่งมีอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไปมีสองหมื่นสองพัน สองร้อยเจ็ดสิบสามคน
44 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
45 "จงเอาคนเลวีแทนบุตรหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอล และเอาสัตว์ทั้งหลายของคนเลวีแทนสัตว์ของคนอิสราเอล คนเลวีจะเป็นของเรา เราคือพระเจ้า
46 สำหรับเป็นค่าไถ่บุตรหัวปีของ คนอิสราเอลจำนวนสองร้อยเจ็ดสิบสามคน ที่เกินจำนวนผู้ชายคนเลวีนั้น
47 เจ้าจงเก็บคนละห้า เชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ เชเขลหนึ่งมียี่สิบเก-ราห์ เจ้าจงเก็บเงินนั้นไว้
48 และมอบเงินซึ่งต้องเสียเป็นค่าไถ่ของคนที่เกิน เหล่านั้นให้ไว้แก่อาโรนและบุตรหลานของท่าน"
49 โมเสสจึงเก็บเงินค่าไถ่จากคนเหล่านั้นที่เกินกว่า จำนวนคนที่คนเลวีไถ่ไว้
50 คือท่านเก็บเงินจากบุตรหัวปีของคนอิสราเอล เป็นเงินจำนวนหนึ่งพันสามร้อยหกสิบห้าเชเขล นับตามเชเขลของสถานนมัสการ
51 และโมเสสได้นำเอาเงินค่าไถ่ให้แก่อาโรน และบุตรหลานของอาโรนตามพระดำรัสของพระเจ้า ดังที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
กันดารวิถี 4
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
2 "จงทำสำมะโนครัววงศ์วานโคฮาท จากเผ่าพันธุ์เลวี ตามตระกูลและตามครอบครัว
3 จากคนที่มีอายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี ทุกคนที่เข้าปฏิบัติงานได้ เพื่อทำงานในเต็นท์นัดพบ
4 นี่เป็นงานที่วงศ์วานโคฮาทกระทำในเต็นท์นัดพบ คืองานที่กระทำต่อสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด
5 เมื่อจะเคลื่อนย้ายค่ายไป อาโรนและบุตรของท่านจะเข้าไปข้างใน และปลดม่านกำบังออกเอาคลุมหีบพระโอวาทไว้
6 แล้วเอาหนังทาคัชคลุม และเอาผ้าสีฟ้าล้วนคลุมบนนั้น และสอดคานหาม
7 และเอาผ้าสีฟ้าปูลงบนโต๊ะที่ประทับ แล้ววางจานและชาม อ่างและเหยือกรินเครื่องดื่มบูชา และขนมปังตั้งถวายเป็นนิตย์ก็ให้วางอยู่บนผ้าสีฟ้านั้นด้วย
8 แล้วเอาผ้าสีแดงคลุม บนนี้เอาหนังทาคัชคลุมอีก แล้วสอดคานหาม
9 แล้วให้เขาเอาผ้าสีฟ้าคลุมคันประทีป ที่ใช้จุดคลุมตะเกียง ตะไกรตัดไส้ตะเกียง ถาด และภาชนะใส่น้ำมันเติมตะเกียง
10 เอาหนังทาคัชห่อตะเกียงและเครื่องประกอบทั้งหมด แล้วใส่ไว้บนโครงหาม
11 ให้เขาเอาผ้าสีฟ้ามาคลุมแท่นทองคำ เอาหนังทาคัชคลุมไว้ แล้วสอดคานหาม
12 และให้เขาเอาผ้าสีฟ้าห่อภาชนะเครื่องใช้ซึ่งใช้อยู่ใน สถานนมัสการและคลุมเสียด้วยหนังทาคัช แล้วใส่ไว้บนโครงหาม
13 ให้เอาขี้เถ้าออกจากแท่นบูชา เอาผ้าสีม่วงคลุมแท่นเสีย
14 เอาภาชนะประจำแท่นทั้งหมด ซึ่งเป็นเครื่องใช้ประจำแท่น มีกระถาง ไฟ ส้อม พลั่ว อ่าง และภาชนะประจำแท่นทั้งสิ้นวางไว้ข้างบน แล้วเอาหนังทาคัชคลุม และสอดคานหาม
15 เมื่ออาโรนและบุตรชายคลุมสถานนมัสการ และคลุมเครื่องใช้ของสถานนมัสการเสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลาเคลื่อนย้ายค่าย วงศ์วานโคฮาทจึงจะเข้ามาหาม แต่เขาต้องไม่แตะต้องของบริสุทธิ์เหล่านั้น เกลือกว่าเขาจะต้องตาย สิ่งเหล่านี้แหละที่เป็นของประจำเต็นท์นัดพบ ซึ่งวงศ์วานของโคฮาทจะต้องหาม
16 "แล้วเอเลอาซาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิต จะต้องดูแลน้ำมันสำหรับตามตะเกียง เครื่องหอม เครื่องธัญญบูชาเนืองนิตย์ และน้ำมันเจิม และดูแลพลับพลาทั้งหมดกับบรรดาสิ่งของในพลับพลานั้น คือสถานนมัสการและเครื่องประกอบด้วย"
17 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
18 "อย่าตัดเผ่าครอบครัวคนโคฮาทออกเสียจากคนเลวี
19 แต่จงกระทำแก่เขาเพื่อจะให้มีชีวิตและไม่ตาย เมื่อเขาทั้งหลายเข้ามาใกล้ของบริสุทธิ์ที่สุดเหล่านั้น คืออาโรนและบุตรทั้งหลายของอาโรน จะเข้าไปตั้งเขาทั้งหลายไว้ตามงานและภาระของเขาทุกคน
20 แต่อย่าให้โคฮาทเข้าไปมองของบริสุทธิ์แม้แต่อึดใจเดียว เกลือกว่าเขาจะต้องตาย"
21 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
22 "จงทำสำมะโนครัววงศ์วานเกอร์โชน ตามตระกูลตามครอบครัวของเขาด้วย
23 เจ้าจงนับคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปี ทุกคนที่เข้าปฏิบัติงานได้เพื่อทำงานในเต็นท์นัดพบ
24 ต่อไปนี้เป็นการงานของวงศ์วานเกอร์โชน คืองานปรนนิบัติและงานแบกภาระ
25 ให้เขาทั้งหลายขนม่านพลับพลา และขนเต็นท์นัดพบพร้อมกับผ้าคลุมและ หนังทาคัชที่คลุมอยู่ข้างบน และผ้าม่านสำหรับบังประตูเต็นท์นัดพบ
26 และม่านบังลาน และม่านทางเข้าประตูลานซึ่งอยู่รอบพลับพลาและแท่นบูชา และเชือกโยง และเครื่องใช้สอยทั้งสิ้น เขาจะต้องกระทำงานที่ควรกระทำทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
27 ให้อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของอาโรน บังคับบัญชาบุตรชายทั้งหลายของเกอร์โชน เรื่องทุกสิ่งที่เขาจะต้องขนและงานทุกอย่าง ที่เขาจะต้องกระทำ และเจ้าจะต้องกำหนดทุกสิ่งที่เขาจะต้องขน
28 นี่เป็นการงานของวงศ์วานเกอร์โชนในเต็นท์นัดพบ และอิธามาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิตจะบังคับดูแล งานของคนเหล่านั้น
29 "ฝ่ายเผ่าพันธุ์ของเมรารีนั้น เจ้าจงนับเขาตามตระกูลตามครอบครัว
30 เจ้าจงนับคนที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไปถึงห้าสิบปี ทุกคนที่เข้าปฏิบัติงานได้เพื่อทำงานเต็นท์นัดพบ
31 และต่อไปนี้เป็นสิ่งที่กำหนดให้เขาขน งานทั้งหมดของเขาในการปรนนิบัติเต็นท์นัดพบ คือไม้กรอบพลับพลา ไม้กลอน ไม้เสาและฐานรอง
32 เสารอบลานพร้อมกับฐานรอง หลักหมุดและเชือกโยง เครื่องใช้และเครื่องประกอบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เจ้าจงกำหนดชื่อสิ่งของที่เขาต้องหาม
33 นี่เป็นการงานของวงศ์วานเมรารี เป็นงานทั้งหมดของเขาในการปรนนิบัติเต็นท์นัดพบ ในบังคับบัญชาของอิธามาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิต"
34 โมเสสและอาโรนและ บรรดาประมุขของชุมนุมชนได้นับเผ่าพันธุ์ของโคฮาท ตามตระกูลและตามครอบครัว
35 ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีขึ้นไปถึงห้าสิบ ปีที่เข้าปฏิบัติงานได้เพื่อทำงานในเต็นท์นัดพบ
36 และจำนวนตามตระกูลของเขาเป็นสองพันเจ็ดร้อยห้าสิบคน
37 นี่แหละเป็นจำนวนคนในตระกูลของโคฮาท บรรดาผู้ปฏิบัติงานในเต็นท์นัดพบ ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับไว้ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งโมเสส
38 จำนวนคนในวงศ์วานเกอร์โชน ตามตระกูลตามครอบครัว
39 ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีขึ้นไปถึงห้าสิบปีที่ เข้าปฏิบัติงานได้ เพื่อทำงานในเต็นท์นัดพบ
40 จำนวนคนตามตระกูลตามครอบครัว เป็นสองพันหกร้อยสามสิบคน
41 นี่เป็นจำนวนคนในวงศ์วานเกอร์โชน บรรดาผู้ปฏิบัติงานในเต็นท์นัดพบ ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับไว้ตามพระดำรัสของพระเจ้า
42 จำนวนคนในวงศ์วานเมรารีตามตระกูลตามครอบครัว
43 ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีขึ้นไปถึงห้าสิบปีที่ เข้าปฏิบัติงานได้ เพื่อทำงานในเต็นท์นัดพบ
44 จำนวนคนตามตระกูลของเขาเป็นสามพันสองร้อยคน
45 นี่แหละเป็นจำนวนคนที่นับได้ในวงศ์วานเมรารี ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับไว้ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งโมเสส
46 บรรดาคนเลวีที่นับได้ ผู้ที่โมเสสและอาโรน และบรรดาประมุขของคนอิสราเอลได้นับไว้ตาม ตระกูลตามครอบครัว
47 ทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปี ที่เข้าปฏิบัติงาน และทำงานขนภาระได้ในเต็นท์นัดพบ
48 จำนวนคนที่นับได้นั้นเป็นแปดพันห้าร้อยแปดสิบคน
49 เขาทั้งหลายได้ถูกตั้งตามที่พระเจ้าตรัสสั่งทางโมเสส ให้ทุกคนทำงานปรนนิบัติหรืองานขนของเขา ดังนี้แหละโมเสสได้นับเขาไว้ตามที่พระเจ้า ทรงบัญชาโมเสส
กันดารวิถี 5
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงบัญชาคนอิสราเอลให้สั่งบรรดาคนโรคเรื้อน และทุกคนที่มีสิ่งไหลออก และทุกคนที่มลทินเพราะการถูกซากศพให้ไปนอกค่าย
3 เจ้าจงสั่งทั้งผู้ชายและผู้หญิงให้ไปนอกค่าย เพื่อมิให้เขากระทำให้ค่ายของเขาซึ่งเรา สถิตอยู่ท่ามกลางนั้นเป็นมลทิน"
4 และคนอิสราเอลก็กระทำตาม และสั่งคนเหล่านั้นให้ไปนอกค่าย พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสไว้ประการใด คนอิสราเอลก็กระทำตามอย่างนั้น
5 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
6 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ผู้ชายก็ดีหรือผู้หญิงก็ดีกระทำบาปอย่างที่มนุษย์กระทำ คือประพฤติฝ่าฝืนต่อพระเจ้า และผู้นั้นได้ผิดแล้ว
7 ก็ให้ผู้นั้นสารภาพความผิดที่เขาได้กระทำ และให้เขาคืนสิ่งที่ผิดซึ่งเขาได้มานั้นเต็มตามเดิม ทั้งเพิ่มอีกหนึ่งในห้าส่วนให้แก่เจ้าของเดิมผู้ที่เขา ได้กระทำผิดต่อนั้น
8 ถ้าคนนั้นไม่มีพี่น้องที่จะรับของคืน ก็ให้ถวายของที่คืนนั้นแด่พระเจ้าทางปุโรหิต รวมทั้งแกะผู้สำหรับบูชาลบมลทินบาป ซึ่งเขาต้องบูชาลบมลทินบาปของเขา
9 และของบริสุทธิ์ที่คนอิสราเอลนำมาถวายทุกสิ่งอันนำ มาให้แก่ปุโรหิตก็ตกเป็นของปุโรหิต
10 สิ่งบริสุทธิ์ของทุกคนให้ตกเป็นของปุโรหิต และทุกสิ่งที่เขานำไปถวายปุโรหิตก็ต้องตกเป็นของปุโรหิต"
11 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
12 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ถ้าภรรยาของผู้ชายคนใดหลงประพฤตินอกใจสามี
13 มีชายอื่นมานอนร่วมกับนางพ้นตาสามีของนาง แม้นางได้กระทำตัวให้เป็นมลทินแล้ว แต่ไม่มีใครรู้เห็นและยังไม่มีพยาน เพราะจับไม่ได้คาที่
14 จิตหึงหวงก็มาสิงสามีเขาจึงหึงหวงภรรยาผู้กระทำผิด หรือจิตหึงหวงมาสิงสามี เขาจึงหึงหวงภรรยาของเขา แม้ว่าภรรยามิได้กระทำความผิด
15 ก็ให้ชายผู้นั้นพาภรรยาของตนไปหาปุโรหิต นำเครื่องบูชาสำหรับภรรยาไป มีแป้งบารลีหนึ่งในสิบเอฟาห์ อย่าให้เขาเทน้ำมันหรือใส่กำยานในแป้งนั้น เพราะเป็นธัญญบูชาเรื่องความหึงหวง เป็นธัญญบูชาแห่งความรำลึกฟื้นให้ระลึกถึงความผิด
16 "และปุโรหิตจะนำนางมาใกล้ให้เข้าเฝ้าพระเจ้า
17 และปุโรหิตจะเอาน้ำบริสุทธิ์ที่ใส่ภาชนะดิน เอาผงคลีที่พื้นพลับพลาใส่ในน้ำนั้น
18 และปุโรหิตจะให้นางเข้าเฝ้าพระเจ้า และแก้มวยผมของนางออก และส่งธัญญบูชาแห่งความรำลึกให้นางถือไว้ อันเป็นธัญญบูชาแห่งความหึงหวง แล้วปุโรหิตจะถือน้ำแห่งความขมขื่นที่ นำการแช่งสาปนั้นไว้เอง
19 แล้วปุโรหิตจะให้นางสาบานตัวว่า 'ถ้าไม่มีชายใดมานอนกับเจ้า หรือเจ้าไม่หันเหไปกระทำมลทิน เมื่อเจ้ายังอยู่ในอำนาจของสามี ก็ให้เจ้าพ้นเสียจากน้ำแห่งความขมขื่นที่นำการสาปแช่งนี้
20 แต่ถ้าเจ้าได้หลงไป แม้เจ้าอยู่ในอำนาจของสามีและได้กระทำ ตัวเองให้เป็นมลทิน และชายอื่นนอกจากสามีได้เข้านอนด้วยแล้ว
21 ก็ (ให้ปุโรหิตกระทำให้หญิงนั้นกล่าวคำสาบานแช่งสาป และกล่าวแก่ผู้หญิงนั้นว่า) ขอให้พระเจ้าทรงกระทำเจ้าให้เป็นคำแช่ง และเป็นคำสาปท่ามกลางชนชาติของเจ้า ในเมื่อพระเจ้ากระทำให้โคนขาเจ้าลีบ และกระทำท้องเจ้าให้ป่องแล้ว
22 ขอให้น้ำแห่งคำสาปแช่งนี้เข้าในตัวเจ้า กระทำให้ท้องเจ้าป่อง และกระทำให้โคนขาเจ้าลีบไป' และนางนั้นจะต้องกล่าวว่า 'อาเมน อาเมน'
23 "แล้วปุโรหิตจะเขียนคำสาปนี้ลงในสมุด และลบความนั้นออกเสียในน้ำแห่งความขมขื่น
24 แล้วให้หญิงนั้นดื่มน้ำแห่งความขมขื่นที่นำการสาปแช่ง แล้วน้ำที่นำการสาปแช่งนั้นจะเข้าไปในตัวนาง กระทำให้นางเจ็บมาก
25 และปุโรหิตจะเอาธัญญบูชาแห่งความหึงหวงออกจากมือนาง ยื่นถวายธัญญบูชานั้นแด่พระเจ้า แล้วนำไปที่แท่นบูชา
26 และปุโรหิตจะหยิบธัญญบูชากำมือหนึ่งเป็นส่วนอนุสรณ์ แล้วเผาเสียบนแท่นบูชา แล้วจึงให้หญิงนั้นดื่มน้ำนั้น
27 เมื่อให้หญิงนั้นดื่มน้ำแล้ว ถ้านางกระทำตัวให้มลทินและประพฤตินอกใจสามี น้ำที่นำการสาปแช่งนั้นจะเข้าในตัวนาง กระทำให้เจ็บมาก ท้องจะป่องและโคนขาจะลีบไป และหญิงนั้นจะเป็นคำแช่งสาปท่ามกลางชนชาติของนาง
28 ถ้าหญิงนั้นมิได้มีมลทิน แต่บริสุทธิ์ นางจะพ้นความผิดและตั้งท้อง
29 "นี่เป็นกฎเรื่องความหึงหวงเมื่อภรรยา แม้จะอยู่ในอำนาจของสามี ได้หลงไปกระทำตนให้มีมลทิน
30 หรือเมื่อจิตหึงหวงสิงผู้ชาย และเขาหึงหวงภรรยาของเขา แล้วเขาต้องให้นางไปเข้าเฝ้าพระเจ้า และปุโรหิตจะปฏิบัติต่อนางตามบัญญัตินี้ทุกประการ
31 ผู้ชายจึงจะพ้นความผิด แต่ผู้หญิงจะต้องรับโทษของนาง"
กันดารวิถี 6
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อผู้ชายก็ดี ผู้หญิงก็ดี กระทำสัตย์ปฏิญาณเป็นพิเศษ คือปฏิญาณเป็นนาศีร์ ปลีกตัวออกถวายแด่พระเจ้า
3 ก็ให้ผู้นั้นปลีกตัวออกจากเหล้าองุ่นและสุรา เขาต้องไม่ดื่มน้ำส้มที่ได้จากเหล้าองุ่นหรือสุรา ไม่ดื่มน้ำองุ่นหรือรับประทานองุ่น ไม่ว่าสดหรือแห้ง
4 ตลอดเวลาที่เขาปลีกตัวออกมานั้น เขาต้องไม่รับประทานสิ่งใดที่ได้จากต้นองุ่น แม้เป็นเมล็ดหรือเปลือกองุ่นก็ดี
5 "ตลอดเวลาที่เขาปฏิญาณปลีกตัวออกมานั้น อย่าให้มีดโกนถูกศีรษะของเขา เขาต้องบริสุทธิ์จนกว่าจะสิ้น กำหนดเวลาที่เขาปลีกตัวออกมาถวายแด่พระเจ้า เขาจะต้องไว้ผมยาว
6 "ตลอดเวลาที่เขาปลีกตัวออกมาเพื่อพระเจ้า เขาต้องไม่เข้าใกล้ศพ
7 อย่าทำตัวให้มีมลทินด้วยบิดามารดาหรือพี่น้องชายหญิงที่ตาย เพราะที่เขาปลีกตัวออกมาเพื่อพระเจ้านั้นเป็นพันธนะของเขา
8 ตลอดเวลาที่เขาปลีกตัวออกมา เขาต้องบริสุทธิ์แด่พระเจ้า
9 "และถ้ามีคนมาตายอยู่ใกล้ตัวเขาปัจจุบันทันด่วน ศีรษะของเขาที่ชำระให้บริสุทธิ์ไว้ก็เป็นมลทินเสียแล้ว เขาต้องโกนศีรษะของเขาในวันชำระตัวคือในวันที่เจ็ด นั้นเขาต้องโกนศีรษะ
10 ในวันที่แปดเขาต้องนำนกเขาสองตัว หรือลูกนกพิราบสองตัวไปให้ปุโรหิตที่ประตูเต็นท์นัดพบ
11 และปุโรหิตจะถวายบูชาตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป อีกตัวหนึ่งถวายเป็นเครื่องเผาบูชา ลบมลทินให้เขา เพราะเขาได้กระทำผิดเหตุเรื่องศพ และเขาต้องชำระศีรษะให้บริสุทธิ์ในวันนั้นอีก
12 และให้เขาปลีกตัวออกเพื่อพระเจ้า ตลอดเวลาการปลีกตัวของเขาและนำ แกะผู้อายุหนึ่งขวบมาเป็นเครื่องบูชาไถ่กรรมบาป แต่เวลาก่อนนั้นนับไม่ได้ เพราะการปฏิญาณปลีกตัวของเขานั้นมีมลทินเสียแล้ว
13 "เมื่อเวลาปลีกตัวของเขาครบแล้ว กฎของพวกนาศีร์มีดังนี้ ให้นำเขามาที่ประตูเต็นท์นัดพบ
14 ให้เขาถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า คือลูกแกะผู้อายุขวบหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา และลูกแกะเมียอายุขวบหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องบูชา ไถ่บาป และแกะผู้ตัวหนึ่งที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องศานติบูชา
15 และขนมไร้เชื้อกระจาดหนึ่ง ขนมทำด้วยยอดแป้งคลุกน้ำมัน ขนมแผ่นไร้เชื้อทาน้ำมัน พร้อมกับเครื่องธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กัน
16 และปุโรหิตจะนำของเหล่านี้เสนอพระเจ้า แล้วถวายเครื่องบูชาไถ่บาปและเครื่องเผาบูชา
17 และปุโรหิตจะถวายแกะผู้เป็นเครื่องศานติบูชาแด่พระเจ้า พร้อมกับขนมไร้เชื้อกระจาดหนึ่ง ปุโรหิตจะถวายธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันด้วย
18 และผู้เป็นนาศีร์จะโกนศีรษะที่ปฏิญาณนั้นที่ประตูเต็นท์นัดพบ และนำเอาผมที่ศีรษะที่ปฏิญาณไว้นั้น ไปใส่ไฟที่อยู่ใต้เครื่องศานติบูชาเสีย
19 เมื่อผู้เป็นนาศีร์โกนผมที่เขาปฏิญาณเสร็จแล้ว ปุโรหิตจะนำเนื้อสันขาหน้าของแกะตัวผู้ที่ต้มแล้ว กับขนมไร้เชื้อก้อนหนึ่งจากกระจาด และขนมแผ่นไร้เชื้อแผ่นหนึ่งวางไว้ ในมือทั้งสองของผู้เป็นนาศีร์นั้น
20 แล้วปุโรหิตจะนำของเหล่านั้นทำพิธียื่นถวายเป็นของ ยื่นบูชาแด่พระเจ้าเป็นส่วนที่กันไว้สำหรับปุโรหิต พร้อมกับเนื้ออกที่ทำพิธียื่นถวายและเนื้อโคนขาที่ถวายแล้ว ต่อจากนี้ผู้เป็นนาศีร์ก็ดื่มเหล้าองุ่นได้
21 "นี่เป็นบัญญัติของผู้เป็นนาศีร์ผู้ปฏิญาณ และเครื่องบูชาของเขาที่ถวายแด่พระเจ้าในการปลีกตัว นอกจากสิ่งอื่นๆ ที่เขาถวายได้ เป็นเครื่องบูชาตามที่เขาปฏิญาณเป็นนาศีร์นั้น ดังนั้นแหละเขาต้องกระทำตามกฎของการ ปลีกตัวออกไปเป็นนาศีร์ ตามที่เขาได้ปฏิญาณไว้"
22 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
23 "จงกล่าวแก่อาโรนและบุตรทั้งหลายของอาโรนว่า ท่านทั้งหลายจงอวยพรแก่คนอิสราเอลดังต่อไปนี้ คือว่าแก่เขาทั้งหลายว่า
24 ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน
25 ขอพระเจ้าทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน และทรงพระกรุณาท่าน
26 ขอพระเจ้าทรงเงยพระพักตร์ของพระองค์เหนือท่าน และประทานสวัสดิภาพแก่ท่าน
27 ดังนั้นแหละให้เขาประทับนามของเราเหนือคนอิสราเอล และเราจะได้อวยพรแก่เขาทั้งหลาย"
กันดารวิถี 7
1 เมื่อวันที่โมเสสจัดตั้งพลับพลาเสร็จ และได้เจิมและได้ชำระพลับพลากับ บรรดาเครื่องใช้สอยประจำพลับพลาให้บริสุทธิ์ และได้เจิมและชำระแท่นบูชากับภาชนะประจำ ทั้งหมดให้บริสุทธิ์แล้ว
2 บรรดาประมุขของคนอิสราเอล หัวหน้าตระกูล คือประมุขของเผ่าต่างๆ ผู้อยู่เหนือผู้ที่ขึ้นทะเบียนไว้
3 ได้นำของบูชามาถวายแด่พระเจ้า มีเกวียนประทุนหกเล่มกับวัวหกคู่ ประมุขสองคนนำเกวียนเล่มหนึ่งและ วัวคนละตัวถวายเสียที่หน้าพลับพลา
4 แล้วพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
5 "จงรับของเหล่านี้ไว้จากเขาเพื่อจะได้ใช้ในการทำงานของเต็นท์นัดพบ จงมอบไว้กับคนเลวีแก่ทุกคนตามงานปรนนิบัติของเขา"
6 โมเสสจึงนำเกวียนและวัวไปมอบให้แก่คนเลวี
7 ท่านให้เกวียนสองเล่มกับวัวสองคู่แก่บุตรทั้งหลายของ เกอร์โชนตามงานปรนนิบัติของเขา
8 ท่านมอบเกวียนสี่เล่มและวัวสี่คู่ให้แก่บุตรทั้งหลาย ของเมรารีตามงานปรนนิบัติของเขา ซึ่งเป็นตามคำชี้แจงของอิธามาร์บุตรอาโรนปุโรหิต
9 แต่ท่านมิได้มอบอะไรให้แก่บุตรของโคฮาท เพราะงานปรนนิบัติของเขาเป็นงานที่ต้องหามสิ่งของบริสุทธิ์
10 และบรรดาประมุขก็นำของบูชามาเพื่อแก่การฉลองแท่นบูชาในวันที่ทำพิธีเจิมแท่นบูชานั้น และพวกประมุขต่างก็ถวายเครื่องบูชาของตนหน้าแท่นบูชา
11 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ให้พวกประมุขมาถวายเครื่อง บูชาของเขาวันละคนในงานฉลองแท่นบูชา"
12 ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาในวันแรกคือ นาโชนบุตรอัมมีนาดับแห่งเผ่ายูดาห์
13 ของถวายของเขาคือจานเงินลูก หนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล และชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
14 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
15 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
16 แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
17 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของนาโชนบุตรของอัมมีนาดับ
18 วันที่สอง เนธันเอลบุตรศุอาร์ประมุขของ เผ่าอิสสาคาร์ถวายของ
19 เขาถวายของถวายของเขาเป็นจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขลตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
20 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
21 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา
22 แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
23 และวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้าเป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเนธันเอลบุตรของศุอาร์
24 วันที่สาม เอลีอับบุตรเฮโลนประมุขของคนเผ่าเศบูลุน
25 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อย สามสิบเชเขล ชาม เงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
26 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
27 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
28 แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
29 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีอับบุตรของเฮโลน
30 วันที่สี่ เอลีซูร์บุตรของเชเดเออร์ประมุขของคนเผ่ารูเบน
31 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อย สามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
32 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบ เชเขลมีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
33 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
34 แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
35 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีซูร์บุตรของเชเดเออร์
36 วันที่ห้า เชลูมิเอลบุตรศุริชัดดัย ประมุขของคนเผ่าสิเมโอน
37 ของถวายของเขาคือจานเงิน ลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
38 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
39 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
40 แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
41 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเชลูมิเอลบุตรของศุริชัดดัย
42 วันที่หกเอลียาสาฟบุตรเดอูเอล ประมุขของคนเผ่ากาด
43 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่ง หนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
44 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
45 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
46 แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
47 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลียาสาฟบุตรของเดอูเอล
48 วันที่เจ็ด เอลีชามาบุตรอัมมีฮูดประมุขของคนเผ่าเอฟราอิม
49 ของถวายของเขาคือ จานเงินลูกหนึ่ง หนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่ง หนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
50 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
51 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา
52 แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
53 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้าเป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของเอลีชามาบุตรอัมมีฮูด
54 วันที่แปดกามาลิเอลบุตรเปดาซูร์ ประมุขของคนเผ่า มนัสเสห์
55 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบ เชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
56 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบ เชเขลมีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
57 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
58 แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
59 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของกามาลิเอลบุตรของเปดาซูร์
60 วันที่เก้า อาบีดันบุตรกิเดโอนีประมุขของคนเผ่าเบนยามิน
61 ของถวายของเขาคือ จานเงินลูกหนึ่ง หนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้ มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
62 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขล มีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
63 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
64 แพะผู้ตัวหนึ่ง เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
65 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาบีดันบุตรของกิเดโอนี
66 วันที่สิบ อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัย ประมุขของคนเผ่าดาน
67 ของถวายของเขาคือ จานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
68 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบ เชเขลมีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
69 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
70 แพะผู้ตัวหนึ่ง เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
71 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิเยเซอร์บุตรของอัมมีชัดดัย
72 วันที่สิบเอ็ด ปากีเอลบุตรโอคราน ประมุขของคนเผ่าอาเชอร์
73 ของถวายของเขาคือจานเงิน ลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
74 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขลมีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
75 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
76 แพะผู้ตัวหนึ่ง เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
77 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของปากีเอลบุตรของโอคราน
78 วันที่สิบสอง อาหิราบุตรเอนัน ประมุขของคนเผ่านัฟทาลี
79 ของถวายของเขาคือจานเงินลูกหนึ่ง หนักหนึ่งร้อย สามสิบเชเขล ชามเงินลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองนี้มียอดแป้งคลุกน้ำมันเต็ม เพื่อเป็นธัญญบูชา
80 ถ้วยทองคำลูกหนึ่งหนักสิบเชเขลมีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม
81 ลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา
82 แพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
83 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้า แพะผู้ห้า ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบห้า เป็นเครื่องศานติบูชา สิ่งเหล่านี้เป็นของถวายของอาหิราบุตรของเอนัน
84 ต่อไปนี้เป็นของถวายในงานฉลองแท่นบูชาจาก ประมุขของคนอิสราเอล ในวันที่มีพิธีเจิมแท่นบูชานั้นคือจานเงินสิบสองลูก ชามเงินสิบสองลูก ถ้วยทองคำสิบสองลูก
85 จานเงินลูกหนึ่งหนักหนึ่งร้อยสามสิบเชเขล และชามลูกหนึ่งหนักเจ็ดสิบเชเขล เงินที่ทำภาชนะทั้งหมดหนักสองพันสี่ร้อยเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ
86 ถ้วยทองคำสิบสองลูกมีเครื่องหอมสำหรับเผาเต็ม หนักลูกละสิบเชเขลตามเชเขลของสถานนมัสการ ทองคำที่ทำถ้วยทั้งหมดหนักหนึ่งร้อยยี่สิบเชเขล
87 สัตว์สำหรับเครื่องเผาบูชา มีวัวผู้สิบสองตัว แกะผู้สิบสอง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบสิบสอง พร้อมกับเครื่องธัญญบูชาคู่กัน และแพะผู้สิบสองตัวสำหรับ เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
88 สัตว์ทั้งหมดที่ฆ่าถวายเป็นเครื่องศานติบูชามีวัวผู้ยี่สิบสี่ แกะผู้หกสิบ แพะผู้หกสิบ และลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบหกสิบ นี่แหละเป็นของถวายในงานฉลอง แท่นบูชาเมื่อได้กระทำการเจิมแล้ว
89 เมื่อโมเสสได้เข้าไปในเต็นท์นัดพบ เพื่อจะกราบทูลพระองค์ ท่านได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับท่านมาจากพระที่นั่งกรุณา ซึ่งอยู่บนหีบพระโอวาทท่ามกลางเครูบทั้งสอง และพระสุรเสียงนั้นได้สนทนากับท่าน
กันดารวิถี 8
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงกล่าวแก่อาโรนว่า เมื่อจะตั้งตะเกียงให้ตะเกียงทั้งเจ็ดส่องแสงข้างหน้าคันประทีป"
3 และอาโรนได้กระทำดังนั้น ท่านได้ตั้งตะเกียงให้ส่องแสงออกด้านหน้าคันประทีป ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งกับโมเสส
4 ฝีมือที่ทำคันประทีปเป็นดังนี้ เป็นทองคำใช้ค้อนทุบ ตั้งแต่ฐานขึ้นไปถึงดอกเป็นฝีค้อน ตามแบบอย่างที่พระเจ้าสำแดงแก่โมเสส เขาจึงทำคันประทีปดังนั้น
5 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
6 "จงยกคนเลวีออกจากคน อิสราเอลและชำระเขาทั้งหลายเสีย
7 เจ้าจงชำระเขาดังนี้ จงเอาน้ำชำระมาประพรมเขาให้เขาโกนตลอดทั้งตัว ให้ซักผ้าและชำระตัวให้สะอาด
8 แล้วให้เขาทั้งหลายนำลูกวัวผู้ กับเครื่องธัญญบูชาคู่กัน คือยอดแป้งคลุกน้ำมัน และเจ้าจงนำลูกวัวผู้อีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
9 แล้วจงพาคนเลวีมาหน้าเต็นท์นัดพบ และให้คนอิสราเอลมาชุมนุมพร้อมกันหมด
10 เมื่อเจ้านำคนเลวีมากราบทูลพระเจ้า ให้คนอิสราเอลเอามือของเขาวางบนคนเลวี
11 และให้อาโรน ถวายคนเลวีแด่พระเจ้าให้เป็นเครื่องยื่นถวายจากประชาชนอิสราเอล เพื่อเขาจะได้ทำงานปรนนิบัติพระเจ้า
12 แล้วคนเลวีจะเอามือของตนวางบนหัววัวผู้ทั้งสอง เจ้าจงเอาตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และอีกตัวหนึ่งให้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า เพื่อลบมลทินบาปของคนเลวี
13 เจ้าจงตั้งคนเลวีให้คอยรับใช้อาโรนและบุตร ทั้งหลายของอาโรน และจงถวายเขาทั้งหลายให้เป็นเครื่องยื่นถวายแด่พระเจ้า
14 "ฉะนี้แหละ เจ้าจงแยกคนเลวีออกจากคนอิสราเอล และคนเลวีจะเป็นของเรา
15 ตั้งแต่นั้นไปคนเลวีจะเข้าไปปฏิบัติงานที่เต็นท์นัดพบ ในเมื่อเจ้าได้ชำระเขาและกระทำการยื่นถวายเขาไว้แล้ว
16 เพราะเขาทั้งหมดถูกแยกออกจากคนอิสราเอล และมอบไว้แก่เรา เราได้รับเขามาเป็นของเราแล้วแทน ทุกคนที่เกิดจากครรภ์มารดาก่อน คือแทนบุตรหัวปีของประชาชนอิสราเอล
17 เพราะว่าลูกหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอล เป็นของเราทั้งคนและสัตว์ ในวันที่เราได้สังหารลูกหัวปีในแผ่นดินอียิปต์ เราได้เลือกเขาไว้เป็นของเรา
18 และเราได้เลือกคนเลวีแทนบุตรหัวปีของคนอิสราเอล
19 และเราได้ให้คนเลวีจากคนอิสราเอล ไว้กับอาโรนและบุตรของอาโรน ให้ปฏิบัติงานแทนคนอิสราเอลที่เต็นท์นัดพบ และทำการลบมลทินให้คนอิสราเอล เพื่อว่าจะไม่มีภัยพิบัติบังเกิดแก่คนอิสราเอล เมื่อเขาเข้ามาใกล้สถานนมัสการ"
20 โมเสสและอาโรนและชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด ได้กระทำต่อคนเลวีดังนั้น ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสในเรื่องคนเลวีทุกประการ คนอิสราเอลก็กระทำดังนั้น
21 คนเลวีได้ชำระตนให้สิ้นบาปและซักเสื้อผ้าของตน และอาโรนก็ทำพิธียื่นถวายเขาแด่พระเจ้า และอาโรนทำ การลบมลทินชำระเขา
22 แต่นั้นมาคนเลวีก็เข้าไปปฏิบัติในเต็นท์นัดพบ ในการรับใช้อาโรนและบุตรชายของอาโรน ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสเรื่องคนเลวี เขาจึงได้กระทำอย่างนั้นแก่เขาทั้งหลาย
23 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
24 "เรื่องนี้เกี่ยวกับคนเลวี ให้คนเลวีที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบห้าปีขึ้นไป เข้าไปปฏิบัติงานในเต็นท์นัดพบ
25 พออายุได้ห้าสิบปีให้เขาหยุดปฏิบัติไม่ต้องทำงานต่อไป
26 แต่ให้เขาช่วยพี่น้องในเต็นท์นัดพบดูแลการงาน ไม่ต้องลงมือทำเอง เจ้าจงกระทำเช่นนี้แก่คนเลวีเมื่อกำหนดงานให้เขา"
กันดารวิถี 9
1 ในเดือนที่หนึ่งปีที่สองตั้งแต่เขาทั้งหลาย ออกจากแผ่นดินอียิปต์ พระเจ้าตรัสกับโมเสสที่ถิ่นทุรกันดารซีนายว่า
2 "ให้คนอิสราเอลถือเทศกาลปัสกา ตามเวลาที่กำหนดไว้
3 คือเดือนนี้ในวันขึ้นสิบสี่ค่ำเวลาเย็น เจ้าทั้งหลายจงถือเทศกาลปัสกาตามเวลาที่กำหนดนั้น เจ้าจงกระทำตามกฎเกณฑ์และกฎหมายทั้งสิ้นของเทศกาลนั้น"
4 โมเสสจึงบอกคนอิสราเอลให้ถือเทศกาลปัสกา
5 เขาทั้งหลายได้ถือเทศกาลปัสกาในเดือนที่หนึ่ง ขึ้นสิบสี่ค่ำเวลาเย็น ที่ถิ่นทุรกันดารซีนาย ที่พระเจ้าตรัสสั่งโมเสสทุกประการ คนอิสราเอลก็กระทำตามอย่างนั้น
6 และมีผู้ชายบางคนที่มีมลทินเพราะถูกต้องศพ จึงถือปัสกาในวันนั้นไม่ได้ เขาจึงมาอยู่ต่อหน้าโมเสสและอาโรนในวันนั้น
7 เขาเหล่านั้นกล่าวแก่ท่านว่า "เรามีมลทินเพราะได้ถูกต้องศพ ทำไมจึงห้ามมิให้เราถวายเครื่อง บูชาของพระเจ้าตามวันกำหนดท่ามกลางคนอิสราเอล"
8 และโมเสสบอกเขาว่า "จงคอยอยู่ก่อนเพื่อเราจะฟังดูว่า พระเจ้าจะตรัสสั่งอย่างไรเรื่องท่าน"
9 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
10 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า ถ้าผู้ใดในพวกเจ้าหรือในพงศ์พันธุ์ของเจ้ามีมลทิน เพราะถูกต้องศพหรือไปทางไกล ก็ให้ผู้นั้นถือปัสกาแด่พระเจ้า
11 ให้ถือปัสกาในเดือนที่สองวันขึ้นสิบสี่ค่ำเวลาเย็น ให้เขากินขนมไร้เชื้อและผักรสขม
12 เขาทั้งหลายต้องไม่ให้อะไรเหลือจนวันรุ่งขึ้น และไม่หักกระดูกแกะปัสกา ให้กระทำตามกฎเกณฑ์ ในเรื่องถือเทศกาลปัสกาทุกประการ
13 แต่คนที่สะอาดและมิได้เดินทางไป แต่งดไม่ถือเทศกาลปัสกา ให้อเปหิผู้นั้นจากท่ามกลางชนชาติของเขา เพราะเขามิได้นำเครื่องบูชาของพระเจ้ามาถวายตามกำหนด ผู้นั้นต้องถูกทำโทษ
14 ถ้าคนต่างด้าวมาอาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย จะใคร่ถือเทศกาลปัสกาแด่พระเจ้าตามกฎเกณฑ์ของ เทศกาลปัสกาและตามกฎหมาย ก็ให้เขาถือได้ เจ้าจงมีกฎเกณฑ์อย่างเดียวสำหรับทั้งคนต่างด้าว และชาวเมือง"
15 ในวันที่จัดตั้งพลับพลานั้น มีเมฆมาปกคลุมพลับพลาไว้ คือเต็นท์พระโอวาท เวลาเย็นเมฆนั้นก็อยู่เหนือพลับพลา ปรากฏเหมือนเพลิงจนรุ่งเช้า
16 เป็นอย่างนั้นเสมอมา มีเมฆคลุม กลางคืนปรากฏเหมือนเพลิง
17 เมื่อไรเมฆลอยขึ้นจากเต็นท์ ภายหลังนั้นพวกอิสราเอลก็ยกเดินไป ครั้นเมฆนั้นลอยหยุดอยู่ที่ใด คนอิสราเอลก็ตั้งค่ายอยู่ที่นั่น
18 คนอิสราเอลออกเดินตามพระดำรัสของพระเจ้า และเขาตั้งค่ายตามพระดำรัสของพระเจ้า ตราบใดที่เมฆพักอยู่เหนือพลับพลาเขาก็ยังตั้งค่ายอยู่
19 แม้เมื่อเมฆอยู่เหนือพลับพลานานหลายวัน คนอิสราเอลก็ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าไม่ยกเดินไป
20 บางทีเมฆอยู่เหนือพลับพลาน้อยวัน ตามพระดำรัสของพระเจ้าเขาก็ยังอยู่ในค่าย แล้วตามพระดำรัสของพระเจ้าเขาก็ยกออกเดินทาง
21 บางทีเมฆคงอยู่ตั้งแต่เย็นจนเช้า ครั้นเมฆลอยขึ้นในตอนเช้าเขาก็ยกออกเดิน หรือถ้าเมฆคงอยู่หนึ่งวันกับหนึ่งคืน เมื่อเมฆลอยขึ้นเขาก็ยกออกเดิน
22 ไม่ว่าเมฆจะคงอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือเดือนหนึ่ง หรือเวลานานกว่า คนอิสราเอลก็อยู่ในค่ายนานเท่านั้น มิได้ยกออกไปแต่เมื่อเมฆลอยขึ้นเมื่อใดเขา ก็ยกออกไปเมื่อนั้น
23 เขาตั้งค่ายอยู่ตามพระดำรัสของพระเจ้า และเขายกออกเดิน ตามพระดำรัสของพระเจ้า เขาทั้งหลายก็ปฏิบัติงานของพระเจ้า ตามพระดำรัสที่พระเจ้าตรัสสั่งโมเสส
กันดารวิถี 10
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงทำแตรเงินสองคันด้วยใช้ค้อนทุบ เจ้าจงใช้แตรนั้นเรียกชุมนุม และใช้รื้อย้ายค่าย
3 เมื่อเป่าแตรทั้งสองนั้น ก็ให้มาชุมนุมพร้อมกันกับเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
4 ถ้าเป่าแตรคันเดียว ให้ประมุขผู้หัวหน้าเผ่าอิสราเอลมาประชุมกับเจ้า
5 เมื่อเป่าแตรปลุก ให้บรรดาค่ายที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกยกออกเดิน
6 เมื่อเป่าแตรปลุกหนที่สอง ให้บรรดาค่ายที่อยู่ด้านใต้ยกออกเดิน เมื่อใดจะให้ยกออกเดินก็ให้เป่าแตรปลุก
7 แต่เมื่อจะให้คนทั้งปวงมาประชุมพร้อมกัน จงเป่าแตรแต่อย่าทำเสียงปลุก
8 ให้บุตรของอาโรนคือปุโรหิตเป็นคนเป่าแตร แตรนี้จะเป็นบัญญัติถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า
9 และเมื่อเจ้าทั้งหลายจะไปทำศึกในแผ่นดินของเจ้า สู้ศัตรูผู้มาบีบบังคับเจ้า ก็ให้เป่าแตรทำเสียงปลุก เพื่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าจะทรงระลึกถึงเจ้า และช่วยเจ้าให้พ้นจากศัตรูของเจ้า
10 ในวันที่เจ้าทั้งหลายมีความยินดี และในงานเทศกาลและในวันต้นเดือนของเจ้า เจ้าจงเป่าแตรเหนือเครื่องเผาบูชาและเหนือสัตวบูชา อันเป็นเครื่องศานติบูชา เป็นที่ให้พระเจ้าของเจ้าระลึกถึงเจ้า เราเป็นพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า"
11 ณวันที่ยี่สิบเดือนที่สองปีที่สอง ทรงให้เมฆนั้นขึ้นจากพลับพลาพระโอวาท
12 คนอิสราเอลก็ยกเดินหยุดเป็นระยะๆ ไปจากถิ่นทุรกันดารซีนายและเมฆนั้นมายั้งอยู่ที่ถิ่น ทุรกันดารปาราน
13 เขาทั้งหลายได้ยกออกเดินไปเป็นครั้งแรกตามพระดำรัส ของพระเจ้าที่ตรัสสั่งโมเสส
14 ธงค่ายของคนยูดาห์ออกเดินไปเป็นกองๆก่อน มีนาโชนบุตรอัมมีนาดับเป็นผู้นำพลโยธา
15 เนธันเอลบุตรศุอาร์นำพลโยธาเผ่าอิสสาคาร์
16 และเอลีอับบุตรเฮโลนนำพลโยธาเผ่าคนเศบูลุน
17 เมื่อรื้อพลับพลาลงแล้ว บรรดาบุตรเกอร์โชน และของเมรารีผู้แบกหามพลับพลานั้นก็ยกเดินไป
18 ธงค่ายของคนรูเบนออกเดินไปเป็นกองๆ เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์เป็นผู้นำพลโยธา
19 เชลูมิเอลบุตรศุริชัดดัยนำพลโยธาเผ่าคนสิเมโอน
20 เอลียาสาฟบุตรเดอูเอลนำพลโยธาเผ่าคนกาด
21 แล้วคนโคฮาทก็ยกออกเดินแบกหามสิ่งบริสุทธิ์ต่างๆ ก่อนที่พวกนี้ไปถึง เขาก็ตั้งพลับพลาเสร็จแล้ว
22 ธงค่ายคนเอฟราอิมออกเดินไปเป็นกองๆ มีเอลีชามาบุตรอัมมีฮูดนำพลโยธา
23 กามาลิเอลบุตรเปดาซูร์นำพลโยธาเผ่าคนมนัสเสห์
24 อาบีดันบุตรกิเดโอนีนำพลโยธาเผ่าคนเบนยามิน
25 แล้วธงค่ายคนเผ่าดานเป็นพวกระวังท้ายของค่ายทั้งหมด ได้ยกออกเดินไปเป็นกองๆ มีอาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัยนำพลโยธา
26 ปากีเอลบุตรชายโอครานนำพลโยธาเผ่าคนอาเชอร์
27 อาหิราบุตรเอนันนำพลโยธาเผ่าคนนัฟทาลี
28 นี่เป็นอันดับการเดินทางของคนอิสราเอลตามเหล่า พลโยธาของเขา เมื่อเขายกออกเดินไป
29 โมเสสพูดกับโฮบับบุตรเรอูเอลคนมีเดียนพ่อตา ของโมเสสว่า "เราทั้งหลายออกเดินไปสู่ที่ซึ่งพระเจ้าตรัสไว้ว่า 'เราจะยกให้แก่เจ้าทั้งหลาย' เชิญไปกับเราเถิด และเราทั้งหลายจะทำดีแก่ท่าน เพราะพระเจ้าทรงสัญญาให้ของดีแก่คนอิสราเอล"
30 แต่เขาตอบโมเสสว่า "เราไม่ไป เราจะกลับไปเมืองของเรา ยังวงศ์ญาติของเรา"
31 และโมเสสว่า "ขออย่าพรากจากเราไปเลย ท่านทราบอยู่แล้วว่า เราต้องตั้งค่ายอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และท่านจะได้เป็นดังนัยน์ตาของเรา
32 ถ้าท่านไปกับเราทั้งหลาย พระเจ้าทรงกระทำดีอะไรแก่เรา เราจะกระทำอย่างนั้นแก่ท่าน"
33 เขาทั้งหลายก็ออกเดินจากภูเขาของพระเจ้าระยะทางสามวัน หีบพันธสัญญาของพระเจ้านำหน้าเขาไปสามวันเพื่อหา ที่พักให้เขา
34 เขาทั้งหลายยกค่ายไปเมื่อไร เมฆของพระเจ้าก็อยู่เหนือเขาในกลางวันเมื่อนั้น
35 เมื่อหีบยกออกเดินเมื่อไร โมเสสกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้นเถิด ให้ศัตรูทั้งหลายของพระองค์กระจัดกระจายไป ให้ผู้ที่ชังพระองค์หลีกหนีพระองค์ไป"
36 เมื่อหีบยับยั้งท่านกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอเสด็จกลับมาสู่คนตระกูลอิสราเอลที่นับเป็นหมื่นๆนี้เถิด พระเจ้าข้า"
กันดารวิถี 11
1 ประชาชนได้บ่นเรื่องเหตุร้าย ต่อพระเนตรพระกรรณของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงทราบก็ทรงพระพิโรธ มีไฟของพระเจ้ามาไหม้อยู่ท่ามกลาง เขาเผาค่ายรอบนอกเสียบ้าง
2 แล้วคนทั้งหลายจึงร้องต่อโมเสส และโมเสสได้อธิษฐานพระเจ้า ไฟก็ดับ
3 เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่าทาเบราห์ เพราะไฟของพระเจ้ามาไหม้อยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย
4 คนที่ปะปนมากับเขาทั้งหลายเป็นคนละโมบมาก ทั้งคนอิสราเอลก็ร้องไห้คร่ำครวญอีกว่า "ผู้ใดจะให้เนื้อเรากิน
5 เราระลึกถึงปลาที่เราเคยกินในอียิปต์โดยไม่ต้องซื้อ ทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ หัวกระเทียม
6 บัดนี้จิตใจของเราก็เหี่ยวแห้งลง ไม่มีอะไรให้เราดูเลยนอกจากมานานี้"
7 มานานั้นเหมือนเมล็ดผักชี สีเหมือนยางไม้ตะคร้ำ
8 ประชาชนก็เที่ยวออกไปเก็บมาโม่หรือตำในครก และใส่หม้อต้มทำขนม รสของมานาเหมือนรสขนมคลุกน้ำมัน
9 กลางคืนเมื่อน้ำค้างตกมาเหนือค่าย มานาก็ตกมาด้วย
10 โมเสสได้ยินประชาชนร้องไห้ไปทั่วตระกูลทั้งหลาย ต่างคนต่างอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน พระเจ้าทรงกริ้วยิ่งนัก โมเสสก็ร้อนใจด้วย
11 โมเสสจึงกราบทูลพระเจ้าว่า "ไฉนพระองค์จึงให้ผู้รับใช้ของพระองค์ยากเย็นเช่นนี้ เหตุใดข้าพระองค์ไม่เป็นที่โปรดปรานต่อพระองค์ พระองค์จึงทรงวางเรื่องของชนชาติทั้งหมดนี้อัน เป็นภาระหนักลงเหนือข้าพระองค์
12 ข้าพระองค์ตั้งครรภ์คนเหล่านี้มาหรือ ข้าพระองค์ยังคนเหล่านี้ให้เกิดมาหรือ พระองค์จึงตรัสแก่ข้าพระองค์ว่า 'จงอุ้มเขาไว้ในอกของเจ้าอย่างคนเลี้ยงอุ้ม ลูกแดงนำมาสู่แผ่นดินที่พระองค์ปฏิญาณจะให้แก่ ปู่ย่าตายายของเขา'
13 ข้าพระองค์จะได้เนื้อมาจากไหนให้คนทั้งหมดนี้ เพราะเขาร้องไห้ต่อข้าพระองค์ว่า 'ขอเนื้อให้เรากิน'
14 ข้าพระองค์ไม่สามารถหอบอุ้มคนเหล่านี้แต่ลำพัง ได้เป็นภาระหนักเกินแก่ข้าพระองค์
15 ถ้าพระองค์จะทรงกระทำแก่ข้าพระองค์อย่างนี้แล้ว และถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปราน ขอจงประหารข้าพระองค์เสียทันทีเถิด อย่าให้ข้าพระองค์แลเห็นความทุเรศของข้าพระองค์เลย"
16 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในอิสราเอลให้เราเจ็ดสิบคน เป็นคนที่เจ้าทราบว่าเป็นคนผู้ใหญ่ในประชาชนและเป็น เจ้าหน้าที่เหนือเขาทั้งหลาย จงพาเขามาที่เต็นท์นัดพบให้เขายืนอยู่พร้อมกับเจ้าที่นั่น
17 เราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาจิตวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บน คนเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง
18 และจงกล่าวแก่คนทั้งปวงว่า 'ท่านทั้งหลายจงชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับพรุ่งนี้ ท่านจะได้รับประทานเนื้อเพราะท่านร้องไห้ต่อพระเนตร พระกรรณของพระเจ้าว่า "ผู้ใดจะให้เนื้อเรากิน เมื่อเราอยู่ในอียิปต์เราก็สุขสบาย" เพราะเหตุนี้พระเจ้าจะทรงประทานเนื้อให้ท่านทั้งหลาย รับประทาน
19 ท่านจะมิได้รับประทานวันเดียว หรือสองวัน หรือห้าวัน หรือสิบวัน หรือยี่สิบวัน
20 แต่หนึ่งเดือนเต็ม จนเนื้อจะล้นออกมาทางรูจมูกของท่าน จนท่านเอือม เพราะท่านได้ทอดทิ้งพระเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย และได้ร้องไห้ต่อพระองค์กล่าวว่า "ไฉนเราจึงได้ออกมาจากอียิปต์"'"
21 แต่โมเสสกราบทูลว่า "คนที่ข้าพระองค์อยู่ท่ามกลางเขานั้นเป็นทหารราบหกแสนคน และพระองค์ตรัสว่า 'เราจะให้เนื้อเขาทั้งหลายกินครบเดือนหนึ่ง'
22 จะเอาฝูงแพะแกะฝูงโคมาฆ่าให้เขาให้พอเขากินหรือ จะรวบรวมปลาทั้งหมดในทะเลให้เขาให้พอเขากินหรือ"
23 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "พระหัตถ์ของพระเจ้าสั้นไปหรือ บัดนี้เจ้าจะเห็นว่าคำของเราจะสำเร็จเพื่อเจ้าจริงหรือไม่"
24 โมเสสก็ออกไปบอกแก่คนทั้งปวง ถึงพระดำรัสของพระเจ้า และท่านได้รวบรวมพวกผู้ใหญ่ในประชาชนได้เจ็ดสิบคน แต่งตั้งเขาไว้ให้ยืนรอบเต็นท์
25 แล้วพระเจ้าเสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส และเอาวิญญาณที่มีอยู่บนโมเสสบ้าง ใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้น เมื่อวิญญาณอยู่บนเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะ แต่เขาทั้งหลายก็ไม่ทำอีก
26 ยังมีสองคนที่อยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนหนึ่งชื่อเมดาดและวิญญาณอยู่บนเขา เขาเป็นคนที่ได้ลงทะเบียนไว้ แต่ไม่ได้มาที่เต็นท์ เขาเผยพระวจนะในค่าย
27 มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกโมเสสว่า "เอลดาดและเมดาดกำลังเผยพระวจนะอยู่ในค่าย"
28 และโยชูวาบุตรนูนเป็นผู้รับใช้ของโมเสสตั้งแต่หนุ่มๆ มากล่าวว่า "โมเสสเจ้านายของข้าพเจ้า ขอห้ามเขาเสีย"
29 แต่โมเสสบอกเขาว่า "ท่านเจ็บร้อนแทนเราหรือ เราใคร่ให้ประชาชนของพระเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะทุกคน และใคร่ให้พระเจ้าทรงใส่วิญญาณของพระองค์ไว้บนเขา เหล่านั้น"
30 โมเสสและพวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลก็กลับไปค่าย
31 มีลมพัดมาจากพระเจ้าพาฝูงนกคุ่มมาจากทะเล ให้มาตกอยู่ที่ข้างค่ายรอบค่ายทุกทิศ ห่างออกไปเป็นหนทางเดินวันหนึ่ง สูงพ้นพื้นดินประมาณสองศอก
32 วันนั้นคนก็เที่ยวจับนกคุ่มทั้งวันและคืน และตลอดวันรุ่งขึ้นด้วย คนที่จับได้น้อยที่สุดได้ถึงสิบโฮเมอร์ แล้วเขาเอามาวางตากทั่วค่าย
33 เมื่อนกยังติดฟันเขาทั้งหลายอยู่ ยังรับประทานไม่ทันหมด พระเจ้าทรงกริ้วประชาชนยิ่งนัก พระเจ้าก็ทรงประหารประชาชนเสียด้วยภัยพิบัติอย่างร้ายแรง
34 เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นว่า ขิบโรทหัทธาอาวาห์ เพราะที่นั่นเขาฝังศพคนทั้งปวงที่โลภอาหาร
35 ประชาชนได้ยกเดินจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ถึงฮาเซโรท และยับยั้งอยู่ที่ฮาเซโรท
กันดารวิถี 12
1 มิเรียมและอาโรนได้พูดติโมเสส เหตุหญิงคนคูชที่ท่านได้แต่งงานด้วย เพราะโมเสสได้แต่งงานกับหญิงคนคูชคนหนึ่ง
2 เขาทั้งสองกล่าวว่า "พระเจ้าตรัสทางโมเสสคนเดียวเท่านั้นจริงหรือ พระองค์ไม่ตรัสทางเราบ้างหรือ" พระเจ้าทรงได้ยิน
3 โมเสสเป็นคนถ่อมใจมากยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่พื้นแผ่นดิน
4 ทันใดนั้นพระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนกับมิเรียมว่า "เจ้าทั้งสามจงออกมาที่เต็นท์นัดพบ" เขาทั้งสามก็ออกมา
5 พระเจ้าก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ ประทับยืนที่ประตูเต็นท์ ทรงเรียกอาโรนและมิเรียม เขาทั้งสองก็มาข้างหน้า
6 พระองค์ตรัสว่า "จงฟังถ้อยคำของเรา ถ้าจะมีผู้เผยพระวจนะท่ามกลางเจ้าทั้งหลาย เราพระเจ้าจะสำแดงตัวแก่ผู้นั้นเป็นนิมิต เราจะพูดกับเขาทางฝัน
7 สำหรับโมเสสผู้รับใช้ของเราก็ไม่เป็นเช่นนั้น ในประชาชนของเราเขาสัตย์ซื่อ
8 เราพูดกับเขาปากต่อปากอย่างชัดเจนไม่พูดเร้นลับ และเขาเห็นสัณฐานของพระเจ้า ไฉนเจ้าไม่กลัวที่จะพูดติโมเสสผู้รับใช้ของเรา"
9 พระเจ้าทรงกริ้วเขามาก แล้วเสด็จไปเสีย
10 เมื่อเมฆลอยพ้นเต็นท์ไป ดูเถิด มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อนขาวดุจหิมะ อาโรนหันไปดูมิเรียม และดูเถิด นางเป็นโรคเรื้อน
11 และอาโรนพูดกับโมเสสว่า "ข้าแต่เจ้านายของข้าพเจ้า ขออย่าลงโทษแก่เราทั้งสองที่ได้กระทำ ความเขลาและบาปเช่นนี้
12 ขออย่าให้มิเรียมเป็นเหมือนคนที่ตายแล้ว ดุจคนที่คลอดจากครรภ์มารดามีเนื้อกุดไปครึ่งหนึ่ง"
13 และโมเสสได้ร้องทูลพระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงรักษานาง ข้าพระองค์ทูลวิงวอนต่อพระองค์"
14 แต่พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ถ้าพ่อของนางถ่มน้ำลายรดหน้านาง นางจะละอายอยู่เจ็ดวันมิใช่หรือ จงกักนางไว้นอกค่ายเจ็ดวัน ภายหลังจึงให้กลับเข้ามาได้"
15 ดังนั้นมิเรียมจึงถูกกักอยู่นอกค่ายเจ็ดวัน และประชาชนก็มิได้ยกเดินไปจนกว่ามิเรียมกลับเข้ามาอีก
16 แล้วประชาชนก็ยกเดินจากตำบลฮาเซโรท ไปตั้งค่ายอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารปาราน
กันดารวิถี 13
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงส่งคนไปสอดแนมดูที่แผ่นดินคานาอัน ที่เราให้แก่คนอิสราเอลนั้น จงส่งคนจากเผ่าของบรรพบุรุษเผ่าละคน ให้ทุกคนเป็นหัวหน้าในเผ่านั้น"
3 โมเสสจึงใช้เขาไปจากถิ่น ทุรกันดารปารานตามพระดำรัสของพระเจ้า ทุกคนเป็นหัวหน้าในคนอิสราเอล
4 ต่อไปนี้เป็นชื่อของคนเหล่านั้น ชัมมุวาบุตรศักเกอร์เป็นเผ่ารูเบน
5 ชาฟัทบุตรโฮรีเป็นเผ่าสิเมโอน
6 คาเลบบุตรเยฟุนเนห์เป็นเผ่ายูดาห์
7 อิกาลบุตรโยเซฟเป็นเผ่าอิสสาคาร์
8 โฮเชยาบุตรนูนเป็นเผ่าเอฟราอิม
9 ปัลทีบุตรราฟูเป็นเผ่าเบนยามิน
10 กัดเดียลบุตรโสดีเป็นเผ่าเศบูลุน
11 เผ่าพันธุ์โยเซฟคือเผ่ามนัสเสห์มีกัดดีบุตรสุสี
12 อัมมีเอลบุตรเกมัลลีเป็นเผ่าดาน
13 เสธูร์บุตรมีคาเอลเป็นเผ่าอาเชอร์
14 นาบีบุตรโวฟสีเป็นเผ่านัฟทาลี
15 เกอูเอลบุตรมาคีเป็นเผ่ากาด
16 ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อคนที่โมเสสใช้ไปสอดแนมที่แผ่นดินนั้น และโมเสสเรียกชื่อโฮเชยาบุตรนูนว่าโยชูวา
17 โมเสสใช้เขาทั้งหลายไปสอดแนมที่แผ่นดินคานาอัน และสั่งเขาทั้งหลายว่า จงเข้าไปที่เนเกบ ข้างโน้นและขึ้นไปที่เขตเทือกเขา
18 ตรวจดูแผ่นดินนั้นว่าเป็นอย่างไร และว่าคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้นมีกำลังแข็งแรงหรืออ่อนแอ มีคนน้อยหรือมาก
19 ดูว่าแผ่นดินที่เขาอยู่จะดีหรือเลว บ้านเมืองที่เขาอยู่เป็นค่ายหรือเป็นเมืองที่มีกำแพงเข้มแข็ง
20 ดูว่าแผ่นดินอุดมหรือจืด มีป่าไม้หรือเปล่า ท่านทั้งหลายจงมีใจกล้าหาญ และนำผลไม้ที่เมืองนั้นกลับมาบ้างด้วย" เวลานั้นเป็นฤดูผลองุ่นสุกรุ่นแรก
21 คนเหล่านั้นจึงขึ้นไปสอดแนมแผ่นดิน ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศิน จนถึงเรโหบ ที่ทางเข้าเมืองฮามัท
22 เขาขึ้นไปถึงเนเกบ ถึงเมืองเฮโบรน และอาหิมาน เชชัย และทัลมัย คือคนอานาคอยู่ที่นั่น (เมืองเฮโบรนนี้เขาสร้างมาก่อนเมืองโศอันในอียิปต์ได้เจ็ดปี)
23 เขาทั้งหลายมาถึงห้วยเอชโคล์ ที่นั่นเขาตัดองุ่นกิ่งหนึ่งมีองุ่นพวงหนึ่ง สองคนใช้ไม้คานหามมาเขาเก็บผลทับทิมและมะเดื่อมาบ้าง
24 เขาเรียกที่นั่นว่าห้วยเอชโคล์ เพราะพวงผลองุ่นซึ่งคนอิสราเอลได้ตัดมาจากที่นั่น
25 ล่วงมาสี่สิบวันเขาทั้งหลายก็กลับมาจากการ ไปสอดแนมที่แผ่นดินนั้น
26 เขาทั้งหลายกลับมาถึงโมเสสและอาโรน และมาถึงชุมนุมชนอิสราเอล ในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช เขาเล่าเรื่องให้ท่านทั้งสอง และบรรดาคนอิสราเอลฟัง และให้ดูผลไม้แห่งแผ่นดินนั้น
27 เขาทั้งหลายเล่าให้โมเสสฟังว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ไปถึงแผ่นดิน ซึ่งท่านใช้ไป มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ที่นั่นจริง และนี่เป็นผลไม้ของเมืองนั้น
28 แต่คนที่อยู่ในเมืองนั้นมีกำลังมาก และเมืองของเขาก็ใหญ่โตมีกำแพงล้อมรอบ นอกจากนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายยังเห็นคนอานาคที่นั่นด้วย
29 คนอามาเลขอยู่ในแผ่นดินเนเกบ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์อยู่บนภูเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ที่ริมทะเล และตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน"
30 แต่คาเลบได้ให้คนทั้งปวงเงียบต่อหน้าโมเสสกล่าวว่า "ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดเมืองนั้น เพราะพวกเรามีกำลัง สามารถที่จะเอาชัยชนะได้"
31 ฝ่ายคนทั้งปวงที่ขึ้นไปสอดแนมด้วยกันกล่าวว่า "เราไม่สามารถสู้คนเหล่านั้นได้ เพราะเขามีกำลังมากกว่าเรา"
32 และเขาได้กล่าวร้ายเรื่องแผ่นดิน ที่เขาได้ไปสอดแนมมา เล่าให้คนอิสราเอลฟังว่า "แผ่นดินที่เราได้ไปสืบดูตลอดแล้วนั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองที่เราเห็นเป็นคนรูปร่างใหญ่โต
33 ที่นั่นเราเห็นคนเนฟิล (คนอานาคผู้มาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเหมือนเป็นตั๊กแตนโมในสายตาของเขาก็เหมือนกัน"
กันดารวิถี 14
1 แล้วชุมนุมชนนั้นก็ร้องลั่นขึ้นมา ประชาชนร้องไห้ในคืนวันนั้น
2 บรรดาคนอิสราเอลได้บ่นว่าโมเสสและอาโรน ชุมนุมชนทั้งหมดกล่าวแก่ท่านว่า "ให้เราตายเสียที่อียิปต์ หรือให้เราตายเสียที่ถิ่นทุรกันดารนี้ก็ดีกว่า
3 พระเจ้านำเราเข้ามาในประเทศนี้ให้ตายด้วยคม กระบี่ทำไมเล่า ลูกเมียของเราต้องตกเป็นเหยื่อ ที่เราจะกลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ"
4 เขาพูดแก่กันและกันว่า "ให้เราตั้งคนหนึ่งขึ้นเป็นหัวหน้า แล้วกลับไปยังอียิปต์เถิด"
5 โมเสสกับอาโรนได้ซบหน้าลงถึงพื้นดินต่อหน้า ที่ประชุมของชุมนุมชนอิสราเอล
6 และโยชูวาบุตรนูนกับคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ เป็นผู้ที่ได้ร่วมไปสอดแนมที่แผ่นดินนั้น ได้ฉีกเสื้อผ้าของตน
7 และกล่าวแก่บรรดาชุมนุมชนอิสราเอลว่า "แผ่นดินที่เราได้เที่ยวสอดแนมดูตลอดนั้นเป็นแผ่นดิน ที่ดีเหลือเกิน
8 ถ้าพระเจ้าพอพระทัยในพวกเรา พระองค์จะทรงนำเราเข้าไปในแผ่นดินนี้ และทรงประทานแก่เรา เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์
9 ขอแต่อย่าให้พวกเรากบฏต่อพระเจ้าเท่านั้น อย่ากลัวชาวแผ่นดินนั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นขนมของเราแล้ว ร่มฤทธิ์ของเขาก็ศูนย์ไปแล้ว พระเจ้าสถิตฝ่ายเรา อย่ากลัวเขาเลย"
10 แต่ชุมนุมชนทั้งหมดนั้นพูดกันว่าให้เอาก้อนหินขว้างเขาเสีย ขณะนั้นพระสิริของพระเจ้าปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้า คนอิสราเอล
11 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ชนชาตินี้จะสบประมาทเรานานสักเท่าใด แม้ว่าเราได้กระทำการอัศจรรย์สำคัญท่ามกลางเขามาแล้ว เขาทั้งหลายจะไม่เชื่อเรานานเท่าใด
12 เราจะประหารเขาเสียด้วยโรคร้าย และตัดเขาเสียจากการสืบมรดก เราจะกระทำให้เจ้าเป็นประเทศใหญ่โตและแข็งแรง กว่าเขาอีก"
13 แต่โมเสสได้กราบทูลพระเจ้าว่า "ชาวอียิปต์จะได้ยินเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงพาชนชาตินี้ออกมาจากท่ามกลาง เขาด้วยฤทธานุภาพ ของพระองค์
14 ชาวอียิปต์จะเล่าความนั้นแก่ชาวประเทศนี้ ข้าแต่พระเจ้า เขาทั้งหลายได้ยินว่า พระองค์สถิตท่ามกลางชนชาตินี้ ข้าแต่พระเจ้า เขาได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ เมฆของพระองค์ตั้งอยู่เหนือเขาทั้งหลาย พระองค์ทรงนำเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆและใน เวลากลางคืนด้วยเสาเพลิง
15 ถ้าพระองค์จะทรงประหารชนชาตินี้ดุจคนๆเดียว ประเทศทั้งหลายที่ได้ยินกิตติศัพท์ถึงพระองค์จะพูดกันว่า
16 'เพราะพระเจ้าพาชนชาตินี้ไปถึงแผ่นดินที่พระองค์ทรง สัญญาไว้แก่เขานั้นไม่ได้ พระองค์จึงทรงประหารเขาเสียที่ในถิ่นทุรกันดาร'
17 บัดนี้ข้าพระองค์ทูลวิงวอน ขอพระองค์ทรงบันดาลให้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าให้ ใหญ่ยิ่งดังพระสัญญาที่ว่า
18 'พระเจ้าทรงพระพิโรธช้า ทรงอุดมในความรักมั่นคง ทรงโปรดยกโทษและให้อภัยการทรยศ แต่ถือว่าไม่มีโทษหามิได้ ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่วสี่ชั่ว อายุ'
19 ขอทรงประทานอภัย ความผิดของชนชาตินี้ตามความยิ่งใหญ่แห่งความรักมั่นคงของพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงประทานอภัยชนชาติ นี้ตั้งแต่อียิปต์จนบัดนี้"
20 แล้วพระเจ้าจึงตรัสว่า "เราให้อภัยตามคำของเจ้า
21 แต่แท้จริงเรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด และโลกจะเต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้าแน่ฉันใด
22 คนทั้งหลายที่ได้เห็นพระสิริของเรา และได้เห็นการอัศจรรย์สำคัญที่เราได้กระทำในอียิปต์ และในถิ่นทุรกันดาร และยังได้ทดลองเรามาตั้งสิบครั้ง และยังมิได้เชื่อฟังเสียงของเรา
23 คนเหล่านี้จะมิได้เห็นแผ่นดินที่เราสัญญาไว้กับ ปู่ย่าตายายของเขาฉันนั้น คนทั้งปวงที่สบประมาทเราจะไม่ได้เห็นแผ่นดิน นั้นสักคนเดียว
24 แต่ส่วนคาเลบผู้รับใช้ของเรา เพราะมีจิตใจต่างกันและได้ตามเราอยู่ตลอดมา เราก็จะได้นำเขาไปถึงแผ่นดินที่เขาได้ไปมา และเผ่าพันธุ์ของเขาจะได้กรรมสิทธิ์เมืองนั้น
25 พวกอามาเลขและพวกคานาอันอยู่ที่หว่างเขา พรุ่งนี้เจ้าจงกลับไปในถิ่นทุรกันดารตามทางถึงทะเลแดง"
26 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
27 "เราจะทนชุมนุมชนชั่วร้ายนี้บ่นต่อเรานานสักเท่าใด เราได้ยินเสียงบ่นของคนอิสราเอลซึ่งเขาบ่นว่าเรา
28 เจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสว่า 'เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะกระทำสิ่งที่เจ้าทั้งหลายบ่นให้เราได้ยินแก่ เจ้าฉันนั้น
29 ซากศพของเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ จำนวนคนทั้งหมดของเจ้านับตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป ผู้ใดที่บ่นว่าเรา
30 จะไม่มีสักคนหนึ่งที่มาถึงแผ่นดินที่เราสัญญาว่า จะให้เจ้าอาศัยอยู่ เว้นแต่คาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรนูน
31 แต่ลูกเล็กที่เจ้าทั้งหลายว่าจะเป็นเหยื่อนั้น เราจะพาเขาทั้งหลายเข้าไปและเขาจะรู้จักแผ่นดิน ที่เจ้าทั้งหลายได้สบประมาท
32 ส่วนเจ้าทั้งหลาย ศพของเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้
33 ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายจะเป็นผู้เลี้ยงแกะอยู่ในถิ่น ทุรกันดารถึงสี่สิบปี เขาจะทนโทษการเล่นชู้ของเจ้า จนกว่าจำนวนซากศพของเจ้าจะอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ครบ
34 ตามจำนวนวันที่เจ้าเข้าไปสอดแนมในแผ่นดินนั้น ซึ่งมีสี่สิบวัน วันหนึ่งจะเป็นปีหนึ่ง เจ้าทั้งหลายจะรับโทษความผิดของเจ้าอยู่สี่สิบปี เจ้าทั้งหลายจะทราบถึงความไม่พอใจของเรา
35 เราผู้เป็นพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว เราจะกระทำดังนั้นแก่ชุมนุมชนที่ชั่วร้าย ซึ่งร่วมกันคิดต่อสู้เรา เขาจะสิ้นสุดลงในถิ่นทุรกันดาร เขาจะตายอยู่ที่นั่น"
36 คนที่โมเสสใช้ไปสอดแนมที่แผ่นดิน ผู้ที่กลับมาเล่าความใส่ร้ายแผ่นดินนั้น ซึ่งกระทำให้ชุมนุมชนบ่นว่าโมเสส
37 คนที่มารายงานความร้ายเรื่องแผ่นดินนั้นได้ตาย เสียด้วยโรคภัยต่อพระพักตร์พระเจ้า
38 แต่โยชูวาบุตรนูนและคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ ในหมู่คนที่ไปสอดแนมที่แผ่นดินยังมีชีวิตอยู่
39 และโมเสสเล่าข้อความนี้ให้คนอิสราเอลทั้งหมดฟัง ประชาชนก็ร้องไห้โศกเศร้ายิ่งนัก
40 และคนทั้งปวงได้ลุกขึ้นแต่เช้าขึ้นไปยังที่สูงที่เขตเทือกเขา กล่าวว่า "ดูซิ เราทั้งหลายมาอยู่ที่นี่แล้ว เราจะเข้าไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้ เพราะเราได้กระทำผิดแล้ว"
41 แต่โมเสสกล่าวว่า "เหตุไฉนท่านขัดขืนพระดำรัสของพระเจ้า การนี้จะไม่สำเร็จ
42 อย่าขึ้นไปเลย เพราะพระเจ้ามิได้อยู่ท่ามกลางท่าน เกลือกว่าท่านทั้งหลายจะล้มตายอยู่ต่อหน้าศัตรู
43 เพราะคนอามาเลขและคนคานาอันอยู่ข้างหน้าท่าน ท่านจะล้มลงด้วยคมดาบ เพราะท่านได้หันกลับจากการตามพระเจ้า พระเจ้าจะไม่สถิตท่ามกลางท่านทั้งหลาย"
44 แต่เขาทั้งหลายยังบังอาจขึ้นไปที่เขตเทือกเขา แต่หีบพันธสัญญาแห่งพระเจ้า และโมเสสมิได้ออกจากค่าย
45 แล้วคนอามาเลขและคนคานาอัน ที่อยู่ในเขตเทือกเขานั้นได้ลงมาขับไล่เขาให้พ่ายแพ้ จนไปถึงตำบลโฮรมาห์
กันดารวิถี 15
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าทั้งหลายจะเข้าในแผ่นดินที่เจ้าจะเข้าอาศัย อยู่ซึ่งเราให้แก่เจ้านั้น
3 ถ้าผู้ใดจะนำเครื่องบูชาจากฝูงโคหรือจากฝูงแพะ แกะไปถวาย พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ คือเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสัตวบูชา เพื่อแก้บน หรือเป็นเครื่องบูชาด้วยใจสมัคร หรือในการเลี้ยงตามกำหนด กระทำให้มีกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า
4 ก็ให้ผู้ที่นำเครื่องบูชานั้น นำธัญญบูชาถวายแด่พระเจ้าคือยอดแป้งหนึ่งในสิบเอฟาห์ คลุกน้ำมันหนึ่งในสี่ฮิน
5 และเจ้าจงจัดเหล้าองุ่นหนึ่งในสี่ฮินสำหรับลูกแกะทุกตัว เป็นเครื่องดื่มบูชาคู่กับเครื่องเผาบูชา คู่กับเครื่องสัตวบูชา
6 หรือสำหรับแกะผู้ตัวหนึ่ง เจ้าจงจัดธัญญบูชาด้วยยอดแป้งสองในสิบเอฟาห์ คลุกน้ำมันหนึ่งในสามฮิน
7 และสำหรับเป็นเครื่องดื่มบูชา เจ้าจงถวายเหล้าองุ่นหนึ่งในสามฮินให้เป็นกลิ่นที่ พอพระทัยแด่พระเจ้า
8 เมื่อเจ้าจัดวัวผู้เป็นเครื่องเผาบูชาหรือเป็นเครื่องสัตวบูชา เพื่อแก้บนหรือให้เป็นศานติบูชาแด่พระเจ้า
9 ก็ให้นำธัญญบูชามียอดแป้งสามในสิบเอฟาห์คลุก น้ำมันครึ่งฮินมาบูชาพร้อมกับวัวผู้นั้น
10 และให้นำเครื่องดื่มบูชามีเหล้าองุ่นครึ่งฮินให้ เป็นการบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า
11 จงกระทำอย่างนี้สำหรับวัวผู้หรือแกะผู้ทุกตัว หรือสำหรับลูกแกะผู้หรือลูกแพะทุกตัว
12 ตามจำนวนสัตว์ที่จัดมา จงกระทำตามส่วนนี้แก่สัตว์ทุกๆตัว
13 บรรดาชาวพื้นเมืองต้องกระทำอย่างนี้ทุกคน เมื่อจะถวายเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า
14 ถ้าคนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่กับเจ้า หรือคนหนึ่งคนใดท่ามกลางเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ ของเจ้าจะใคร่ถวายเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า ก็ให้เขาทั้งหลายกระทำเหมือนเจ้าทั้งหลายได้กระทำนั้น
15 จะต้องมีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกันสำหรับชุมนุมชนและ สำหรับคนต่างด้าวผู้มาอาศัยอยู่กับเจ้า เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า คือเจ้าเป็นอย่างใดคนต่างด้าวก็เป็นอย่างนั้น ต่อพระพักตร์พระเจ้า
16 จะต้องมีบัญญัติอย่างเดียวกัน และกฎหมายอย่างเดียวกันสำหรับเจ้าและสำหรับ คนต่างด้าวที่มาอาศัยอยู่กับเจ้า"
17 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
18 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าทั้งหลายมาถึงแผ่นดินที่เราจะพาเจ้าไป
19 และเมื่อเจ้ารับประทานอาหารแห่งแผ่นดินนั้น เจ้าจงนำเครื่องบูชาถวายแด่พระเจ้า
20 จงเอาแป้งเปียกส่วนหนึ่งที่เจ้าทำใหม่ทำขนม ก้อนหนึ่งถวายเป็นเครื่องบูชา เป็นเครื่องบูชาที่ได้จากลานนวดข้าว เจ้าจงถวายเช่นว่านี้
21 จงเอาแป้งเปียกส่วนหนึ่งที่เจ้าทำใหม่ถวายเป็นเครื่อง บูชาแด่พระเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า
22 "ถ้าเจ้าทั้งหลายได้ประพฤติผิด มิได้รักษาพระบัญญัติเหล่านี้ทุกประการ ซึ่งพระเจ้าตรัสสั่งแก่โมเสส
23 ทุกประการซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาไว้ทางโมเสส ตั้งแต่วันที่พระเจ้าประทานพระบัญชา และต่อๆไปตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า
24 แล้วถ้าประชาชนได้กระทำผิดโดยไม่เจตนา โดยที่ชุมนุมชนไม่รู้เห็น ชุมนุมชนทั้งหมดต้องถวายลูกวัวผู้ตัวหนึ่ง เป็นเครื่องเผาบูชา ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเจ้าพร้อมกับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กันตามกฎหมาย และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
25 และให้ปุโรหิตทำการลบมลทินบาปให้แก่ชุมนุมชน อิสราเอลทั้งหมด และเขาทั้งหลายจะได้รับอภัยโทษ เพราะเป็นการผิด และเขาได้นำเครื่องบูชาของเขามาถวายด้วยไฟแด่พระเจ้า และถวายเครื่องบูชาไถ่บาปต่อพระพักตร์พระเจ้า เพราะความผิดของเขา
26 และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดจะได้รับอภัยโทษ พร้อมกับคนต่างด้าว ผู้อยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เพราะว่าพลเมืองทั้งหมดเกี่ยวพันกับความผิดนั้นอันเกิด ขึ้นโดยเจตนา
27 "ถ้าบุคคลคนเดียวกระทำผิดโดยไม่รู้ตัว ก็ให้ผู้นั้นเอาแพะเมียอายุขวบหนึ่งไปเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
28 และให้ปุโรหิตกระทำการลบมลทินบาปต่อพระเจ้า ให้บุคคลนั้น ผู้กระทำผิดเมื่อเขากระทำบาปโดยไม่รู้ตัวเพื่อ ทำการลบมลทินบาปเขาเสีย และเขาจะได้รับอภัยโทษ
29 ให้เจ้ามีบัญญัติอย่างเดียวสำหรับผู้กระทำผิดโดยไม่รู้ตัว คือคนอิสราเอลผู้เป็นชาวพื้นเมือง และผู้เป็นคนต่างด้าวที่อยู่ท่ามกลางเขา
30 แต่บุคคลใดๆบังอาจกระทำผิดเขาเป็นคนพื้นเมือง หรือคนต่างด้าวก็ดี ผู้นั้นเหยียดหยามพระเจ้า ให้อเปหิผู้นั้นเสียจากชนชาติของตน
31 เพราะเขาได้สบประมาทพระดำรัสของพระเจ้า และขัดขืนพระบัญชาของพระองค์ให้อเปหิผู้นั้นเสียทีเดียว ให้เขารับโทษของตน"
32 ขณะเมื่อคนอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาพบคนหนึ่งไปเก็บฟืนในวัน สะบาโต
33 ผู้ที่พบเขาเก็บฟืนก็พาเขามาหาโมเสสและอาโรน และมาหาชุมนุมชนทั้งหมด
34 เขาจึงจำคนนั้นไว้ เพราะยังไม่แจ้งว่าจะกระทำอย่างไรแก่เขา
35 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "ชายผู้นั้นต้องถึงตายชุมนุมชนต้องเอาหิน ขว้างเขาที่นอกค่าย"
36 และชุมนุมชนทั้งหมดจึงพาเขามานอกค่าย และเอาหินขว้างเขาจนตาย ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสส
37 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
38 "จงพูดกับคนอิสราเอลและสั่งเขาให้ทำพู่ที่มุม ชายเสื้อ ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขา ให้เอาด้ายสีฟ้าติดพู่ที่มุมทุกมุม
39 เพื่อเจ้าจะมองดูพู่นั้น และจดจำพระบัญชาทั้งสิ้นของพระเจ้า และปฏิบัติตาม เพื่อเจ้าจะไม่กระทำอะไรตามความพอใจพอตาของเจ้า ซึ่งเจ้ามักหลงตามนั้น
40 เพื่อว่าเจ้าจะจดจำและกระทำตามบัญชาทั้งสิ้นของเรา และเป็นคนบริสุทธิ์แด่พระเจ้าของเจ้า
41 เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าผู้นำเจ้า ออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า"
กันดารวิถี 16
1 โคราห์บุตรอิสฮาร์ ผู้เป็นบุตรโคฮาท ผู้เป็นบุตรเลวีกับดาธาน และอาบีรัมบุตรเอลีอับกับโอนบุตรเปเลท บุตรรูเบนพาคนไป
2 และไปยืนต่อหน้าโมเสส พร้อมกับคนอิสราเอลจำนวนหนึ่ง เป็นผู้นำของชุมนุมชนมีสองร้อย ห้าสิบคนที่เลือกมาจากที่ประชุม เป็นคนมีชื่อ
3 และเขาทั้งหลายมาประชุมกันต่อโมเสสต่ออาโรน กล่าวแก่ท่านทั้งสองว่า "ท่านทำเกินเหตุไป เพราะว่าชุมนุมชนทั้งหมดก็บริสุทธิ์ทุกๆคน และพระเจ้าทรงสถิตท่ามกลางเขา เหตุใดท่านจึงผยองขึ้นเหนือที่ประชุมแห่งพระเจ้า"
4 ครั้นโมเสสได้ยินก็ซบหน้าลงถึงดิน
5 ท่านจึงพูดกับโคราห์และพรรคพวกของเขาว่า "พรุ่งนี้เช้าพระเจ้าจะทรงสำแดงให้เห็นว่า ผู้ใดเป็นของพระองค์และใครเป็นคนบริสุทธิ์ และจะทรงให้ผู้นั้นเข้าใกล้พระองค์ ผู้ใดที่พระองค์ทรงเลือก พระองค์จะทรงให้เข้าไปใกล้พระองค์
6 จงกระทำอย่างนี้ ให้โคราห์และพรรคพวกของเขานำกระถางไฟมา
7 จงเอาไฟใส่และใส่เครื่องหอมต่อพระพักตร์ พระเจ้าในวันพรุ่งนี้ ผู้ใดที่พระเจ้าทรงเลือกก็จะเป็นคนบริสุทธิ์ บุตรของเลวีเอ๋ย ท่านทั้งหลายได้กระทำเกินเหตุไป"
8 และโมเสสพูดกับโคราห์ว่า "พวกท่านผู้เป็นบุตรของเลวีจงฟัง
9 เป็นการเล็กน้อยสำหรับท่านอยู่หรือ ซึ่งพระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ แยกท่านออกจากชุมนุมชนอิสราเอล เพื่อนำท่านให้มาใกล้พระองค์ ให้ปฏิบัติงานในพลับพลาของ พระเจ้าและยืนอยู่ต่อหน้าชุมนุมชนเพื่อปรนนิบัติเขา
10 และพระองค์ทรงนำท่านมาใกล้พระองค์ รวมทั้งพี่น้องทั้งสิ้นของท่าน คือบุตรหลานของเลวี ท่านทั้งหลายแสวงหาตำแหน่งปุโรหิตด้วยหรือ
11 เพราะฉะนั้นที่ท่านและพรรคพวกของท่านได้ ประชุมกันก็เป็นการต่อสู้พระเจ้า ส่วนอาโรนเป็นอะไรเล่าที่ท่านได้บ่นว่าเขา"
12 โมเสสใช้ให้ไปเรียกดาธานและอาบีรัมบุตรเอลีอับ เขาทั้งสองว่า "เราไม่ขึ้นไป
13 เป็นการเล็กน้อยอยู่หรือที่ท่านนำ พวกเราจากแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ เพื่อจะฆ่าพวกเราเสียในถิ่นทุรกันดาร และท่านจะได้ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้านายเหนือพวกเราด้วย
14 ยิ่งกว่านั้นอีก ท่านมิได้นำพวกเราเข้าไปยังแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ มิได้ให้พวกเรารับที่นาหรือสวนองุ่นเป็นมรดก ท่านจะควักตาคนเหล่านี้ออกเสียหรือ เราไม่ขึ้นไป"
15 โมเสสโกรธมากและกราบทูลพระเจ้าว่า "ขออย่าทรงโปรดปรานเครื่องบูชาของเขาเลย ข้าพระองค์มิได้เอาลาของเขามาสักตัวหนึ่ง และข้าพระองค์มิได้ทำอันตรายเขาสักคนเดียว"
16 และโมเสสพูดกับโคราห์ว่า "ตัวท่านและพรรคพวกของท่านจงเข้าเฝ้าพระเจ้าในวันพรุ่งนี้ ทั้งตัวท่านพรรคพวกของท่านและอาโรน
17 ให้ทุกคนนำกระถางไฟของตนไป ใส่เครื่องหอมในนั้น ให้ทุกคนนำกระถางไฟเข้าเฝ้าต่อพระเจ้า มีกระถางไฟสองร้อยห้าสิบด้วยกัน ตัวท่านด้วยและอาโรน ต่างจงเอากระถางไฟของตนไป"
18 ดังนั้นทุกคนจึงนำกระถางไฟของเขา ต่างเอาไฟใส่และเอาเครื่องหอมใส่ และเขาไปยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ พร้อมกับโมเสสและอาโรน
19 โคราห์ก็ร่วมชุมนุมชนที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ ประจัญหน้าเขาทั้งสอง และพระสิริของพระเจ้าก็ปรากฏต่อชุมนุมชน
20 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
21 "จงแยกตัวออกเสียจากชุมนุมชนนี้ เพื่อเราจะผลาญเขาเสียในพริบตาเดียว"
22 เขาทั้งสองซบหน้าลงถึงดินกราบทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งจิต วิญญาณของมนุษย์ทั้งสิ้น เมื่อคนเดียวกระทำผิด พระองค์จะพิโรธแก่ชุมนุมชนทั้งหมดหรือ"
23 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
24 "จงกล่าวแก่ชุมนุมชนว่า จงออกไปให้ห่างที่อยู่ของโคราห์ ดาธาน และอาบีรัม"
25 แล้วโมเสสลุกขึ้นไปหาดาธานและอาบีรัม และพวกผู้ใหญ่แห่งอิสราเอลก็ตามท่านไป
26 โมเสสจึงกล่าวแก่ชุมนุมชนนั้นว่า "ท่านทั้งหลายออกไปเสีย ให้ห่างจากเต็นท์ของคนชั่วเหล่านี้ อย่าแตะต้องอะไรของเขาเลย เกลือกว่าท่านทั้งหลายจะต้อง ถูกกวาดไปกับบรรดาการบาปของเขาด้วย"
27 ดังนั้นเขาทั้งหลายก็ออกไปให้ห่างจากที่อยู่ของโคราห์ ดาธาน และอาบีรัม และดาธานกับอาบีรัมออกมายืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของตน พร้อมกับภรรยา บุตรชายและลูกเล็กๆของเขา
28 และโมเสสพูดว่า "ดังนี้แหละท่านทั้งหลายจะได้ทราบว่า พระเจ้าใช้ให้ข้ามากระทำการทั้งสิ้นนี้ ข้ามิได้กระทำตามอำเภอใจข้าเอง
29 ถ้าคนเหล่านี้ตายอย่างคนธรรมดาทั้งปวง หรือเคราะห์ร้ายอย่างคนธรรมดามาเยี่ยมเยียนเขา ก็หมายว่าพระเจ้ามิได้ทรงใช้ข้ามา
30 แต่ถ้าพระเจ้าบันดาลอะไรใหม่เกิดขึ้น และแผ่นธรณีอ้าปากกลืนคนเหล่านี้เข้าไป พร้อมกับข้าวของทั้งหมดของเขา และเขาทั้งหลายลงไปสู่แดนคนตายทั้งเป็น ท่านทั้งหลายจงทราบเถิดว่า คนเหล่านี้ได้สบประมาทพระเจ้า"
31 เมื่อท่านกล่าวคำเหล่านี้จบแผ่นดินใต้ที่เขาเหล่านั้นยืนอยู่ ก็แยกออก
32 และแผ่นธรณีก็อ้าปากออกกลืนเขาทั้งหลายกับครอบครัว และบรรดาคนของโคราห์และข้าวของทั้งหมดของเขา
33 ดังนั้นเขาทั้งหลายพร้อม กับข้าวของทั้งหมดของเขาลงไปสู่แดนคนตายทั้งเป็น และแผ่นดินก็งับเขาไว้ และเขาทั้งหลายก็พินาศเสียจากท่ามกลางที่ประชุม
34 อิสราเอลทั้งหมดที่อยู่รอบเขาได้ยินเสียงร้อง ของเขาก็หนีไป เพราะเขากล่าวว่า "เกลือกว่าธรณีจะกลืนเราเสีย"
35 และไฟออกมาจากพระเจ้า เผาผลาญคนทั้งสองร้อยห้าสิบที่ได้ถวายเครื่องหอมนั้นเสีย
36 แล้วพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
37 "จงบอกเอเลอาซาร์บุตรอาโรนปุโรหิต ให้เอากระถางไฟออกเสียจากเปลวเพลิง และเจ้าจงกระจายก้อนไฟออกห่างๆกัน เพราะกระถางไฟเหล่านั้นบริสุทธิ์
38 คือกระถางของคนเหล่านี้ที่ได้ กระทำบาปจนถึงเสียชีวิตนั้น จงเอาค้อนตีแผ่ทำเป็นแผ่นคลุมแท่นบูชา เพราะได้ถวายกระถางเหล่านั้นแด่พระเจ้า จึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จะเป็นหมายสำคัญแก่คนอิสราเอล"
39 ดังนั้นเอเลอาซาร์ปุโรหิตจึงนำกระถางไฟทองสัมฤทธิ์ ซึ่งผู้ที่ถูกไฟเผานำไปบูชามาตีแผ่ออกเป็นแผ่นคลุมแท่นบูชา
40 ให้เป็นเครื่องเตือนใจคนอิสราเอล เพื่อว่าคนสามัญผู้ที่มิใช่เป็นเผ่าพันธุ์ของอาโรน จะมิได้เข้าไปเผาเครื่องหอมถวายพระเจ้า เกลือกว่าจะเป็นอย่างโคราห์และพรรคพวกของเขา ดังที่พระเจ้าตรัสกับเอเลอาซาร์ทางโมเสส
41 พอรุ่งขึ้นชุมนุมชนอิสราเอลก็บ่น ว่าโมเสสและอาโรนว่า "ท่านได้ประหารชีวิตคนของพระเจ้าเสีย"
42 และเมื่อชุมนุมชนมาประชุมประจัญหน้าโมเสสและ อาโรน เขาหันหน้ามาสู่เต็นท์นัดพบ และดูเถิด เมฆมาคลุมเต็นท์นั้น และพระสิริของพระเจ้าก็ปรากฏ
43 โมเสสกับอาโรนจึงมาหน้าเต็นท์นัดพบ
44 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
45 "จงออกไปเสียจากท่ามกลางประชุมชนนี้ เพื่อเราจะผลาญเขาทั้งหลายเสียในพริบตาเดียว" และท่านทั้งสองก็ซบหน้าลงถึงดิน
46 โมเสสพูดกับอาโรนว่า "จงเอากระถางไฟของท่าน เอาไฟจากแท่นบูชาใส่ไว้ แล้วใส่เครื่องหอมรีบนำไปที่ชุมนุมชนทำ การลบมลทินบาปของชุมนุมชนนั้นเสีย เพราะพระพิโรธพลุ่งออกมาจากพระเจ้าแล้ว ภัยพิบัติได้บังเกิดขึ้น"
47 อาโรนจึงนำกระถางไฟดังที่โมเสสบอก วิ่งเข้าไปท่ามกลางที่ประชุม และภัยพิบัติได้บังเกิดขึ้นแก่ประชาชนแล้วและท่านได้ ใส่เครื่องหอมและทำการลบมลทินบาปของประชาชน
48 ท่านได้ยืนอยู่ระหว่างคนตายกับคนเป็นและภัยพิบัติ นั้นก็ถูกระงับแล้ว
49 บรรดาคนที่ตายด้วยภัยพิบัติมีหนึ่งหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยคน ไม่นับคนที่ตายด้วยเรื่องของโคราห์
50 เมื่อภัยพิบัติถูกระงับแล้ว อาโรนก็กลับไปหาโมเสสทางเข้าเต็นท์นัดพบ
กันดารวิถี 17
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงพูดกับคนอิสราเอลและเอาไม้เท้ามาจากเขา เผ่าละอันจากประมุขทุกคนตามเผ่า เป็นไม้เท้าสิบสองอัน เขียนชื่อชายเจ้าของไม้ไว้บนไม้เท้าทุกอัน
3 เขียนชื่อของอาโรนไว้บนไม้เท้าของคนเผ่าเลวี เพราะจะมีไม้เท้าอันเดียวสำหรับหัวหน้าเผ่าหนึ่ง
4 จงวางไม้เท้าเหล่านั้นไว้ในเต็นท์นัดพบ ต่อหน้าพระโอวาทที่ที่เราพบกับเจ้าทั้งหลาย
5 และไม้เท้าของชายผู้ที่เราโปรดเลือกนั้นจะงอก เช่นนี้เราจะกระทำให้เสียงบ่นของคนอิสราเอล ซึ่งเขาบ่นต่อเจ้าสงบลงเสียจากเรา"
6 โมเสสจึงสั่งคนอิสราเอล และประมุขของท่านทุกคนก็มอบไม้เท้าแก่ท่านคน ละอันตามเผ่าเป็นไม้เท้าสิบสองอัน และไม้เท้าของอาโรนก็อยู่ในไม้เท้าเหล่านั้นด้วย
7 และโมเสสวางไม้เท้าเหล่านั้นต่อพระเจ้าที่ ในเต็นท์พระโอวาท
8 วันรุ่งขึ้นโมเสสได้เข้าไปในเต็นท์พระโอวาท ดูเถิด ไม้เท้าของอาโรนสำหรับเผ่าพันธุ์เลวีได้งอกมีดอกตูม และดอกบาน และเกิดผลอัลมันด์สุกบ้าง
9 แล้วโมเสสนำไม้เท้าทั้งหมดจากที่ตรงพระพักตร์พระเจ้า มายังคนอิสราเอล เขาได้ตรวจดู และทุกคนก็นำไม้เท้าของตนไป
10 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงนำไม้เท้าของอาโรนกลับไปวาง ไว้ต่อพระโอวาท เก็บไว้เป็นหมายสำคัญสำหรับเตือนพวกกบฏ เพื่อเจ้าจะให้เขาทั้งหลายยุติการบ่นว่าเรา เพื่อเขาจะไม่ต้องตาย"
11 โมเสสก็กระทำเช่นนี้ พระเจ้าตรัสสั่งท่านอย่างไร ท่านก็กระทำอย่างนั้น
12 และคนอิสราเอลพูดกับโมเสสว่า "ดูเถิด เราพินาศ เราถึงหายนะ เราถึงหายนะหมดแล้ว
13 ทุกคนที่มาใกล้พลับพลาแห่งพระเจ้าต้องตาย เราจะต้องตายหมดหรือ"
กันดารวิถี 18
1 ดังนั้นพระเจ้าตรัสกับอาโรนว่า "เจ้าและบุตรของเจ้า และตระกูลของเจ้าจะต้องรับโทษความผิด เนื่องด้วยสถานนมัสการ ทั้งเจ้าและบุตรของเจ้าจะต้องรับโทษความผิด เนื่องด้วยหน้าที่ปุโรหิตของเจ้า
2 และจงนำพี่น้องของเจ้ามาใกล้เจ้า ซึ่งเป็นเผ่าเลวี เผ่าบิดาของเจ้าเพื่อเขาจะสมทบกับเจ้า และปรนนิบัติเจ้า ขณะที่เจ้าและบุตรอยู่ต่อหน้าเต็นท์พระโอวาท
3 เขาทั้งหลายจะคอยรับใช้เจ้า และรับใช้หน้าที่ต่างๆของเต็นท์ แต่อย่าให้เข้าใกล้เครื่องใช้ของสถานนมัสการหรือแท่นบูชา เกลือกว่าเขาทั้งหลายและเจ้าจะต้องตาย
4 เขาทั้งหลายจะสมทบกับพวกเจ้า และคอยรับใช้อยู่ที่เต็นท์นัดพบ ในงานปรนนิบัติทั้งสิ้นของเต็นท์ และอย่าให้ผู้อื่นใดมาใกล้เจ้า
5 พวกเจ้าต้องคอยรับใช้ในหน้าที่ของสถาน นมัสการและหน้าที่ของแท่นบูชา เพื่อพระพิโรธจะไม่เกิดขึ้นแก่คนอิสราเอลอีก
6 และดูเถิด เราได้เลือกคนเลวีพี่น้องของเจ้าออกจากคน อิสราเอลเป็นของประทานแก่เจ้า ถวายแด่พระเจ้า เพื่อให้ปฏิบัติงานของเต็นท์นัดพบ
7 ทั้งเจ้าและบุตรชายจงคอยรับใช้ในหน้าที่ปุโรหิต เพื่องานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับแท่นบูชา และสิ่งที่อยู่ภายในม่าน เจ้าต้องอยู่ปฏิบัติงาน เราให้ตำแหน่งปุโรหิตแก่เจ้าเป็นของประทาน และผู้ใดอื่นที่เข้ามาใกล้ต้องให้ถึงแก่ความตาย"
8 แล้วพระเจ้าตรัสกับอาโรนว่า "ดูเถิด เราได้ให้เครื่องบูชาของเราส่วนหนึ่งแก่เจ้า คือบรรดาของถวายของคนอิสราเอล เราให้แก่เจ้าส่วนหนึ่งและแก่ บุตรหลานของเจ้าเป็นส่วนกำหนดถาวร
9 ในบรรดาของบริสุทธิ์ที่สุด ส่วนซึ่งไม่ได้เผาไฟที่เป็นของของเจ้ามีดังนี้ บรรดาของถวายของเขา บรรดาธัญญบูชาของเขา บรรดาเครื่องบูชาไถ่บาปของเขา บรรดาเครื่องบูชาไถ่กรรมบาปของเขา ซึ่งเขาถวายแก่เราจะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุดแก่เจ้า และแก่บุตรหลานของเจ้า
10 เจ้าจงรับประทานสิ่งเหล่านี้ในที่บริสุทธิ์ที่สุด ผู้ชายทุกคนรับประทานได้ เป็นของบริสุทธิ์แก่เจ้า
11 สิ่งต่อไปนี้ก็เป็นของเจ้าด้วย คือของให้ที่เขาถวาย บรรดาของยื่นถวายของคนอิสราเอล เราได้ให้ไว้แก่เจ้าและแก่บุตรชายหญิงซึ่งอยู่กับ เจ้าเป็นส่วนถาวร ทุกคนที่สะอาดอยู่ในครอบครัวของเจ้ารับประทานได้
12 น้ำมันที่ดีที่สุดทั้งหมด และเหล้าองุ่นที่ดีที่สุดและเมล็ดพืชทั้งหมด และผลรุ่นแรกที่เขาถวายแด่พระเจ้าเราให้แก่เจ้า
13 ผลสุกรุ่นแรกของของทุกอย่างซึ่งอยู่ในแผ่นดิน ที่เขานำมาถวายพระเจ้าจะเป็นของเจ้า ทุกคนที่สะอาดอยู่ในครอบครัวของเจ้ารับประทานได้
14 บรรดาของมอบถวายใน อิสราเอลจะเป็นของเจ้า
15 บรรดาเนื้อหนังที่เบิกครรภ์ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ ซึ่งเขาถวายแด่พระเจ้าจะเป็นของเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม บุตรหัวปีของมนุษย์เจ้าจะต้องไถ่ไว้ เจ้าต้องไถ่ลูกหัวปีของบรรดาสัตว์ทั้งปวงที่มลทินด้วย
16 และค่าไถ่ (พออายุได้หนึ่งเดือนเจ้าก็ต้องไถ่) ให้เจ้ากำหนดว่าเป็นเงินห้าเชเขล ตามเชเขล ของสถานนมัสการ ซึ่งเป็นยี่สิบเก-ราห์
17 แต่ลูกหัวปีของวัว หรือลูกหัวปีของแกะ หรือลูกหัวปีของแพะ เจ้าไม่ต้องไถ่ เพราะเป็นของบริสุทธิ์ เจ้าจงเอาเลือดของมันพรมบนแท่นบูชา และเอาไขมันของมันเผาเป็นเครื่อง บูชาด้วยไฟให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า
18 แต่เนื้อของมันจะเป็นของเจ้า เช่นเดียวกับเนื้ออกที่ยื่นถวายหรือเนื้อโคนขาขวาเป็นของเจ้า
19 บรรดาเครื่องบูชาบริสุทธิ์ที่คนอิสราเอลมอบถวายแด่ พระเจ้า เราให้แก่เจ้าและแก่บุตรชายหญิงซึ่งอยู่กับเจ้า เป็นส่วนแบ่งถาวร เป็นพันธสัญญาเกลือเป็นนิตย์แด่พระเจ้าสำหรับเจ้า และเผ่าพันธุ์ของเจ้าด้วย"
20 และพระเจ้าตรัสกับอาโรนว่า "เจ้าจะไม่ได้รับมรดกในแผ่นดินของเขา ทั้งเจ้าจะไม่มีส่วนอันใดกับเขาเลย เราเป็นส่วนแบ่งของเจ้าและเป็นมรดก ของเจ้าท่ามกลางคนอิสราเอล
21 "เราให้ทศางค์ ในอิสราเอลแก่คนเลวีเป็นมรดก เป็นค่าตอบแทนงานที่เขาปฏิบัติ คืองานปฏิบัติที่เต็นท์นัดพบ
22 ตั้งแต่นี้ต่อไปคนอิสราเอลจะมิได้เข้ามาใกล้เต็นท์ นัดพบ เกลือกว่าเขาจะรับโทษบาปและจะต้องตาย
23 แต่คนเลวี จะต้องปฏิบัติงานของเต็นท์นัดพบ และเขาจะต้องรับโทษความผิดของเขา จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า เขาจะไม่มีส่วนมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล
24 เพราะว่าส่วนทศางค์ของคนอิสราเอล ซึ่งนำมาถวายแด่พระเจ้า เราได้ให้แก่คนเลวีเป็นมรดก เพราะฉะนั้นเราจึงได้บอกเขาว่า เขาจะไม่มีส่วนมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล"
25 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
26 "ยิ่งกว่านั้น เจ้าจงกล่าวแก่คนเลวีว่า 'เมื่อพวกเจ้ารับทศางค์จากคนอิสราเอล ซึ่งเราให้แก่เจ้าอันมาจากเขา เป็นมรดกของเจ้านั้น เจ้าจงนำทศางค์ของทศางค์ที่เจ้าได้มานั้นถวายแด่พระเจ้า
27 และส่วนถวายของเจ้านั้นจะนับเหมือนหนึ่ง เป็นพืชที่ได้มาจากลานนวดข้าว และเหมือนส่วนที่เต็มเปี่ยมจากบ่อย่ำองุ่น
28 เพราะฉะนั้นเจ้าต้องนำของบูชาจากทศางค์ ทั้งสิ้นของเจ้าถวายแด่พระเจ้า คือทศางค์ที่เจ้ารับจากคนอิสราเอลนั้น จากส่วนได้นี้ พวกเจ้าจงมอบของถวายแด่พระเจ้าแก่อาโรนปุโรหิต
29 จากบรรดาของที่พวกเจ้าได้รับ เจ้าจงนำเครื่องถวายทุกสิ่งที่ต้องถวายแด่พระเจ้า จากบรรดาของดีที่สุดนั้น คือส่วนของที่บริสุทธิ์'
30 ฉะนั้นเจ้าจงพูดกับเขาว่า 'เมื่อเจ้าได้ถวายส่วนที่ดีที่สุดแล้ว ให้คนเลวีนับส่วนที่เหลืออยู่เป็นเหมือนหนึ่งพืชที่ได้มา จากลานนวดข้าวและเป็นผลได้จากบ่อย่ำองุ่น
31 และเจ้าจะรับประทานส่วนนั้นณที่ใดๆก็ได้ ทั้งตัวเจ้าและครอบครัวของเจ้า เพราะว่าเป็นรางวัลตอบแทนงานปฏิบัติของเจ้าในเต็นท์นัดพบ
32 เมื่อเจ้าได้ถวายส่วนที่ดีที่สุดแล้ว เจ้าจะหามีโทษโดยของถวายนั้นไม่ และเจ้าอย่าทำสิ่งบริสุทธิ์ของคนอิสราเอล ให้มลทินเกลือกว่าเจ้าจะต้องตาย'"
กันดารวิถี 19
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า
2 "ต่อไปนี้เป็นกฎพระธรรมซึ่งพระเจ้าได้ทรงบัญชาว่า จงบอกคนอิสราเอลให้นำวัวตัวเมียสีแดงไม่พิการ ซึ่งไม่มีตำหนิ และยังไม่เคยเข้าเทียมแอก
3 และเจ้าจงให้วัวนั้นแก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต และให้เอาวัวนั้นไปนอกค่ายฆ่าเสียต่อหน้าเขา
4 และเอเลอาซาร์จะเอานิ้วมือจุ่มเลือดวัว พรมที่ข้างหน้าเต็นท์นัดพบเจ็ดครั้ง
5 และให้มีคนเผาวัวตัวเมียนั้นเสียต่อหน้าเขา คือหนัง เนื้อ และเลือด กับมูลของมันให้เผาเสียหมด
6 และปุโรหิตจะเอาไม้สนสีดาร์ ไม้หุสบกับด้ายสีแดงโยนเข้าไปในไฟ ที่เผาวัวตัวเมียนั้น
7 แล้วปุโรหิตจะซักเสื้อผ้าของตน และชำระร่างกายเสียในน้ำ ภายหลังจึงเข้าไปในค่าย และปุโรหิตนั้นจึงเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น
8 ผู้ใดที่ทำการเผาวัวตัวเมีย ต้องซักเสื้อผ้าและชำระร่างกายของตนเสียในน้ำ และเขาจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น
9 ให้ชายคนที่สะอาดเก็บขี้เถ้าวัวตัวเมีย นำไปไว้นอกค่ายในที่สะอาด ให้เก็บขี้เถ้านั้นไว้เพื่อคนอิสราเอล เพื่อทำน้ำชำระมลทินสำหรับล้างบาป
10 และคนที่เก็บขี้เถ้าของวัวตัวเมียต้องซักเสื้อผ้าของตน และเขาจะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น จะเป็นอย่างนี้แก่คนอิสราเอล และแก่คนต่างด้าวผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางเขา เป็นกฎเกณฑ์ถาวร
11 "ผู้ที่แตะต้องศพของผู้ใดก็ตามต้องเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน
12 ในวันที่สามและวันที่เจ็ดเขาต้องชำระตัว ด้วยน้ำแล้วเขาจะสะอาด ถ้าเขาไม่ชำระตัวในวันที่สามและวันที่เจ็ด เขาจะสะอาดไม่ได้
13 ผู้ใดแตะต้องคนตาย คือร่างกายของคนที่ตายแล้ว และมิได้ชำระตน ผู้นั้นก็กระทำให้พลับพลาของพระเจ้ามีมลทิน ต้องอเปหิคนนั้นออกจากอิสราเอล เพราะมิได้เอาน้ำชำระมลทินสาดเขา เขาจะเป็นมลทิน มลทินยังค้างอยู่ที่เขา
14 "ต่อไปนี้เป็นบัญญัติเรื่องคนตายในเต็นท์ ทุกคนที่เข้ามาในเต็นท์ หรือทุกคนที่อยู่ในเต็นท์ จะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน
15 ภาชนะทุกลูกที่ไม่มีฝาปิด ต้องเป็นมลทิน
16 คนใดที่อยู่ในพื้นทุ่งไปแตะต้องคนที่ถูกดาบตาย หรือแตะต้องศพหรือกระดูกคน หรือหลุมศพจะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน
17 สำหรับคนที่เป็นมลทินนี้ จงเอาขี้เถ้าจากการบูชาไถ่บาป และเอาน้ำที่ไหลเติมเข้าไปปนในภาชนะ
18 ให้คนสะอาดเอากิ่งหุสบ จุ่มน้ำนั้น ประพรมที่เต็นท์และเครื่องใช้สอยทั้งสิ้น และบนตัวคนที่อยู่ที่นั่น และบนตัวคนที่แตะต้องกระดูกหรือคนถูกฆ่า หรือคนตายหรือหลุมศพ
19 ให้คนสะอาดประพรมคนที่เป็นมลทิน ในวันที่สามและวันที่เจ็ด อย่างนี้พอวันที่เจ็ดเขาจะทำให้คนนั้นสะอาด และเขาต้องซักเสื้อผ้าและอาบน้ำ พอถึงเวลาเย็นเขาจะสะอาด
20 "แต่คนที่เป็นมลทินและไม่ชำระตัว ให้อเปหิคนนั้นออกเสียจากท่ามกลางที่ประชุม เพราะเขาได้กระทำให้สถานนมัสการของพระเจ้าเป็นมลทิน คือว่ามิได้เอาน้ำชำระมลทินสาดเขา เขาจึงเป็นมลทิน
21 และให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรแก่เขา ผู้ที่ประพรมน้ำชำระมลทินจะต้องซักเสื้อผ้าของตน และผู้ที่แตะต้องน้ำชำระมลทินเขาจะเป็นมลทินจน ถึงเวลาเย็น
22 และสิ่งใดที่ผู้เป็นมลทินแตะต้องสิ่งนั้นก็เป็นมลทิน และผู้ที่แตะต้องสิ่งนั้นจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น"
กันดารวิถี 20
1 ชุมนุมชนทั้งหมดของอิสราเอลเข้ามาในถิ่นทุรกันดารสีน ในเดือนที่หนึ่ง ประชาชนพักอยู่ในคาเดช มิเรียมก็สิ้นชีวิตและฝังไว้ที่นั่น
2 ครั้งนั้นชุมนุมชนไม่มีน้ำ เขาประชุมกันว่าโมเสสและอาโรน
3 ประชาชนตัดพ้อต่อว่าโมเสสว่า "เมื่อพี่น้องเราตายต่อพระพักตร์พระเจ้านั้น เราตายเสียด้วยก็ดี
4 ท่านพาชุมนุมชนของพระเจ้ามา ในถิ่นทุรกันดารนี้ให้ตายเสียที่นี่ ทั้งตัวเราและสัตว์ของเราทำไม
5 และทำไมท่านจึงให้เราออกจากอียิปต์ นำเรามายังที่เลวทรามนี้เป็นที่ซึ่งไม่มีพืช ไม่มีมะเดื่อ องุ่นหรือทับทิม และไม่มีน้ำดื่ม"
6 แล้วโมเสสและอาโรนออกจากที่ประชุม ไปที่ประตูเต็นท์นัดพบและซบหน้าลง และพระสิริของพระเจ้าปรากฏแก่เขา
7 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
8 "จงเอาไม้เท้าและเรียกประชุมชุมนุมชน ทั้งเจ้าและอาโรนพี่ชายของเจ้า และบอกหินต่อหน้าประชาชนให้หินหลั่งน้ำ ดังนั้นเจ้าจะเอาน้ำออกจากหินให้เขา ดังนั้นแหละเจ้าจะให้น้ำแก่ชุมนุมชนและสัตว์ดื่ม"
9 โมเสสก็นำไม้เท้าไปจากหน้าพระพักตร์พระเจ้า ดังที่พระองค์ทรงบัญชา
10 โมเสสกับอาโรนก็เรียกชุมนุมชนให้ไปพร้อมกันที่หิน โมเสสกล่าวแก่เขาว่า "เจ้าผู้กบฏจงฟัง ณบัดนี้จะให้เราเอาน้ำออกจากหินนี้ให้พวกเจ้าดื่มหรือ"
11 และโมเสสก็ยกมือขึ้นตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้า และน้ำก็ไหลพล่านออกมามากมาย ชุมนุมชนและสัตว์ของเขาก็ได้ดื่มน้ำ
12 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า "เพราะเจ้ามิได้เชื่อเราจึงมิได้ถวาย ความศักดิ์สิทธิ์แก่เราต่อหน้าคนอิสราเอล เพราะฉะนั้นเจ้าจึงจะมิได้นำคนที่ประชุม นี้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เขา"
13 น้ำนั้นคือน้ำเมรีบาห์ เพราะว่าคนอิสราเอลได้ต่อว่าพระเจ้า และพระองค์ทรงสำแดงความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ท่ามกลาง เขา
14 โมเสสได้ส่งผู้สื่อสารจากคาเดชไปถึงกษัตริย์แห่งเอโดมว่า "พี่น้องซึ่งเป็นคนอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า ท่านก็ทราบถึงบรรดาความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นแก่เราแล้ว
15 ว่าบรรพบุรุษของเราลงไปยังอียิปต์ และเราอยู่ในอียิปต์ช้านาน และชาวอียิปต์ได้ข่มเหงเรา และบรรพบุรุษของเรา
16 และเมื่อเราร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงสดับเสียงของเรา และได้ส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งนำเราออกจากอียิปต์ และเรามาอยู่ในคาเดชเป็นเมืองที่อยู่ชิดพรมแดนของท่าน
17 ขอให้เรายกผ่านเขตแดนของท่าน เราจะไม่ผ่านไร่นาหรือสวนองุ่นของท่าน เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะเดินไปตามทางหลวง เราจะไม่หันไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ จนกว่าเราจะผ่านพ้นเขตแดนของท่าน"
18 แต่เอโดมกล่าวแก่ท่านว่า "ท่านจะยกผ่านไปไม่ได้ เกลือกว่าเราจะยกออกมาสู้ท่านด้วยดาบ"
19 และคนอิสราเอลพูดกับกษัตริย์แห่งเอโดมว่า "เราจะขึ้นไปตามทางหลวง ถ้าเราดื่มน้ำของท่านไม่ว่าตัวเราหรือสัตว์ เราจะชำระเงินให้ขอให้เราเดินผ่านไป เราไม่ต้องการอะไรอีก"
20 แต่ท่านตอบว่า "เจ้าจะยกผ่านไปไม่ได้" แล้วเอโดมก็ยกพลเป็นอัน มากมาต่อสู้เขาทั้งหลายด้วยกำลังเข้มแข็ง
21 เช่นนี้แหละเอโดมปฏิเสธไม่ให้ อิสราเอลยกผ่านพรมแดนของท่าน ดังนั้นอิสราเอลจึงหันไปจากท่าน
22 และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด เดินทางจากคาเดชมาถึงภูเขาโฮร์
23 ที่ภูเขาโฮร์นี้พระเจ้าตรัสกับโมเสสและ อาโรนริมเขตแดนแผ่นดินเอโดมว่า
24 "อาโรนจะต้องถูกรวบไปอยู่กับพวกของเขา เพราะเขาจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเรายกให้ แก่คนอิสราเอล เพราะเจ้าทั้งสองกบฏต่อคำสั่งของเราที่น้ำเมรีบาห์
25 จงนำอาโรนและเอเลอาซาร์บุตรของเขา นำเขาขึ้นมาบนภูเขาโฮร์
26 จงถอดเสื้อของอาโรนสวมให้แก่เอเลอาซาร์บุตรของเขา และอาโรนจะถูกรวบไปอยู่กับพวกของเขา เขาจะตายที่นั่น"
27 โมเสสก็กระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชา และท่านขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ต่อหน้าชุมนุมชนทั้งหมด
28 และโมเสสถอดเสื้อผ้าของอาโรน และสวมให้แก่เอเลอาซาร์บุตรของเขา และอาโรนก็สิ้นชีวิตอยู่ที่ยอดภูเขานั้น แล้วโมเสสและเอเลอาซาร์ลงมาจากภูเขา
29 เมื่อประชาชนเห็นว่าอาโรนสิ้นชีวิตเสียแล้ว ประชาชนอิสราเอลทั้งหมดก็ร้องไห้ไว้ทุกข์ ให้อาโรนอยู่สามสิบวัน
กันดารวิถี 21
1 เมื่อกษัตริย์เมืองอาราด ชาวคานาอันผู้อยู่ในเนเกบ ได้ยินว่าอิสราเอลกำลังยกมา ตามทางอาธาริม ท่านต่อสู้กับคนอิสราเอลและจับไปเป็นเชลยได้บ้าง
2 และคนอิสราเอลบนไว้กับพระเจ้าว่า "ถ้าพระองค์จะทรงมอบชนชาตินี้ไว้ในมือข้าพระองค์ แน่แล้วข้าพระองค์จะทำลายบ้านเมืองเขาเสียให้สิ้น"
3 และพระเจ้าทรงสดับเสียงของคนอิสราเอล และมอบชาวคานาอันไว้ เขาก็ทำลายชาวคานาอันและบ้านเมืองของเขาเสียสิ้น จึงได้เรียกชื่อตำบลนั้นว่าโฮรมาห์
4 เขาทั้งหลายออกเดินจากภูเขาโฮร์ตามทางที่ไปทะเลแดง เพื่อจะอ้อมแผ่นดินเอโดม ประชาชนท้อถอยเพราะเหตุหนทาง
5 และประชาชนก็บ่นว่าพระเจ้าและว่าโมเสสว่า "ทำไมพาเราออกจากอียิปต์มาตายในถิ่นทุรกันดาร เพราะไม่มีอาหารและไม่มีน้ำ เราเบื่ออาหารอันไร้ค่านี้"
6 และพระเจ้าก็ทรงให้งูแมวเซามาในหมู่ประชาชน งูก็กัดประชาชน และคนอิสราเอลตายมาก
7 และประชาชนมาหาโมเสสกล่าวว่า "เราทั้งหลายได้กระทำบาปเพราะเราทั้งหลายได้บ่น ว่าพระเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอทูลแด่พระเจ้าขอพระองค์ทรงนำงูไปจากเราเสีย" ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเพื่อประชาชน
8 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงทำงูแมวเซาตัวหนึ่งติดไว้ที่เสา ทุกคนที่ถูกงูกัด เมื่อเขามองดู เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้"
9 ดังนั้นโมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่ง และติดไว้ที่เสา แล้วถ้างูกัดคนใด ถ้าเขามองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็มีชีวิตอยู่ได้
10 และคนอิสราเอลก็ยกออกเดิน ไปตั้งค่ายอยู่ที่โอโบท
11 และเขาออกเดินจากโอโบทไปตั้งค่ายอยู่ที่อิเยอาบาริม อยู่ในถิ่นทุรกันดารตรงข้ามโมอับ ทางทิศตะวันขึ้น
12 เขายกออกจากที่นั่นมาตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเศเรด
13 เขายกออกจากที่นั่นไปตั้งอยู่ที่ฟากเหนือของลุ่มแม่น้ำ อารโนน ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่ยืดมาจากพรมแดนของคนอาโมไรต์ เพราะว่าแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ ระหว่างโมอับกับคนอาโมไรต์
14 ดังนั้นในหนังสือสงครามของพระเจ้าจึงมีว่า วาเฮบในเมืองสุฟาห์ และลุ่มแม่น้ำอารโนน
15 และที่เชิงลาดของที่ลุ่มเหล่านั้นซึ่งยืดไป จนถึงที่ตั้งเมืองอาร์ และพาดพิงไปถึงพรมแดนโมอับ
16 จากที่นั่นเขาออกเดินต่อไปถึงเมืองเบเออร์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงรวบรวมประชาชนเข้าด้วยกันเราจะให้น้ำแก่เขา"
17 แล้วอิสราเอลจึงร้องเพลงนี้ว่า บ่อน้ำเอย จงมีน้ำพลุ่งขึ้นมา ให้เรามาร้องเพลงกัน
18 เป็นบ่อน้ำที่หัวหน้าได้ขุดไว้ เป็นบ่อที่เจ้านายของประชาชนเจาะไว้ ด้วยคทาและไม้เท้าของท่านเหล่านั้น และจากถิ่นทุรกันดารนั้นไปเขาก็มาถึงมัทธานาห์
19 และจากมัทธานาห์ถึงตำบลนาหะลีเอล และจากนาหะลีเอลถึงตำบลบาโมท
20 และจากบาโมทถึงหุบเขา ซึ่งอยู่ในท้องถิ่นโมอับข้างยอดเขา ปิสกาห์ซึ่งมองลงมาเห็นเยชีโมน
21 แล้วอิสราเอลส่งผู้สื่อสารไปหาสิโหน กษัตริย์คนอาโมไรต์กล่าวว่า
22 "ขอให้ข้าพเจ้าผ่านแผ่นดินของท่าน พวกเราจะไม่เลี้ยวเข้าไปในนาหรือในสวนองุ่น เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อ เราจะเดินไปตามทางหลวงจนเราได้ผ่านพรมแดนเมืองของท่าน"
23 แต่สิโหนไม่ยอมให้อิสราเอลยกผ่านพรมแดนของท่าน ท่านรวบรวมพลของท่านยกออกสู้รบกับคนอิสราเอล ในถิ่นทุรกันดาร และมาถึงยาฮาสรบกับคนอิสราเอลที่นั่น
24 และคนอิสราเอลได้ประหารท่านเสียด้วยดาบ ยึดเอาแผ่นดินของท่านจากแม่น้ำอารโนนจนถึงแควยับบอก ไกลไปจนถึงแดนคนอัมโมน เพราะว่าพรมแดนของคนอัมโมนเข้มแข็ง
25 และคนอิสราเอลยึดเมืองเหล่านี้ทั้งหมด และคนอิสราเอลเข้าตั้งอยู่ในหัวเมือง ของคนอาโมไรต์ในเฮชโบน และตามชนบททั้งหมด
26 เพราะว่าเฮชโบนเป็นเมืองหลวงของ สิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ผู้ที่ต่อสู้กับกษัตริย์ชาวโมอับองค์ก่อน และยึดได้แผ่นดินของท่านทั้งสิ้นไกลไปถึงแม่น้ำอารโนน
27 เพราะฉะนั้นนักร้องบทประพันธ์จึงร้องว่า มาที่เฮชโบน ให้สร้างและสถาปนาเมืองแห่งสิโหนขึ้น
28 เพราะว่ามีไฟออกไปจากเฮชโบน มีเปลวไฟออกไปจากเมืองแห่งสิโหน ได้ทำลายเมืองอาร์ของโมอับ เจ้าของแห่งเนินสูงของแม่น้ำอารโนน
29 โอ โมอับเอย วิบัติแก่เจ้า โอ ชนชาติแห่งพระเคโมชเอย เจ้าต้องพินาศ พระเคโมชได้ทำให้บุตรชายของตนเป็นคนหลบภัย และทำให้บุตรสาวของตนเป็นเชลยของสิโหนกษัตริย์ คนอาโมไรต์
30 เราทั้งหลายได้ยิงเขาทั้งปวงเฮชโบนพินาศจนถึงดีโบน เราได้กวาดล้างถึงโนฟาห์เสีย คือถึงเมเดบา
31 ดังนั้นคนอิสราเอลได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินคนอาโมไรต์
32 และโมเสสใช้คนไปสอดแนมเมืองยาเซอร์ และเขาทั้งหลายได้ยึดชนบทของเมืองนั้น และขับไล่คนอาโมไรต์ที่อยู่ที่นั่นเสีย
33 แล้วเขาก็เลี้ยวยกเดินไปตามทางเมืองบาชาน และโอกกษัตริย์เมืองบาชานก็ออกมาทั้งตัวท่าน กับพลไพร่ของท่านเพื่อสู้รบกับเขาที่เอเดรอี
34 แต่พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราได้มอบเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว ทั้งพลไพร่ของเขาและแผ่นดินของเขา และเจ้าจะกระทำแก่เขาอย่างเจ้าได้ กระทำแก่สิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ผู้อยู่ที่เฮชโบน"
35 ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงฆ่าโอกและบุตรหลานของท่านเสีย ทั้งประชาชนของท่านไม่มีเหลือให้ท่านสักคนเดียว และเขาทั้งหลายก็เข้ายึดแผ่นดินของท่าน
กันดารวิถี 22
1 แล้วคนอิสราเอลก็ยกออกไปตั้งค่ายอยู่ณที่ราบโมอับฟาก ตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค
2 ฝ่ายบาลาคบุตรศิปโปร์ได้เห็นการทั้งปวงซึ่งอิสราเอล ได้กระทำต่อคนอาโมไรต์
3 ทั้งโมอับก็ครั่นคร้ามต่อชนชาตินั้นนักหนา เพราะเขามีคนมากด้วยกัน โมอับกลัวคนอิสราเอลลานทีเดียว
4 จึงพูดกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองมีเดียนว่า "คนเหล่านี้ทั้งสัตว์ของเขาจะมากิน พืชผลที่ล้อมรอบเราอยู่หมด เหมือนวัวกินหญ้าในนา" ดังนั้นบาลาคบุตรศิปโปร์ผู้เป็นกษัตริย์เมืองโมอับในเวลานั้น
5 ใช้ผู้สื่อสารไปยังบาลาอัมบุตรเบโอร์ที่ เปโธร์ใกล้แม่น้ำในแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน โดยกล่าวว่า "ดูเถิด ชนชาติหนึ่งออกมาจากอียิปต์เข้าแผ่คลุมผิวโลก กำลังพักอยู่ตรงข้ามข้าพเจ้า
6 ขอเชิญมาเถิด ขอสาปแช่งชนชาตินี้ให้แก่ข้าพเจ้า เพราะเขาเข้มแข็งกว่าข้าพเจ้ามาก ชะรอยข้าพเจ้าจะสามารถรบชนะ เขาและขับไล่เขาออกไปจากแผ่นดินของข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า ถ้าท่านอวยพรแก่ผู้ใดผู้นั้นจะเป็นไปตามพรนั้น และท่านสาปแช่งผู้ใดผู้นั้นก็ถูกสาปแช่ง"
7 ดังนั้นพวกผู้ใหญ่ของเมืองโมอับกับพวกผู้ใหญ่ของ เมืองมีเดียนก็ถือค่าการทำอาถรรพ์นั้นออกไป ครั้นเขาทั้งหลายมาถึงบาลาอัม ก็บอกคำของบาลาคแก่เขา
8 บาลาอัมกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า "คืนนี้จงค้างที่นี่ก่อน เมื่อพระเจ้าตรัสอย่างไรแก่ข้าแล้ว ข้าจึงจะนำคำนั้นมาแจ้งแก่ท่านทั้งหลาย" ดังนั้นเจ้าเมืองแห่งโมอับจึงยับยั้งอยู่กับบาลาอัม
9 และพระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมตรัสว่า "คนที่มาอยู่กับเจ้าคือผู้ใด"
10 บาลาอัมทูลพระเจ้าว่า "บาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์ เมืองโมอับได้ใช้เขาทั้งหลายมาแจ้งแก่ข้าพระองค์ว่า
11 'ดูเถิด ชนชาติหนึ่งออกจากอียิปต์มาแผ่คลุมผิวโลก ขอเชิญมาเถิด ขอสาปแช่งเขาทั้งหลายให้แก่ข้าพเจ้า ชะรอยข้าพเจ้าจะรบชนะเขาและขับไล่เขาออกไปได้'"
12 พระเจ้าตรัสกับบาลาอัมว่า "เจ้าอย่าไปกับเขาทั้งหลาย เจ้าอย่าแช่งชนชาตินั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นคนที่ได้รับพร"
13 รุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นกล่าวแก่เจ้านายของบาลาคว่า "จงกลับไปแผ่นดินของท่านเถิด เพราะพระเจ้าทรงปฏิเสธมิให้เราไปกับท่าน"
14 เพราะฉะนั้นเจ้านายแห่งโมอับก็ลุกขึ้น กลับไปหาบาลาคกล่าวว่า "บาลาอัมปฏิเสธไม่ยอมมากับเรา"
15 บาลาคได้ส่งบรรดาเจ้านายไปอีกครั้งหนึ่ง มีจำนวนมากกว่าและมีเกียรติยศมากกว่ารุ่นก่อน
16 เขาทั้งหลายมาถึงบาลาอัมกล่าวแก่ท่านว่า "บาลาคบุตรศิปโปร์กล่าวดังนี้ว่า 'อย่าให้มีอะไรขัดขวางท่านที่จะไปหาข้าพเจ้าเลย
17 เพราะข้าพเจ้าจะให้เกียรติแก่ท่านอย่างสูงแน่ ท่านจะให้ข้าพเจ้าทำอะไรให้ข้าพเจ้าจะกระทำตาม ขอเชิญมาสาปแช่งชนชาตินี้ให้แก่ข้าพเจ้า'"
18 แต่บาลาอัมได้ตอบคนใช้ของบาลาคว่า "แม้ว่าบาลาคจะให้เงินและทองเต็มบ้าน เต็มเรือนของท่านแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกระทำอะไรนอกเหนือพระบัญชาของ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่
19 บัดนี้ขอท่านยับยั้งอยู่ที่นี่สักคืนหนึ่งก่อนด้วย เพื่อข้าพเจ้าจะทราบว่า พระเจ้าจะตรัสเพิ่มเติมประการใดแก่ข้าพเจ้าบ้าง"
20 และพระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมในกลางคืนตรัสแก่เขาว่า "ถ้ามีผู้ชายมาเรียกเจ้าจงลุกขึ้นไปกับเขา แต่เจ้าจงกระทำตามที่เราสั่งเจ้าเท่านั้น"
21 ดังนั้นรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลา ไปกับเจ้านายแห่งโมอับ
22 แต่พระเจ้าทรงกริ้วต่อบาลาอัมเพราะเขาไป ดังนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามายืนเป็นผู้สกัดทางบาลาอัมไว้ ฝ่ายบาลาอัมขี่ลามีคนใช้สองคนไปกับเขา
23 เมื่อลานั้นเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้าถือดาบยืนอยู่ในหนทาง ลาก็เลี้ยวออกนอกทาง เข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมจึงตีลาให้กลับไปทางเดิม
24 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้ามายืนอยู่ในทางแคบ ระหว่างสวนองุ่นมีกำแพงทั้งสองข้างทาง
25 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามันก็ดันไปติดกำแพง หนีบเท้าของบาลาอัมเข้ากับกำแพง บาลาอัมก็ตีลาอีก
26 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็เดินไปข้างหน้า ยืนอยู่ในที่แคบ ไม่มีทางที่จะหลีกไปข้างขวาหรือข้างซ้าย
27 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้ามันก็หมอบลง บาลาอัมยังคงนั่งอยู่บนหลัง บาลาอัมก็โกรธ จึงเอาไม้เท้าของเขาตีลา
28 แล้วพระเจ้าเปิดปากลา มันจึงพูดกับบาลาอัมว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงได้ตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง"
29 บาลาอัมพูดกับลาว่า "เพราะเจ้าได้แกล้งเรา เราอยากจะมีดาบอยู่ในมือเดี๋ยวนี้ เราจะได้ฆ่าเจ้าเสีย"
30 ลาก็พูดกับบาลาอัมว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่าน ที่ท่านขับขี่อยู่ทุกวันตลอดชีวิตจนบัดนี้ดอกหรือ ข้าพเจ้าได้เคยกระทำเช่นนี้แก่ท่านหรือ" บาลาอัมก็บอกว่า "ไม่เคย"
31 แล้วพระเจ้าทรงเบิกตาบาลาอัม เขาจึงเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง บาลาอัมก็ก้มศีรษะซบหน้าลงกราบ
32 และทูตสวรรค์แห่งพระเจ้า พูดกับบาลาอัมว่า "ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง ดูเถิด เรามาห้ามเจ้า เพราะเจ้าขัดขืนเรา
33 ลาได้เห็นเรา และหลีกไปต่อหน้าเราถึงสามครั้ง ถ้ามันมิได้หลีกไปจากเรา เราจะได้ฆ่าเจ้าเสียแล้วเมื่อตะกี้นี้แน่ และให้ลารอดตายไป"
34 แล้วบาลาอัมพูดกับทูตสวรรค์ของพระเจ้าว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำบาป เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนอยู่ในหนทางกั้นข้าพเจ้า ฉะนั้นถ้าท่านไม่เห็นชอบ ข้าพเจ้าจะกลับไปเสีย"
35 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าพูดกับบาลาอัมว่า "จงไปกับชายเหล่านั้นเถิด แต่เจ้าจงพูดเฉพาะคำที่เราให้เจ้าพูด" ดังนั้นบาลาอัมก็ไปกับเจ้านายของบาลาคต่อไป
36 เมื่อบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมมาแล้ว ท่านจึงออกไปรับบาลาอัมที่เมืองโมอับที่สุดปลายพรมแดน ซึ่งเกิดขึ้นด้วยแม่น้ำอารโนน
37 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า "เราได้อุตส่าห์ใช้คนไปเชิญท่านมามิใช่หรือ เหตุไฉนท่านไม่มาหาเราเล่า เราไม่สามารถที่จะให้เกียรติแก่ท่านหรือ"
38 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า "นี่แน่ะ ข้าพเจ้ามาหาท่านแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรได้ เล่าคำซึ่งพระเจ้าใส่ปากข้าพเจ้าข้าพเจ้าต้องกล่าว"
39 แล้วบาลาอัมไปกับบาลาคถึงตำบลคีริยาทหุโซท
40 ณที่นั่นบาลาคเอาวัวและแกะถวายบูชา แล้วส่งไปให้บาลาอัมและเจ้านายที่อยู่กับเขาบ้าง
41 รุ่งขึ้น บาลาคก็พาบาลาอัมขึ้นไปยัง บาโมทบาอัล จากที่นั่นก็ได้เห็นประชาชนส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุด
กันดารวิถี 23
1 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า "ท่านจงสร้างแท่นบูชาให้ข้าพเจ้าที่นี่เจ็ดแท่น และจัดวัวผู้เจ็ดตัว แกะผู้เจ็ดตัวให้ข้าพเจ้า"
2 บาลาคก็กระทำตามคำของบาลาอัม บาลาอัมเอาวัวผู้ตัวหนึ่งแกะผู้ตัวหนึ่ง กระทำบูชาที่แท่นบูชาทุกแท่น
3 แล้วบาลาอัมพูดกับบาลาคว่า "จงยืนอยู่ใกล้เครื่องเผาบูชาของท่านและข้าพเจ้าจะไป ชะรอยพระเจ้าจะเสด็จมาหาข้าพเจ้า และสิ่งใดที่พระองค์สำแดงแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะบอกท่าน" แล้วเขาก็ขึ้นไปยังที่สูง
4 พระเจ้าทรงพบกับบาลาอัม และบาลาอัมกราบทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์ได้จัดแท่นบูชาเจ็ดแท่น ทั้งได้จัดวัวผู้ตัวหนึ่งและแกะผู้ตัวหนึ่งบูชาอยู่ทุกแท่น"
5 พระเจ้าทรงใส่ถ้อยคำในปากของบาลาอัมและตรัสว่า "จงกลับไปหาบาลาค แล้วจงพูดอย่างนั้น"
6 บาลาอัมจึงกลับไปหาบาลาค พบบาลาคกับเจ้านายแห่งโมอับยืนอยู่ที่ข้างเครื่องเผาบูชา
7 บาลาอัมได้กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า "บาลาคได้พาข้าพเจ้ามาจากอารัม ท่านกษัตริย์ของโมอับได้พาข้าพเจ้ามาจากภูเขาทางตะวันออก มาเถิด มาแช่งยาโคบเพื่อข้าพเจ้า มาเถิด มาประณามอิสราเอล
8 ข้าพเจ้าจะแช่งผู้ที่พระเจ้าไม่ทรงแช่งได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะประณามผู้ที่พระเจ้าไม่ทรงประณามได้อย่างไร
9 เพราะข้าพเจ้าได้ดูเขาจากยอดผา จากเนินสูงข้าพเจ้าได้เห็นเขา แน่ะ ชนชาติหนึ่งอยู่ลำพัง และมิได้นับเข้าในหมู่ประชาชาติ
10 ใครจะนับเผ่าพันธุ์ของยาโคบที่มากอย่างผงคลีดินนั้นได้ หรือนับหนึ่งในสี่ของอิสราเอลได้ ขอให้ข้าพเจ้าตายอย่างคนชอบธรรม และขอให้สุดปลายชีวิตของข้าพเจ้าเหมือนอย่างของเขา"
11 แล้วบาลาคพูดกับบาลาอัมว่า "ท่านได้กระทำอะไรแก่เราเล่า เราเชิญท่านให้มาแช่งพวกศัตรูของเรา ดูเถิด ท่านไม่ได้กระทำอะไร แก่เขานอกจากอวยพรเขา"
12 เขาจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องระวังที่จะกล่าวคำซึ่งพระเจ้าใส่ ในปากข้าพเจ้าหรือ"
13 บาลาคพูดกับเขาว่า "เชิญท่านไปอีกที่หนึ่งกับข้าพเจ้าเถิด ซึ่งท่านจะดูเขาจากที่นั่นได้ ท่านจะเห็นเพียงส่วนที่ใกล้ที่สุด และจะไม่เห็นคนทั้งหมด จากที่นั่นท่านจงแช่งเขาทั้งหลายให้ข้าพเจ้าเถิด"
14 แล้วบาลาคก็พาบาลาอัมมาถึงนาของโศฟิม ขึ้นถึงยอดภูเขาปิสกาห์ สร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่น และจัดวัวผู้ตัวหนึ่งและแกะผู้ตัวหนึ่งบูชาอยู่บนทุกแท่น
15 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า "จงยืนอยู่ข้างเครื่องเผาบูชาของท่านเถิด ขณะที่ข้าพเจ้าไปพบพระเจ้าตรงโน้น"
16 แล้วพระเจ้าทรงพบบาลาอัม และทรงใส่ถ้อยคำในปากของเขา ตรัสว่า "จงกลับไปหาบาลาค และจงพูดอย่างนั้น"
17 บาลาอัมก็กลับมาหาบาลาค พบเขายืนอยู่ข้างเครื่องเผาบูชา มีเจ้านายแห่งโมอับยืนอยู่กับท่าน บาลาคจึงถามเขาว่า "พระเจ้าตรัสว่ากระไร"
18 บาลาอัมก็ได้กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า "บาลาค ลุกขึ้นเถิดและคอยฟัง บุตรของศิปโปร์จงฟังข้าพเจ้าเถิด
19 พระเจ้ามิใช่มนุษย์จึงมิได้มุสา และมิได้เป็นบุตรของมนุษย์จึงไม่ต้องกลับใจ ที่พระองค์ตรัสไปแล้ว พระองค์ก็จะมิทรงกระทำตามหรือ ที่พระองค์ทรงลั่นวาจาแล้ว จะไม่ทรงกระทำให้สำเร็จหรือ
20 ดูเถิด ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้อวยพร พระเจ้าได้ทรงอำนวยพร และข้าพเจ้าจะเรียกกลับไม่ได้
21 พระองค์ได้ทอดพระเนตรว่า ไม่มีความทุกข์ยากในยาโคบ และทรงเห็นว่า ไม่มีความยากลำบากในอิสราเอล พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขาอยู่กับเขา และเสียงโห่ร้องถวายพรพระมหากษัตริย์อยู่ท่ามกลางเขา
22 พระเจ้าทรงนำเขาออกจากอียิปต์ ทรงเป็นเสมือนเขาวัวกระทิงเพื่อเขา
23 ไม่มีการถือลางในยาโคบ ไม่มีการทำนายด้วยฉลากในอิสราเอล ถึงเวลาแล้ว ยาโคบและอิสราเอลก็จะได้รับคำบอกว่า พระเจ้าจะทรงกระทำอะไร
24 ดูเถิด ชนชาติหนึ่ง ซึ่งลุกขึ้น อย่างนางสิงห์ใหญ่ และยืนขึ้นอย่างสิงห์ตัวผู้ ไม่ยอมนอนจนกว่าจะกินเหยื่อเสีย และดื่มเลือดของสิ่งที่ฆ่าตาย"
25 แล้วบาลาคจึงพูดกับบาลาอัม "อย่าแช่งเขาเลย ทั้งอย่าอวยพรแก่เขา"
26 แต่บาลาอัมตอบบาลาคว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้บอกท่านแล้วหรือว่า 'ทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส ข้าพเจ้าจะต้องกระทำตาม'"
27 บาลาคจึงพูดกับบาลาอัมว่า "มาเถิดข้าพเจ้าจะพาท่านไปอีกที่หนึ่ง ชะรอยพระเจ้าจะทรงโปรดให้ท่านแช่งเขา เพื่อข้าพเจ้าจากที่นั่น"
28 บาลาคก็พาบาลาอัมไปถึงยอดเขาเปโอร์ ซึ่งมองลงมาเห็นทะเลทราย
29 แล้วบาลาอัมบอกกับบาลาคว่า "จงสร้างแท่นบูชาที่นี่เจ็ดแท่นให้ข้าพเจ้า จัดวัวผู้เจ็ดตัว และแกะผู้เจ็ดตัวให้ข้าพเจ้าที่นี่"
30 บาลาคจึงกระทำตามที่บาลาอัมได้บอก และถวายบูชาวัวผู้ตัวหนึ่งและแกะผู้ตัวหนึ่งบนแท่นทุกแท่น
กันดารวิถี 24
1 เมื่อบาลาอัมเห็นว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะให้อวยพรแก่อิสราเอล บาลาอัมก็หาได้ไปแสวงลางหรืออาคมอย่างครั้งก่อนๆไม่ แต่มุ่งหน้าตรงไปยังถิ่นทุรกันดาร
2 บาลาอัมเงยหน้าดูเห็นอิสราเอลอยู่เป็นค่ายๆ ตามเผ่า แล้วพระวิญญาณของพระเจ้ามาอยู่บนท่าน
3 ท่านจึงกล่าวกลอนภาษิตของท่านว่า "คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์ คำพยากรณ์ของชายที่หูตาแจ้ง
4 คำพยากรณ์ของผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ผู้เห็นนิมิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ล้มลง แต่ตาไม่มีสิ่งใดบัง
5 ยาโคบเอ๋ย เต็นท์ของท่านช่างงามเหลือเกิน อิสราเอลเอ๋ย ค่ายของท่านก็งาม
6 เหมือนหุบเขาที่ยืดไปไกล เหมือนสวนซึ่งอยู่ข้างแม่น้ำ เหมือนต้นกฤษณาซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้ เหมือนต้นสนสีดาร์ที่อยู่ข้างลำน้ำ
7 น้ำจะไหลออกจากถังของเขา และพงศ์พันธุ์ของเขาจะมีอยู่ตามลำน้ำเป็นอันมาก กษัตริย์ของเขาจะสูงกว่ากษัตริย์อากัก ราชอาณาจักรของเขาจะรุ่งเรือง
8 พระเจ้าผู้ทรงนำเขาออกมาจากอียิปต์ ทรงเป็นเสมือนเขาวัวกระทิงเพื่อเขา เขาจะกินประชาชาติซึ่งเป็นศัตรูเสีย และหักกระดูกของศัตรูเป็นท่อนๆ และแทงเขาทั้งหลายทะลุด้วยลูกศร
9 เขาหมอบลงและนอนลงอย่างสิงห์ตัวผู้ เขาเหมือนนางสิงห์ ใครเล่าจะมาปลุกให้เขาลุกขึ้น ผู้ใดที่อวยพรแก่ท่านขอให้เขาได้รับพร ผู้ใดที่แช่งท่าน ขอให้เขาได้รับคำแช่ง"
10 บาลาคก็โกรธบาลาอัม จึงตบมือ แล้วบาลาคพูดกับบาลาอัมว่า "เราเชิญท่านมาให้แช่งศัตรูของเรา และดูเถิด ท่านได้อวยพรแก่เขาถึงสามครั้ง
11 ดังนั้นจงหนีไปยังที่อยู่ของท่านเถิด เราได้กล่าวว่า เราจะให้เกียรติแก่ท่านแน่แท้ แต่ดูเถิด พระเจ้าทรงขัดขวางมิให้ท่านได้รับเกียรติ"
12 แต่บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า "ข้าพเจ้ามิได้บอกผู้สื่อสารซึ่งท่านใช้ให้ไปหา ข้าพเจ้านั้นแล้วหรือว่า
13 'แม้ว่าบาลาคจะให้เงินและทองเต็มบ้านเต็มเรือนของเขา แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกระทำอะไรนอกเหนือพระบัญชาของพระเจ้าไม่ได้ ที่จะทำตามใจข้าพเจ้าไม่ว่าดีหรือชั่ว พระเจ้าตรัสประการใด ข้าพเจ้าจะพูดอย่างนั้น'
14 ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปสู่ชนชาติของข้าพเจ้า มาเถิด ข้าพเจ้าจะสำแดงให้ท่านทราบว่า ชนชาตินี้จะกระทำประการใด แก่ชนชาติของท่านในวันข้างหน้า"
15 เขาก็กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า "คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์ คำพยากรณ์ของชายผู้ที่หูตาแจ้ง
16 คำพยากรณ์ของผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และทราบถึงพระปัญญาของพระองค์ผู้สูงสุด ผู้เห็นนิมิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ล้มลง แต่ตาไม่มีสิ่งใดบัง
17 ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกรอันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล จะทุบหน้าผากของโมอับ และทำลายเผ่าพันธุ์ของเชท
18 ฝ่ายเอโดมจะตกเป็นของคนอื่น เสอีร์ศัตรูของเขาจะตกเป็นของคนอื่นด้วย ฝ่ายอิสราเอลได้แสดงวีรกรรมแล้ว
19 ผู้หนึ่งที่ออกมาจากยาโคบจะครอบครอง และชาวเมืองที่รอดตาย ผู้นั้นจะทำลายเสีย"
20 แล้วบาลาอัมมองดูอามาเลข และกล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า "อามาเลขเป็นประชาชาติที่หนึ่ง แต่ในที่สุดจะถึงซึ่งการทำลาย"
21 และเขามองดูคนเคไนต์ และกล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า "ที่อาศัยของท่านเข้มแข็งมาก และรังของท่านก็วางอยู่ในศิลา
22 แต่อย่างไรก็ตามคนเคไนต์ก็ต้องถูกกวาดล้าง อีกนานเท่าใดเล่า พวกอัสชูรจะมากวาดเจ้าไปเป็นเชลย"
23 และบาลาอัมกล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า "อนิจจาเอ๋ย เมื่อพระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ใครจะอยู่ได้
24 แต่กำปั่นจะมาจากเมืองคิทธิม ทำลายอัสชูรและเอเบอร์ และเขาจะถูกทำลายด้วย"
25 แล้วบาลาอัมก็ลุกขึ้นกลับไปที่อยู่ของเขา และบาลาคก็ไปตามทางของตนด้วย
กันดารวิถี 25
1 เมื่ออิสราเอลพักอยู่ในเมืองชิทธีม ประชาชนก็ได้เริ่มเล่นชู้กับหญิงชาวโมอับ
2 หญิงเหล่านี้ก็เชิญประชาชนให้ไปกระทำบูชาต่อพระของนาง ประชาชนก็รับประทานและกราบไหว้พระของนาง
3 ดังนั้นอิสราเอล ก็เข้าถือพระบาอัลแห่งเปโอร์ และพระเจ้าทรงพระพิโรธต่ออิสราเอล
4 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงนำหัวหน้าทั้งหลายของประชาชนแขวนตากแดด ไว้ต่อพระเจ้า เพื่อว่าพระพิโรธอันเกรี้ยวกราดของพระเจ้าจะหันเห ไปจากอิสราเอลเสีย"
5 และโมเสสบอกผู้วินิจฉัยของอิสราเอลว่า "ท่านทุกคนจงฆ่าคนของท่านที่เข้าถือ พระบาอัลแห่งเปโอร์เสีย"
6 และดูเถิด มีชายอิสราเอลคนหนึ่งพาหญิง คนมีเดียนคนหนึ่งเข้ามาในครอบครัวต่อหน้าโมเสส และต่อหน้าชุมนุมชนทั้งหมดของอิสราเอล ขณะเมื่อเขาทั้งหลายกำลังร้องไห้อยู่ที่ประตูเต็นท์นัดพบ
7 ครั้นฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ บุตรของอาโรนปุโรหิตเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นไปจากชุมนุมชน มือถือทวน
8 ติดตามชายอิสราเอลคนนั้นเข้าไปในห้องชั้นใน และแทงทะลุร่างกายเขาทั้งคู่ ทั้งชายอิสราเอลและหญิงคนนั้น แล้วภัยพิบัติในอิสราเอลก็สงบ
9 แต่อย่างไรก็ตาม คนที่ตายด้วยภัยพิบัติมีสองหมื่นสี่พันคน
10 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
11 "ฟีเนหัส บุตรเอเลอาซาร์ บุตรอาโรนปุโรหิต ได้ยับยั้งความกริ้วของเราต่อคนอิสราเอล ในการที่เขาหึงหวงด้วยความหึงหวงของเราที่มีต่อประชาชน ดังนั้นเราจึงมิได้เผาผลาญคนอิสราเอลเสียด้วยความ หึงหวงของเรา
12 ดังนั้นจงกล่าวว่า 'ดูเถิด เราให้ศานติพันธสัญญาแก่เขา
13 พันธสัญญานั้นจะเป็นของเขา และของเชื้อสายของเขา เป็นพันธสัญญาแห่งตำแหน่งปุโรหิตอันถาวร เพราะเขาหึงหวงเพื่อพระเจ้าของเขา และได้ทำการลบมลทินบาปคนอิสราเอล'"
14 ชื่อของชายอิสราเอลคนที่ถูกฆ่าร่วมกับหญิงชาว มีเดียนคนนั้นชื่อศิมรี บุตรของสาลู หัวหน้าของตระกูลหนึ่งในเผ่าสิเมโอน
15 และชื่อของหญิงชาวมีเดียนผู้ถูกฆ่า คือ คสบีบุตรีของศูร์ ผู้เป็นหัวหน้าคนตระกูลหนึ่งในมีเดียน
16 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
17 "จงรบกวนคนมีเดียน และสู้รบกับเขา
18 เพราะเขารบกวนเจ้าด้วยอุบาย ซึ่งเขาล่อเจ้าในเรื่องเปโอร์ และในเรื่องนางคสบีบุตรีหัวหน้าแห่งมีเดียน ผู้ที่ถูกฆ่าตายในวันที่บังเกิดภัยพิบัติด้วยเรื่องเปโอร์"
กันดารวิถี 26
1 ภายหลังภัยพิบัตินั้น พระเจ้าตรัสกับโมเสส และตรัสกับเอเลอาซาร์บุตรอาโรนปุโรหิตว่า
2 "จงทำสำมะโนครัว ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมด อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปตามตระกูลของเขาทั้งหมดใน อิสราเอลผู้ที่จะเข้าสงครามได้"
3 โมเสสกับเอเลอาซาร์ปุโรหิต ปราศรัยกับเขาทั้งหลายณทุ่งโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโคว่า
4 "จงทำสำมะโนครัวประชาชน อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป" ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสและคนอิสราเอล ผู้ที่ออกจากแผ่นดินอียิปต์ คือ
5 รูเบน บุตรหัวปีของอิสราเอล บุตรของรูเบนคือฮาโนคคนตระกูลฮาโนค ปัลลูคนตระกูลปัลลู
6 เฮสโรนคนตระกูลเฮสโรน คารมีคนตระกูลคารมี
7 เหล่านี้เป็นตระกูลของคนรูเบน มีจำนวนสี่หมื่นสามพันเจ็ดร้อยสามสิบคน
8 และบุตรของปัลลูคือ เอลีอับ
9 บุตรของเอลีอับคือ เนมูเอล ดาธาน และอาบีรัม นี่คือดาธาน และอาบีรัมที่เลือกจากชุมนุมชน เป็นผู้ขัดขวางโมเสสและอาโรน ในพรรคพวกโคราห์ เมื่อเขาขัดขวางพระเจ้า
10 และแผ่นธรณีได้อ้าปากออกกลืนเขาพร้อมกับโคราห์ เมื่อพรรคพวกนั้นถึงตาย เมื่อไฟเผาผลาญเสียสองร้อยห้าสิบคน และเขาทั้งหลายเป็นเรื่องเตือนใจ
11 แต่บุตรของโคราห์นั้นหาได้ตายไม่
12 บุตรของสิเมโอนตามตระกูลของเขา คือ เนมูเอลคนตระกูลเนมูเอล ยามีนคนตระกูลยามีน ยาคีนคนตระกูลยาคีน
13 เศ-ราห์คนตระกูลเศ-ราห์ ชาอูลคนตระกูลชาอูล
14 เหล่านี้เป็นตระกูลของสิเมโอน มีจำนวนสองหมื่นสองพันสองร้อยคน
15 บุตรของกาด ตามตระกูลของเขา คือเศโฟนคนตระกูลเศโฟน ฮักกีคนตระกูลฮักกี ชูนีคนตระกูลชูนี
16 โอสนีคนตระกูลโอสนี เอรีคนตระกูลเอรี
17 อาโรดคนตระกูลอาโรด อาเรลีคนตระกูลอาเรลี
18 เหล่านี้เป็นคนตระกูลของบุตรของกาดตาม จำนวนของเขามีสี่หมื่นห้าร้อยคน
19 บุตรของยูดาห์คือ เอร์และโอนัน เอร์กับโอนันตายเสียในแผ่นดินคานาอัน
20 และบุตรของยูดาห์ตามครอบครัวของเขา คือเชลาห์คนตระกูลเชลาห์ เปเรศคนตระกูลเปเรศ เศ-ราห์คนตระกูลเศ-ราห์
21 และบุตรของเปเรศ คือ เฮสโรนคนตระกูลเฮสโรน ฮามูลคนตระกูลฮามูล
22 เหล่านี้เป็นตระกูลของยูดาห์ตามจำนวนของ เขามีเจ็ดหมื่นหกพันห้าร้อยคน
23 บุตรของอิสสาคาร์ตามตระกูลของเขาคือ โทลาคนตระกูลโทลา ปูวาห์คนตระกูลปูวาห์
24 ยาชูบคนตระกูลยาชูบ ชิมโรนคนตระกูลชิมโรน
25 เหล่านี้เป็นตระกูลของอิสสาคาร์ตามจำนวนของเขามี หกหมื่นสี่พันสามร้อยคน
26 บุตรของเศบูลุนตามตระกูลของเขาคือ เสเรดคนตระกูลเสเรด เอโลนคนตระกูลเอโลน ยาเลเอลคนตระกูลยาเลเอล
27 เหล่านี้เป็นตระกูลของคนเศบูลุน ตามจำนวนของเขามีหกหมื่นห้าร้อยคน
28 บุตรของโยเซฟตามตระกูลของเขาคือ มนัสเสห์และเอฟราอิม
29 บุตรของมนัสเสห์ คือ มาคีร์คน ตระกูลมาคีร์ มาคีร์เป็นบิดาของกิเลอาด กิเลอาดคนตระกูลกิเลอาด
30 บุตรของกิเลอาด คือ อีเยเซอร์คนตระกูลอีเยเซอร์ เฮเลคคนตระกูลเฮเลค
31 และอัสรีเอลคนตระกูลอัสรีเอล เชเคมคนตระกูลเชเคม
32 และเชมิดาคนตระกูลเชมิดา เฮเฟอร์คนตระกูลเฮเฟอร์
33 ส่วนเศโลเฟหัดบุตรเฮเฟอร์ไม่มีบุตรชายมีแต่บุตรหญิง ชื่อ บุตรีของเศโลเฟหัดคือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
34 เหล่านี้เป็นตระกูลของมนัสเสห์และจำนวนของเขามี ห้าหมื่นสองพันเจ็ดร้อยคน
35 ต่อไปนี้เป็นพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิมตามตระกูลของเขาคือ ชูเธลาห์คนตระกูลชูเธลาห์ เบเคอร์คนตระกูลเบเคอร์ ทาหานคนตระกูลทาหาน
36 บุตรของชูเธลาห์คือ เอรานคนตระกูลเอราน
37 เหล่านี้เป็นตระกูลของบุตรเอฟราอิม ตามจำนวนของเขามีสามหมื่นสองพันห้าร้อยคน เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของโยเซฟตามตระกูลของเขา
38 บุตรของเบนยามินตามตระกูลของเขา คือ เบ-ลา คนตระกูลเบ-ลา อัชเบลคนตระกูลอัชเบล อาหิรัมคนตระกูลอาหิรัม
39 เชฟูฟามคนตระกูลเชฟูฟาม หุฟามคนตระกูลหุฟาม
40 และบุตรของเบ-ลา คือ อาร์ด และนาอามานคนตระกูลอาร์ด นาอามานคนตระกูลนาอามาน
41 เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของเบนยามินตามตระกูลของเขา และจำนวนของเขาเป็นสี่หมื่นห้าพันหกร้อยคน
42 ต่อไปนี้เป็นพงศ์พันธุ์ของดานตามตระกูลของเขา คือ ชูฮัม คนตระกูลชูฮัม นี่เป็นตระกูลของดานตามตระกูลของเขา
43 ตระกูลทั้งหมดของคนชูฮัมตามจำนวนของเขา มีหกหมื่นสี่พันสี่ร้อยคน
44 บุตรของอาเชอร์ตามตระกูลของเขา คืออิมนาห์คนตระกูลอิมนาห์ อิชวีคนตระกูลอิชวี เบรียาห์คนตระกูลเบรียาห์
45 บุตรของเบรียาห์คือ เฮเบอร์คนตระกูลเฮเบอร์ มัลคีเอล คนตระกูลมัลคีเอล
46 บุตรีของอาเชอร์ คือเสราห์
47 เหล่านี้เป็นตระกูลของบุตรอาเชอร์ตามจำนวนของเขา มีห้าหมื่นสามพันสี่ร้อยคน
48 บุตรของนัฟทาลีตามตระกูลของเขา คือ ยาเซเอลคนตระกูลยาเซเอล กูนีคนตระกูลกูนี
49 เยเซอร์คนตระกูลเยเซอร์ ชิลเลมคนตระกูลชิลเลม
50 เหล่านี้เป็นตระกูลของนัฟทาลีตามตระกูลของเขา และตามจำนวนของเขามีสี่หมื่นห้าพันสี่ร้อยคน
51 จำนวนคนอิสราเอล มีหกแสนหนึ่งพันเจ็ดร้อยสามสิบคน
52 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
53 "ให้แบ่งแผ่นดินนั้นเป็นมรดกแก่คนเหล่านี้ตามจำนวนรายชื่อ
54 มรดกส่วนใหญ่ก็ให้แบ่งแก่คนเผ่าใหญ่ และมรดกส่วนน้อยก็ให้แบ่งแก่คนเผ่าย่อมทุกเผ่าจะได้ รับส่วนมรดกตามจำนวนคน
55 แต่ให้จับฉลากแบ่งแผ่นดิน นั้นตามรายชื่อเผ่าของปู่ย่าตายายของเขา
56 ให้จับฉลากแบ่งมรดกของเขานั้นตามส่วนเผ่าใหญ่และเผ่า ย่อม" เผ่าเลวี
57 ต่อไปนี้เป็นคนเลวีที่นับตามตระกูลของเขา คือเกอร์โชน คนตระกูลเกอร์โชน โคฮาทคนตระกูลโคฮาท เมรารีคนตระกูลเมรารี
58 ต่อไปนี้เป็นตระกูลของเลวี คือคนตระกูลลิบนีคนตระกูลเฮโบรน คนตระกูลมาลีคนตระกูลมูชี คนตระกูลโคราห์ และโคฮาทเป็นบิดาของอัมราม
59 ภรรยาของอัมรามคือโยเคเบดบุตรีของเลวีเกิดแก่เลวีที่อียิปต์ และนางมีบุตรกับอัมรามชื่อ อาโรนและโมเสส และมีเรียมพี่สาวของเขาทั้งสอง
60 และอาโรนมีบุตรชื่อนาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์และอิธามาร์
61 แต่นาดับและอาบีฮูนั้นได้เสียชีวิต เมื่อเขาบูชาด้วยไฟที่ต้องห้ามแด่พระเจ้า
62 และจำนวนของเขาเป็นสองหมื่นสามพันคน เป็นผู้ชายทุกคนอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนขึ้นไป เพราะเขามิได้นับรวมไว้ในคนอิสราเอล เพราะไม่มีมรดกให้แก่เขาท่ามกลางคนอิสราเอล
63 จำนวนคนเหล่านี้โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้นับไว้ ครั้งเมื่อนับคนอิสราเอลณทุ่งโมอับข้างแม่น้ำจอร์แดนตรง กันข้ามเมืองเยรีโค
64 แต่ตามรายชื่อเหล่านี้ไม่มีชายสักคนหนึ่งซึ่ง โมเสสและอาโรนได้นับไว้ ครั้งเมื่อนับคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารซีนาย
65 เพราะพระเจ้าตรัสเรื่องเขาเหล่านั้นว่า "เขาจะต้องตายในถิ่นทุรกันดาร" ไม่มีชายสักคนหนึ่งเหลืออยู่ นอกจากคาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรนูน
กันดารวิถี 27
1 ครั้งนั้นบุตรีทั้งหลายของเศโลเฟหัดบุตรของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรของมนัสเสห์ จากตระกูลของมนัสเสห์บุตรของโยเซฟเข้ามาใกล้ ชื่อบุตรีทั้งหลายของเขาคือมาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
2 และเขาทั้งหลายมายืนอยู่ต่อหน้าโมเสสและต่อหน้า เอเลอาซาร์ปุโรหิต และต่อหน้าประมุข และต่อหน้าชุมนุมชนที่ประตูเต็นท์นัดพบกล่าวว่า
3 "บิดาของเราตายเสียในถิ่นทุรกันดาร ท่านมิได้อยู่ในพวกที่ส้องสุมกันต่อสู้พระเจ้าใน พรรคพวกโคราห์ แต่ท่านเสียชีวิตเพราะบาปของตน และท่านไม่มีบุตรชายเลย
4 เหตุใดจึงลบชื่อบิดาของเราจากตระกูลของท่าน เพราะเหตุที่ท่านไม่มีบุตรชายเลย ขอให้เรามีกรรมสิทธิ์ที่ดินท่ามกลางพี่น้องบิดาของเราด้วย"
5 โมเสสได้นำเรื่องของเขากราบทูลพระเจ้า
6 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
7 "บุตรีของเศโลเฟหัดพูดถูกต้องแล้ว เจ้าจงให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นมรดกท่ามกลาง พี่น้องบิดาของเขา และกระทำให้มรดกบิดาของเขาตกทอดมาถึงเขา
8 เจ้าจงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า 'ถ้าผู้ชายคนหนึ่งตายและไม่มีบุตรชาย เจ้าจงให้มรดกของเขาตกไปยังบุตรีของเขา
9 และถ้าเขาไม่มีบุตรี เจ้าจงให้มรดกของเขาแก่พี่น้องของเขา
10 และถ้าเขาไม่มีพี่น้อง เจ้าจงให้มรดกของเขาแก่พี่น้องบิดาของเขา
11 และถ้าบิดาของเขาไม่มีพี่น้อง เจ้าจงให้มรดกแก่ญาติถัดตัวเขาไปในตระกูลของเขา ให้ผู้นั้นถือกรรมสิทธิ์ได้ ให้เป็นกฎเกณฑ์และกฎหมายแก่ประชาชนอิสราเอล ดังที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้"
12 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงขึ้นไปบนภูเขาอาบาริมนี้ และมองดูแผ่นดินซึ่งเรามอบให้แก่คนอิสราเอล
13 และเมื่อเจ้าได้เห็นแล้ว เจ้าจะถูกรวบไปอยู่กับประชาชนของเจ้า อย่างอาโรนพี่ชายของเจ้าได้ถูกรวบไปนั้น
14 เพราะว่าเจ้าทั้งสองกบฏต่อถ้อยคำของ เราในถิ่นทุรกันดารศินระหว่างที่ชุมนุมชนได้โต้แย้งขึ้น เจ้ามิได้ยกย่องเราต่อหน้าเขาทั้งหลาย ที่น้ำนั้น" (นี่คือน้ำเมรีบาห์แห่งคาเดชในถิ่นทุรกันดารศิน)
15 โมเสสกราบทูลพระเจ้าว่า
16 "ขอพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ทั้งปวง ทรงแต่งตั้งชายผู้หนึ่งไว้เหนือชุมนุมชนนี้
17 ผู้ซึ่งจะเข้านอกออกในต่อหน้าเขา ผู้ซึ่งจะนำเขาเข้าออก เพื่อว่าชุมนุมชนของพระเจ้าจะมิได้เหมือนกับฝูงแกะที่ ไม่มีผู้เลี้ยง"
18 และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงนำโยชูวา บุตรนูนผู้มีพระวิญญาณอยู่ ภายในเขามา จงเอามือของเจ้าวางบนเขา
19 ตั้งเขาไว้ต่อหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิตและต่อหน้า ชุมนุมชนทั้งหมด และเจ้าจงกำชับเขาต่อหน้าชุมนุมชน
20 เจ้าจงให้เกียรติยศอย่างของเจ้าแก่เขา เพื่อให้ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดเชื่อฟังเขา
21 และเขาจะยืนอยู่ต่อหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิต ผู้ซึ่งจะทูลถามเพื่อเขาตามหลักตัดสินของอูริมต่อพระเจ้า และคนทั้งปวงจะออกไป และเข้ามาตามคำของปุโรหิตทั้งเจ้ากับคนทั้งปวงใน อิสราเอลนั้น คือชุมนุมชนทั้งหมด"
22 และโมเสสกระทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชาท่าน ท่านจึงนำโยชูวาให้มายืนต่อหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิต และต่อหน้าชุมนุมชนทั้งหมด
23 และท่านเอามือวางบนโยชูวา และกำชับเขา ตามที่พระเจ้าตรัสสั่งทางโมเสส
กันดารวิถี 28
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงบัญชาคนอิสราเอลและกล่าวแก่เขาว่าของบูชา ของเราอาหารของเราซึ่งเป็นของบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอใจ เจ้าทั้งหลายจงเอาใจใส่ ที่จะถวายบูชาแก่เราตามกาลกำหนด
3 และเจ้าจงกล่าวแก่เขาว่า นี่เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ ซึ่งเจ้าทั้งหลายควรถวายแด่พระเจ้า คือลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสองตัว เป็นเครื่องบูชาเนืองนิตย์ทุกวัน
4 เจ้าจงถวายลูกแกะเป็นเครื่องบูชาในตอนเช้าตัวหนึ่ง และลูกแกะอีกตัวหนึ่งนั้นเจ้าจงถวายบูชาเวลาเย็น
5 และยอดแป้งหนึ่งในสิบเอฟาห์เป็นธัญญบูชาคลุกกับ น้ำมันสกัดหนึ่งในสี่ฮิน
6 เป็นเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ ซึ่งได้บัญชาตั้งไว้ที่ภูเขาซีนายเป็นกลิ่นที่พอใจ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเจ้า
7 ส่วนเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้นให้ถวายหนึ่งในสี่ฮินกับแกะตัวหนึ่ง ในที่บริสุทธิ์เจ้าจงเทเครื่องดื่มบูชาซึ่งเป็นเหล้าถวายแด่ พระเจ้า
8 ลูกแกะอีกตัวหนึ่งเจ้าจงถวายบูชาเวลาเย็น เจ้าจงถวายบูชาด้วยไฟเช่นเดียวกับธัญญบูชาของเวลาเช้า และเช่นเดียวกับเครื่องดื่มบูชาที่คู่กันเป็นกลิ่นที่ พอพระทัยพระเจ้า
9 "ในวันสะบาโตลูกแกะอายุหนึ่งขวบสองตัวที่ไม่มี ตำหนิ และยอดแป้งสองในสิบเอฟาห์คลุกกับน้ำมันให้เป็นธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
10 นี่เป็นเครื่องเผาบูชาทุกวันสะบาโตนอกเหนือเครื่องเผา บูชาเนืองนิตย์และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
11 "เวลาต้นเดือนทุกเดือน เจ้าทั้งหลายจงถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า คือวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้หนึ่งขวบ ไม่มีตำหนิเจ็ดตัว
12 สำหรับวัวตัวหนึ่งจงเอายอดแป้งสามในสิบเอฟาห์คลุกน้ำมัน สำหรับเป็นธัญญบูชาและสำหรับแกะผู้ตัวหนึ่งนั้นจงเอา ยอดแป้งสองในสิบคลุกน้ำมันเป็นธัญญบูชา
13 สำหรับลูกแกะทุกตัวจงเอายอดแป้ง หนึ่งในสิบคลุกน้ำมันเป็นธัญญบูชา ให้เป็นเครื่องเผาบูชาเป็นกลิ่นที่พอใจ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเจ้า
14 ส่วนเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัวผู้ตัวหนึ่งจงเอาเหล้าองุ่นครึ่งฮิน สำหรับแกะผู้ตัวหนึ่งจงเอาหนึ่งในสามฮิน สำหรับลูกแกะตัวหนึ่งจงเอาหนึ่งในสี่ฮิน นี่เป็นเครื่องเผาบูชาประจำเดือน ทุกเดือนตลอดปี
15 และเอาแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปถวายแด่พระเจ้า ให้นำมาบูชานอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์และเครื่อง ดื่มบูชาคู่กัน
16 "เดือนที่หนึ่งวันที่สิบสี่เป็นปัสกาของ พระเจ้า
17 และวันที่สิบห้าของเดือนนี้เป็นวันการเลี้ยง จงรับประทานขนมไร้เชื้อเจ็ดวัน
18 ในวันต้นให้มีการประชุมบริสุทธิ์ เจ้าทั้งหลายอย่ากระทำงานหนักในวันนั้น
19 แต่จงถวายบูชาด้วยไฟ เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า คือเอาวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้ตัวหนึ่ง และลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ดูให้ดีว่าไม่มีตำหนิ
20 และเอายอดแป้งคลุกน้ำมันเป็นธัญญบูชาของสัตว์เหล่านี้ สำหรับวัวผู้ตัวหนึ่งเจ้าจงถวายสามในสิบเอฟาห์ และสำหรับแกะผู้ตัวหนึ่งสองในสิบ
21 สำหรับลูกแกะตัวหนึ่งๆในลูกแกะเจ็ดตัวนั้น จงเอาแป้งหนึ่งในสิบ
22 และเอาแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อทำการลบมลทินบาปของเจ้า
23 เจ้าจงถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ นอกเหนือเครื่องเผาบูชาตอนเช้า ซึ่งเป็นเครื่องบูชาเนืองนิตย์นั้น
24 ในทำนองเดียวกัน เจ้าจงถวายเครื่องบูชาทุกวันตลอดทั้งเจ็ดวัน คือถวายอาหารเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟเป็นกลิ่น ที่พอพระทัยพระเจ้า จงถวายบูชานอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
25 และในวันที่เจ็ดพวกเจ้าจงมีการประชุมบริสุทธิ์เจ้าอย่า ทำงานหนักในวันนั้น
26 "ในวันถวายผลรุ่นแรก เมื่อเจ้าเอาข้าวใหม่มาเป็นธัญญบูชาถวายแด่พระเจ้า ในเทศกาลสัปดาห์นั้น เจ้าจงมีการประชุมบริสุทธิ์ เจ้าอย่าทำงานหนักในวันนั้น
27 แต่จงถวายเครื่องเผาบูชา ให้เป็นกลิ่นพอพระทัยแด่พระเจ้า คือถวายวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว
28 และถวายยอดแป้งคลุกน้ำมันเป็นธัญญบูชา คือ สำหรับวัวตัวหนึ่ง ถวายแป้งสามในสิบเอฟาห์ สำหรับแกะผู้หนึ่งตัวนั้นสองในสิบ
29 สำหรับลูกแกะเจ็ดตัวๆละหนึ่งในสิบ
30 พร้อมกับแพะผู้ตัวหนึ่งสำหรับลบมลทินของเจ้า
31 นอกจากเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์และธัญญบูชาคู่กันนั้น เจ้าจงถวายเครื่องบูชาเหล่านี้และเครื่องดื่มบูชาคู่กันด้วย ดูให้ดีว่าให้ปราศจากตำหนิ
กันดารวิถี 29
1 "ในวันที่หนึ่งเดือนที่เจ็ดเจ้าจงมีการประชุมบริสุทธิ์ เจ้าอย่าทำงานหนัก เป็นวันให้เจ้าทั้งหลายเป่าแตร
2 เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเจ้า คือถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเจ็ดตัว
3 และถวายยอดแป้งเคล้าน้ำมันเป็นธัญญบูชาคือสำหรับวัวผู้นั้น จงถวายแป้งสามในสิบเอฟาห์ สำหรับแกะผู้ตัวนั้นสองในสิบ
4 ลูกแกะเจ็ดตัว ตัวละหนึ่งในสิบ
5 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อลบมลทินบาปของเจ้า
6 นอกเหนือเครื่องเผาบูชาในวันข้างขึ้นและธัญญบูชาคู่กัน และเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์คู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน ตามกฎหมายเครื่องบูชาเหล่านี้ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเจ้า
7 "ในวันที่สิบเดือนที่เจ็ดนี้ เจ้าทั้งหลายจงมีการประชุมบริสุทธิ์ เจ้าจงบังคับจิตใจของเจ้า อย่าทำการงานสิ่งใด
8 แต่เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้า ให้เป็นกลิ่นที่พอพระทัย คือถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว เจ้าอย่าให้มีตำหนิ
9 และยอดแป้งเคล้าน้ำมันเป็นธัญญบูชา สำหรับวัวตัวนั้นถวายแป้งสามในสิบเอฟาห์ สำหรับแกะผู้ตัวหนึ่งนั้นสองในสิบ
10 สำหรับลูกแกะเจ็ดตัวนั้น ตัวละหนึ่งในสิบ
11 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องบูชาไถ่บาปลบมลทิน และเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ซึ่งคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
12 "ในวันที่สิบห้าเดือนที่เจ็ดเจ้าทั้งหลายจงมี การประชุมบริสุทธิ์ เจ้าอย่าทำงานหนัก และเจ้าจงมีการเลี้ยงเจ็ดวันแด่ พระเจ้า
13 เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเจ้า คือวัวหนุ่มสิบสามตัว แกะผู้สองตัวลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว สัตว์เหล่านี้อย่าให้มีตำหนิ
14 และถวายยอดแป้งเคล้าน้ำมันเป็นธัญญบูชาคู่กัน สำหรับวัวสิบสามตัว ตัวหนึ่งถวายแป้งสามในสิบเอฟาห์ สำหรับแกะผู้สองตัว ตัวละสองในสิบ
15 สำหรับลูกแกะสิบสี่ตัว ตัวละหนึ่งในสิบ
16 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ซึ่งคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
17 "ในวันที่สองจงถวายวัวหนุ่มสิบสองตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
18 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้นสำหรับวัว แกะผู้และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามกฎหมาย
19 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ ซึ่งคู่กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
20 "ในวันที่สามจงถวายวัวสิบเอ็ดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
21 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้นตามจำนวนตามกฎหมาย
22 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ซึ่งคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
23 "ในวันที่สี่จงถวายวัวสิบตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
24 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามกฎหมาย
25 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ซึ่งคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
26 "ในวันที่ห้าจงถวายวัวเก้าตัวแกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
27 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามกฎหมาย
28 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ซึ่งคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
29 "ในวันที่หกจงถวายวัวแปดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
30 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามกฎหมาย
31 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ซึ่งคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
32 "ในวันที่เจ็ดเจ้าจงถวายวัวเจ็ดตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสิบสี่ตัว
33 กับธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้และลูกแกะนั้น ตามจำนวนตามกฎหมาย
34 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ซึ่งคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
35 "ในวันที่แปดเจ้าจงมีการประชุมตามพิธี เจ้าอย่าทำงานหนัก
36 แต่เจ้าจงถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นที่พอพระทัยพระเจ้า คือวัวผู้ตัวหนึ่ง แกะผู้ตัวหนึ่ง ลูกแกะผู้อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิเจ็ดตัว
37 และถวายธัญญบูชาและเครื่องดื่มบูชาคู่กันนั้น สำหรับวัว แกะผู้ และลูกแกะผู้นั้น ตามจำนวนตามกฎหมาย
38 และถวายแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือเครื่องเผาบูชาเนืองนิตย์ซึ่งคู่กับธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชาคู่กัน
39 "สิ่งเหล่านี้เจ้าทั้งหลายจง ถวายแด่พระเจ้าตามเทศกาลของเจ้า เพิ่มเข้ากับการถวายแก้บนของเจ้า และการถวายด้วยใจสมัครของเจ้าเป็นเครื่องเผาบูชาของเจ้า เครื่องธัญญบูชาของเจ้า เครื่องดื่มบูชาของเจ้า และเครื่องศานติบูชาของเจ้า"
40 และโมเสสได้บอกคนอิสราเอลตามที่พระเจ้า ได้ทรงบัญชาท่านไว้ทุกประการ
กันดารวิถี 30
1 โมเสสได้พูดกับหัวหน้าเผ่าคนอิสราเอลว่า "นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงบัญชา
2 เมื่อผู้ใดบนไว้กับพระเจ้า หรือให้สัตย์สาบานผูกมัดตัวไว้ ด้วยคำสัญญาวิรัตอย่างหนึ่งอย่างใด อย่าให้เขาเสียวาจา เขาต้องกระทำตามคำที่ออกจากปากของเขา ทั้งสิ้น
3 หรือเมื่อสตรีคนหนึ่งคนใดบนไว้แด่พระเจ้า และผูกมัดตัวเองไว้ด้วยคำสัญญาวิรัต เมื่อเธอยังสาวอยู่ในเรือนของบิดา
4 และบิดาของเธอได้ยินคำที่เธอบนไว้ และคำสัญญาวิรัตที่เธอผูกมัดตัวเองแต่มิได้พูดอะไรกับเธอ ก็ให้คำที่บนไว้นั้นคงอยู่ และให้คำสัญญาวิรัตที่ผูกมัดเธอไว้นั้นคงอยู่
5 แต่ถ้าบิดาของเธอคัดค้านในวันที่เขาได้ยินนั้น การที่เธอบนไว้ก็ดี คำสัญญาวิรัตที่ผูกมัดเธอไว้ก็ดี ย่อมไม่คงอยู่ และพระเจ้าจะอภัยให้แก่เธอ เพราะบิดาของเธอได้คัดค้านเธอไว้
6 และถ้านางแต่งงานมีสามีแล้ว สิ่งที่นางบนไว้หรือคำพูดที่ไม่ทันคิดซึ่งผูกมัดนาง
7 ฝ่ายสามีก็ได้ยินแล้ว และในวันที่ได้ยินเขาก็มิได้พูดอะไรกับนาง สิ่งที่นางบนไว้นั้นย่อมคงอยู่ และคำสัญญาวิรัตที่ผูกมัดตัวนางก็คงอยู่ด้วย
8 แต่ถ้าในวันนั้นที่สามีมาได้ยินเข้าและเขาคัดค้าน ก็ทำให้คำที่นางบนไว้นั้นเป็นโมฆะ ทั้งคำพูดที่ไม่ทันคิดของนางซึ่งผูกมัดนางนั้นก็เป็นโมฆะด้วย และพระเจ้าจะทรงอภัยให้แก่นาง
9 แต่คำบนบานที่แม่ม่ายหรือแม่ร้างกระทำไว้ หรือคำใดที่นางพูดผูกมัดตนเอง คำพูดนั้นย่อมคงอยู่
10 และถ้านางบนไว้ในบ้านสามีของนาง หรือให้สัญญาวิรัตด้วยสัตย์สาบานผูกมัดตนเองไว้
11 และสามีของนางได้ยินแล้ว แต่ไม่ว่าอะไรแก่นาง และไม่คัดค้านนาง คำบนบานของนางทั้งสิ้นย่อมคงอยู่ และคำสัญญาวิรัตทุกอย่างซึ่งนางผูกมัดตัวเองย่อมคงอยู่
12 แต่ถ้าสามีของนางได้กระทำให้ไม่คงอยู่หรือเป็น โมฆะในวันที่เขาได้ยินแล้ว สิ่งใดที่ออกจากปากของนางเกี่ยวด้วยคำบนบาน หรือเกี่ยวด้วยคำสัญญาวิรัตของนางย่อมไม่คงอยู่ สามีของนางได้กระทำให้เป็นโมฆะ และพระเจ้าจะทรงอภัยให้แก่นาง
13 คำบนบานหรือคำสัตย์สาบานที่จะบังคับจิตใจนางเอง สามีของนางย่อมให้คงอยู่หรือเป็นโมฆะได้
14 แต่ถ้าสามีของนางไม่กล่าวสิ่งใดแก่นางวันแล้ววันเล่า เขาย่อมกระทำให้คำบนบานและคำสัญญา วิรัตทั้งสิ้นของนางซึ่งจะตกแก่นางให้คงอยู่ เพราะเขาไม่พูดสิ่งใดในวันที่เขาได้ยิน เขาจึงกระทำให้คงอยู่
15 แต่ถ้าภายหลังที่เขาได้ยิน แล้วมากระทำให้ไม่คงอยู่หรือเป็นโมฆะ เขาย่อมต้องรับความผิดของนาง"
16 ข้อความเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ซึ่ง พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้ เป็นเรื่องระหว่างชายกับภรรยาของเขา เรื่องระหว่างบิดากับบุตรี ขณะเมื่อเธอยังสาวอยู่ ยังอยู่ในเรือนบิดาของเธอ
กันดารวิถี 31
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงแก้แค้นคนมีเดียนเพื่อคนอิสราเอล แล้วภายหลังเจ้าจะถูกรวบให้ไปอยู่กับประชาชนของเจ้า"
3 และโมเสสกล่าวกับประชาชนว่า "จงเตรียมคนบางคนในพวกเจ้าให้พร้อมด้วยอาวุธ เพื่อทำสงคราม แล้วยกไปสู้พวกมีเดียน เพื่อกระทำการแก้แค้นของพระเจ้าต่อคนมีเดียน
4 เจ้าจงส่งคนจากเผ่าอิสราเอลเผ่าละพันคนเข้าทำสงคราม"
5 ดังนั้นเขาจึงจัดคนจากอิสราเอลที่นับพันๆนั้น เผ่าละพันคน เป็นคนหมื่นสองพันสรรพด้วยอาวุธ เพื่อเข้าสงคราม
6 และโมเสสส่งคนเผ่าละพันคนออกไปทำสงคราม ทั้งคนเหล่านั้นกับฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ปุโรหิต พร้อมกับเครื่องใช้ของสถานนมัสการ และมีแตรปลุกอยู่ในมือ
7 เขาทำสงครามต่อสู้คนมีเดียน ดังที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสและได้ฆ่าผู้ชายเสียทุกคน
8 เขาได้ประหารชีวิตบรรดากษัตริย์คนมีเดียนพร้อมกับคน อื่นที่เขาฆ่าเสีย มีเอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์และเรบากษัตริย์ทั้งห้าแห่งคนมีเดียน และได้ประหารชีวิตบาลาอัมบุตรเบโอร์เสียด้วยดาบ
9 และคนอิสราเอลได้จับสตรีชาวมีเดียนมาเป็นเชลย พร้อมกับพวกเด็กเล็กทั้งหลาย และกวาดเอาฝูงวัว ฝูงแพะแกะและข้าวของ ทั้งปวงไปสิ้น เป็นทรัพย์ที่ปล้นได้
10 และเอาไฟเผาเมืองที่อาศัยของเขา และเผาค่ายทั้งสิ้นของเขาเสียด้วย
11 แล้วเก็บบรรดาของที่ริบได้ และทรัพย์ที่ปล้นได้ทั้งคนและสัตว์ไปเสียสิ้น
12 แล้วเขานำเชลยและทรัพย์สินที่ปล้นได้ กับของที่ริบได้ทั้งหมดมายังโมเสส และเอเลอาซาร์ปุโรหิต และชุมนุมชนอิสราเอลที่ค่าย ณทุ่งโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค
13 โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิต และบรรดาประมุขแห่งคนอิสราเอลออกไปต้อนรับเขานอกค่าย
14 และโมเสสโกรธพวกนายทหาร คือนายพันและนายร้อยผู้กลับจากการทำสงคราม
15 โมเสสพูดกับเขาทั้งหลายว่า "ท่านทั้งหลายได้ไว้ชีวิตพวกผู้หญิงทั้งหมดหรือ
16 ดูเถิด โดยคำปรึกษาของบาลาอัม หญิงเหล่านี้ได้กระทำให้คนอิสราเอลหลงกระทำผิด ต่อพระเจ้าในเรื่องเปโอร์ และภัยพิบัติจึงได้เกิดขึ้นท่ามกลางชุมนุมชนของพระเจ้า
17 เพราะฉะนั้นจงประหารชีวิตเด็กผู้ชายเล็กเสียทุกคน และประหารชีวิตผู้หญิงซึ่งได้ร่วมกับผู้ชายเสียทุกคน
18 แต่จงไว้ชีวิตเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้ร่วมกับผู้ชาย ไว้สำหรับท่านทั้งหลายเอง
19 จงอยู่ภายนอกค่ายเจ็ดวัน ท่านผู้ใดที่ได้ฆ่าคน และท่านผู้ใดที่ได้แตะต้องผู้ที่ถูกฆ่า จงชำระตัวและเชลยของตัว ในวันที่สามและวันที่เจ็ด
20 ท่านต้องชำระเครื่องแต่งกายทุกชิ้น เครื่องหนังสัตว์ทุกชิ้น และเครื่องขนแพะทั้งหมด และเครื่องที่ทำด้วยไม้ทุกชิ้น"
21 และเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้กล่าวแก่ทหารผู้ ออกไปทำสงครามว่า "นี่เป็นกฎพระธรรมซึ่งพระเจ้าได้บัญชาโมเสส
22 เฉพาะทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ดีบุก และตะกั่ว
23 ทุกสิ่งที่ทนไฟได้ เจ้าทั้งหลายจงลวกเสียด้วยไฟ แล้วจะสะอาด อย่างไรก็ดีต้องเอาน้ำล้างมลทินชำระด้วย และสิ่งใดที่ทนไฟไม่ได้ท่านต้องให้ผ่านน้ำ
24 ท่านต้องซักเสื้อผ้าของท่านในวันที่เจ็ด และท่านจะสะอาด ภายหลังท่านจึงจะเข้ามาในค่ายได้"
25 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
26 "เจ้าและเอเลอาซาร์ปุโรหิต กับหัวหน้าบรรดาตระกูลของชุมนุมชน จงนับสิ่งของที่ได้มา ทั้งคนและสัตว์
27 และแบ่งสิ่งของเหล่านั้นออกเป็นสองส่วนให้ทหารผู้ออกไป ทำสงครามส่วนหนึ่งและให้ชุมนุมชนนี้อีกส่วนหนึ่ง
28 และจงชักส่วนหนึ่งจากทหารที่ออกไปทำสงครามเป็น ของถวายแด่พระเจ้า ห้าร้อยชักหนึ่ง ทั้งคนและวัว และลา และฝูงแพะแกะ
29 จงเอาจากกึ่งส่วนของเขา มอบให้แก่เอเลอาซาร์ปุโรหิตเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
30 และจากส่วนของคนอิสราเอลนั้น เจ้าจงนำห้าสิบชักหนึ่งจากคน ฝูงวัว ฝูงลาและฝูงแพะแกะ และสัตว์ทั้งหมด มอบให้แก่คนเลวี ผู้ดูแลพลับพลาของพระเจ้า"
31 และโมเสสกับเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้กระทำตามที่ พระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
32 บรรดาทรัพย์ที่ปล้นได้อันเหลือจากสิ่งที่ทหารริบมาได้นั้น คือ แกะหกแสนเจ็ดหมื่นห้าพันตัว
33 วัวเจ็ดหมื่นสองพันตัว
34 ลาหกหมื่นหนึ่งพันตัว
35 และคน คือ ผู้หญิงที่ยังไม่เคยนอนร่วมกับชายรวมกัน ทั้งหมดมีสามหมื่นสองพันคน
36 และในส่วนได้ของคนที่ออกไปทำสงคราม มีแกะสามแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยตัว
37 และส่วนแกะที่เป็นของพระเจ้ามีหกร้อยเจ็ดสิบห้าตัว
38 มีวัวสามหมื่นหกพันตัว วัวอันเป็นส่วนของพระเจ้าเจ็ดสิบสองตัว
39 มีลาสามหมื่นห้าร้อยตัวซึ่งเป็นส่วนของพระเจ้าหกสิบเอ็ดตัว
40 ส่วนคนนั้นมีหนึ่งหมื่นหกพันซึ่งเป็นส่วนของพระเจ้า สามสิบสองคน
41 โมเสสได้มอบส่วนที่ชักมาซึ่งเป็นของถวายแด่พระเจ้านั้น แก่เอเลอาซาร์ปุโรหิตตามที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้กับโมเสส
42 จากครึ่งส่วนของคนอิสราเอล ซึ่งโมเสสได้แบ่งมาจากส่วนที่ทหารไปทำสงครามได้มานั้น
43 ครึ่งส่วนของชุมนุมชน คือ แกะสามแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยตัว
44 วัวสามหมื่นหกพันตัว
45 ลาสามหมื่นห้าร้อยตัว
46 และคนหนึ่งหมื่นหกพันคน)
47 จากครึ่งส่วนของคนอิสราเอลนั้น โมเสสได้เอาส่วนห้าสิบ ชักหนึ่งทั้งคนและสัตว์มอบให้แก่คนเลวี ผู้ดูแลพลับพลาของพระเจ้า ดังที่พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้
48 แล้วนายทหารผู้บังคับกองพันทั้งปวง คือ นายพันนายร้อยได้เข้ามาใกล้โมเสส
49 และกล่าวแก่โมเสสว่า "คนใช้ของท่านได้ตรวจนับทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ของข้าพเจ้าทั้งหลายแล้ว ไม่มีคนหายไปสักคนเดียว
50 และข้าพเจ้าทั้งหลายได้นำส่วนที่ถวายแด่พระเจ้า ซึ่งต่างคนต่างได้มา คือ สิ่งที่ทำด้วยทองคำ มีกำไลขาและสร้อยคอ แหวนตรา ตุ้มหู และกำไล เพื่อทำการลบมลทินบาปของพวกเราทั้งหลายต่อพระเจ้า"
51 โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตก็รับสิ่งของที่ ทำด้วยทองคำจากเขา
52 และทองคำทั้งสิ้นซึ่งเขาได้ถวายแด่พระเจ้า จากนายพันและนายร้อย มีน้ำหนักหนึ่งหมื่นหกพันเจ็ดร้อยห้าสิบเชเขล
53 (ทหารเหล่านั้นต่างคนต่างได้เก็บข้าวของของข้าศึกมา)
54 โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้รับทองคำจากนายพัน นายร้อย นำมาในเต็นท์นัดพบเป็นอนุสรณ์แก่คนอิสราเอลต่อพระเจ้า
กันดารวิถี 32
1 เผ่าพันธุ์รูเบนและเผ่าพันธุ์กาดมีฝูงวัวเป็นอันมาก เขาได้เห็นแผ่นดินยาเซอร์ และแผ่นดินกิเลอาด ดูเถิด ที่นั่นเป็นที่เหมาะแก่ฝูงสัตว์
2 ดังนั้นเผ่าพันธุ์ของกาดและเผ่าพันธุ์ของรูเบนจึงมาหาโมเสส และเอเลอาซาร์ปุโรหิตและประมุขของชุมนุมชนกล่าวว่า
3 "อาทาโรท ดีโบน ยาเซอร์ นิมราห์ เฮชโบน เอเลอาเลห์ เสบาม เนโบ และเบโอน
4 เป็นแผ่นดินซึ่งพระเจ้าทรงทำลายต่อหน้าคนอิสราเอล เป็นแผ่นดินเหมาะกับฝูงสัตว์ และข้าพเจ้าทั้งหลายคนใช้ของท่านมีฝูงวัว"
5 และเขาทั้งหลายกล่าวว่า "ถ้าข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นที่ชอบต่อท่าน ขอมอบแผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์แก่คนใช้ของท่าน ขออย่าพาข้าพเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเลย"
6 แต่โมเสสพูดกับเผ่าพันธุ์ของกาดและเผ่าพันธุ์ของรูเบนว่า "ควรให้พี่น้องของท่านไปทำสงคราม ฝ่ายพวกท่านจะยับยั้งอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ
7 ทำไมท่านทั้งหลายกระทำให้จิตใจของ คนอิสราเอลท้อถอย ที่จะยกข้ามไปยังแผ่นดินซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่เขา
8 บิดาของท่านทั้งหลายได้กระทำเช่นนี้ เมื่อเราใช้เขาไปจากคาเดชบารเนียให้สอดแนมดูแผ่นดินนั้น
9 เมื่อเขาขึ้นไปยังหุบเขาเอชโคล์ และได้เห็นแผ่นดินนั้นแล้ว เขาก็กระทำให้จิตใจคนอิสราเอลท้อถอย ที่จะยกเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าได้ประทานแก่ เขา
10 ในวันนั้นพระเจ้าทรงกริ้วเขานัก พระองค์ทรงตั้งสัตย์สาบานไว้ว่า
11 'แน่ทีเดียวที่ทุกคนซึ่งยก ออกจากอียิปต์อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป จะมิได้เห็นแผ่นดินซึ่งเราได้ตั้งสัตย์ สาบานที่จะมอบให้อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะเขาทั้งหลายมิได้ตามเราด้วยใจจริง
12 เว้นแต่คาเลบบุตรเยฟุนเนห์คนเคนัส และโยชูวาบุตรนูน เพราะว่าเขาทั้งสองตามพระเจ้าด้วยใจจริง'
13 และพระเจ้าทรงกริ้วต่ออิสราเอล พระองค์จึงทรงให้เขาเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี จนชาติพันธุ์ที่กระทำผิดต่อพระเจ้าตายเสียสิ้น
14 และดูเถิด ท่านได้เติบโตขึ้นมาแทนบิดาของท่าน เป็นพันธุ์คนบาปที่จะทวีพระพิโรธของพระเจ้าต่อ อิสราเอลให้มากยิ่งขึ้น
15 เพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายหันจากการตามพระองค์ พระองค์จะทรงทอดทิ้งเขาทั้งหลายในถิ่นทุรกันดารอีก และท่านทั้งหลายจะทำลายชนชาตินี้เสีย"
16 แล้วเขาทั้งหลายเข้ามาใกล้ท่านกล่าวว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายจะสร้างคอกสำหรับฝูงแพะแกะที่นี่ และสร้างเมืองสำหรับลูกเด็กเล็กๆทั้งหลาย
17 แต่เราทั้งหลายจะถืออาวุธพร้อมที่ จะไปข้างหน้าคนอิสราเอล จนกว่าเราทั้งหลายจะนำเขาไปถึงที่ของเขา เด็กเล็กของเราจะได้อยู่ในเมืองที่มีกำแพง ล้อมรอบเพราะกลัวชาวแผ่นดินนี้
18 เราทั้งหลายจะไม่ยอมกลับบ้านจน กว่าคนอิสราเอลจะได้รับมรดกของเขาทุกคน
19 เพราะเราจะมิได้รับมรดกกับเขาที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนและนอกออกไป เพราะว่ามรดกที่ตกทอดมาถึงเราอยู่ ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออกนี้"
20 โมเสสจึงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "ถ้าท่านทั้งหลายจะหยิบอาวุธขึ้นเข้า สู่สงครามต่อพระพักตร์พระเจ้า
21 และคนของท่านที่ถืออาวุธทุกคนจะข้ามแม่น้ำ จอร์แดนไปต่อพระพักตร์พระเจ้า จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูให้พ้นพระองค์
22 และแผ่นดินนั้นจะพ่ายแพ้ต่อพระพักตร์พระเจ้าแล้ว ภายหลังท่านจึงจะกลับและพ้นจากพันธะที่มีต่อพระเจ้า และอิสราเอล และแผ่นดินนี้จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านต่อพระพักตร์พระเจ้า
23 แต่ถ้าท่านทั้งหลายมิได้กระทำเช่นนี้ ดูเถิด ท่านทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระเจ้า จงรู้แน่เถิดว่า บาปของท่านก็ตามทัน
24 จงสร้างเมืองสำหรับเด็กเล็กๆทั้งหลายของท่าน และสร้างคอกสำหรับแพะแกะของท่าน และกระทำตามที่ท่านสัญญาไว้"
25 และเผ่าพันธุ์ของกาดกับเผ่าพันธุ์ของรูเบนกล่าวแก่ โมเสสว่า "คนใช้ของท่านจะกระทำดังที่เจ้านายของข้าพเจ้าบัญชา
26 เด็กเล็กๆทั้งหลาย ภรรยาทั้งหลาย ฝูงสัตว์และสัตว์ใช้ทั้งหมดของเราจะอยู่ที่นี่ในเมืองกิเลอาด
27 แต่คนใช้ของท่านทุกคนผู้มีอาวุธทำสงครามจะข้ามไป เพื่อสู้รบต่อพระพักตร์พระเจ้า ดังที่เจ้านายของข้าพเจ้าสั่ง"
28 เกี่ยวกับเรื่องเขาทั้งหลายนี้ โมเสสจึงออกคำสั่งแก่เอเลอาซาร์ ปุโรหิตและแก่โยชูวาบุตรนูน และแก่หัวหน้าตระกูลของเผ่าคนอิสราเอล
29 และโมเสสกล่าวแก่เขาว่า "ถ้าเผ่าพันธุ์กาดและเผ่าพันธุ์รูเบน ทุกคนผู้มีอาวุธที่จะทำสงครามต่อพระพักตร์พระเจ้า จะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปพร้อมกับท่านทั้งหลาย และแผ่นดินนั้นจะพ่ายแพ้ต่อหน้าท่านแล้ว ท่านจงมอบแผ่นดินกิเลอาดให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่เขา
30 แต่ถ้าเขาไม่ถืออาวุธข้ามไปกับท่าน เขาจะต้องได้ส่วนแผ่นดินคานาอันร่วมกับท่านเป็นกรรมสิทธิ์"
31 เผ่าพันธุ์กาดกับเผ่าพันธุ์รูเบนตอบว่า "พระเจ้าตรัสกับคนใช้ของท่านอย่างไร เราทั้งหลายจะกระทำอย่างนั้น
32 เราจะถืออาวุธข้ามไปต่อพระพักตร์พระเจ้า สู่แผ่นดินคานาอัน และที่ดินมรดกของเรานั้นจะคงอยู่ฟาก ตะวันออก ของแม่น้ำจอร์แดน"
33 โมเสสได้มอบดินแดนเหล่านี้แก่เผ่าพันธุ์กาด และแก่เผ่าพันธุ์รูเบนและแก่ครึ่งหนึ่งของเผ่า มนัสเสห์บุตรโยเซฟ คืออาณาจักรของกษัตริย์สิโหนคนอาโมไรต์ และอาณาจักรของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน ทั้งแผ่นดินและหัวเมืองตลอดพรมแดน คือหัวเมืองใหญ่ในแผ่นดินนี้ตลอดประเทศ
34 และเผ่าพันธุ์ของกาดก็สร้างเมืองดีโบน อาทาโรท อาโรเออร์
35 อัทโรทโชฟาน ยาเซอร์ โยกเบฮาห์
36 เบธนิมราห์ และเบธฮาราน ให้เป็นเมืองมีกำแพงล้อมรอบ และสร้างคอกให้แกะ
37 และเผ่าพันธุ์ของรูเบนก็สร้างเมืองเฮชโบน เอเลอาเลห์ คีริยาธาอิม
38 เนโบ และบาอัลเมโอน (ชื่อเหล่านี้ต้องเปลี่ยนใหม่) และสิบมาห์และตั้งชื่อให้แก่เมืองที่เขาสร้างขึ้นนั้น
39 และเผ่าพันธุ์มาคีร์บุตรมนัสเสห์เข้าไปยึดเมืองกิเลอาด และขับไล่พวกอาโมไรต์ซึ่งอยู่ในเมืองนั้น
40 และโมเสสยกกิเลอาดให้แก่มาคีร์บุตรมนัสเสห์ และเขาก็เข้าตั้งอยู่ในเมืองนั้น
41 และยาอีร์บุตรมนัสเสห์ยกไปยึดชนบทของเขาเหล่านั้น และเรียกชื่อว่าฮาวโวทยาอีร์
42 และโนบาห์ไปยึดเคนาทและชนบทของเมืองนี้ และเรียกว่าเมืองโนบาห์ตามชื่อของเขา
กันดารวิถี 33
1 ต่อไปนี้เป็นเรื่องระยะทางเดินของคนอิสราเอล เมื่อเขาออกเดินจากแผ่นดินอียิปต์เป็น หมวดหมู่ภายใต้การนำของโมเสสและอาโรน
2 โมเสสได้จดสถานที่ที่เขาออกเดิน ทีละระยะๆ ตามพระบัญชาของพระเจ้า ต่อไปนี้เป็นระยะตามสถานที่ที่เขาออกเดิน
3 เขายกเดินจากราเมเสสในเดือนต้น ในวันที่สิบห้าของเดือนต้นนั้น ถัดวันปัสกาไปวันหนึ่งคนอิสราเอลออกเดินอย่างมีชัย ต่อหน้าต่อตาบรรดาชาวอียิปต์ทั้งสิ้น
4 ขณะนั้นชาวอียิปต์กำลังฝังศพลูกหัวปีทั้งหลายของตน เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประหารชีวิต พระเจ้าทรงลงโทษพระทั้งหลายของเขาด้วย
5 ดังนั้นคนอิสราเอลจึงยกเดินจากราเมเสส และตั้งค่ายที่สุคคท
6 และยกเดินจากสุคคท และตั้งค่ายที่เอธามซึ่งอยู่ชายถิ่นทุรกันดาร
7 และเขาทั้งหลายยกเดินจากเอธาม หันกลับไปยังปีหะหิโรท ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของบาอัลเซโฟน และเขาตั้งค่ายที่หน้าเมืองมิกดล
8 และเขาทั้งหลายยกเดินจากหน้าเมืองหะหิโรท ข้ามกลางทะเลเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร และเขาทั้งหลายเดินในถิ่นทุรกันดารเอธามระยะทางสามวัน และมาตั้งค่ายที่มาราห์
9 และเขายกเดินจากมาราห์มาถึงเอลิม ที่เอลิมมีน้ำพุสิบสองแห่งและต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น และเขาตั้งค่ายที่นั่น
10 เขายกเดินจากเอลิมมาตั้งค่ายที่ทะเลแดง
11 และยกเดินจากทะเลแดงมาตั้งค่ายอยู่ในถิ่นทุรกันดารสีน
12 และเขายกเดินจากถิ่นทุรกันดารสีนมาตั้งค่ายที่โดฟคาห์
13 และเขายกเดินจากโดฟคาห์และตั้งค่ายที่อาลูช
14 และเขายกเดินจากอาลูชและตั้งค่ายที่เรฟีดิม ที่นั่นไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม
15 และเขายกเดินจากเรฟีดิมและตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารซีนาย
16 และเขายกเดินจากถิ่นทุรกันดารซีนายมาตั้งค่ายที่ ขิบโรทหัทธาอาวาห์
17 และเขาออกเดินจากขิบโรทหัทธาอาวาห์มาตั้ง ค่ายที่ฮาเซโรท
18 และเขายกเดินจากฮาเซโรท และตั้งค่ายที่ริทมาห์
19 และเขายกเดินจากริทมาห์ และตั้งค่ายที่ริมโมนเปเรศ
20 และเขายกเดินจากริมโมนเปเรศ และตั้งค่ายที่ลิบนาห์
21 และเขายกเดินจากลิบนาห์ และตั้งค่ายที่ริสสาห์
22 และเขายกเดินจากริสสาห์ และตั้งค่ายที่เคเฮลาธาห์
23 และเขายกเดินจากเคเฮลาธาห์และตั้งค่ายที่ภูเขา เชเฟอร์
24 และเขายกเดินจากภูเขาเชเฟอร์ และตั้งค่ายที่ฮาราดาห์
25 และเขายกเดินจากฮาราดาห์ และตั้งค่ายที่มักเฮโลท
26 และเขายกเดินจากมักเฮโลท และตั้งค่ายที่ทาหัท
27 และเขายกเดินจากทาหัท และตั้งค่ายที่เทราห์
28 และเขายกเดินจากเทราห์ และตั้งค่ายที่มิทคาห์
29 และเขายกเดินจากมิทคาห์ และตั้งค่ายที่ฮัชโมนาห์
30 และเขายกเดินจากฮัชโมนาห์ และตั้งค่ายที่โมเสโรท
31 และเขายกเดินจากโมเสโรท และตั้งค่ายที่ เบเนยาอะคัน
32 และเขายกเดินจากเบเนยาอะคัน และตั้งค่ายที่โฮร์ฮักกีดกาด
33 และเขายกเดินจากโฮร์ฮักกีดกาด และตั้งค่ายที่โยทบาธาห์
34 และเขายกเดินจากโยทบาธาห์ และตั้งค่ายที่อับโรนาห์
35 และเขายกเดินจากอับโรนาห์ และตั้งค่ายที่เอซีโอนเกเบอร์
36 และเขายกเดินจากเอซีโอนเกเบอร์ และตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารศิน (คือคาเดช)
37 และยกเดินจากคาเดช และตั้งค่ายที่ภูเขาโฮร์ ริมแผ่นดินเอโดม
38 และอาโรนปุโรหิตได้ขึ้นบนภูเขาโฮร์ตามพระบัญชาของ พระเจ้าและสิ้นชีวิตที่นั่น ในวันที่หนึ่งเดือนที่ห้า ปีที่สี่สิบนับตั้งแต่วันที่คนอิสราเอลยกออกจากอียิปต์
39 เมื่ออาโรนสิ้นชีวิตที่ภูเขาโฮร์นั้น มีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบสามปี
40 และกษัตริย์เมืองอาราด ชาวคานาอัน ผู้ที่อยู่ในเนเกบในแผ่นดินคานาอัน ได้ยินข่าวว่าคนอิสราเอลยกมา
41 และเขายกเดินจากภูเขาโฮร์และตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์
42 และเขายกเดินจากศัลโมนาห์ และตั้งค่ายที่ปูโนน
43 และเขายกเดินจากปูโนน และตั้งค่ายที่โอโบท
44 และเขายกเดินจากโอโบท มาตั้งค่ายที่อิเยอาบาริม ในดินแดนโมอับ
45 และเขาออกเดินจากไอยิม และตั้งค่ายที่ดีโบนกาด
46 และเขายกเดินจากดีโบนกาดและตั้งค่ายที่ อัลโมนดิบลาธาอิม
47 และเขายกเดินจากอัลโมนดิบลาธาอิม และตั้งค่ายในภูเขาอาบาริมหน้าเนโบ
48 และเขายกเดินจากภูเขาอาบาริม และตั้งค่าย ณทุ่งแห่งโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค
49 เขาตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนตั้งแต่เบธเยชิโมท ไกลไปจนถึงอาเบลชิทธิม ณทุ่งแห่งโมอับ
50 และพระเจ้าตรัสกับโมเสส ณทุ่งแห่งโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโคว่า
51 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน
52 เจ้าจงขับไล่ชาวเมืองนั้นออกเสียทั้งหมด และทำลายศิลารูปแกะสลักของเขาเสียให้สิ้น และทำลายรูปเคารพที่หล่อของเขาเสียให้สิ้น และทำลายบรรดาปูชนียสถานสูงของเขาเสีย
53 และเจ้าจงยึดครองแผ่นดินนั้น และเข้าไปตั้งอยู่ในนั้น เพราะเราได้ให้แผ่นดินนั้น ให้เจ้าถือกรรมสิทธิ์
54 เจ้าทั้งหลายจงจับฉลากมรดกที่ดินนั้นตามตระกูลของเจ้า เผ่าที่ใหญ่เจ้าจงให้มรดกส่วนใหญ่ เผ่าที่ย่อมเจ้าจงให้มรดกส่วนน้อย ดินผืนใดที่ฉลากตกแก่คนใด ก็เป็นของคนนั้น เจ้าจงรับมรดกตามเผ่าของบรรพบุรุษของเจ้า
55 ถ้าเจ้าทั้งหลายมิได้ขับไล่ชาวเมืองนั้นออกเสีย ผู้ที่เจ้าให้เหลืออยู่นั้นก็จะเป็นอย่างเสี้ยนในนัยน์ตาของเจ้า และเป็นอย่างหนามอยู่ที่สีข้างของเจ้า และเขาทั้งหลายจะรบกวนเจ้าในแผ่นดิน ที่เจ้าเข้าอาศัยอยู่นั้น
56 และเราจะกระทำแก่เจ้าทั้งหลาย ดังที่เราคิดจะกระทำแก่เขาทั้งหลายนั้น"
กันดารวิถี 34
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
2 "จงบัญชาคนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน (อันเป็นแผ่นดินที่เราให้แก่เจ้าเป็นมรดก คือแผ่นดินคานาอันตามเขตพรมแดนทั้งหมด) นั้น
3 เขตด้านใต้ของเจ้านับจากถิ่นทุรกันดารศินตามด้านเอโดม และอาณาเขตด้านใต้ของเจ้านั้น นับจากปลายทะเลเกลือทางด้านตะวันออก
4 และอาณาเขตของเจ้าจะเลี้ยวไปทางใต้เนินสูงอาครับบิม ข้ามไปยังถิ่นทุรกันดารศิน ไปสุดลงที่ด้านใต้คาเดชบารเนีย เรื่อยไปถึงฮาซารัดดาร์ ผ่านเรื่อยไปถึงอัสโมน
5 และอาณาเขตจะเลี้ยวจากอัสโมนถึงลำธารอียิปต์ไป สิ้นสุดลงที่ทะเล
6 "อาณาเขตตะวันตกเจ้าจะได้ทะเลใหญ่และฝั่งทะเลนั้น นี่จะเป็นเขตด้านตะวันตกของเจ้า
7 "ต่อไปนี้เป็นอาณาเขตด้านเหนือของเจ้า คือจากทะเลใหญ่ เจ้าจงทำเครื่องหมายเรื่อยไปถึงภูเขาโฮร์
8 จากภูเขาโฮร์เจ้าจงทำเครื่องหมายเรื่อยไป จนถึงทางเข้าเมืองฮามัท และปลายสุดของอาณาเขตด้านนี้คือเศดัด
9 แล้วอาณาเขตจะยื่นไปถึงศิโฟรน ไปสิ้นสุดที่ฮาซาเรนัน นี่เป็นอาณาเขตด้านเหนือของเจ้า
10 "เจ้าจงทำเครื่องหมายอาณาเขตด้านตะวันออกของเจ้า จากฮาซาเรนันถึงเชฟาม
11 และอาณาเขตจะลงมาจากเชฟามถึงริบลาห์ข้าง ตะวันออกของเมืองอายิน และอาณาเขตจะลงมาถึงไหล่ทะเลคินเนเรท ทางด้านตะวันออก
12 และอาณาเขตจะลงมาถึงแม่น้ำจอร์แดน สุดลงที่ทะเลเกลือ นี่เป็นแผ่นดินของเจ้าตามอาณาเขตโดยรอบ"
13 โมเสสบัญชาคนอิสราเอลกล่าวว่า "นี่เป็นแผ่นดินที่เจ้าทั้งหลายจะได้จับฉลากรับเป็นมรดก ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาว่า ให้ยกให้แก่ทั้งเก้าเผ่ากับอีกครึ่งเผ่า
14 เพราะว่าเผ่าคนรูเบนตามตระกูล และเผ่าคนกาดตามตระกูลได้รับมรดกของเขาแล้ว คนครึ่งเผ่ามนัสเสห์ก็ได้รับแล้วด้วย
15 ทั้งสองเผ่าและครึ่งเผ่านั้นได้รับมรดกของเขาที่ ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ที่เมืองเยรีโคด้านตะวันออกทางดวงอาทิตย์ ขึ้น"
16 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
17 "ต่อไปนี้เป็นชื่อบุคคลที่จะแบ่งดินแดนแก่ เจ้าทั้งหลายให้เป็นมรดก คือเอเลอาซาร์ปุโรหิต และโยชูวาบุตรนูน
18 ท่านจงนำประมุขของคนทุกเผ่าไปแบ่งดินแดนเพื่อเป็นมรดก
19 ต่อไปนี้เป็นชื่อของประมุขเหล่านั้น คาเลบบุตรเยฟุนเนห์จากเผ่ายูดาห์
20 เชมูเอลบุตรอัมมีฮูดจากคนเผ่าสิเมโอน
21 เอลีดาดบุตรคิสโลน จากเผ่าเบนยามิน
22 จากคนเผ่าดานมีประมุขคนหนึ่ง ชื่อบุคคีบุตรโยกลี
23 จากพงศ์พันธุ์ของโยเซฟ จากเผ่าคนมนัสเสห์มีประมุขชื่อ ฮันนีเอลบุตรเอโฟด
24 และจากเผ่าคนเอฟราอิมมีประมุขคนหนึ่ง ชื่อเคมูเอลบุตรชิฟทาน
25 จากเผ่าคนเศบูลุนมีประมุขคนหนึ่งชื่อ เอลีซาฟานบุตรปารนาค
26 จากเผ่าคนอิสสาคาร์ มีประมุขคนหนึ่งชื่อปัลทีเอลบุตรอัสซาน
27 และจากเผ่าคนอาเชอร์มีประมุขคนหนึ่ง ชื่ออาหิฮูดบุตรเชโลมี
28 จากเผ่าชนนัฟทาลีมีประมุขคนหนึ่งชื่อเปดาเฮล บุตรอัมมีฮูด"
29 บุคคลเหล่านี้เป็นคนที่พระเจ้าทรงบัญชาให้แบ่ง มรดกให้คนอิสราเอลในแผ่นดินคานาอัน
กันดารวิถี 35
1 พระเจ้าตรัสกับโมเสส ณทุ่งราบแห่งโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโคว่า
2 "จงบัญชาคนอิสราเอล ให้เขายกเมืองให้คนเลวีได้อาศัยอยู่ จากมรดกที่เขาได้รับนั้นบ้าง และยกทุ่งหญ้ารอบๆเมืองนั้นให้เขาด้วย
3 ให้เมืองนั้นเป็นของเขาเพื่อจะได้อาศัยอยู่ ให้ทุ่งหญ้าเพื่อฝูงสัตว์และฝูงปศุสัตว์และสัตว์ทั้งสิ้นของเขา
4 ทุ่งหญ้าของเมืองที่เจ้ายกให้แก่คนเลวีนั้น ให้มีเขตจากกำแพงเมืองและห่างออกไปหนึ่งพันศอกโดยรอบ
5 และเจ้าจงวัดภายนอกเมืองสองพันศอกเป็นด้านตะวันออก สองพันศอกเป็นด้านใต้ สองพันศอกเป็นด้านตะวันตก สองพันศอกเป็นด้านเหนือ ให้ตัวเมืองอยู่กลาง นี่เป็นทุ่งหญ้าประจำเมืองเหล่านั้น
6 เมืองซึ่งเจ้าจะยกให้แก่คนเลวี คือเมืองลี้ภัยหกเมือง ซึ่งเจ้าจะอนุญาตให้คนฆ่าคนหนีไปอยู่ และเจ้าจงเพิ่มให้เขาอีกสี่สิบสองเมือง
7 เมืองทั้งหมดที่เจ้ายกให้คนเลวีเป็นสี่สิบแปดหัวเมือง มีทุ่งหญ้าตามเมืองด้วย
8 และหัวเมืองที่เจ้าจะให้เขาจากกรรมสิทธิ์ของคนอิสราเอลนั้น จากเผ่าใหญ่เจ้าก็เอาเมืองมากหน่อย จากเผ่าย่อมเจ้าก็เอาเมืองน้อยหน่อย ทุกเผ่าตามส่วนของมรดกซึ่งเขาได้รับ ให้ยกให้แก่คนเลวี"
9 พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า
10 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าในแผ่นดินคานาอัน
11 เจ้าจงเลือกเมืองให้เป็นเมืองลี้ภัย สำหรับเจ้า เพื่อคนที่ได้ฆ่าคนด้วยมิได้เจตนาจะหลบหนีไปอยู่ที่นั่น ก็ได้
12 ให้เมืองเหล่านั้นเป็นเมืองลี้ภัยจากผู้ที่อาฆาต เพื่อมิให้คนฆ่าคนจะต้องตายก่อนที่เขาจะยืนต่อหน้า ชุมนุมชนเพื่อรับการพิพากษา
13 และเมืองที่เจ้ายกไว้นั้นให้เป็นเมืองลี้ภัยหกเมือง
14 เจ้าจงให้ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนสามเมือง และอีกสามเมืองในแผ่นดินคานาอัน ให้เป็นเมืองลี้ภัย
15 ทั้งหกเมืองนี้ให้เป็นเมืองลี้ภัยของคนอิสราเอล และสำหรับคนต่างด้าวและสำหรับคนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเขา เพื่อคนหนึ่งคนใดที่ได้ฆ่าเขาโดยมิได้เจตนาจะได้ หลบหนีไปที่นั่น
16 "ถ้าผู้ใดตีเขาด้วยเครื่องมือเหล็กจนคนนั้นถึงตาย ผู้นั้นเป็นคนฆ่าคนให้ประหารชีวิตคนฆ่าคนนั้นเสีย
17 ผู้ใดทุบเขาให้ล้มลงด้วยก้อนหินในมือขนาดฆ่าคนได้ และเขาถึงตาย ผู้นั้นเป็นคนฆ่าคน ให้ประหารชีวิตคนฆ่าคนนั้นเสีย
18 หรือผู้ใดใช้อาวุธ ไม้ที่อยู่ในมือขนาดฆ่าคนได้ตีเขาล้มลงและคนนั้นถึงตาย ผู้นั้นเป็นคนฆ่าคน ให้ประหารชีวิตคนฆ่าคนนั้นเสีย
19 ให้ผู้อาฆาตเองเป็นผู้ประหารชีวิตคนฆ่าคนนั้น ถ้าผู้อาฆาตพบเขาเมื่อใดก็ให้ประหารชีวิตเสีย
20 ถ้าผู้ใดแทงเขาด้วยความเกลียดชัง หรือซุ่มคอยขว้างเขาจนเขาตาย
21 หรือเพราะเป็นศัตรูกันชกเขาล้มลงจนเขาตาย ให้ประหารชีวิตผู้ที่ทำให้เขาตายนั้นเสีย เขาเป็นคนฆ่าคน เมื่อผู้อาฆาตพบเขาเมื่อใด ก็ให้ประหารชีวิตเขาเสีย
22 "ถ้าผู้ใด โดยมิได้เป็นศัตรูกันแทงเขาทันที หรือเอาอะไรขว้างเขาโดยมิได้คอยซุ่มดักอยู่
23 หรือใช้ก้อนหินขนาดฆ่าคนได้ขว้างถูกเขา เข้าโดยมิได้เห็น และเขาถึงตาย และเขามิได้เป็นศัตรู และมิได้มุ่งทำร้ายเขา
24 ก็ให้ชุมนุมชนตัดสินความระหว่างผู้ฆ่าและ ผู้อาฆาตตามกฎหมายนี้
25 ให้ชุมนุมชนช่วยผู้ฆ่าให้พ้นจากมือผู้อาฆาต ให้ชุมนุมชนพาตัวเขากลับไปถึงเมืองลี้ภัย ซึ่งเขาได้หนีไปอยู่นั้น ให้เขาอยู่ที่นั่นจนกว่าปุโรหิตใหญ่ผู้ได้ ถูกเจิมไว้ด้วยน้ำมันบริสุทธิ์ถึงแก่ความตาย
26 ถ้าผู้ฆ่าคนออกไปพ้นเขตเมืองลี้ภัย ซึ่งเขาหนีเข้าไปอยู่ในเวลาใด
27 และผู้อาฆาตพบเขานอกเขตเมืองลี้ภัย และผู้อาฆาตได้ฆ่าผู้ฆ่าคนนั้นเสีย ผู้อาฆาตไม่มีความผิด
28 เพราะว่าชายผู้นั้นต้องอยู่ในเขตเมืองลี้ภัย จนปุโรหิตใหญ่ถึงแก่ความตาย ภายหลังเมื่อปุโรหิตใหญ่ถึงแก่ความตายแล้ว ผู้ฆ่าคนนั้นจะกลับไปยังแผ่นดินที่เขาถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ได้
29 "สิ่งเหล่านี้ควรเป็นกฎพระธรรมของเจ้าตลอด ชั่วชาติพันธุ์ของเจ้าในที่ที่เจ้าอาศัยอยู่
30 ผู้ใดฆ่าเขาตายให้ประหารชีวิตผู้ ฆ่าคนนั้นเสียตามปากของพยาน แต่อย่าประหารชีวิตผู้ใดด้วยมีพยานปากเดียว
31 ยิ่งกว่านั้นอีก เจ้าอย่ารับค่าไถ่ชีวิตของผู้ฆ่าคนผู้มีความผิดถึงตายนั้น แต่เขาต้องตายแน่
32 และเจ้าอย่ารับค่าไถ่คนที่หลบหนีไปยังเมืองลี้ภัย เพื่อให้กลับมาอยู่ในแผ่นดินของเขา ก่อนที่ปุโรหิตใหญ่สิ้นชีวิต
33 ดังนั้นเจ้าจึงไม่กระทำให้แผ่นดิน ที่เจ้าทั้งหลายอาศัยอยู่มีมลทิน เพราะว่าโลหิตทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และไม่มีสิ่งใดที่จะชำระแผ่นดิน ให้หมดมลทินที่เกิดขึ้นเพราะโลหิตตกในแผ่นดินนั้นได้ นอกจากโลหิตของผู้ที่ทำให้โลหิตตก
34 เจ้าอย่ากระทำให้เกิดมลทินในแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ ที่เราอยู่ท่ามกลาง เพราะว่าเราคือพระเจ้าอยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล"
กันดารวิถี 36
1 หัวหน้าครอบครัวแห่งตระกูลคนกิเลอาด บุตรของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรของมนัสเสห์ ตระกูลพงศ์พันธุ์โยเซฟ เข้ามาใกล้และพูดต่อโมเสสและต่อประมุข คือบรรดาหัวหน้าตระกูลคนอิสราเอล
2 เขาพูดว่า "พระเจ้าได้บัญชาเจ้านายของข้าพเจ้าให้ จับฉลากยกแผ่นดินให้เป็นมรดกแก่คนอิสราเอล และเจ้านายของข้าพเจ้าได้รับบัญชาจาก พระเจ้าให้ยกมรดกของเศโลเฟหัด พี่น้องของเราแก่บุตรีของเขา
3 ถ้าเธอทั้งหลายแต่งงานกับบุตรทั้งหลายของคน อิสราเอลเผ่าอื่นแล้ว ส่วนมรดกของเขาจะถูกยกไปจากมรดกของ บรรพบุรุษของเรา เพิ่มให้กับมรดกของคนเผ่าที่เธอไปอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นจึงเป็นการที่นำมรดกไปจากส่วนที่เป็นของเรา
4 และเมื่อถึงปีเสียงเขาสัตว์ของคนอิสราเอล มรดกที่เป็นส่วนของเธอก็จะถูกยกไปเพิ่ม เข้ากับส่วนของเผ่าที่เธอไปอยู่ด้วย จึงเป็นการที่นำส่วนมรดกของเธอ ไปจากส่วนมรดกของเผ่าบิดาของเรา"
5 และโมเสสบัญชาคนอิสราเอลตามพระดำรัสของพระเจ้าว่า "เผ่าคนโยเซฟพูดถูกต้องแล้ว
6 นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาเกี่ยวกับบุตรีของเศโลเฟหัด ซึ่งว่า 'จงให้เธอแต่งงานกับใครที่เธอพอใจ แต่เธอต้องแต่งงานกับคนภายในตระกูลเผ่าบิดาของเธอ
7 ดังนี้แหละส่วนมรดกของคนอิสราเอลจะไม่ถูกโยกย้าย จากเผ่าหนึ่งไปให้อีกเผ่าหนึ่ง คนอิสราเอลทุกคนต้องอยู่ในที่มรดกแห่งเผ่า บรรพบุรุษของตน
8 และบุตรีทุกคนผู้รับกรรมสิทธิ์มรดกในเผ่าคนอิสราเอล เผ่าใด ให้เป็นภรรยาของคนใดคนหนึ่งในตระกูลในเผ่าบิดาของตน เพื่อคนอิสราเอลทุกคนจะถือกรรมสิทธิ์มรดกของบิดาของเขา
9 ดังนั้นจะไม่มีมรดกที่ถูกโยกย้ายจากเผ่าหนึ่งไป ยังอีกเผ่าหนึ่ง เพราะว่าคนอิสราเอลแต่ละเผ่าควรคงอยู่ในที่ มรดกของตน'"
10 พระเจ้าทรงบัญชาโมเสสอย่างไร บุตรีทั้งหลายของเศโลเฟหัดก็กระทำอย่างนั้น
11 เพราะว่ามาลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์บุตรีของเศโลเฟหัดได้ แต่งงานกับบุตรทั้งหลายของพี่น้องแห่งบิดาของตน
12 เธอได้แต่งงานกับตระกูลมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ และส่วนมรดกของเธอก็คงอยู่ในเผ่าแห่งตระกูลบิดาของเธอ
13 ข้อความเหล่านี้เป็นบทบัญญัติและกฎหมาย ซึ่งพระเจ้าได้ทรงบัญชาทางโมเสสแก่คนอิสราเอล ณทุ่งราบแห่งโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค