Christian Siam

 

 

 

 

Christian Siam - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า

 
 :: สำหรับผู้สนใจพระเจ้า ::
Christian Siam คำถาม - คำตอบ
Christian Siam พระเยซูคือใคร
Christian Siam พระเยซูเกิดจริงหรือ?
Christian Siam เราเกิดมาทำไม
Christian Siam เราตายแล้วไปไหน
Christian Siam ทฤษฎีวิวัฒนาการ...จริง?
Christian Siam เป็นคริสเตียนได้อย่างไร
Christian Siam คำพยานชีวิต

Christian Siam
H O M E
:: สำหรับคริสเตียนใหม่ ::
:: สื่อคริสเตียนออนไลน์ ::
Christian Siam มานาประจำวัน
Christian Siam เพลงจาก Youtube
 

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN

         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN



๒พงศ์กษัตริย์

1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |

16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25

2พงศ์กษัตริย์ 1
1 เมื่ออาหับสิ้นพระชนม์แล้ว เมืองโมอับก็กบฏต่อคนอิสราเอล
2 ฝ่ายอาหัสยาห์ทรงตกลงมาจากช่องพระแกลตาข่ายที่ห้องชั้นบนของพระองค์ในกรุงสะมาเรีย และทรงประชวร จึงทรงใช้บรรดาผู้สื่อสารไป รับสั่งว่า "จงไปถามบาอัลเซบูบ พระเจ้าแห่งเอโครนว่าเราจะหายจากความเจ็บป่วยนี้หรือไม่"
3 แต่ทูตของพระเจ้าพูดกับเอลียาห์ชาวทิชบีว่า "จงลุกขึ้นไปพบบรรดาผู้สื่อสารของพระราชา แห่งสะมาเรีย และจงพูดกับเขาทั้งหลายว่า 'เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลแล้วหรือ ท่านจึงไปถามพระบาอัลเซบูบ พระเจ้าของเอโครน'
4 เพราะฉะนั้นพระเจ้าตรัสดั่งนี้ว่า 'เจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่'" แล้วเอลียาห์ก็ไป
5 ผู้สื่อสารนั้นก็กลับมาเฝ้าพระราชา พระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า "ทำไมพวกเจ้าจึงพากันกลับมา"
6 และเขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า "มีชายคนหนึ่งมาพบกับพวกข้าพระบาท และพูดกับพวกข้าพระบาทว่า 'จงกลับไปหาพระราชาผู้ใช้ท่านมา และทูลพระองค์ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลแล้วหรือ เจ้าจึงใช้คนไปถามพระบาอัลเซบูบพระเจ้าแห่งเอโครน เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่'"
7 พระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า "คนที่ได้มาพบเจ้าและบอกสิ่ง เหล่านี้แก่เจ้านั้นเป็นคนในลักษณะใด"
8 เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์ว่า "ท่านสวมเสื้อขนและมีหนังคาดเอวของท่านไว้" และพระองค์ตรัสว่า "เป็นเอลียาห์ชาวทิชบี"
9 แล้วพระราชาก็ รับสั่งให้นายห้าสิบกับทหารห้าสิบคนไปหาเอลียาห์ เขาได้ขึ้นไปหาท่าน ดูเถิด ท่านนั่งอยู่บนยอดภูเขาและนายห้าสิบกล่าวแก่ท่านว่า "ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า พระราชาตรัสดังนี้ว่า 'ลงมา'"
10 แต่เอลียาห์ตอบนายห้าสิบว่า "ถ้าข้าเป็นคนแห่งพระเจ้า ก็ขอให้ไฟลงมาจากฟ้า สวรรค์เผาผลาญเจ้าและคนทั้งห้าสิบของเจ้าเถิด" แล้วไฟก็ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และเผาผลาญเขากับคนทั้งห้าสิบของเขาเสีย
11 พระราชาก็รับสั่ง ให้นายห้าสิบกับทหารห้าสิบคนอีกพวกหนึ่งไป และเขาก็กล่าวแก่ท่านว่า "ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า พระราชาตรัสดังนี้ว่า 'ลงมาเร็วๆ'"
12 แต่เอลียาห์ตอบว่า "ถ้าข้าเป็นคนแห่งพระเจ้า ก็ขอให้ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์เผาผลาญ เจ้าและคนทั้งห้าสิบของเจ้าเถิด" และไฟของพระเจ้าลงมาจากฟ้าสวรรค์ และเผาผลาญเขากับคนทั้งห้าสิบของเขาเสีย
13 และพระราชารับสั่งให้นายห้าสิบคนที่สาม ไปพร้อมกับทหารห้าสิบคนของเขา และนายห้าสิบคนที่สามก็ขึ้นไป และคุกเข่า ลงต่อหน้าเอลียาห์ และวิงวอนท่านว่า "ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า ขอชีวิตของข้าพเจ้าและชีวิตของผู้รับใช้ ของท่านอีกห้าสิบคนนี้ ให้เป็นสิ่งประเสริฐในสายตาของท่าน
14 ดูเถิด ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์ และได้เผาผลาญนายห้าสิบทั้งสองคนก่อนนั้นเสีย พร้อมทั้งทหารห้าสิบคนของเขาด้วย แต่บัดนี้ขอให้ชีวิตของข้าพเจ้า
15 เป็นสิ่งประเสริฐในสายตาของท่าน" แล้วทูตของพระเจ้ากล่าวแก่เอลียาห์ว่า "จงลงไปกับเขาเถิด อย่ากลัวเขาเลย" ท่านก็ลุกขึ้นลงไปกับเขาเข้าเฝ้าพระราชา
16 และทูลพระองค์ว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เพราะเจ้าได้ส่งผู้สื่อสารไปยังบาอัลเซบูบพระเจ้าแห่ง เอโครน (เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลที่จะทูลถามพระวจนะของ พระองค์อย่างนั้นหรือ) เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่'"
17 ท่านก็สิ้นชีวิตตามพระวจนะ ของพระเจ้าซึ่งเอลียาห์กล่าวนั้น และเยโฮรัมก็ขึ้นครองแทน ในปีที่สองแห่งรัชกาลเยโฮรัม บุตรเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ เพราะอาหัสยาห์หามีโอรสไม่
18 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของอาหัสยาห์ ซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่ง พระราชาประเทศอิสราเอลหรือ

2พงศ์กษัตริย์ 2

1 และอยู่มาเมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าจะทรงรับเอลียาห์ ไปยังฟ้าสวรรค์ด้วยพายุ เอลียาห์และเอลีชากำลังเดินทางจากหมู่บ้านกิลกาล
2 และเอลียาห์พูดกับเอลีชาว่า "ขอท่านจงคอยอยู่ที่นี่เพราะพระเจ้า ทรงใช้ข้าพเจ้าไปไกลถึงเบธเอล" แต่เอลีชาว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่จากท่านไปฉันนั้น" ดังนั้นเขาทั้งสองก็ลงไปยังเบธเอล
3 และพวกผู้เผยพระวจนะผู้อยู่ในเบธเอลได้ออกมาหาเอลีชา และบอกท่านว่า "ท่านทราบไหมว่า วันนี้พระเจ้าจะทรงรับอาจารย์ของท่านไปจากเป็น หัวหน้าท่าน" ท่านตอบว่า "ครับ ข้าพเจ้าทราบแล้ว เงียบๆไว้"
4 เอลียาห์พูดกับท่านว่า "เอลีชา ขอท่านคอยอยู่ที่นี่เถิด เพราะพระเจ้าทรงใช้ข้าพเจ้าไปถึงเมืองเยรีโค" แต่ท่านตอบว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่จากท่านไปฉันนั้น" เพราะฉะนั้นเขาทั้งสองจึงมายังเมืองเยรีโค
5 และพวกผู้เผยพระวจนะผู้อาศัยอยู่ในเมืองเยรีโคได้เข้ามาใกล้เอลีชาและพูดกับท่านว่า "ท่านทราบไหมว่า วันนี้พระเจ้าจะทรงรับอาจารย์ของท่านไปจากเป็นหัวหน้าท่าน" ท่านตอบว่า "ครับ ข้าพเจ้าทราบแล้ว เงียบๆไว้"
6 แล้วเอลียาห์จึงพูดกับท่านว่า "ขอท่านจงคอยอยู่ที่นี่ เพราะพระเจ้าทรงใช้ข้าพเจ้าไปถึงแม่น้ำจอร์แดน" แต่ท่านว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่จากท่านไปฉันนั้น" แล้วเขาทั้งสองก็เดินต่อไป
7 คนห้าสิบคนของพวกผู้เผยพระวจนะก็ไปเหมือนกัน และยืนอยู่ตรงหน้าห่างจากท่านทั้งสอง ฝ่ายท่านทั้งสองยืนอยู่ที่แม่น้ำจอร์แดน
8 เอลียาห์ก็เอาเสื้อคลุมของท่าน ม้วนเข้าแล้วฟาดลงที่น้ำนั้น น้ำก็แยกออกไปสองข้าง ท่านทั้งสองจึงเดินข้ามไปได้บนดินแห้ง
9 และอยู่มาเมื่อท่านทั้งสองข้ามไปแล้ว เอลียาห์จึงพูดกับเอลีชาว่า "จงขอสิ่งที่อยากให้ข้าพเจ้าทำเพื่อท่าน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกรับไปจากท่าน" และเอลีชาตอบว่า "ขอให้ฤทธิ์เดชของท่านอยู่กับข้าพเจ้าตามส่วนสิทธิบุตรหัวปี"
10 และท่านตอบว่า "ท่านขอสิ่งที่ยากนัก แต่ถ้าท่านเห็นข้าพเจ้าถูกรับขึ้นไปจากท่าน ท่านก็จะได้อย่างนั้น แต่ถ้าท่านไม่เห็น ก็จะไม่เป็นแก่ท่านอย่างนั้น"
11 และอยู่มาเมื่อท่านทั้งสองยังเดินพูดกันต่อไป ดูเถิด รถเพลิงคันหนึ่งและม้าเพลิงได้แยกเขาทั้งสองออกจากกัน และเอลียาห์ได้ขึ้นไปโดยพายุเข้าสวรรค์
12 เอลีชาก็เห็น และท่านได้ร้องว่า "คุณพ่อของข้าพเจ้า คุณพ่อของข้าพเจ้า ดูรถรบของอิสราเอลและพลม้าประจำ" และท่านก็ไม่ได้เห็นเอลียาห์อีกเลย แล้วท่านก็จับเสื้อของตนฉีกออกเป็นสองท่อน
13 แล้วท่านก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ ที่ตกลงมาจากเอลียาห์นั้น และกลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน
14 แล้วท่านก็เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลง มานั้นฟาดลงที่น้ำ กล่าวว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งเอลียาห์ทรงสถิตที่ใด" และเมื่อท่านฟาดลงที่น้ำ น้ำก็แยกออกไปสองข้างและเอลีชาก็เดินข้ามไป
15 เมื่อพวกผู้เผยพระวจนะที่อยู่ ณ เมืองเยรีโค แลเห็นท่านอยู่ตรงข้ามกับเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายจึงว่า "ฤทธิ์เดชของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา" และเขาทั้งหลายก็มาต้อนรับท่าน แล้วซบหน้าลงถึงดินต่อหน้าท่าน
16 เขาทั้งหลายกล่าวแก่ท่านว่า "มีห้าสิบคนที่เป็นชายฉกรรจ์อยู่กับผู้รับใช้ของท่าน ขอจงไปเที่ยวหาอาจารย์ของท่าน บางทีพระวิญญาณแห่งพระเจ้าได้รับท่านไปแล้วเหวี่ยง ท่านลงมาที่ภูเขาหรือหุบเขาแห่งหนึ่งแห่งใดบ้าง" และท่านว่า "อย่าใช้เขาไปเลย"
17 แต่เมื่อเขาทั้งหลายชักชวนท่านจนท่านละอาย แล้วท่านจึงว่า "ใช้ไปซี" เพราะฉะนั้นเขาจึงใช้ห้าสิบคนไป เขาทั้งหลายแสวงหาเอลียาห์อยู่สามวันก็ไม่พบท่าน
18 เขาทั้งหลายก็กลับมาหาเอลีชา ขณะเมื่อท่านพักอยู่ที่เมืองเยรีโค และท่านพูดกับเขาว่า "ข้ามิได้บอกท่านทั้งหลายแล้วหรือว่า อย่าไปเลย"
19 คนในเมืองพูดกับเอลีชาว่า "ดูเถิด ทำเลเมืองนี้ก็ร่มรื่นดี ดังที่เจ้านายของข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว แต่ทว่าน้ำไม่ดีและชาวแผ่นดินก็แท้งลูก"
20 ท่านพูดว่า "จงเอาชามใหม่มาลูกหนึ่ง ใส่เกลือไว้ในนั้น" แล้วเขาทั้งหลายก็หามาให้
21 แล้วท่านก็ไปที่น้ำพุ โยนเกลือลงในนั้นและกล่าวว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้กระทำน้ำนี้ให้ดีแล้ว ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีความตายหรือการแท้งลูกมา จากน้ำนี้อีก"
22 ฉะนั้นน้ำจึงดีมาจนถึงทุกวันนี้ จริงตามถ้อยคำซึ่ง เอลีชาได้กล่าวนั้น
23 ท่านได้ขึ้นไปจากที่นั่นถึงเมืองเบธเอล และขณะเมื่อท่านขึ้นไปตามทาง มีเด็กชายเล็กๆบางคนออกมาจากเมืองล้อเลียนท่านว่า "อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด อ้ายหัวล้าน จงขึ้นไปเถิด"
24 ท่านก็เหลียวดู แล้วจึงแช่งเขาในพระนามพระเจ้า และหมีตัวเมียสองตัวออกมาจากป่า ฉีกเด็กชายพวกนั้นเสียสี่สิบสองคน
25 จากที่นั่นท่านก็ขึ้นไปถึงภูเขาคารเมล และจากที่นั่นท่านก็หันกลับมายังสะมาเรีย

2พงศ์กษัตริย์ 3
1 ในปีที่สิบแปดของรัชกาลเยโฮชาฟัทพระราชา แห่งยูดาห์ เยโฮรัมโอรสของอาหับได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอล ณ กรุงสะมาเรียและทรงครองอยู่สิบสองปี
2 พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ไม่เหมือนราชบิดาและราชมารดาของพระองค์ พระองค์ทรงทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งพระบาอัล ซึ่งราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำไว้เสีย
3 แม้กระนั้นพระองค์ยังทรงเกาะติดอยู่ กับบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอล ทำด้วยพระองค์หาได้ทรงพรากจากบาปนั้นไม่
4 ฝ่ายเมชาพระราชาแห่งโมอับทรงเป็นผู้เพาะแกะ และพระองค์ต้องถวายลูกแกะหนึ่งแสนตัว และขนแกะผู้แสนตัวให้แก่พระราชาอิสราเอล
5 แต่อยู่มาเมื่ออาหับสิ้นพระชนม์แล้ว พระราชาแห่งโมอับก็กบฏต่อพระราชาแห่งอิสราเอล
6 กษัตริย์เยโฮรัมจึงกรีธาทัพออกจากสะมาเรียในครั้งนั้น และทรงเกณฑ์คนอิสราเอลทั้งสิ้น
7 พระองค์ทรงส่งสารไปยังเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์ว่า "พระราชาแห่งโมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าได้หรือไม่" และท่านว่า "เราจะไป เราก็เป็นดังที่ท่านเป็น และประชาชนของเราก็เป็นดังประชาชนของท่าน บรรดาม้าของเราก็เป็นดังม้าของท่าน"
8 แล้วท่านว่า "เราจะขึ้นไปทางใด" เยโฮรัมทรงตอบไปว่า "ไปทางถิ่นทุรกันดารเมืองเอโดม"
9 พระราชาแห่งอิสราเอลจึงเสด็จไปพร้อมกับ พระราชาแห่งยูดาห์ และพระราชาแห่งเอโดม และเมื่อทั้งสามกษัตริย์เสด็จอ้อมไปได้เจ็ดวันแล้ว ก็หาน้ำให้กองทัพและให้สัตว์ที่ติดตามมานั้นไม่ได้
10 แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลจึงตรัสว่า "อนิจจาเอ๋ย พระเจ้าทรงเรียกสามกษัตริย์นี้ มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของโมอับ"
11 และเยโฮชาฟัทตรัสว่า "ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเราจะให้ทูลถามพระเจ้าหรือ" แล้วข้าราชการคนหนึ่งของพระราชาอิสราเอลจึงทูลว่า "เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่พระเจ้าข้า เป็นผู้ที่เทน้ำใส่มือเอลียาห์"
12 และเยโฮชาฟัทตรัสว่า "พระวจนะแห่งพระเจ้าอยู่กับท่าน" พระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทและ พระราชาแห่งเอโดมจึงเสด็จลงไปหาท่าน
13 และเอลีชาทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า "ข้าพระบาทมีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับฝ่าพระบาท เสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ ของฝ่าพระบาทเถิด" แต่พระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับท่านว่า "หามิได้ ด้วยพระเจ้าทรงเป็นผู้เรียกกษัตริย์ ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ"
14 และเอลีชาทูลว่า "พระเจ้าจอมโยธาซึ่งข้าพระบาทปรนนิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าข้าพระบาทมิได้เคารพคารวะต่อเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระบาทจะไม่มองพระพักตร์พระองค์หรือดูแลพระองค์เลย
15 ขอทรงนำผู้เล่นเครื่องสายมาให้ข้าพระบาทสักคนหนึ่ง" และเมื่อผู้เล่นเครื่องสายบรรเลงแล้วฤทธานุภาพของ พระเจ้าก็มาเหนือท่าน
16 และท่านทูลว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'ทำหุบเขานี้ให้เป็นสระทั่วไปหมด'
17 เพราะพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'เจ้าทั้งหลายจะไม่เห็นลมหรือฝน ถึงอย่างไรก็ดีหุบเขานั้นจะมีน้ำเต็มไปหมด เพื่อเจ้าจะได้ดื่ม ทั้งเจ้า ฝูงสัตว์เลี้ยงและสัตว์ใช้ของเจ้า'
18 เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยในสายพระเนตรพระเจ้า พระองค์จะทรงมอบคนโมอับไว้ในมือของเจ้าด้วย
19 เจ้าจะโจมตีเมืองที่มีป้อมทุกเมือง และเมืองเอกทุกเมือง และจะโค่นต้นไม้ลงทุกต้น และจะจุกน้ำพุทุกแห่งเสีย และทำไร่นาที่ดีทุกแปลงให้เสียด้วยหิน"
20 และอยู่มาพอรุ่งเช้าประมาณเวลาถวายเครื่องบูชา ดูเถิด มีน้ำมาจากทางเมืองเอโดม จนแผ่นดินมีน้ำเต็มหมด
21 และเมื่อคนโมอับทั้งหลายได้ยินว่าบรรดาพระราชายกไปสู้รบกับตน คนที่มีอายุสวมเกราะและสูงขึ้นไปก็ได้รวบรวมกันเข้าและยกไปตั้งที่พรมแดน
22 เมื่อเขาตื่นขึ้นในตอนเช้า และดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนน้ำ คนโมอับเห็นน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับตนแดงอย่างโลหิต
23 เขาทั้งหลายกล่าวว่า "นี่เป็นโลหิต บรรดาพระราชาที่ได้สู้รบกันเอง และฆ่ากันเอง โมอับเอ๋ย มาเถิด มาริบเอาข้าวของของเขา"
24 แต่เมื่อเขามาถึงค่ายอิสราเอล คนอิสราเอลก็ลุกขึ้นต่อสู้กับคน โมอับจนเขาทั้งหลายหนีไป และเขาก็รุกหน้าเข้าไปในแผ่นดินฆ่าฟันคนโมอับ
25 เขาทั้งหลายได้ทลายหัวเมือง และต่างคนก็ต่างโยนหินเข้าไปในไร่นาที่ดี ทุกแปลง เขาจุกน้ำพุเสียทุกแห่ง และโค่นต้นไม้ดีๆเสียหมด จนในคีร์หะเรเชท มีแต่หินของเมืองเหลืออยู่ บรรดานักสลิงได้ล้อมเมืองไว้และโจมตีได้
26 เมื่อพระราชาแห่งโมอับทรงเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ พระองค์ก็ทรงพาพลดาบเจ็ดร้อยคน จะตีฝ่าออกมาทางด้านพระราชาเมืองเอโดม แต่ออกมาไม่ได้
27 แล้วพระองค์ทรงนำโอรสหัวปี ผู้ซึ่งควรจะขึ้นครองแทนนั้น ถวายเป็นเครื่องเผาบูชาเสียที่บนกำแพง และมีพระพิโรธใหญ่ยิ่งต่อพวกอิสราเอล เขาทั้งหลายก็ยกถอยไปจากพระองค์และกลับบ้านเมืองของตน

2พงศ์กษัตริย์ 4

1 ภรรยาของคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะร้องต่อเอลีชาว่า "ผู้รับใช้ของท่าน คือสามีของดิฉันสิ้นชีวิตเสียแล้ว และท่านก็ทราบอยู่แล้วว่าผู้รับใช้ของท่านเกรงกลัวพระเจ้า แต่เจ้าหนี้ได้มา เพื่อนำเอาบุตรสองคนของดิฉันไปเป็นทาสของเขา"
2 และเอลีชาตอบนางว่า "บอกฉันมาซิว่า จะให้ฉันทำอะไรให้ เจ้ามีอะไรอยู่ในบ้านบ้าง" และนางตอบว่า "สาวใช้ของท่านไม่มีอะไรในบ้านนอกจากน้ำมันหนึ่งไห"
3 แล้วท่านกล่าวว่า "จงออกไปนอกบ้าน ขอยืมภาชนะจากเพื่อนบ้านทุกคนของเจ้ามา เป็นภาชนะเปล่า อย่าให้น้อย
4 แล้วจงเข้าไปในเรือน ปิดประตูขังตัวเจ้าและลูกชายของเจ้าไว้ และจงเทน้ำมันใส่ภาชนะทั้งหมด เมื่อลูกหนึ่งๆเต็มแล้วก็ตั้งไว้ต่างหาก"
5 นางก็ลาไป และปิดประตูขังนางและบุตรของนางไว้ บุตรส่งภาชนะมาให้ และนางก็เทน้ำมัน
6 และอยู่มาเมื่อภาชนะเต็มหมดแล้วนางจึงบอกบุตรว่า "เอาภาชนะมาให้แม่อีกลูกหนึ่ง" และเขาตอบนางว่า "ไม่มีอีกแล้ว" แล้วน้ำมันก็หยุดไหล
7 นางก็ไปเรียนให้คนของพระเจ้าทราบและท่านบอกว่า "ไปซี ขายน้ำมันเสียเอาเงินชำระหนี้ของเจ้า ที่เหลือนอกนั้นเจ้าและบุตรของเจ้า จงใช้เลี้ยงชีวิต"
8 วันหนึ่งเอลีชาเดินต่อไปถึงเมืองชูเนม เป็นที่ที่หญิงมั่งมีคนหนึ่งอาศัยอยู่ และนางได้ชวนท่านให้รับประทานอาหาร ฉะนั้นเมื่อท่านผ่านทางนั้นไปเมื่อไร ท่านก็แวะเข้าไปรับประทานอาหาร
9 และนางได้บอกสามีของนางว่า "ดูเถิด ดิฉันเห็นว่าชายคนนี้เป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า เดินผ่านบ้านเราอยู่เนืองๆ
10 ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนหลังคาสำหรับท่าน วางเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น"
11 วันหนึ่งท่านก็มาที่นั่น และแวะเข้าไปในห้องนั้น พักอยู่ที่นั่น
12 ท่านจึงบอกเกหะซีคนใช้ของท่านว่า "ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนี้มา" เมื่อเขาเรียกนาง นางก็มายืนอยู่ต่อหน้าท่าน
13 ท่านจึงบอกแก่เกหะซีว่า "จงบอกนางว่า ดูซิ เธอลำบากมากมายอย่างนี้เพื่อเรา จะ ให้เราทำอะไรให้เธอบ้าง มีอะไรจะให้ทูลพระราชาเผื่อเธอหรือ หรือให้พูดอะไรกับผู้บัญชาการกองทัพ" นางตอบว่า "ดิฉันอยู่ในหมู่พวกพี่น้องของดิฉันค่ะ"
14 และท่านกล่าวว่า "ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอะไรเพื่อนาง" เกหะซีตอบว่า "แท้จริงนางไม่มีบุตรและสามีของนางก็แก่แล้ว"
15 ท่านจึงบอกว่า "ไปเรียกเธอมา" และเมื่อเขาไปเรียกนาง นางก็มายืนอยู่ที่ประตู
16 ท่านกล่าวว่า "ในฤดูนี้เมื่อครบกำหนดอุ้มท้อง เจ้าจะได้อุ้มบุตรชายคนหนึ่ง" และนางตอบว่า "ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า เจ้านายของดิฉัน หามิได้อย่ามุสาแก่สาวใช้ของท่านเลย"
17 แต่หญิงคนนั้นก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง ในฤดูนั้นเมื่อครบกำหนดจริงตามที่เอลีชาบอกแก่นางไว้
18 เมื่อเด็กนั้นโตขึ้น วันหนึ่งเขาออกไปหาบิดาของเขาในหมู่คนเกี่ยวข้าว
19 เขาบอกบิดาของเขาว่า "โอยหัวของฉัน หัวของฉัน" บิดาจึงสั่งคนใช้ของเขาว่า "อุ้มเขาไปหาแม่ไป๊"
20 และเมื่อเขาอุ้มมาให้มารดาของเด็ก เด็กนั้นก็นั่งอยู่บนตักมารดาจนเที่ยงวัน แล้วก็สิ้นชีวิต
21 นางจึงอุ้มขึ้นไปวางไว้บนที่นอนของคนแห่งพระเจ้า และปิดประตูเสีย แล้วไปข้างนอก
22 นางก็ไปเรียกสามีของนางกล่าวว่า "ขอส่งคนใช้คนหนึ่งกับลาตัวหนึ่งมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้รีบไปหาคนแห่งพระเจ้า และกลับมาอีก"
23 และเขาถามว่า "จะไปหาท่านทำไมใน วันนี้ไม่ใช่วันขึ้นค่ำหรือวันสะบาโต" นางตอบว่า "ก็ดีอยู่แล้ว"
24 นางก็ผูกอานลาและสั่งคนใช้ของนางว่า "จงเร่งลาไปเร็วๆ อย่าให้ฝีเท้าหย่อนลงได้นอกจากฉันสั่ง"
25 แล้วนางก็ออกเดิน และมาถึงคนแห่งพระเจ้าที่ภูเขาคารเมล เมื่อคนแห่งพระเจ้าเห็นนางมา ท่านก็พูดกับเกหะซีคนใช้ของท่านว่า "ดูแน่ะ หญิงชาวชูเนมมาข้างโน้น
26 จงวิ่งไปรับนางทันที และกล่าวแก่นางว่า นางสบายดีหรือ สามีสบายดีหรือ เด็กสบายดีหรือ" และนางได้ตอบว่า "สบายดีค่ะ"
27 และเมื่อนางมายังภูเขาถึงคนแห่ง พระเจ้าแล้วนางก็เข้าไปกอดเท้าของท่าน เกหะซีจึงเข้ามาจะจับนางออกไป แต่คนแห่งพระเจ้าว่า "ปล่อยเขาเถอะ เพราะนางมีใจทุกข์หนักและพระเจ้าทรงซ่อนเรื่องนี้จากฉัน หาได้ตรัสสำแดงแก่ฉันไม่"
28 แล้วนางจึงเรียนว่า "ดิฉันขอบุตรจากเจ้านายของดิฉันหรือคะ ดิฉันไม่ได้เรียนหรือว่า อย่าลวงดิฉันเลย"
29 ท่านจึงสั่งเกหะซีว่า "คาดเอวของเจ้าเข้า และถือไม้เท้าของเรา และไปเถอะ ถ้าเจ้าพบใคร อย่าสวัสดีกับเขา และถ้าใครสวัสดีกับเจ้าก็อย่าตอบ และจงวางไม้เท้าของเราบนหน้าของเด็กนั้น"
30 แล้วมารดาของเด็กนั้นเรียนว่า "พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่และตัวท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันจะไม่พรากจากท่านไป" ดังนั้นท่านจึงลุกขึ้นตามนางไป
31 เกหะซีได้ล่วงหน้าไปก่อน และวางไม้เท้าบนหน้าของเด็กนั้น แต่ไม่มีเสียงหรืออาการเป็น เขาจึงกลับมาพบท่านและเรียนท่านว่า "เด็กนั้นยังไม่ตื่น"
32 เมื่อเอลีชาเข้ามาในเรือน ท่านเห็นเด็กนอนตายอยู่บนเตียงของท่าน
33 ท่านจึงเข้าไปข้างในปิดประตู ให้ทั้งสองอยู่ข้างในและได้อธิษฐานต่อพระเจ้า
34 แล้วท่านขึ้นไปนอนทับเด็ก ให้ปากทับปาก ตาทับตา และมือทับมือ และเมื่อท่านเหยียดตัวของท่านบนเขา เนื้อของเด็กนั้นก็อุ่นขึ้นมา
35 แล้วท่านก็ลุกขึ้นอีกเดินไปเดินมาในเรือนนั้นครั้งหนึ่ง แล้วขึ้นไปเหยียดตัวของท่านบนเขา เด็กนั้นก็จามเจ็ดครั้ง และเด็กนั้นก็ลืมตาของตน
36 แล้วท่านก็เรียกเกหะซีมาสั่งว่า "ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนี้มา" เขาจึงไปเรียกนาง และเมื่อนางมาถึงท่านแล้ว ท่านว่า "จงอุ้มบุตรของเจ้าขึ้นเถิด"
37 นางจึงเข้ามาซบหน้าลงที่เท้าของท่านกราบลงถึงดิน แล้วนางก็อุ้มเด็กของนางขึ้นออกไปข้างนอก ซึ่งกระทำเพื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะ
38 เอลีชามาถึงกิลกาลอีก เมื่อแผ่นดินเกิดกันดารอาหาร และเมื่อพวกผู้เผยพระวจนะนั่งอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านก็บอกกับคนใช้ของท่านว่า "จงตั้งหม้อลูกใหญ่และต้มข้าวให้แก่พวกผู้เผยพระวจนะ"
39 คนหนึ่งในพรรคออกไปเก็บผักที่ในทุ่งนา และพบไม้เถาป่าเถาหนึ่ง เขาเก็บได้น้ำเต้าป่าจนเต็มตัก กลับมาหั่นใส่ในหม้อข้าวต้มโดยไม่ทราบว่าเป็นผลอะไร
40 เขาก็เทออกให้คนเหล่านั้นรับประทาน ขณะที่เขากำลังรับประทานข้าวต้มอยู่นั้น เขาร้องขึ้นว่า "ข้าแต่คนแห่งพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนี้" และเขาก็รับประทานกันไม่ได้
41 ท่านก็ว่า "จงเอาแป้งมา" ท่านก็ใส่แป้งลงในหม้อ และบอกว่า "จงเทออกให้คนเหล่านั้นรับประทาน" และไม่มีอันตรายอยู่ในหม้อนั้น
42 มีชายคนหนึ่งมาจากบ้านบาอัลชาลิชาห์ นำของมาให้คนแห่งพระเจ้ามีขนมปังเป็นผลแรกคือ ขนมบารลียี่สิบก้อน และรวงข้าวใหม่ใส่กระสอบของเขามาและเอลีชาว่า "จงให้แก่คนเหล่านั้นรับประทาน"
43 แต่คนใช้คนนี้ตอบว่า "ข้าพเจ้าจะตั้งอาหารเท่านี้ ให้คนหนึ่งร้อยรับประทานได้อย่างไร" ท่านจึงสั่งซ้ำว่า "จงให้คนเหล่านั้นรับประทานเถิด เพราะพระเจ้าตรัสสั่งดังนี้ว่า 'เขาทั้งหลายจะได้รับประทานและยังเหลืออีก'"
44 เขาจึงตั้งอาหารไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เขาทั้งหลายก็รับประทาน และยังเหลืออยู่จริงตามพระวจนะของพระเจ้า

2พงศ์กษัตริย์ 5

1 นาอามานผู้บัญชาการกองทัพของพระราชาประเทศซีเรีย เป็นคนสำคัญมากของพระราชา เป็นคนมีเกียรติ เพราะว่าพระเจ้าทรงนำชัยชนะมายังซีเรียโดยท่านนี้ ท่านเป็นวีรบุรุษด้วย แต่ท่านเป็นโรคเรื้อน
2 ฝ่ายคนซีเรียยกพวกไปปล้นครั้งหนึ่งนั้น ได้จับเด็กหญิงคนหนึ่งมาจากแผ่นดินอิสราเอล และเธอมาปรนนิบัติภรรยาของนาอามาน
3 เธอได้เรียนนายผู้หญิงของเธอว่า "อยากให้เจ้านายของดิฉันไปอยู่กับผู้เผยพระวจนะ ผู้ซึ่งอยู่ในสะมาเรีย ท่านจะได้รักษาโรคเรื้อนของเจ้านายเสียให้หาย"
4 นาอามานจึงไปทูลพระราชาเจ้านายของท่านว่า สาวใช้จากแผ่นดินอิสราเอลพูดว่าอย่างนั้นๆ
5 พระราชาแห่งซีเรียตรัสว่า "จงไปเถิด เราจะส่งสารไปยังพระราชาแห่งอิสราเอล" แล้วท่านก็ไป นำเงินหนักสิบตะลันต์ ทองคำหนักหกพันเชเขล และเสื้อเที่ยวงานสิบชุดไปด้วย
6 และท่านก็นำสารไปยังพระราชาแห่ง อิสราเอลใจความว่า "เมื่อสารนี้มาถึงท่าน ขอท่านทราบด้วยว่า ข้าพเจ้าได้ส่งนาอามานข้าราชการของข้าพเจ้ามา เพื่อขอให้ท่านรักษาเขาให้หายจากโรคเรื้อน"
7 และอยู่มาเมื่อพระราชาอิสราเอลทรงอ่านสารนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ตรัสว่า "เราเป็นพระเจ้าซึ่งจะให้ตายและให้มีชีวิตหรือ ชายคนนี้จึงส่งสารมาให้เรารักษาคนหนึ่งที่เป็นโรคเรื้อน ขอใคร่ครวญดูเถิด ว่าเขาแสวงหาเหตุพิพาทกับเราอย่างไร"
8 แต่เมื่อเอลีชาคนแห่งพระเจ้าได้ยินว่า พระราชาแห่งอิสราเอลได้ทรงฉีกฉลองพระองค์ จึงใช้คนไปทูลพระราชาว่า "ไฉนฝ่าบาทจึงทรงฉีกฉลองพระองค์ของฝ่าพระบาทเสีย ขอให้เขามาหาข้าพระบาทเถิด เพื่อเขาจะได้ทราบว่า มีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งในอิสราเอล"
9 นาอามานจึงมาพร้อมกับบรรดาม้าและรถรบของท่าน มาหยุดอยู่ที่ประตูเรือนของเอลีชา
10 เอลีชาก็ส่งผู้สื่อสารมาเรียนท่านว่า "ขอจงไปชำระตัวในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง และเนื้อของท่านจะกลับคืนเป็นอย่างเดิม และท่านจะสะอาด"
11 แต่นาอามานก็โกรธและไปเสีย บ่นว่า "ดูเถิด ข้าคิดว่าเขาจะออกมาหาข้าเป็นแน่และมายืนอยู่ และออกพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา แล้วโบกมือเหนือที่นั้นให้โรคเรื้อนหาย
12 อาบานาและฟารปาร์แม่น้ำเมืองดามัสกัส ไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำแห่งอิสราเอลดอกหรือ ข้าจะชำระตัวในแม่น้ำเหล่านั้นและจะสะอาดไม่ได้หรือ" ท่านจึงหันตัวแล้วไปเสียด้วยความเดือดดาล
13 แต่พวกข้าราชการของท่านเข้ามาใกล้และเรียนท่านว่า "คุณพ่อของข้าพเจ้า ถ้าท่านผู้เผยพระวจนะจะสั่งให้ท่านกระทำสิ่ง ใหญ่โตประการหนึ่งท่านจะไม่กระทำหรือ ถ้าเช่นนั้นเมื่อท่านผู้เผยพระวจนะกล่าวแก่ท่านว่า 'จงไปล้างและสะอาดเถิด' ควรท่านจะทำยิ่งขึ้นเท่าใด"
14 ท่านจึงลงไปจุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดน ตามถ้อยคำของคนแห่งพระเจ้า และเนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อของเด็กเล็กๆ และท่านก็สะอาด
15 แล้วท่านจึงกลับไปยังคนแห่งพระเจ้า ทั้งตัวท่านและพรรคพวกของท่าน และท่านมายืนอยู่ข้างหน้าเอลีชาและท่านกล่าวว่า "ดูเถิด ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าไม่มีพระเจ้าทั่วไปในโลก นอกจากที่ในอิสราเอล เพราะฉะนั้นขอท่านรับของกำนัลสักอย่างหนึ่งจากผู้ รับใช้ของท่านเถิด"
16 แต่ท่านตอบว่า "พระเจ้าซึ่งข้าพเจ้าปรนนิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่รับสิ่งใดเลยฉันนั้น" และท่านก็ได้ชักชวนให้รับไว้แต่เอลีชาได้ปฏิเสธ
17 แล้วนาอามานจึงกล่าวว่า "มิฉะนั้นขอท่านได้โปรดให้เอาล่อสองตัว บรรทุกดินแก่ผู้รับใช้ของท่านเถิด เพราะตั้งแต่นี้ไป ผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่อง สัตวบูชาแด่พระอื่น แต่จะถวายแด่พระเยโฮวาห์เท่านั้น
18 ในเรื่องนี้ ขอพระเจ้าทรงให้อภัยแก่ผู้รับใช้ของท่าน ในเมื่อนายของข้าพเจ้าไปในนิเวศของพระริมโมน เพื่อจะนมัสการที่นั่น ทรงพิงอยู่ที่มือของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะต้องโน้มคำนับในนิเวศของพระริมโมน เมื่อข้าพเจ้าโน้มตัวลงในนิเวศของพระริมโมนนั้น ขอพระเจ้าทรงให้อภัยแก่ผู้รับใช้ของท่านในกรณีนี้"
19 เอลีชาจึงตอบท่านว่า "จงไปโดยสวัสดิภาพเถิด" แต่เมื่อนาอามานออกไปได้ไม่ไกลนัก
20 เกหะซีคนใช้ของเอลีชาคนแห่งพระเจ้าคิดว่า "ดูซิ นายของข้าพเจ้าไม่ยอมรับจากมือของนาอามานคนซีเรีย ซึ่งของที่ท่านนำมา พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะวิ่งตามไปเอามาจากเขาบ้าง"
21 เกหะซีจึงตามนาอามานไป และเมื่อนาอามานแลเห็นว่ามีคนวิ่งตามท่านมา ท่านก็ลงจากรถรบต้อนรับเขาพูดว่า "ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ"
22 เขาตอบว่า "เรียบร้อยดี นายของข้าพเจ้าใช้ข้าพเจ้ามา กล่าวว่า 'มีชายหนุ่มสองคนเป็นพวกผู้เผยพระวจนะ มาจากแดนเทือกเขาเอฟราอิม ขอท่านโปรดให้เงินแก่เขาทั้งหลายสักหนึ่งตะลันต์ และเสื้อเที่ยวงานสักสองชุด'"
23 และนาอามานกล่าวว่า "ขอโปรดรับไปสองตะลันต์เถิด" ท่านก็เชิญชวนเขา และเอาเงินสองตะลันต์ใส่กระสอบผูกไว้ พร้อมกับเสื้อเที่ยวงานสองตัว ให้คนใช้สองคนแบกไป เขาก็แบกเดินขึ้นหน้าเกหะซีมา
24 เมื่อเขาทั้งหลายมาถึงภูเขา เกหะซีก็รับมาจากมือของเขา เอาไปเก็บไว้ในเรือน และให้คนเหล่านั้นกลับ เขาทั้งสองก็จากไป
25 เกหะซีก็เข้าไปยืนอยู่ต่อหน้านายของตน และเอลีชาถามเขาว่า "เกหะซี เจ้าไปไหนมา" เขาตอบว่า "ผู้รับใช้ของท่านไม่ได้ไปไหน"
26 แต่ท่านกล่าวแก่เขาว่า "เมื่อชายคนนั้นหันมาจากรถรบต้อนรับเจ้านั้น จิตใจของเรามิได้ไปกับเจ้าดอกหรือ นั่นเป็นเวลาควรที่จะรับเงินเสื้อผ้า สวนต้นมะกอกเทศ และสวนองุ่น แกะ และโค และคนใช้ชายหญิงหรือ
27 ฉะนั้นโรคเรื้อนของนาอามานจะติดอยู่ที่เจ้า และที่เชื้อสายของเจ้าเป็นนิตย์" เขาก็ออกไปจากหน้าท่านเป็นโรคเรื้อนขาวอย่างหิมะ

2พงศ์กษัตริย์ 6
1 ฝ่ายพรรคผู้เผยพระวจนะกล่าวกับเอลีชาว่า "ดูซิ สถานที่ซึ่งข้าพเจ้าทั้งหลายอยู่ใต้ความดูแลของ ท่านนั้นก็เล็กเกินไป ไม่พอแก่พวกเรา
2 ขอให้เราไปที่แม่น้ำจอร์แดน ต่างคนต่างเอาไม้ท่อนหนึ่งมาสร้างที่อาศัยของเราที่นั่น" และท่านตอบว่า "ไปเถอะ"
3 แล้วคนหนึ่งกล่าวว่า "ขอท่านโปรดไปกับผู้รับใช้ของท่านด้วย" และท่านก็ตอบว่า "ข้าจะไป"
4 ท่านก็ไปกับเขาทั้งหลาย และเมื่อเขามาถึงแม่น้ำจอร์แดนเขาก็โค่นต้นไม้
5 ขณะที่คนหนึ่งฟันไม้อยู่ หัวขวานของเขาตกลงไปในน้ำ และเขาร้องขึ้นว่า "อนิจจานายครับ ขวานนั้นผมขอยืมเขามา"
6 แล้วคนแห่งพระเจ้าถามว่า "ขวานนั้นตกที่ไหน" เมื่อเขาชี้ที่ให้ท่านแล้ว ท่านก็ตัดไม้อันหนึ่งทิ้งลงไปที่นั่น ทำให้ขวานเหล็กนั้นลอยขึ้นมา
7 และท่านบอกว่า "หยิบขึ้นมาซิ" เขาก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา
8 ฝ่ายพระราชาแห่งซีเรียรบพุ่งกับอิสราเอล พระองค์ตรัสปรึกษากับข้าราชการของพระองค์ว่า "เราจะตั้งค่ายของเราที่นั่นๆ
9 แต่คนแห่งพระเจ้าส่งข่าวไปยังพระราชา แห่งอิสราเอลว่า 'ขอพระองค์ทรงระวังอย่าผ่านมาทางนั้น เพราะคนซีเรียกำลังยกลงไปที่นั่น'"
10 และพระราชาแห่งอิสราเอล ทรงใช้ให้ไปยังสถานที่ซึ่งคนแห่งพระเจ้าบอกให้ ท่านเคยเตือนพระองค์ดังนี้แหละ พระองค์จึงทรงระวังตัวได้ที่นั่นมิใช่เพียงครั้งสองครั้ง
11 พระราชาแห่งซีเรียก็ไม่สบายพระทัยมากเพราะเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงเรียกข้าราชการมาตรัสว่า "พวกท่านจะไม่บอกเราหรือว่าคนใดใน พวกเราที่อยู่ฝ่ายพระราชาแห่งอิสราเอล"
12 ข้าราชการคนหนึ่งของพระองค์ทูลว่า "ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท ไม่มีผู้ใดพระเจ้าข้า แต่เอลีชาผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในอิสราเอล ทูลบรรดาถ้อยคำ ซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์แก่ พระราชาแห่งอิสราเอล"
13 พระองค์จึงตรัสว่า "จงไปหาดูว่า เขาอยู่ที่ไหน เพื่อเราจะใช้คนไปจับเขามา" มีคนทูลพระองค์ว่า "ดูเถิด เขาอยู่ในโดธาน"
14 พระองค์จึงทรงส่งม้า รถรบ และกองทัพใหญ่ เขาไปกันในกลางคืนและล้อมเมืองนั้นไว้
15 เมื่อคนใช้ของคนแห่งพระเจ้าตื่นขึ้นเวลาเช้าตรู่ และออกไป ดูเถิด กองทัพพร้อมกับม้าและรถรบก็ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นบอกท่านว่า "อนิจจา นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี"
16 ท่านตอบว่า "อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา"
17 แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น" และพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา
18 และเมื่อคนซีเรียลงมารบกับท่าน เอลีชาก็อธิษฐานพระเจ้าว่า "ขอทรงโปรดให้คนเหล่านี้ตาบอดไปเสีย" พระองค์จึงทรงให้เขาทั้งหลายตาบอดไป ตามคำอธิษฐานของเอลีชา
19 และเอลีชาบอกคนเหล่านั้นว่า "ไม่ใช่ทางนี้ และไม่ใช่เมืองนี้ จงตามข้ามา และข้าจะพาไปยังคนนั้น ซึ่งเจ้าแสวงหา" และท่านก็พาเขาไปกรุงสะมาเรีย
20 และอยู่มาพอเข้าไปในกรุงสะมาเรีย เอลีชาก็ทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของคนเหล่านี้ เพื่อเขาจะเห็นได้" พระเจ้าจึงทรงเบิกตาของเขาทั้งหลายและเขาทั้งหลายก็เห็น และนี่แน่ะ เขามาอยู่กลางกรุงสะมาเรีย
21 และเมื่อพระราชาแห่งอิสราเอลเห็นเขาเข้า จึงตรัสแก่เอลีชาว่า "บิดาของข้าพเจ้าจะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ จะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ"
22 ท่านก็ทูลตอบว่า "ขอพระองค์อย่าทรงประหารเขาเสีย พระองค์จะประหารคนที่จับมาเป็นเชลยเสียด้วยดาบ และด้วยธนูของพระองค์หรือ ขอทรงโปรดจัดอาหารและน้ำให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด"
23 พระองค์จึงทรงจัดการเลี้ยงใหญ่ให้เขา และเมื่อเขาได้กินและดื่มแล้วก็ทรงปล่อยเขาไป และเขาทั้งหลายได้กลับไปหาเจ้านายของตน และพวกซีเรียมิได้มาปล้นในแผ่นดินอิสราเอลอีกเลย
24 และอยู่มาภายหลัง เบนฮาดัดพระราชาแห่งซีเรียทรง จัดกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์แล้วได้เสด็จขึ้นไป ล้อมกรุงสะมาเรีย
25 มีการกันดารอาหารอย่างหนักในสะมาเรีย ขณะเมื่อเขาล้อมอยู่จนหัวลาตัวหนึ่งเขาขายกัน เป็นเงินแปดสิบเชเขล และแห้วไทยครึ่งลิตรเป็นเงินห้าเชเขล
26 ขณะที่พระราชาแห่งอิสราเอลทรงผ่านไปบนกำแพง มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องทูลพระองค์ว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ขอทรงช่วย"
27 พระองค์ตรัสว่า "ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงช่วยเจ้าเราจะช่วยเจ้าได้จากไหน จากลานนวดข้าวหรือจากบ่อย่ำองุ่นหรือ"
28 และพระราชาทรงถามนางว่า "เจ้าเป็นอะไรไป" นางทูลตอบว่า "หญิงคนนี้บอกข้าพระบาทว่า 'เอาลูกของเจ้ามาให้เรากินเสียวันนี้เถิด และเราจะกินลูกของฉันวันพรุ่งนี้'
29 เราจึงต้มลูกของข้าพระบาทและกิน และรุ่งขึ้นข้าพระบาทก็พูดกับนางว่า 'เอาลูกของเจ้ามา เพื่อเราจะกินเสีย และนางก็ซ่อนลูกของนางเสีย'"
30 และเมื่อพระราชาทรงได้ยินถ้อยคำของหญิงนั้น พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์ (พระองค์กำลังดำเนินอยู่บนกำแพง) ประชาชนก็มองดู ดูเถิด พระองค์ทรงฉลองพระองค์ผ้ากระสอบอยู่แนบเนื้อ
31 และพระองค์ตรัสว่า "ถ้าศีรษะของเอลีชาบุตรชาฟัทยังอยู่บนบ่า ของเขาในวันนี้ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษแก่เราและยิ่งหนักกว่า"
32 แต่เอลีชานั่งอยู่ในบ้านของท่าน และพวกผู้ใหญ่ก็นั่งอยู่ด้วย พระราชาทรงใช้คนมาจากต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ แต่ก่อนที่ผู้สื่อสารจะมาถึง เอลีชาก็พูดกับพวกผู้ใหญ่ว่า "ท่านทั้งหลายเห็นหรือไม่เล่า ที่ผู้กระทำฆาตกรรมคนนี้ใช้คนมาเอาศีรษะของข้าพเจ้า ดูซิเมื่อผู้สื่อสารมา จงปิดประตู และยึดประตูให้แน่น กันเขาไว้ เสียงเท้าของนายของเขาตามเขามามิใช่หรือ"
33 ขณะที่ท่านยังพูดกับเขาทั้งหลายอยู่ ดูเถิด ผู้สื่อสารลงมาหาท่าน และพระราชาตรัสว่า "เหตุร้ายนี้มาจากพระเจ้า ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเจ้าอีกทำไม"

2พงศ์กษัตริย์ 7

1 แต่เอลีชาทูลว่า "ขอฟังพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ ยอดแป้งถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบารลีสองถังเชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย"
2 แล้วนายทหารคนสนิทของพระราชาตอบคนแห่งพระเจ้าว่า "ถ้าแม้พระเจ้าทรงสร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ สิ่งนี้จะเป็นขึ้นได้หรือ" แต่ท่านบอกว่า "ท่านจะเห็นกับตาของท่านเอง แต่จะไม่ได้กิน"
3 มีคนโรคเรื้อนสี่คนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง เขาพูดกันว่า "เราจะนั่งที่นี่จนตายทำไมเล่า
4 ถ้าเราว่า 'ให้เราเข้าไปในเมือง การกันดารอาหารก็อยู่ในเมือง และเราก็จะตายที่นั่น และถ้าเรานั่งที่นี่เราก็ตายเหมือนกัน ฉะนั้นจงมาเถิด ให้เราเข้าไปในค่ายของคนซีเรีย ถ้าเขาไว้ชีวิตของเรา เราก็จะรอดตาย ถ้าเขาฆ่าเรา ก็ได้แต่ตายเท่านั้นเอง"
5 ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นในเวลาโพล้เพล้ เพื่อจะไปยังค่ายของคนซีเรีย แต่เมื่อเขามาถึงริมค่ายของคนซีเรียแล้ว ดูเถิด ไม่มีใครที่นั่นสักคน
6 เพราะพระเจ้าได้ทรงกระทำให้กองทัพของคนซีเรียได้ ยินเสียงรถรบ เสียงม้า และเสียงกองทัพใหญ่ เขาจึงพูดกันและกันว่า "ดูเถิด พระราชาแห่งอิสราเอลได้จ้างบรรดา พระราชาแห่งคนฮิตไทต์ และบรรดาพระราชาแห่งอียิปต์มารบเราแล้ว"
7 เขาจึงลุกขึ้นหนีไปในเวลาโพล้เพล้ และทิ้งเต็นท์ ม้า และลาของเขา ทิ้งเต็นท์ไว้อย่างนั้นเอง และหนีไปเอาชีวิตรอด
8 และเมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านี้มาถึงที่ริมค่าย เขาก็เข้าไปในเต็นท์หนึ่งกินและดื่ม และขนเงิน ทองคำ และเสื้อผ้าเอาไปซ่อนไว้ แล้วเขาก็กลับมาเข้าไปในอีกเต็นท์หนึ่ง ขนเอาข้าวของออกไปจากที่นั่นด้วยเอาไปซ่อนไว้
9 แล้วเขาพูดกันและกันว่า "เราทำไม่ถูกเสียแล้ว วันนี้เป็นวันข่าวดี ถ้าเรานิ่งอยู่ และคอยจนแสงอรุณขึ้นโทษจะตกอยู่กับเรา เพราะฉะนั้นมาเถิด ให้เราไปบอกยังสำนักพระราชวัง"
10 เขาจึงเรียกนายประตูเมือง และบอกเรื่องราวแก่เขาว่า "เรามายังค่ายของคนซีเรีย และดูเถิด เราไม่เห็นใครและไม่ได้ยินเสียงผู้ใดที่นั่น มีแต่ม้าผูกอยู่และลาผูกอยู่ และเต็นท์ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง"
11 แล้วนายประตูก็ตะโกนบอกไป และเขาก็บอกกันไปถึงสำนักพระราชวัง
12 พระราชาก็ทรงตื่นบรรทมในกลางคืน และตรัสกับข้าราชการว่า "เราจะบอกให้ว่าคนซีเรียเตรียมสู้รบเราอย่างไร เขาทั้งหลายรู้อยู่ว่าเราหิว เขาจึงออกไปซ่อนตัวอยู่นอกค่ายที่กลางทุ่งคิดว่า 'เมื่อเขาออกมาจากในเมืองเราจะจับเขาทั้งเป็น แล้วจะเข้าไปในเมือง'"
13 และข้าราชการคนหนึ่งทูลว่า "ขอรับสั่งให้คนเอาม้าที่เหลืออยู่ในเมืองสักห้าตัว (ดูเถิด บางทีม้าเหล่านั้นจะยังเป็นอยู่อย่างคนอิสราเอล ที่เหลืออยู่ในเมือง หรือจะเป็นอย่างคนอิสราเอลที่ได้พินาศแล้วก็ช่างเถิด) ขอให้เราส่งคนไปดู"
14 เขาจึงเอารถรบสองคันพร้อมกับม้า และพระราชาทรงส่งให้ไปติดตามกองทัพของคนซีเรีย ตรัสว่า "จงไปดู"
15 เขาทั้งหลายจึงติดตามไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน และนี่แน่ะ ตลอดทางมีเสื้อผ้าและเครื่องใช้ ซึ่งคนซีเรียทิ้งเมื่อเขารีบหนีไป ผู้สื่อสารก็กลับมาทูลกษัตริย์
16 แล้วประชาชนก็ยกออกไปปล้นค่ายของคนซีเรีย ยอดแป้งจึงขายกันถังละเชเขล และข้าวบารลีสองถังเชเขล ตามพระวจนะของพระเจ้า
17 ฝ่ายพระราชาทรงแต่งตั้งนายทหารคน สนิทให้เป็นนายประตู และประชาชนก็เหยียบไปบนเขาตรงประตู เขาจึงสิ้นชีวิตตามซึ่งคนแห่งพระเจ้าได้กล่าวไว้ในวัน เมื่อพระราชาเสด็จลงมาหาท่าน
18 และเป็นไปตามที่คนแห่งพระเจ้าได้ทูลพระราชาว่า "ข้าวบารลีสองถังขายหนึ่งเชเขล และยอดแป้งหนึ่งถังหนึ่งเชเขล ประมาณเวลานี้ในวันพรุ่งนี้ที่ประตูเมืองสะมาเรีย"
19 และนายทหารคนสนิทก็ได้ตอบคนแห่งพระเจ้าว่า "ถ้าแม้พระเจ้าทรงสร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ สิ่งนี้จะเป็นขึ้นได้หรือ" และท่านได้ตอบว่า "ท่านจะเห็นกับตาของท่านเอง แต่จะไม่ได้กิน"
20 และอยู่มาก็บังเกิดเป็นดังนั้นแก่เขา เพราะประชาชนเหยียบไปบนเขาที่ประตู เมืองและเขาก็ได้สิ้นชีวิต

2พงศ์กษัตริย์ 8
1 ฝ่ายเอลีชาได้บอกหญิงคนที่ท่านได้ให้บุตรของนางกลับคืนชีวิตมา ว่า "จงลุกขึ้นและออกไปทั้งครัวเรือนของเจ้า ไปอาศัยอยู่ที่ใดซึ่งเจ้าจะอาศัยอยู่ได้ เพราะพระเจ้าทรงเรียกให้เกิดการกันดารอาหาร และจะเป็นแก่แผ่นดินนี้เจ็ดปี"
2 หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นกระทำตามถ้อยคำของคนแห่งพระเจ้า นางยกออกไปทั้งครัวเรือนของนางไปอาศัยอยู่ใน แผ่นดินฟีลิสเตียเจ็ดปี
3 และอยู่มาเมื่อสิ้นเจ็ดปีแล้วหญิงคนนั้นก็กลับมา จากแผ่นดินฟีลิสเตีย และได้ออกไปทูลอุทธรณ์ต่อพระราชาเพื่อขอบ้านและ ที่ดินของนางคืน
4 ฝ่ายพระราชากำลังตรัสกับเกหะซีคนใช้ของคน แห่งพระเจ้าอยู่ว่า "จงบอกเราถึงบรรดามหกิจที่เอลีชาได้กระทำ"
5 และอยู่มา เมื่อเขากำลังทูลกษัตริย์ถึงเรื่องที่เอลีชาได้เรียกชีวิตของเด็กนั้นกลับคืนมา ดูเถิด ผู้หญิงคนที่ท่านได้ให้บุตรกลับคืนชีวิตมา ได้อุทธรณ์ต่อพระราชา เพื่อขอบ้านและที่ดินของนางคืน และเกหะซีทูลว่า "ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท นี่เป็นนางคนนั้น และคนนี้แหละเป็นบุตรของนาง ซึ่งเอลีชาได้ให้กลับคืนชีวิตมา"
6 และเมื่อพระราชาตรัสถามหญิงคนนั้น นางก็ทูลเรื่องถวายพระองค์ พระราชาจึงทรงตั้งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งให้แก่นางรับสั่งว่า "จงจัดการคืนทุกสิ่งที่เป็นของของนาง พร้อมทั้งพืชผลของนานั้น ตั้งแต่วันที่นางออกจากแผ่นดินมาจนถึงบัดนี้"
7 ฝ่ายเอลีชามายังดามัสกัส เบนฮาดัดพระราชาแห่งซีเรียทรงประชวรและเมื่อมีคนทูลว่า "คนแห่งพระเจ้ามาที่นี่"
8 พระราชาตรัสกับฮาซาเอลว่า "จงนำของกำนัลไปพบคนแห่งพระเจ้า ให้ทูลถามพระเจ้าโดยท่านว่า 'ข้าพเจ้าจะหายป่วยไหม'"
9 ฮาซาเอลจึงไปพบท่านนำของกำนัลไปด้วย คือสินค้าทุกอย่างของเมืองดามัสกัส บรรทุกหลังอูฐสี่สิบตัว เมื่อเขามายืนอยู่ต่อหน้าท่านเขากล่าวว่า "บุตรของท่านคือเบนฮาดัดพระราชาแห่งซีเรีย ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านกล่าวว่า 'ข้าพเจ้าจะหายป่วยหรือ'"
10 และเอลีชาตอบเขาว่า "จงไปทูลพระราชาว่า 'พระองค์จะทรงหายประชวรแน่' แต่พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์แน่"
11 และท่านก็เพ่งดูตัวเขาจนอาย และคนแห่งพระเจ้าก็ร้องไห้
12 และฮาซาเอลถามว่า "เหตุใดเจ้านายของข้าพเจ้าจึงร้องไห้" ท่านตอบว่า "เพราะข้าพเจ้าทราบถึงเหตุร้าย ซึ่งท่านจะกระทำต่อประชาชนอิสราเอล ท่านจะเอาไฟเผาป้อมปราการของเขาเสีย และท่านจะฆ่าคนหนุ่มๆเสียด้วยดาบ และฟาดเด็กเล็กๆลงเป็นชิ้นๆ และผ่าท้องหญิงที่มีครรภ์เสีย"
13 และฮาซาเอลตอบว่า "ผู้รับใช้ของท่านผู้เป็นแต่เพียงสุนัขเป็นใครเล่า ซึ่งจะกระทำสิ่งใหญ่โตนี้" เอลีชาตอบว่า "พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านจะเป็นกษัตริย์ครอบครองประเทศซีเรีย"
14 และเขาก็ไปจากเอลีชามายังนายของตน ผู้ซึ่งถามเขาว่า "เอลีชาว่าอย่างไรกับเจ้าบ้าง" และเขาทูลตอบว่า "เขาบอกว่าฝ่าพระบาทจะหายประชวรแน่"
15 และอยู่มาในวันรุ่งขึ้นเขาก็เอาผ้าปูที่นอน จุ่มน้ำคลุมพระพักตร์พระองค์ไว้ จนพระองค์สิ้นพระชนม์ และฮาซาเอลก็ขึ้นครองแทน
16 ในปีที่ห้าแห่งโยรัม โอรสอาหับพระราชาของอิสราเอล โยรัมโอรสเยโฮชาฟัทพระราชาของยูดาห์ ได้ทรงเริ่มครอบครอง
17 เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครองนั้นมีพระชนมายุ สามสิบสองพรรษา และพระองค์ทรงครอบครองในเยรูซาเล็มแปดปี
18 และพระองค์ทรงดำเนินตามมรรคาของบรรดา พระราชาแห่งอิสราเอล ตามอย่างที่ราชวงศ์อาหับกระทำเพราะว่าธิดาของ อาหับเป็นมเหสีของพระองค์ และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า
19 อย่างไรก็ดี พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายยูดาห์ เพราะทรงเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ เหตุที่พระองค์ได้ตรัสสัญญาว่า จะทรงประทานประทีปแก่ดาวิด และแก่ราชโอรสของพระองค์เป็นนิตย์
20 ในรัชกาลของพระองค์ เอโดมได้กบฏ ออกห่างจากการปกครองของยูดาห์ และตั้งกษัตริย์ขึ้นเหนือตน
21 แล้วเยโฮรัมก็เสด็จพร้อมกับรถรบของ พระองค์ผ่านไปถึงศาอีร์ พอกลางคืนก็ลุกขึ้น พระองค์และผู้บัญชาการรถรบของพระองค์ ก็โจมตีคนเอโดมซึ่งมาล้อมพระองค์นั้น แต่กองทัพของพระองค์ได้หนีกลับบ้านเสีย
22 เอโดมจึงได้กบฏ ออกห่างจากยูดาห์จนทุกวันนี้ แล้วลิบนาห์ก็ได้กบฏในคราวเดียวกัน
23 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของโยรัม และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่ง พระราชาประเทศยูดาห์หรือ
24 โยรัมจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และอาหัสยาห์โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทน
25 ในปีที่สิบสอง แห่งรัชกาลโยรัมโอรสของอาหับพระราชาแห่งอิสราเอล อาหัสยาห์โอรสโยรัมพระราชาแห่งยูดาห์ได้ ทรงเริ่มครอบครอง
26 เมื่ออาหัสยาห์ทรงเริ่มครอบครองนั้นมีพระชนมายุ ยี่สิบสองพรรษา และทรงครอบครองในเยรูซาเล็มหนึ่งปี พระมารดาของพระองค์ทรงพระนามอาธาลิยาห์ พระนางเป็นพระนัดดาของอมรีพระราชาแห่งอิสราเอล
27 พระองค์ทรงดำเนินตามราชวงศ์ของอาหับด้วย และทรงกระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรพระเจ้า ดังที่ราชวงศ์ของอาหับได้กระทำเพราะทรงเป็น ราชโอรสเขยในราชวงศ์ของอาหับ
28 พระองค์เสด็จกับโยรัมโอรสของอาหับเพื่อทำสงครามกับ ฮาซาเอลพระราชาแห่งซีเรียที่ราโมทกิเลอาด และคนซีเรียกระทำให้โยรัมบาดเจ็บ
29 และพระราชาโยรัมได้กลับมารักษาพระองค์ที่ยิสเรเอล ให้หายบาดเจ็บจากที่คนซีเรียได้กระทำแก่พระองค์ที่รามาห์ เมื่อพระองค์ทรงสู้กันกับฮาซาเอลพระราชาแห่งซีเรีย และอาหัสยาห์โอรสของเยโฮรัมพระราชาแห่งยูดาห์ ได้เสด็จลงไปหาโยรัมโอรสของอาหับในยิสเรเอล เพราะว่าพระองค์ทรงประชวร

2พงศ์กษัตริย์ 9
1 แล้วเอลีชาผู้เผยพระวจนะได้เรียกพวกผู้เผยพระวจนะ มาคนหนึ่ง และพูดกับเขาว่า "จงคาดเอวของเจ้าไว้ ถือน้ำมันขวดนี้ไปที่ราโมทกิเลอาด
2 และเมื่อเจ้าไปถึงแล้ว จงมองดูเยฮูบุตรเยโฮชาฟัทบุตรนิมซี จงเข้าไปหาเขา ให้ลุกขึ้นจากหมู่พวกเพื่อนๆ และนำเขาเข้าไปในห้องชั้นใน
3 แล้วจงเอาน้ำมันในขวดเทลงบนศีรษะของเขา และกล่าวว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล' แล้วจงเปิดประตูออกหนีไปอย่ารอช้าอยู่"
4 คนหนุ่มนั้นคือคนหนุ่ม ที่เป็นผู้เผยพระวจนะจึงไปยังราโมทกิเลอาด
5 และเมื่อเขามาถึง ดูเถิด บรรดาผู้บังคับบัญชา ทหารกำลังประชุมกันอยู่และเขากล่าวว่า "ข้าแต่ท่านผู้บัญชาการ ข้าพเจ้ามีธุระด่วนมาถึงท่าน" และเยฮูพูดว่า "มาหาคนใดในพวกเรา" และเขาว่า "ข้าแต่ท่านผู้บัญชาการ มาหาท่าน"
6 ท่านก็ลุกขึ้นเข้าไปในเรือน และคนหนุ่มนั้นก็เทน้ำมันบนศีรษะของท่าน กล่าวว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือประชากรของ พระเจ้าคือเหนืออิสราเอล
7 และเจ้าจงโค่นราชวงศ์ของอาหับนายของเจ้า เพื่อเราจะได้จัดการสนองเยเซเบล เพราะโลหิตของบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา และเพราะโลหิตของบรรดาผู้รับใช้ทั้งสิ้นของพระเจ้า
8 เพราะว่าราชวงศ์อาหับทั้งหมดจะต้องพินาศ และเราจะตัดผู้ชายทุกคนไม่ว่าทาสหรือไท ทั่วไปในอิสราเอลออกเสียจากอาหับ
9 และเราจะกระทำราชวงศ์ของอาหับให้ เหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัมบุตรเนบัท และเหมือนราชวงศ์ของบาอาชาบุตรอาหิยาห์
10 และสุนัขจะกินเยเซเบลในที่ดินส่วนพระองค์ ณ ยิสเรเอล และจะไม่มีผู้ใดฝังศพพระนาง" แล้วเขาก็เปิดประตูหนีไป
11 เมื่อเยฮูออกมาสู่พวกข้าราชการของเจ้านายของท่าน เขาทั้งหลายพูดกับท่านว่า "ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ ทำไมคนบ้าคนนี้จึงมาหาท่าน" ท่านพูดกับเขาทั้งหลายว่า "ท่านทั้งหลายรู้จักชายคนนั้นและทราบเขาพูดอะไรแล้ว"
12 และเขาทั้งหลายว่า "นั่นไม่เป็นความจริง ขอบอกเรามาเถิด" และท่านว่า "เขาพูดอย่างนี้กับข้าพเจ้าว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล'"
13 แล้วทุกคนก็รีบเปลื้องเสื้อผ้าของตนออกวางไว้รองท่านที่ขั้นบันไดซึ่งเปล่าอยู่ และเขาทั้งหลายเป่าเขาสัตว์ และป่าวร้องว่า "เยฮูเป็นกษัตริย์"
14 ดังนี้แหละ เยฮูบุตรเยโฮชาฟัท บุตรนิมซีได้ร่วมกันคิดกบฏต่อโยรัม (ฝ่ายโยรัม พร้อมกับอิสราเอลทั้งปวงยังระวังป้องกันฮาซาเอลกษัตริย์ แห่งซีเรียอยู่ที่ราโมทกิเลอาด
15 แต่พระราชาโยรัม ทรงกลับไปรักษาพระองค์ที่ยิสเรเอล เพราะบาดแผลซึ่งชนซีเรียได้กระทำแก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสู้รบกับฮาซาเอลพระราชาแห่งซีเรีย) เยฮูจึงตรัสว่า "ถ้านี่เป็นความประสงค์ของท่านทั้งหลาย ก็ขออย่าให้คนหนึ่งคนใดเล็ดลอดออกไปจากเมืองเพื่อ บอกข่าวที่ยิสเรเอล"
16 แล้วเยฮูก็เสด็จทรงรถรบและเสด็จไปยังยิสเรเอล เพราะโยรัมบรรทมที่นั่น และอาหัสยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ได้เสด็จลงมาเยี่ยมโยรัม
17 ฝ่ายทหารยามยืนอยู่บนหอคอยที่ยิสเรเอลเขามองเห็น พวกของเยฮูมาจึงว่า "ข้าพเจ้าเห็นคนพวกหนึ่ง" โยรัมตรัสว่า "จงใช้ให้พลม้าคนหนึ่งไปพบเขาให้ถามเขาว่า 'มาอย่างสันติหรือ'"
18 คนนั้นจึงขึ้นม้าไปพบท่านและพูดว่า "พระราชาตรัสดังนี้ว่า 'มาอย่างสันติหรือ'" และเยฮูตอบว่า "ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ จงเลี้ยวกลับตามเรามา" และทหารยามก็รายงานว่า "ผู้สื่อสารไปถึงเขาแล้ว แต่เขาไม่กลับมา"
19 พระองค์จึงรับสั่งใช้พลม้าคนที่สองออกไป ผู้นั้นมาถึงเขาแล้วก็พูดว่า "พระราชาตรัสดังนี้ว่า 'อย่างสันติหรือ'" และเยฮูตอบว่า "ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ จงเลี้ยวกลับตามเรามา"
20 ทหารยามก็รายงานอีกว่า "เขาไปถึงแล้วแต่เขาไม่กลับมา และการขับรถนั้นก็เหมือนกับการขับรถของเยฮูบุตรนิมซี เพราะเขาขับรวดเร็วนัก"
21 โยรัมตรัสว่า "จงเตรียมพร้อม" และเขาก็จัดรถรบของพระองค์ให้พร้อมไว้ แล้วโยรัมพระราชาแห่งอิสราเอล และอาหัสยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ก็เสด็จออกไป ต่างก็ทรงรถรบของพระองค์เอง ทรงออกไปปะทะกับเยฮูมาพบกันเข้า ณ ที่ดินแปลงของนาโบทชาวยิสเรเอล
22 และอยู่มาเมื่อโยรัมเห็นเยฮูแล้ว จึงตรัสว่า "เยฮู อย่างสันติหรือ" เยฮูตอบว่า "จะสันติอย่างไรได้ เมื่อการเล่นชู้และวิทยาคมของเยเซเบลมารดาของ ท่านยังมีอยู่มากเช่นนี้"
23 แล้วโยรัม ทรงชักบังเหียนหันกลับหนีไปพลางรับสั่งกับอาหัสยาห์ว่า "ข้าแต่อาหัสยาห์ เขาร่วมกันคิดกบฏ"
24 และเยฮูก็โก่งธนูด้วยสุดกำลัง ยิงถูกโยรัมระหว่าง พระอังสาทั้งสอง ลูกธนูจึงแทงทะลุพระหทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงล้มลงในรถรบของพระองค์
25 เยฮูตรัสกับบิดคาร์ นายทหารคนสนิทของพระองค์ว่า "จงยกศพเขาขึ้นและโยนทิ้งลงไปในที่ดินแปลงของนาโบท ชาวยิสเรเอล จำไว้เถอะ เมื่อฉันและท่านขี่ม้าเคียงกันมาตามอาหับบิดาของเขาไป พระเจ้าทรงกล่าวโทษเขาดังนี้ว่า
26 'เราได้เห็นโลหิตของนาโบท และโลหิตของลูกหลานของเขาเมื่อวานนี้แน่ทีเดียว เราจะสนองเจ้าบนที่ดินแปลงนี้แหละ ฉะนั้นจงยกเขาขึ้นทิ้งไว้ บนที่ดินแปลงนี้แหละตามพระวจนะของพระเจ้า"
27 เมื่ออาหัสยาห์พระราชาแห่งยูดาห์เห็นดังนั้น พระองค์ทรงหนีไปในทิศเมืองเบธฮักกาน และเยฮูก็ติดตามพระองค์ไปตรัสว่า "จงยิงท่านในรถรบด้วย" และเขาทั้งหลายได้ยิงพระองค์ตรงทางข้าม เขาตำบลกูรซึ่งอยู่ใกล้อิบเลอัม และพระองค์ทรงหนีไปถึงเมืองเมกิดโด และสิ้นพระชนม์ที่นั่น
28 ข้าราชการของพระองค์ก็บรรทุกพระศพใส่รถรบ ไปยังเยรูซาเล็ม และฝังไว้ในอุโมงค์ของพระองค์กับบรรพบุรุษของ พระองค์ในนครดาวิด
29 ในปีที่สิบเอ็ด แห่งรัชกาลโยรัมบุตรอาหับ อาหัสยาห์เริ่มครอบครองเหนือยูดาห์
30 เมื่อเยฮูมาถึงเมืองยิสเรเอล เยเซเบลทรงทราบเรื่อง พระนางก็ทรงเขียนตาและแต่งพระเศียร และทรงมองออกไปทางพระแกล
31 และเมื่อเยฮูผ่านเข้าประตูวังมา พระนางมีพระเสาวนีย์ว่า "เจ้าผู้ฆ่านายของเจ้าอย่างเจ้าศิมรี มาอย่างสันติหรือ"
32 แล้วเยฮูแหงนพระพักตร์ทอดพระเนตรที่พระแกลตรัสว่า "ใครอยู่ฝ่ายเรา ใครบ้าง" มีขันทีสองสามคนชะโงกหน้าต่างออกมาดูพระองค์
33 พระองค์ตรัสว่า "โยนนางลงมา" เขาจึงโยนพระนางลงมา และโลหิตของพระนางก็กระเด็นติดผนังกำแพงและติดม้า และพระองค์ทรงม้าย่ำไปบนพระนาง
34 แล้วพระองค์เสด็จเข้าไป เสวยและทรงดื่ม และพระองค์ตรัสว่า "จัดการกับหญิงที่ถูกสาปคนนี้ เอาไปฝังเสีย เพราะเธอเป็นธิดาของพระราชา"
35 แต่เมื่อเขาจะไปฝังศพพระนาง เขาก็พบแต่กระโหลกพระเศียร พระบาทและฝ่าพระหัตถ์ของพระนาง
36 เมื่อเขากลับมาทูลพระองค์ พระองค์ตรัสว่า "นี่เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสทางเอลียาห์ชาวทิชบีผู้รับใช้ ของพระองค์ว่า สุนัขจะกินเนื้อของเยเซเบลในเขตแดนยิสเรเอล
37 และศพของเยเซเบลจะเป็นเหมือนมูลสัตว์ บนพื้นทุ่งในเขตแดนยิสเรเอล เพื่อว่าจะไม่มีใครกล่าวว่า 'นี่คือ เยเซเบล'"

2พงศ์กษัตริย์ 10
1 ฝ่ายอาหับมีโอรสเจ็ดสิบองค์ในสะมาเรีย เยฮูจึงทรงพระอักษรส่งไปยังสะมาเรีย ถึงบรรดาผู้ปกครองเมืองยิสเรเอลนั้นถึงพวกผู้ใหญ่ และถึงบรรดาพี่เลี้ยงแห่งโอรสของอาหับว่า
2 "เพราะบรรดาโอรสของนายของท่านอยู่กับท่าน และท่านมีรถรบและม้า และเมืองที่มีป้อมด้วย และอาวุธ พอจดหมายนี้มาถึงท่าน
3 จงคัดเลือกโอรสนายของท่านองค์ที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุด จงตั้งท่านไว้บนพระที่นั่งของพระชนกของท่าน และจงสู้รบเพื่อราชวงศ์นายของท่าน"
4 แต่เขาทั้งหลายกลัวอย่างที่สุด และพูดว่า "ดูเถิด พระราชาสองพระองค์ยังต้านทานพระองค์ไม่ได้แล้ว เราจะต่อสู้พระองค์ได้อย่างไร"
5 ฉะนั้นผู้ที่บังคับบัญชาพระราชวัง และผู้ที่บังคับบัญชาบ้านเมืองพร้อมพวกผู้ใหญ่และ พวกพี่เลี้ยงใช้ให้ไปทูลเยฮูว่า "ข้าพระบาททั้งหลายเป็นผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท และข้าพระบาทจะกระทำทุกอย่างที่พระองค์ ตรัสสั่งแก่ข้าพระบาท ข้าพระบาทจะไม่ตั้งผู้หนึ่งผู้ใดไว้เป็นกษัตริย์ ขอทรงกระทำตามที่พอแก่พระเนตรพระกรรณของพระองค์ เถิด"
6 แล้วพระองค์ทรงมีลายพระหัตถ์ไปถึงเขาฉบับที่สองว่า "ถ้าท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายเรา และถ้าท่านพร้อมที่จะเชื่อฟังเรา จงนำศีรษะของบรรดาโอรสนายของท่านมาหา เราที่ยิสเรเอลพรุ่งนี้เวลานี้" ฝ่ายโอรสของพระราชาเจ็ดสิบพระองค์ด้วยกัน อยู่กับคนใหญ่คนโตในเมือง ผู้ซึ่งได้ชุบเลี้ยงท่านทั้งหลายมา
7 และอยู่มาเมื่อลายพระหัตถ์มาถึงเขาทั้งหลาย เขาก็จับโอรสของพระราชาฆ่าเสียเจ็ดสิบองค์ด้วยกัน เอาศีรษะใส่ตะกร้าส่งไปยังพระองค์ที่ยิสเรเอล
8 เมื่อผู้สื่อสารมาทูลพระองค์ว่า "เขานำศีรษะโอรสของกษัตริย์มาแล้วพระเจ้าข้า" พระองค์ตรัสว่า "จงกองไว้เป็นสองกองตรงทางเข้าประตูเมืองจนถึงรุ่งเช้า"
9 พอรุ่งเช้าพระองค์เสด็จออกไปประทับยืน ตรัสกับประชาชนทั้งปวงว่า "ท่านทั้งหลายเป็นผู้ไร้ความผิด ส่วนเราได้กบฏต่อนายของเราและประหารพระองค์เสีย แต่ผู้ใดเล่าที่ฆ่าคนเหล่านี้
10 จงทราบเถิดว่า พระวจนะของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าตรัสเกี่ยวกับราชวงศ์ของอาหับ จะไม่ตกดินแต่อย่างไรเลย เพราะพระเจ้าทรงกระทำตามที่พระองค์ตรัสโดยเอลียาห์ ผู้รับใช้ของพระองค์"
11 เยฮูทรงประหารราชวงศ์ของอาหับที่เหลืออยู่ในยิสเรเอล คนใหญ่คนโตทุกคนของพระองค์ และสหายสนิทของพระองค์และปุโรหิตของพระองค์ดังนี้ แหละไม่เหลือไว้สักคนเดียวเลย
12 แล้วพระองค์ก็ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังสะมาเรีย เมื่อพระองค์ประทับที่เบธเอเขดหมู่บ้านของผู้เลี้ยงแกะ ตามทางที่เสด็จ
13 เยฮูทรงพบพระญาติของอาหัสยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ และพระองค์ตรัสถามว่า "ท่านทั้งหลายคือใคร" และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายคือญาติของอาหัสยาห์ และข้าพเจ้าทั้งหลายลงมาเยี่ยมบรรดา ราชโอรสและโอรสของราชมารดา"
14 พระองค์รับสั่งว่า "จับเขาทั้งเป็น" เขาทั้งหลายก็จับเขาทั้งเป็น และประหารเขาเสียที่บ่อเบธเอเขดสี่สิบสองคนด้วยกัน ไม่เหลือไว้สักคนเดียว
15 และเมื่อพระองค์เสด็จจากที่นั่นก็ทรงพบเยโฮนาดับ บุตรเรคาบมาหาพระองค์ พระองค์ทรงต้อนรับเขาและตรัสกับเขาว่า "จิตใจของท่านซื่อตรงต่อจิตใจของฉัน อย่างจิตใจของฉันตรงต่อของท่านหรือ" และเยโฮนาดับทูลว่า "ตรง พระเจ้าข้า" เยฮูตรัสว่า "ถ้าตรงก็ยื่นมือมาให้เรา" เขาจึงยื่นมือของเขา และเยฮูก็จับเขาขึ้นมาบนรถรบ
16 พระองค์ตรัสว่า "มากับเราเถิด และดูความร้อนรนของเราเพื่อพระเจ้า" พระองค์จึงให้เขานั่งรถรบของพระองค์ไป
17 และเมื่อพระองค์มาถึงสะมาเรีย พระองค์ทรงประหารคนทั้งปวงที่ เป็นราชวงศ์ของอาหับที่เหลืออยู่ในสะมาเรียเสีย จนพระองค์ทรงทำลายอาหับเสียสิ้น ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพระองค์ตรัสกับเอลียาห์
18 แล้วเยฮูทรงประชุมบรรดาประชาชน ทั้งสิ้น และตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "อาหับปรนนิบัติพระบาอัลแต่เล็กน้อย แต่เยฮูจะปรนนิบัติพระองค์มาก
19 ฉะนั้นจงเรียกผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลมาให้หมด ทั้งบรรดาผู้นมัสการและปุโรหิตของท่านอย่าให้ผู้ใด ขาดไปเลย เพราะเราจะมีสัตวบูชาอย่างใหญ่โตที่จะถวายแก่พระบาอัล ผู้ใดขาดจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้" แต่เยฮูทรงกระทำเป็น อุบายเพื่อจะทำลายผู้เคารพนมัสการพระบาอัล
20 และเยฮูตรัสสั่งว่า "จงจัดพิธีประชุมนมัสการพระบาอัล" เขาก็ป่าวร้องเรียกประชุมเช่นนั้น
21 และเยฮูทรงใช้ให้ไปทั่วอิสราเอล และผู้นมัสการพระบาอัลก็มาทั้งหมด จึงไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ไม่ได้มา และเขาทั้งหลายก็เข้าไปในนิเวศของพระบาอัล และนิเวศของพระบาอัลก็เต็มแน่น
22 พระองค์ตรัสสั่งผู้ที่ดูแลตู้เสื้อว่า "จงเอาเสื้อสำหรับนมัสการพระบาอัลออกมา" เขาก็เอาเสื้อออกมาให้เขาทั้งหลาย
23 แล้วเยฮูเสด็จเข้าไปในนิเวศของพระบาอัล พร้อมกับเยโฮนาดับบุตรเรคาบ พระองค์ตรัสกับผู้นมัสการพระบาอัลว่า "จงค้นดู ดูให้ดีว่าไม่มีผู้รับใช้ของพระเยโฮวาห์อยู่ในหมู่พวกท่าน ให้มีแต่ผู้นมัสการพระบาอัลเท่านั้น"
24 แล้วเขาทั้งหลายเข้าไปถวายเครื่อง สัตวบูชาและเครื่องเผาบูชา เยฮูทรงวางคนแปดสิบคนไว้ภายนอก และตรัสว่า "ชายคนใดที่ปล่อยให้คนหนึ่งคนใดซึ่งเรามอบ ไว้ในมือเจ้าหนีรอดไปได้ เขาต้องเสียชีวิตของเขาแทน"
25 และอยู่มาเมื่อพระองค์เสร็จการถวายเครื่องเผาบูชา เยฮูรับสั่งแก่ทหารรักษาพระองค์และพวกนายทหารว่า "จงเข้าไปฆ่าเขาเสีย อย่าให้รอดสักคนเดียว" เมื่อเขาฆ่าเขาทั้งหลายเสียด้วยคมดาบแล้ว ทหารรักษาพระองค์และพวกนายทหารก็โยน ศพเขาทั้งหลายออกไปข้างนอก แล้วก็เข้าไปที่แท่นบูชาในนิเวศพระบาอัล
26 เขานำเอาเสาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ในนิเวศของ พระบาอัลออกมาเผาเสีย
27 และเขาทั้งหลายทลายเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งพระบาอัล และทลายนิเวศของพระบาอัล และกระทำให้เป็นส้วมจนทุกวันนี้
28 เยฮูทรงกวาดล้างพระบาอัลจากอิสราเอลดังนี้แหละ
29 แต่เยฮูมิได้ทรงหันจากบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำด้วย คือโคทองคำซึ่งอยู่ในเมืองเบธเอลและในเมืองดาน
30 และพระเจ้าตรัสกับเยฮูว่า "เพราะเจ้าได้ทำดีในการที่กระทำ สิ่งที่ชอบในสายตาของเรา และได้กระทำต่อราชวงศ์ อาหับตามทุกอย่างที่อยู่ในใจของเรา เชื้อสายของเจ้าจนชั่วชีวิตที่สี่จะได้ นั่งบนพระที่นั่งของอิสราเอล"
31 แต่เยฮูมิได้ทรงระมัดระวังที่จะดำเนินตาม พระธรรมของพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ด้วยสิ้นสุดพระทัยของพระองค์ พระองค์มิได้ทรงหันเสียจากบาปของเยโรโบอัม ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำด้วย
32 ในสมัยนั้นพระเจ้าทรงเริ่มตัดส่วนของอิสราเอลออก ฮาซาเอลได้รบชนะตามพรมแดนอิสราเอล
33 ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกทั่วแผ่นดินกิเลอาด คนกาด คนรูเบน และคนมนัสเสห์ ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ข้างที่ลุ่มแม่น้ำอารโนน คือกิเลอาดและบาชาน
34 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยฮู และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ และยุทธพลังทั้งสิ้นของพระองค์ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศอิสราเอลหรือ
35 เยฮูจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ฝังไว้ในกรุงสะมาเรีย และเยโฮอาหาสโอรสของพระองค์ได้เสวยราชย์แทนพระองค์
36 เวลาที่เยฮูทรงครอบครองเหนืออิสราเอลใน สะมาเรียนั้นเป็นยี่สิบแปดปี

2พงศ์กษัตริย์ 11
1 เมื่ออาธาลิยาห์พระมารดาของอาหัสยาห์ ทรงเห็นว่าโอรสของพระนางสิ้นพระชนม์ พระนางก็ลุกขึ้นทรงทำลายเชื้อพระวงศ์เสียสิ้น
2 แต่เยโฮเชบาธิดาของกษัตริย์โยรัม พระน้องนางของอาหัสยาห์ได้นำโยอาชโอรสของอาหัสยาห์ และลอบลักเธอไปจากท่ามกลางโอรสของพระราชา ผู้ซึ่งจะถูกประหารชีวิต และพระนางเก็บเธอและพี่เลี้ยงของเธอไว้ในห้องเก็บที่นอน พระนางซ่อนเธอเสียจากอาธาลิยาห์ดังนี้แหละ เธอจึงมิได้ถูกประหารชีวิต
3 และเธออยู่กับพระนางหกปีซ่อน อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และอาธาลิยาห์ก็ครอบครองแผ่นดิน
4 แต่ในปีที่เจ็ด เยโฮยาดาได้ใช้ให้บรรดานายทัพนายกองของคนคารี และของพวกทหาร รักษาพระองค์ ให้เขาทั้งหลายมาหาท่านที่ในพระนิเวศของพระเจ้า และท่านได้ทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลาย และให้เขาสาบานในพระนิเวศของพระเจ้า และท่านได้นำโอรสของพระราชามาให้เขาเห็น
5 และท่านบัญชาเขาทั้งหลายว่า นี่เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายพึงกระทำคือหนึ่งในสามของพวกท่าน ผู้เข้าเวรวันสะบาโตเฝ้าพระราชวัง
6 (ฝ่ายอีกหนึ่งในสามประจำอยู่ที่ประตูสูร และอีกหนึ่งในสามประจำอยู่ที่ประตูข้างหลัง ทหารรักษาพระองค์) ให้เฝ้าพระราชวังทำการกีดขวางไว้
7 ส่วนท่านทั้งหลายอีกสองพวก คือผู้ที่ออกเวรวันสะบาโตให้เฝ้า พระนิเวศของพระเจ้ารอบพระราชา
8 ท่านทั้งหลายจงล้อมพระราชาไว้รอบ ทุกคนถืออาวุธของตนไว้ ผู้ที่เข้ามาใกล้แถวให้ประหารชีวิตเสีย จงอยู่กับพระราชาเมื่อพระองค์เสด็จออกและเสด็จเข้า"
9 นายทัพนายกองก็ได้กระทำตามที่เยโฮยาดา ปุโรหิตสั่งทุกประการ ต่างก็นำคนของตนที่จะเข้าเวรวันสะบาโต พร้อมกับคนที่จะออกเวรวันสะบาโตนั้นมาหา เยโฮยาดาปุโรหิต
10 และปุโรหิตก็มอบหอกและโล่ซึ่งอยู่ใน พระนิเวศของพระเจ้า อันเป็นของพระราชาดาวิดแก่นายทัพนายกอง
11 และทหารรักษาพระองค์ถืออาวุธทุกคนยืนประจำอยู่ ตั้งแต่พระนิเวศด้านขวาไปถึงพระนิเวศด้านซ้าย รอบแท่นบูชาและพระนิเวศอยู่รอบพระราชา
12 แล้วท่านก็นำโอรสของพระราชาออกมาสวมมงกุฎให้ และมอบพระโอวาทให้และเขาทั้งหลายตั้งท่านไว้เป็นกษัตริย์ และได้เจิมท่านและเขาทั้งหลายก็ตบมือ พูดว่า "ขอพระราชาทรงพระเจริญ"
13 เมื่ออาธาลิยาห์ทรงสดับเสียงทหารรักษาพระองค์และ เสียงประชาชน พระนางก็เสด็จเข้าไปหาประชาชนที่พระนิเวศของพระเจ้า
14 และเมื่อพระนางทอดพระเนตร ก็แลเห็นพระราชาประทับยืนอยู่ที่ข้างเสา ตามธรรมเนียมประเพณีมีนายทัพนายกองและ พลแตรอยู่ข้างพระราชา และราษฎรทั้งสิ้นก็ร่าเริงและเป่าเขาสัตว์ พระนางอาธาลิยาห์ก็ฉีกฉลองพระองค์ทรงร้องว่า "กบฏ กบฏ"
15 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตก็บัญชานายทัพนายกองทั้งปวง ผู้ที่ได้ตั้งให้ควบคุมกองทัพว่า "จงคุมพระนางออกมาระหว่างแถวทหาร ผู้ใดติดตามพระนางไปก็จงประหารเสียด้วยดาบ" เพราะปุโรหิตกล่าวว่า "อย่าให้พระนางถูกประหารในพระนิเวศของพระเจ้า"
16 เขาทั้งหลายจึงจับพระนาง และพระนางก็ไปตามทางที่ม้าเข้าพระราชวัง และถูกประหารเสียที่นั่น
17 และเยโฮยาดาได้กระทำพันธสัญญาระหว่างพระเจ้า และพระราชา และประชากรว่าให้เขาเป็นประชากรของพระเจ้า และระหว่างพระราชากับประชากรด้วย
18 แล้วประชากรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดิน ก็เข้าไปในนิเวศของพระบาอัล และพังนิเวศเสีย เขาทำลายแท่นบูชาและรูปเคารพของพระบาอัลเสียเป็นชิ้นๆ และได้ประหารชีวิตมัทตานปุโรหิตของพระบาอัลเสียที่ หน้าแท่นบูชา และปุโรหิตก็วางยามไว้ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า
19 และท่านได้นำนายทัพนายกองคนคารีทหารรักษาพระองค์ และราษฎรทั้งสิ้น และเขาทั้งหลายได้นำพระราชาลงมาจากพระนิเวศ ของพระเจ้า ไปตามทางประตูทหารรักษาพระองค์ไปถึงพระราชวัง และพระองค์ก็เสด็จประทับบนพระที่นั่งของพระราชา
20 ราษฎรทุกคนจึงร่าเริง และบ้านเมืองก็สงบเงียบ และอาธาลิยาห์ทรงถูกประหารด้วยดาบแล้วที่พระราชวัง
21 เมื่อโยอาช ได้เริ่มครอบครองนั้นมีพระชนมายุเจ็ดพรรษา

2พงศ์กษัตริย์ 12

1 ในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลเยฮู โยอาชได้เริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มสี่สิบปี พระมารดาของพระองค์ทรงพระนามว่าศิบียาห์ชาว เบเออร์เชบา
2 และโยอาช ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า ตลอดเวลาของพระองค์ที่เยโฮยาดาปุโรหิตได้สั่งสอน แนะนำพระองค์
3 ถึงกระนั้นเขาก็ยังมิได้รื้อปูชนียสถานสูงเอาไป ประชาชนยังคงถวายสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมในปูชนียสถานสูงเหล่านั้น
4 โยอาชตรัสกับพวกปุโรหิตว่า "เงินอันเป็นของถวายที่บริสุทธิ์ทั้งสิ้น ซึ่งเขานำมาในพระนิเวศของพระเจ้า เงินที่เรียกจากรายบุคคล คือเงินที่กำหนดให้เสียตามรายบุคคล และเงินซึ่งประชาชนถวายด้วยความสมัครใจ ที่จะนำมาไว้ในพระนิเวศของพระเจ้า
5 ให้ปุโรหิตรับเงินนั้นจากหมู่คนที่รู้จักกัน ให้เขาซ่อมพระนิเวศตรงที่ที่เขาเห็นว่าต้องการซ่อมแซม"
6 แต่เมื่อถึงปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลพระราชาโยอาช ปรากฏว่า ปุโรหิตมิได้ทำการซ่อมแซมพระนิเวศ
7 เพราะฉะนั้น พระราชาโยอาชจึงตรัสเรียกเยโฮยาดา และปุโรหิตอื่นๆ และตรัสกับเขาว่า "ไฉนท่านจึงมิได้ซ่อมแซมพระนิเวศ เพราะฉะนั้นอย่าเก็บเงินจากคนที่ท่านรู้จักอีกต่อไปเลย แต่ให้ส่งไปเพื่อการซ่อมแซมพระนิเวศ"
8 ปุโรหิตจึงตกลงว่าจะไม่รับเงินจากประชาชนอีก และเขาไม่ต้องทำการซ่อมแซมพระนิเวศ
9 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิต นำหีบมาใบหนึ่ง เจาะรูหนึ่งที่ฝาหีบนั้น และตั้งไว้ที่ข้างๆแท่นบูชาด้านขวา เมื่อเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า และปุโรหิตผู้ที่เฝ้าอยู่ที่ธรณีประตู ก็นำเงินซึ่งเขานำมาในพระนิเวศของพระเจ้า ใส่ไว้ในหีบนั้น
10 และเมื่อเขาเห็นว่ามีเงินในหีบมากแล้ว ราชเลขา และมหาปุโรหิตจะมานับเงิน และเอาเงินที่เขาพบในพระนิเวศของพระเจ้านั้นใส่ถุงมัดไว้
11 แล้วเขาจะมอบเงินที่ชั่งออกแล้วนั้นใส่มือของ คนงานผู้ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า แล้วเขาจะจ่ายต่อให้แก่ช่างไม้และช่างก่อสร้าง ผู้ทำงานพระนิเวศของพระเจ้า
12 และให้แก่ช่างก่อ และช่างสกัดหิน ทั้งจ่ายซื้อตัวไม้ และหินสกัดที่ใช้ในการซ่อมแซมพระนิเวศของพระเจ้า และเพื่อค่าใช้จ่ายใดๆ ในงานซ่อมแซมพระนิเวศของพระเจ้า
13 แต่ว่าเงินที่นำมาถวายในพระนิเวศของพระเจ้านั้น มิได้นำไปใช้ในการทำถ้วยเงิน ตะไกรตัดใส้ตะเกียง ชาม แตร หรือภาชนะทองคำใดๆ หรือภาชนะเงิน
14 เพราะเงินนั้นเขาให้แก่คนงานซึ่ง ทำงานซ่อมพระนิเวศของพระเจ้า
15 และเขามิได้ขอบัญชีจากคนที่ เขามอบเงินใส่ในมือให้เอาไปจ่ายแก่คนงาน เพราะว่าเขาปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์
16 เงินที่ได้จากการไถ่ความผิด และเงินที่ได้จากการไถ่บาป มิได้นำมาไว้ในพระนิเวศของพระเจ้า เงินนั้นเป็นของปุโรหิต
17 แล้วคราวนั้นฮาซาเอลพระราชาแห่งซีเรียได้ยกขึ้น ไปสู้รบกับเมืองกัทและยึดเมืองนั้นได้ แต่เมื่อฮาซาเอลมุ่งพระพักตร์จะไปตีกรุงเยรูซาเล็ม
18 เยโฮอาชพระราชาแห่งยูดาห์ทรงนำเอาของสิ่งบูชาทั้งหมดที่เยโฮชาฟัทและโยรัม และอาหัสยาห์บรรพบุรุษของพระองค์ถวายไว้นั้น และของสิ่งบูชาของพระองค์เอง และทองคำทั้งหมดที่พบในคลังพระนิเวศของพระเจ้า และของสำนักพระราชวัง และส่งสิ่งเหล่านี้ไปกำนัลฮาซาเอลพระราชาแห่งซีเรีย แล้วฮาซาเอลก็ถอยทัพจากกรุงเยรูซาเล็ม
19 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของโยอาช และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชาประเทศ ยูดาห์หรือ
20 ข้าราชการของพระองค์ลุกขึ้นกระทำการทรยศและ ประหารโยอาชเสียในวังมิลโล ตามทางที่ลงไปยังสิลลา
21 คือโยซาคาร์บุตรชิเมอัท และเยโฮซาบาดบุตรโชเมอร์ ข้าราชการของพระองค์ได้ประหารพระองค์ พระองค์จึงสิ้นพระชนม์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และอามาซิยาห์โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทน

2พงศ์กษัตริย์ 13
1 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาล โยอาชโอรสของอาหัสยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ เยโฮอาหาสโอรสของเยฮู ได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย และทรงครอบครองอยู่สิบเจ็ดปี
2 พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วช้าในสายพระเนตรพระเจ้า และกระทำตามบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำให้อิสราเอลทำด้วย พระองค์หาได้พรากจากสิ่งเหล่านั้นไม่
3 และพระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงมอบเขาทั้งหลายไว้ในมือของฮาซาเอล และในมือของเบนฮาดัดโอรสของฮาซาเอลเนืองๆ
4 แล้วเยโฮอาหาสได้วิงวอนพระเจ้า และพระเจ้าทรงฟังท่าน เพราะพระองค์ทรงเห็นการบีบบังคับอิสราเอล คือที่พระราชาแห่งซีเรียบีบบังคับเขาอย่างไร
5 (เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงประทานผู้ช่วยผู้หนึ่งแก่อิสราเอล เขาจึงรอดพ้นจากมือคนซีเรียและประชาชน อิสราเอลก็อาศัยอยู่ในบ้านเขาอย่างเดิม
6 ถึงกระนั้นเขาก็มิได้พรากจากบาปของ ราชวงศ์เยโรโบอัม ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำด้วย แต่ทรงดำเนินในบาปนั้น และอาเชราห์ก็ยังคงอยู่ในสะมาเรียด้วย)
7 เพราะมิได้เหลือกองทัพไว้ให้เยโฮอาหาส เกินกว่าทหารม้าห้าสิบคน และรถรบสิบคันและทหารราบหนึ่งหมื่นคน เพราะพระราชาแห่งซีเรียได้ทำลายเขาทั้งหลายเสีย ทำให้เหมือนละอองเวลานวดข้าว
8 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยโฮอาหาส และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำและยุทธพลังของพระองค์ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศอิสราเอลหรือ
9 และเยโฮอาหาสทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ ของพระองค์ และเขาฝังไว้ในสะมาเรีย และเยโฮอาชโอรสของพระองค์ขึ้นครองแทนพระองค์
10 ในปีที่สามสิบเจ็ดแห่งรัชกาล โยอาชพระราชาแห่งยูดาห์ เยโฮอาชโอรสเยโฮอาหาสได้ เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย และพระองค์ทรงครอบครองสิบหกปี
11 พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า พระองค์มิได้พรากจากบรรดาบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำด้วย แต่พระองค์ทรงดำเนินในบาปนั้น
12 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยโฮอาช และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำและยุทธพลัง ซึ่งพระองค์ทรงสู้รบกับอามาซิยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศอิสราเอลหรือ
13 เยโฮอาชจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโรโบอัมทรงประทับบนที่นั่งของพระองค์ และเขาฝังพระศพเยโฮอาชไว้ในสะมาเรียกับ พระราชาแห่งอิสราเอล
14 เมื่อเอลีชาล้มป่วยด้วยโรคที่ท่านจะต้องสิ้นชีวิต เยโฮอาชพระราชาแห่งอิสราเอลได้เสด็จลงไปหาท่าน และกันแสงต่อหน้าท่าน ตรัสว่า "บิดาของข้า บิดาของข้า ราชรถของอิสราเอล และพลม้าของประเทศ"
15 และเอลีชาทูลพระองค์ว่า "ขอทรงเอาคันธนูและลูกธนูมา" พระองค์จึงทรงเอาคันธนูและลูกธนูมา
16 แล้วท่านทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า "ขอทรงหยิบธนู" และพระองค์ทรงหยิบมา และเอลีชาเอามือของตนวางบนพระหัตถ์ของพระราชา
17 และท่านทูลว่า "ขอทรงเปิดหน้าต่างด้านตะวันออก" และพระองค์ทรงเปิดแล้ว เอลีชาทูลว่า "ขอทรงยิง" และพระองค์ก็ทรงยิงและท่านทูลว่า "ลูกธนูชัยชนะของพระเจ้า ลูกธนูชัยชนะเหนือซีเรียเพราะพระองค์จะทรง ต่อสู้กับคนซีเรียที่อาเฟก จนกว่าพระองค์จะทรงกระทำให้เขาสิ้นไป"
18 และท่านทูลว่า "ขอทรงหยิบลูกธนู" และพระองค์ทรงหยิบมัน และท่านทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า "เอาลูกธนูตีพื้นดิน" และพระองค์ทรงตีสามครั้งแล้วทรงหยุดเสีย
19 แล้วคนแห่งพระเจ้าก็โกรธพระองค์ และทูลว่า "พระองค์ควรจะได้ตีสักห้าหรือหกครั้ง แล้วพระองค์จะได้ตีซีเรียจนกว่าพระองค์จะทรง กระทำให้เขาสิ้นไป แต่บัดนี้พระองค์จะตีซีเรียได้เพียงสามครั้งเท่านั้น"
20 และเอลีชาสิ้นชีวิต เขาก็ฝังไว้ ฝ่ายหมู่คนโมอับเคยปล้นแผ่นดินนั้นในฤดูแล้ง
21 ครั้งหนึ่ง เมื่อเขากำลังส่งศพคนหนึ่งไป นี่แน่ะ เขาเห็นโจรหมู่หนึ่ง เขาจึงโยนศพชายคนนั้นลงไปในอุโมงค์ของเอลีชา พอศพชายคนนั้นแตะต้องกระดูกของเอลีชา เขาก็คืนชีวิตลุกขึ้นยืน
22 ฝ่ายฮาซาเอล พระราชาแห่งซีเรียได้บีบบังคับคน อิสราเอลอยู่ตลอดรัชกาลของเยโฮอาหาส
23 แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาต่อเขา และทรงเมตตาเขา และพระองค์ทรงหันมาทางเขาเพราะพันธสัญญา ของพระองค์กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ และจะไม่ทรงทำลายเขา หรือทอดทิ้งเขาเสียให้พ้นพระพักตร์จนบัดนี้
24 เมื่อฮาซาเอลพระราชาแห่งซีเรียสิ้นพระชนม์ เบนฮาดัด โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองแทนพระองค์
25 แล้วเยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาสได้ยึดบรรดา หัวเมืองจากเบนฮาดัดบุตรฮาซาเอลกลับคืนมา เป็นหัวเมืองที่พระองค์ตีไปได้จากเยโฮอาหาสพระชนกของเยโฮอาชเมื่อทำสงครามกัน เยโฮอาชได้รบชนะพระองค์สามครั้งและได้ หัวเมืองอิสราเอลกลับคืนมา

2พงศ์กษัตริย์ 14

1 ในปีที่สองแห่งรัชกาลเยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาส กษัตริย์แห่งอิสราเอล อามาซิยาห์โอรสของโยอาชพระราชาแห่งยูดาห์ ได้เริ่มครอบครอง
2 เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครองนั้น พระองค์มีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา และพระองค์ทรงครองในเยรูซาเล็มยี่สิบเก้าปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเยโฮอัดดีน ชาวเยรูซาเล็ม
3 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ยังไม่เหมือนกับดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ พระองค์ทรงกระทำตามทุกสิ่งซึ่งโยอาชราชบิดาของพระองค์ได้ ทรงกระทำ
4 แต่ว่าปูชนียสถานสูงนั้นยังมิได้ทรงรื้อเสีย ประชาชนยังคงถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนปูชนียสถานสูงเหล่านั้น
5 และอยู่มาเมื่อราชอาณาจักรอยู่ในพระหัตถ์ ของพระองค์อย่างมั่นคงแล้ว พระองค์ก็ทรงประหารชีวิตข้าราชการของพระองค์ ผู้ที่ฆ่าพระราชบิดาของพระองค์เสีย
6 แต่พระองค์มิได้ทรงประหารชีวิตลูกหลานของผู้ที่ฆ่านั้น ตามซึ่งได้บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ที่พระเจ้าทรงบัญชาว่า "อย่าประหารชีวิตบิดาเพราะการกระทำของลูกหลาน หรืออย่าประหารลูกหลานเพราะการกระทำของบิดา แต่ทุกคนต้องตายเพราะบาปของตนเอง"
7 พระองค์ทรงประหารชีวิตคนเอโดมหนึ่งหมื่นคนใน หุบเขาเกลือ และยึดเมืองเส-ลาด้วยการสงครามและเรียกเมืองนั้นว่า โยกเธเอล ซึ่งเป็นชื่อมาถึงทุกวันนี้
8 และอามาซิยาห์ทรงใช้ผู้สื่อสารไปหาเยโฮอาช โอรสของเยโฮอาหาสโอรสของเยฮู พระราชาแห่งอิสราเอลทูลว่า "มาเถิด ขอให้เราเผชิญหน้ากัน"
9 และเยโฮอาชพระราชา แห่งอิสราเอลทรงส่งข่าวไปยังอามาซิยาห์ พระราชาแห่งยูดาห์ว่า "ต้นกระชับบนภูเขาเลบานอนส่งข่าวไปหาต้นสน สีดาร์บนภูเขาเลบานอนว่า 'จงยกบุตรหญิงของเจ้าให้เป็นภรรยาบุตรชายของเรา' และสัตว์ป่าทุ่งตัวหนึ่งแห่งเลบานอนผ่านมา และย่ำต้นกระชับลงเสีย
10 จริงอยู่ท่านได้โจมตีเอโดม และพระทัยของท่านก็ทำให้ท่านผยองขึ้น จงพอใจในศักดิ์ศรีของท่านเถิด และอยู่กับบ้านเพราะไฉนท่านจึงเร้าใจตน เองให้ต่อสู้และรับอันตราย อันจะให้ท่านล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์ด้วย"
11 แต่อามาซิยาห์หาทรงฟังไม่ เยโฮอาชพระราชาแห่งอิสราเอลจึงขึ้นไป และพระองค์กับอามาซิยาห์พระราชาแห่ง ยูดาห์ก็เผชิญหน้ากันที่เบธเชเมชซึ่งเป็นของยูดาห์
12 และยูดาห์ก็พ่ายแพ้อิสราเอล และทุกคนก็หนีกลับไปบ้านของตน
13 และเยโฮอาชพระราชาแห่งอิสราเอลก็จับอามาซิยาห์ พระราชาแห่งยูดาห์โอรสของโยอาช โอรสของอาหัสยาห์ได้ที่เมืองเบธเชเมชและ ได้เสด็จมายังเยรูซาเล็ม และทลายกำแพงเยรูซาเล็มลงเสียสี่ร้อยศอก ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมจนถึงประตูมุม
14 และพระองค์ทรงริบทองคำ และเงินทั้งหมดและเครื่องใช้ทั้งหมดที่พบในพระนิเวศ ของพระเจ้า และในคลังของสำนักพระราชวังพร้อมกับคนประกัน และพระองค์กลับไปยังสะมาเรีย
15 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยโฮอาชซึ่งพระองค์ทรงกระทำ ทั้งยุทธพลังของพระองค์ และที่พระองค์ทรงสู้รบกับอามาซิยาห์ พระราชาแห่งยูดาห์อย่างไรนั้น มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศอิสราเอลหรือ
16 และเยโฮอาชทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในสะมาเรียกับบรรดาพระราชาแห่ง อิสราเอล และเยโรโบอัมโอรสของพระองค์ได้ครอบครองแทนพระองค์
17 อามาซิยาห์ โอรสของโยอาชพระราชาแห่งยูดาห์ทรงพระชนม์อยู่สิบห้าปี หลังจากมรณกรรมของเยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาส พระราชาแห่งอิสราเอล
18 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของอามาซิยาห์ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศยูดาห์หรือ
19 และเขาได้ร่วมกันกบฏต่อพระองค์ในเยรูซาเล็ม และพระองค์ทรงหนีไปยังลาคีช แต่เขาใช้คนไปตาม พระองค์ที่ลาคีช และประหารชีวิตพระองค์เสียที่นั่น
20 และเขานำพระศพบรรทุกม้ากลับมาและ ฝังไว้ในเยรูซาเล็ม อยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด
21 และประชาชนทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ก็ตั้งอาซาริยาห์ ผู้ซึ่งมีพระชนมายุสิบหกพรรษา ให้เป็นกษัตริย์แทนอามาซิยาห์พระราชบิดาของพระองค์
22 พระองค์ทรงสร้างเมืองเอลัทและให้กลับขึ้นแก่ยูดาห์ หลังจากที่พระราชาทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของ พระองค์
23 ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลอามาซิยาห์ โอรสของโยอาชพระราชาแห่งยูดาห์ เยโรโบอัมโอรสของเยโฮอาชแห่งอิสราเอลได้เริ่มครอบครองในสะมาเรีย และทรงครอบครองอยู่สี่สิบเอ็ดปี
24 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า พระองค์มิได้ทรงพรากจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตร เนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลกระทำด้วย
25 พระองค์ทรงตีเอาดินแดนอิสราเอลคืนมา ตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัท ไกลไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ตามพระวจนะของ พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งพระองค์ตรัสโดยผู้รับใช้ของพระองค์ คือโยนาห์ ผู้เป็นบุตรอามิททัยผู้เผยพระวจนะผู้มาจากกัธเฮเฟอร์
26 เพราะพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่า ความทุกข์ใจของ อิสราเอลนั้นขมขื่นนัก เพราะไม่มีผู้ใดเหลือไม่ว่าทาสหรือไท และไม่มีผู้ใดช่วยอิสราเอล
27 พระเจ้ามิได้ตรัสว่า จะทรงลบนามอิสราเอลเสียจากใต้ฟ้าสวรรค์ แต่พระองค์ทรงช่วยเขาโดยพระหัตถ์ของเยโรโบอัม โอรสของเยโฮอาช
28 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยโรโบอัม และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ และยุทธพลังของพระองค์ พระองค์สู้รบอย่างไรและเรื่องที่พระองค์ทรงตีเอา ดามัสกัสและฮาบัทคืนแก่อิสราเอล ซึ่งได้เคยเป็นของยูดาห์ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชาประเทศ อิสราเอลหรือ
29 และเยโรโบอัมทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ คือบรรดาพระราชาแห่งอิสราเอล และเศคาริยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองแทนพระองค์

2พงศ์กษัตริย์ 15

1 ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโรโบอัม พระราชาแห่งอิสราเอล อาซาริยาห์โอรสของอามาซิยาห์ พระราชาแห่งยูดาห์ได้เริ่มครอบครอง
2 เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครองนั้น พระองค์ทรงมีพระชนมายุสิบหกพรรษา และพระองค์ทรงครอบครองอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มห้าสิบสองปี พระมารดามีพระนามว่าเยโคลียาห์ชาวเยรูซาเล็ม
3 พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า ตามทุกอย่างที่อามาซิยาห์พระบิดาของพระองค์ทรงกระทำ
4 ถึงกระนั้นปูชนียสถานสูงก็ยังมิได้ถูกกำจัดเสีย ประชาชนยังถวายสัตวบูชาและเผา เครื่องหอมบนปูชนียสถานสูงเหล่านั้น
5 และพระองค์ทรงลงทัณฑ์พระราชา พระราชาจึงทรงเป็นโรคเรื้อนจนถึงวันสิ้นพระชนม์ และทรงประทับในวังต่างหากและโยธามโอรสของ พระราชาควบคุมสำนักพระราชวัง และทรงวินิจฉัยราษฎรแห่งแผ่นดิน
6 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของอาซาริยาห์และบรรดาสิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศยูดาห์หรือ
7 และอาซาริยาห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ ของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และโยธามโอรสของพระองค์ขึ้นครองแทนพระองค์
8 ในปีที่สามสิบแปดแห่งรัชกาลอาซาริยาห์ พระราชาแห่งยูดาห์ เศคาริยาห์โอรสของเยโรโบอัมขึ้นครองเหนือ อิสราเอลในสะมาเรียหกเดือน
9 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า ดังที่บรรพบุรุษของพระองค์ทรงกระทำ พระองค์มิได้ทรงพรากจากบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำด้วย
10 ชัลลูมบุตรยาเบชร่วมกันกบฏต่อพระองค์ และล้มพระองค์เสียต่อหน้าประชาชนและประหารพระองค์เสีย และขึ้นครองแทนพระองค์
11 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเศคาริยาห์ ดูเถิด ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศอิสราเอล
12 (เหตุการณ์นี้เป็นไปตามพระดำรัสที่พระเจ้าตรัสแก่ เยฮูว่า "บุตรชายของเจ้าจะนั่งบนพระที่นั่งของอิสราเอลถึงชั่วชีวิตที่สี่" และเป็นไปอย่างนั้นแหละ)
13 ชัลลูมบุตรยาเบชได้เริ่มครอบครองในปีที่สามสิบเก้าแห่งรัชกาลอุสซียาห์พระราชาของยูดาห์ และท่านครองในสะมาเรียระหว่างเวลาหนึ่งเดือน
14 แล้วเมนาเฮมบุตรกาดีได้ขึ้นมาจากเมือง ทีรซาห์และมายังสะมาเรีย และท่านก็ล้มชัลลูมบุตรยาเบช เสียที่ในสะมาเรียและประหารชีวิตท่านเสีย และได้ขึ้นครอบครองแทนท่าน
15 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของชัลลูมและการ ร่วมกันคิดกบฏที่ท่านได้กระทำ ดูเถิด ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่ง พระราชาประเทศอิสราเอล
16 ในคราวนั้นเมนาเฮมเข้าปล้นทิฟสาห์ และบรรดาผู้ที่อยู่ในเมืองนั้น และดินแดนของเมืองนั้นตั้งแต่ทีรซาห์ไป เพราะเขามิได้เปิดให้แก่ท่าน ท่านจึงปล้นเมืองนั้น และท่านได้ผ่าท้องหญิงมีครรภ์ในเมืองนั้นเสียทุกคน
17 ในปีที่สามสิบเก้าแห่งรัชกาลอาซาริยาห์ พระราชาแห่งยูดาห์ เมนาเฮมบุตรกาดีได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอล และพระองค์ทรงครอบครองในสะมาเรียสิบปี
18 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายใน สายพระเนตรพระเจ้า พระองค์มิได้พรากจากบาปของเยโรโบอัม บุตรเนบัทตลอดรัชกาลของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำด้วย
19 ปูลพระราชาแห่งอัสซีเรียได้ยกขึ้นมาต่อสู้แผ่นดินนั้น และเมนาเฮมได้ถวายเงินหนึ่งพันตะลันต์แก่ปูล เพื่อจะให้พระองค์นั้นช่วยให้ท่านยึดพระราชอาณาจักรไว้ได้
20 เมนาเฮมได้เร่งรัดเอาเงินนั้นมาจากอิสราเอลคือ จากคนมั่งมีทุกคน เงินคนละห้าสิบเชเขล เพื่อถวายแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย พระราชาแห่งอัสซีเรียจึงยกทัพกลับ และมิได้ทรงยับยั้งอยู่ในแผ่นดินนั้น
21 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเมนาเฮม และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำมิได้บันทึกไว้ใน หนังสือพงศาวดารแห่งพระราชาประเทศอิสราเอลหรือ
22 และเมนาเฮมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเปคาหิยาห์โอรสก็ขึ้นครองแทนพระองค์
23 ในปีที่ห้าสิบแห่งรัชกาลอาซาริยาห์ พระราชาแห่งยูดาห์เปคาหิยาห์ โอรสของเมนาเฮมได้เริ่มครอบครอง เหนืออิสราเอลในสะมาเรีย และพระองค์ทรงครอบครองสองปี
24 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตร พระเจ้า พระองค์มิได้ทรงพรากจากบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำด้วย
25 และเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ แม่ทัพของพระองค์ได้ร่วมกันคิดกบฏต่อพระองค์ และได้ประหารพระองค์เสียในสะมาเรียใน ป้อมของสำนักพระราชวัง กับอารโกบและอารีเอห์ และมีคนกิเลอาดห้าสิบคนร่วมกันคิดกบฏกับท่าน ท่านได้ประหารพระองค์และได้ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
26 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเปคาหิยาห์ และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ ดูเถิด มีบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดาร แห่งพระราชาประเทศอิสราเอล
27 ในปีที่ห้าสิบสอง แห่งรัชกาลอาซาริยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ เปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ ได้เริ่มครอบครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย และทรงครอบครองยี่สิบปี
28 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตร พระเจ้า พระองค์มิได้ทรงพรากจากบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งพระองค์ทรงกระทำให้อิสราเอลทำด้วย
29 ในรัชกาลของเปคาห์พระราชาแห่งอิสราเอล ทิกลัทปิเลเสอร์พระราชาแห่งอัสซีเรียได้ยกมา และยึดเมืองอิโยน เอเบล-เบธมาอาคาห์ ยาโนอาห์ คาเดช ฮาโซร์ กิเลอาด กาลิลี แผ่นดินนัฟทาลีทั้งหมด และกวาดต้อนประชาชนเป็นเชลยไปยังอัสซีเรีย
30 แล้วโฮเชยาบุตรเอลาห์ได้ร่วมกันคิดกบฏ ต่อเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ และล้มพระองค์ลง และประหารพระองค์เสีย และขึ้นครองแทนพระองค์ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลโยธาม โอรสของอุสซียาห์
31 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเปคาห์และบรรดาสิ่งซึ่ง พระองค์ทรงกระทำ ดูเถิด มีบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารพระราชาอิสราเอล
32 ในปีที่สองแห่งรัชกาลเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ พระราชาแห่งอิสราเอล โยธามโอรสของอุสซียาห์พระราชาแห่งยูดาห์ ได้เริ่มครอบครอง
33 เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครองนั้นมีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา และพระองค์ทรงครอบครองในเยรูซาเล็มสิบหกปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยรูชาบุตรหญิงของศาโดก
34 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า ตามทุกอย่างที่อุสซียาห์พระราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำ
35 ถึงกระนั้นปูชนียสถานสูงก็ยังมิได้ถูกกำจัดเสีย ประชาชนยังถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนปูชนีย สถานสูงนั้น พระองค์ทรงสร้างประตูบนของพระนิเวศแห่งพระเจ้า
36 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของโยธาม และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชาประเทศยูดาห์หรือ
37 ในกาลครั้งนั้นพระเจ้าได้ทรงใช้เรซีน พระราชาแห่งซีเรีย และเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ให้มาสู้กับยูดาห์
38 โยธามได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และได้ฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด บรรพบุรุษของพระองค์ และอาหัสโอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทน

2พงศ์กษัตริย์ 16

1 ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเปคาห์บุตร เรมาลิยาห์ อาหัสโอรสของโยธามพระราชาแห่งยูดาห์ได้เริ่มครอบครอง
2 อาหัสมีพระชนมายุยี่สิบพรรษา เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครองและพระองค์ ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสิบหกปี และพระองค์มิได้ทรงกระทำสิ่งที่ชอบใน สายพระเนตรพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ ดังดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ
3 แต่พระองค์ทรงดำเนินตามทางของพระราชาแห่งอิสราเอล พระองค์ถึงกับทรงถวายโอรสของพระองค์ให้ลุยไฟเป็น เครื่องบูชา ตามการกระทำอันพึงน่าเกลียดน่าชังของประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าทรงขับไล่เสียให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
4 และพระองค์ทรงถวายสัตวบูชา และเผา เครื่องหอมบนปูชนียสถานสูง และในเนินสูงและใต้ต้นไม้สีเขียวทุกต้น
5 แล้วเรซีน พระราชาแห่งซีเรียและเปคาห์บุตรเรมาลิยาห์ พระราชาแห่งอิสราเอลทรงยกขึ้นมาทำสงครามกับกรุง เยรูซาเล็ม และพระราชาทั้งสองได้ล้อมอาหัสไว้แต่ทรงเอาชัยชนะยังไม่ได้
6 คราวนั้นเรซีนพระราชาแห่งซีเรียได้เข้ายึดเมือง เอลัทคืนให้ซีเรีย และทรงขับไล่พวกยิวเสียจากเอลัทและคนซีเรียมาที่เอลัท และอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
7 อาหัสจึงทรงส่งผู้สื่อสารไปยังทิกลัทปิเลเสอร์ พระราชาแห่งอัสซีเรียว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนใช้ของท่าน และเป็นบุตรของท่าน ขอเชิญขึ้นมา ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของพระราชาแห่งซีเรีย และจากมือของพระราชาแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งลุกขึ้นต่อสู้ข้าพเจ้า"
8 อาหัสทรงนำเอาเงินและ ทองคำซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศแห่งพระเจ้า และในคลังสำนักพระราชวัง และส่งเป็นของกำนัลถวายแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย
9 พระราชาแห่งอัสซีเรียก็ทรงฟังพระองค์ พระราชาแห่งอัสซีเรียก็ทรงยกทัพขึ้นไป ยังดามัสกัสและยึดได้ จับประชาชนเมืองนั้นไปเป็นเชลยยังเมืองคีร์และทรง ประหารเรซีนเสีย
10 เมื่อพระราชาอาหัสเสด็จไปดามัสกัสเพื่อพบกับ ทิกลัทปิเลเสอร์ก็ทรงเห็นแท่นที่บูชาดามัสกัส และกษัตริย์อาหัสทรงส่งหุ่นแท่นบูชาไปยังอุรียาห์ปุโรหิต พร้อมทั้งแบบแปลนตามลักษณะการสร้าง
11 และอุรียาห์ปุโรหิตก็ได้สร้างแท่นนั้นตามแบบทุกประการ ซึ่งกษัตริย์อาหัสได้ส่งมาจากดามัสกัส อุรียาห์ปุโรหิตจึงได้สร้างแท่นบูชานั้นก่อนที่กษัตริย์ อาหัสเสด็จจากดามัสกัสมาถึง
12 และเมื่อพระราชาเสด็จจากดามัสกัสถึงแล้ว พระราชาก็ทรงเห็นแท่นบูชาแล้วพระองค์ทรงเข้ามา ใกล้แท่นบูชา เสด็จขึ้นบนนั้น
13 และทรงเผาเครื่องเผาบูชาของพระองค์ และธัญญบูชาของพระองค์และทรงเทเครื่องดื่มบูชาของพระองค์ และทรงพรมเลือดเครื่องศานติบูชาของพระองค์ลงบนแท่นนั้น
14 และพระองค์ทรงย้ายแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า ออกเสียจากข้างหน้าพระนิเวศ จากสถานที่ระหว่างแท่นบูชาของพระองค์และพระนิเวศของพระเจ้า และตั้งไว้ทางด้านเหนือแห่งแท่นบูชาของพระองค์
15 และกษัตริย์อาหัสทรงบัญชากับอุรียาห์ปุโรหิตว่า "บนแท่นใหญ่นี้ ท่านจงเผาเครื่องเผาบูชาตอนเช้าและธัญญบูชาตอนเย็น และเครื่องเผาบูชาของพระราชาและเครื่องธัญญบูชาของพระองค์ พร้อมกับเครื่องเผาบูชาของบรรดาราษฎรและธัญญบูชา ของเขาทั้งหลาย และเครื่องดื่มบูชาของเขาทั้งหลาย และจงพรมเลือดทั้งหมดของเครื่องเผาบูชาบนนั้น และเลือดทั้งหมดของเครื่องสัตวบูชา แต่แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ให้เป็นที่ที่ข้าจะทูลถามพระเจ้า"
16 อุรียาห์ได้กระทำการเหล่านี้ทั้งสิ้น ตามพระบัญชาของกษัตริย์อาหัส
17 และกษัตริย์อาหัสทรงตัดแผงแท่นนั้นออก และทรงยกขันออกไปจากแท่นเสีย และพระองค์ทรงเอาขันสาครลงมาเสียจากวัวทองสัมฤทธิ์ที่รองอยู่นั้น ทรงวางไว้บนพื้นดิน
18 และศาลาวันสะบาโตซึ่งเขาได้สร้างไว้ในพระนิเวศ และทางเข้าพระนิเวศของพระเจ้าชั้นนอกสำหรับพระราชานั้น พระองค์ทรงเปลี่ยนเสียเพราะเห็นแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย
19 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของอาหัส ซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศยูดาห์หรือ
20 และอาหัสทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด และเฮเซคียาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทนพระองค์

2พงศ์กษัตริย์ 17

1 ในปีที่สิบสองแห่งรัชกาลอาหัสพระราชาแห่งยูดาห์ โฮเชยาบุตรเอลาห์ได้เริ่มครอบครองในกรุงสะมาเรีย เหนืออิสราเอล และพระองค์ทรงครอบครองเก้าปี
2 และพระองค์ทรงกระทำสิ่ง ที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า แต่ก็ไม่เหมือนกับบรรดาพระราชา แห่งอิสราเอลที่อยู่ก่อนพระองค์
3 แชลมาเนเสอร์พระราชาแห่งอัสซีเรียได้ยกทัพ มารบกับพระองค์ และโฮเชยาทรงยอมเป็นเมืองขึ้นและถวายเครื่องบรรณาการ
4 แต่พระราชาอัสซีเรียได้ทรงพบความทรยศใน โฮเชยา เพราะพระองค์ทรงใช้ผู้สื่อสารไปยังโสพระราชาแห่งอียิปต์ และไม่ถวายเครื่องบรรณาการแก่พระราชาอัสซีเรีย ตามซึ่งพระองค์ทรงเคยกระทำทุกปี เพราะฉะนั้นพระราชาแห่งอัสซีเรียจึงขังพระองค์ไว้ และจำพระองค์ไว้ในคุก
5 แล้วพระราชาแห่งอัสซีเรียก็ทรงบุกเข้าทั่วแผ่นดิน และมายังสะมาเรียและพระองค์ทรงล้อมเมืองไว้สามปี
6 ในปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเชยา พระราชาแห่งอัสซีเรียยึดได้เมืองสะมาเรีย และพระองค์ทรงนำชนอิสราเอลไปยัง อัสซีเรียให้เขาอยู่ที่ฮาลาห์ และข้างแม่น้ำฮาโบร์ แม่น้ำเมืองโกซาน และในหัวเมืองแห่งชาวมาดัย
7 ที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะประชาชนอิสราเอลได้ กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตน ผู้ทรงนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากพระหัตถ์ของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และได้เกรงกลัวพระอื่นๆ
8 และได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้าได้ทรงขับไล่ไปเสียให้พ้นหน้าประชาชน อิสราเอล และตามกฎเกณฑ์ซึ่งพระราชาแห่งอิสราเอลทรงนำเข้ามา
9 และประชาชนอิสราเอลได้กระทำสิ่งที่ไม่ชอบต่อ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของตนอย่างลับๆ เขาได้สร้างปูชนียสถานสูงทั่วบ้านทั่วเมืองสำหรับตน ตั้งแต่ที่ที่มีหอคอยเหตุ กระทั่งถึงเมืองที่มีป้อม
10 เขาได้ตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์และอาเชริมบนเนินเขาสูงทุกแห่ง และใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น
11 ณ ที่นั่นเขาได้เผาเครื่องหอมบนปูชนียสถานสูงทั้งหมดนั้น ตามอย่างประชาชาติซึ่งพระเจ้าทรงกวาดไปเสียต่อหน้า เขาทั้งหลาย และเขาทั้งหลายได้กระทำสิ่งชั่วร้าย กระทำให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ
12 และเขาทั้งหลายปรนนิบัติรูปเคารพ ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสแก่เขาแล้วว่า "เจ้าอย่ากระทำอย่างนี้"
13 พระเจ้ายังทรงตักเตือน อิสราเอลและยูดาห์โดยผู้เผยวจนะทุกคน และโดยผู้ทำนายทุกคนว่า "จงหันกลับจากทางชั่วร้ายทั้งหลายของเจ้า และรักษาพระบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ตามธรรมบัญญัติซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้าโดยผู้เผยพระวจนะผู้ รับใช้ของเรา"
14 เขาไม่ฟังแต่ดื้อดึง ดังบรรพบุรุษของเขาได้เป็นมาแล้ว ผู้ซึ่งมิได้เชื่อถือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเขา
15 เขาทอดทิ้งกฎเกณฑ์ของพระองค์ และพันธสัญญาของพระองค์ ซึ่งได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของเขา และพระโอวาทซึ่งพระองค์ได้ทรงประทานแก่เขา เขาทั้งหลายติดตามรูปเคารพเท็จและกลายเป็นเท็จไป และเขาติดตามประชาชาติที่อยู่รอบๆ เขา ซึ่งพระเจ้าได้ทรงบัญชาเขามิให้เขากระทำตาม
16 และเขาทั้งหลายได้ละทิ้งพระบัญญัติทั้งสิ้น ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตน และได้หล่อรูปเคารพสำหรับตนเป็นลูกโคสองตัว และเขาได้สร้างอาเชราห์ และนมัสการบรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์ และปรนนิบัติพระบาอัล
17 และเขาทั้งหลาย ได้ถวายบุตรชายหญิงของเขาให้ลุยไฟเป็นเครื่องบูชา และจับยามดูลาง และขายตัวเอง ในการกระทำความชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า กระทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ
18 เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงพระพิโรธต่ออิสราเอลยิ่งนัก และทรงให้เขาออกไปเสียจากสายพระเนตรของพระองค์ ไม่มีผู้ใดเหลืออยู่นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น
19 ยูดาห์มิได้รักษาพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเขาด้วย แต่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ซึ่งอิสราเอลนำเข้ามา
20 และพระเจ้าทรงปฏิเสธไม่รับเชื้อสายทั้งสิ้น ของอิสราเอล และได้ให้เขาทั้งหลายทุกข์ใจ และทรงมอบเขาไว้ในมือของผู้ปล้น จนกว่าพระองค์ได้ทรงเหวี่ยงเขาเสีย จากสายพระเนตรของพระองค์
21 เพราะพระองค์ทรงฉีกอิสราเอลจากราชวงศ์ของดาวิด และเขาได้ตั้งเยโรโบอัมบุตรเนบัทให้เป็นพระราชา และเยโรโบอัมทรงชักนำอิสราเอลไปจากการที่ติดตามพระเจ้า และกระทำให้เขาทำบาปอย่างใหญ่หลวง
22 ประชาชนอิสราเอลได้ดำเนินในความบาปทั้งสิ้น ซึ่งเยโรโบอัมได้ทรงกระทำ เขาทั้งหลายไม่พรากจากบาปเหล่านั้นเลย
23 จนพระเจ้าทรงให้อิสราเอลออกไปเสียจากสายพระเนตร ของพระองค์ ตามที่พระองค์ตรัสโดยผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ อิสราเอลจึงถูกกวาดไปเป็นเชลยจากแผ่นดินของตนยัง ประเทศอัสซีเรียจนทุกวันนี้
24 และพระราชาแห่งอัสซีเรีย ได้นำประชาชนมาจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท เสฟารวาอิมและบรรจุเขาไว้ในหัวเมือง สะมาเรียแทนประชาชนอิสราเอล เขาทั้งหลายก็เข้าถือกรรมสิทธิ์สะมาเรีย และอาศัยอยู่ในหัวเมืองของประเทศนั้น
25 และตั้งแต่ต้นที่เขามาอาศัยอยู่ที่นั่น เขามิได้ยำเกรงพระเจ้า ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงใช้สิงห์มาท่ามกลางเขา ซึ่งได้ฆ่าเขาเสียบ้าง
26 เพราะฉะนั้นมีผู้ไปทูลพระราชาแห่งอัสซีเรียว่า "ประชาชาติซึ่งพระองค์ได้ทรงพาเอาไปให้อยู่ใน หัวเมืองสะมาเรียนั้น ไม่รู้กฎหมายของพระของแผ่นดินนั้น ฉะนั้นพระจึงส่งสิงห์มาท่ามกลางเขา และดูเถิด สิงห์นั้นได้ฆ่าเขาเสีย เพราะเขาไม่รู้กฎหมายแห่งพระของแผ่นดินนั้น"
27 แล้วพระราชาแห่งอัสซีเรียจึงบัญชาว่า "จงส่งปุโรหิตสักคนหนึ่งไปที่นั่น จากบรรดาที่เจ้ากวาดเอามาจงให้เขาไปอยู่ที่นั่น และให้สั่งสอนกฎหมายแห่งพระของแผ่นดินนั้น"
28 ฉะนั้นปุโรหิตผู้หนึ่งในบรรดาซึ่งเขากวาดมา จากสะมาเรีย จึงมาอาศัยอยู่ที่เบธเอลและสั่งสอนเขาทั้งหลายว่า เขาจะต้องยำเกรงพระเจ้าอย่างไร
29 แต่ว่าทุกๆประชาชาติยังสร้างรูปพระของตนเอง และตั้งไว้ในนิเวศแห่งปูชนียสถานสูงซึ่ง ชาวสะมาเรียได้สร้างไว้ ทุกๆประชาชาติในหัวเมืองที่เขาอาศัยอยู่
30 ชาวบาบิโลนสร้างพระสุคคทเบโนท ชาวคูทสร้างพระเนอร์กัล ชาวฮามัทสร้างพระอาชิมา
31 และชาวอัฟวาสร้างพระนิบหัสและพระทารทัก และชาวเสฟารวาอิมเผาเด็กของตนในไฟถวาย พระอัดรัมเมเลค และพระอานัมเมเลค ซึ่งเป็นพระของเมืองเสฟารวาอิม
32 เขาทั้งหลายเกรงกลัวพระเจ้าด้วยและได้กำหนด ประชาชนจากท่ามกลางเขาให้เป็นปุโรหิตของปูชนียสถานสูงนั้น
33 เขาจึงเกรงกลัวพระเจ้า แต่ปรนนิบัติพระของเขาเองด้วย ตามอย่างประชาชาติซึ่งเขาได้ถูกนำให้จากออกมาเสียนั้น
34 ทุกวันนี้เขาก็กระทำตามอย่างเดิม เขาทั้งหลายไม่ยำเกรงพระเจ้า และเขาทั้งหลายไม่กระทำตามกฎเกณฑ์หรือกฎหมาย หรือธรรม หรือพระบัญญัติ ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาแก่ลูกหลานของ ยาโคบ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงประทานนามว่าอิสราเอล
35 ซึ่งพระเจ้าทรงกระทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลาย และบัญชาแก่เขาว่า "เจ้าอย่ายำเกรงพระอื่นๆ หรือกราบนมัสการพระนั้น หรือปรนนิบัติ หรือถวายสัตวบูชาแก่พระนั้น
36 แต่เจ้าจงยำเกรงพระเจ้า ผู้ซึ่งนำเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยกำลังอันยิ่งใหญ่ และด้วยพระหัตถ์ที่เหยียดออก เจ้าจงโน้มตัวลงต่อพระองค์ และเจ้าจงถวายสัตวบูชาต่อพระองค์
37 และกฎเกณฑ์ และกฎหมายและธรรม และพระบัญญัติซึ่งพระองค์ทรงจารึกให้แก่เจ้า เจ้าทั้งหลายจงระวังที่จะกระทำตามเสมอ เจ้าอย่ายำเกรงพระอื่นเลย
38 เจ้าทั้งหลายอย่าลืมพันธสัญญา ซึ่งเราได้กระทำไว้กับเจ้าและอย่ายำเกรงพระอื่นเลย
39 แต่เจ้าทั้งหลายจงยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และพระองค์จะทรงช่วยกู้เจ้าให้พ้นมือศัตรูทั้งสิ้นของเจ้า"
40 ถึงอย่างนั้นเขาทั้งหลายก็มิได้ฟัง แต่เขายังกระทำตามอย่างเดิมของเขา
41 ประชาชาติเหล่านี้จึงเกรงกลัวพระเจ้า และปรนนิบัติรูปเคารพสลักของเขาด้วย ลูกของเขาก็เช่นเดียวกัน หลานของเขาก็เช่นเดียวกัน บรรพบุรุษของเขาทำอย่างไร เขาก็กระทำอย่างนั้นจนทุกวันนี้

2พงศ์กษัตริย์ 18
1 อยู่มาในปีที่สามแห่งรัชกาลโฮเชยาบุตรยาเอลาห์ พระราชาแห่งอิสราเอล เฮเซคียาห์โอรสของอาหัสกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้เริ่มครอบครอง
2 เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครองนั้น พระองค์มีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มยี่สิบเก้าปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าอาบี บุตรีของเศคาริยาห์
3 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า ตามทุกอย่างซึ่งดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ
4 พระองค์ทรงรื้อปูชนียสถานสูงทิ้งไป และทรงพังเสาศักดิ์สิทธิ์เสีย และตัดอาเชราห์ลงเสีย และพระองค์ทรงหักงูทองสัมฤทธิ์ซึ่งโมเสสสร้างขึ้นนั้นเสีย เพราะว่าประชาชนอิสราเอลได้เผาเครื่องหอมให้แก่งู นั้นจนถึงวันเหล่านั้น เขาเรียกงูนั้นว่า เนหุชทาน
5 พระองค์ทรงวางพระทัยในพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่ง อิสราเอล เพราะฉะนั้นในบรรดาพระราชาแห่งยูดาห์ต่อจากพระองค์มา หรือในบรรดาผู้อยู่ก่อนพระองค์ ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์
6 เพราะว่าพระองค์ทรงยึดพระเจ้าแน่น พระองค์มิได้ทรงพรากจากการติดตามพระเจ้าเลย แต่ได้รักษาพระบัญญัติซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส
7 และพระเจ้าทรงสถิตกับพระองค์ พระองค์ทรงออกไป ยังที่ใด พระองค์ก็ทรงกระทำความสำเร็จที่นั่น พระองค์ได้ทรงกบฏต่อพระราชาแห่งอัสซีเรีย และไม่ยอมปรนนิบัติท่าน
8 พระองค์ทรงโจมตีคนฟีลิสเตียไกลไปจนถึง เมืองกาซาและดินแดนเมืองนั้น ตั้งแต่ที่ที่มีหอคอยเหตุกระทั่งถึงเมืองที่มีป้อม
9 และอยู่มาในปีที่สี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลโฮเชยาบุตรเอลาห์ พระราชาแห่งอิสราเอล แชลมาเนเสอร์พระราชาแห่งอัสซีเรียได้ทรงยกขึ้น มารบสะมาเรีย และล้อมเมืองไว้
10 และเมื่อสิ้นสามปีเขาก็ยึดเมืองนั้นได้ ในปีที่หกแห่งรัชกาลเฮเซคียาห์ซึ่งเป็น ปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเชยาพระราชาแห่งอิสราเอล สะมาเรียก็ถูกยึดไป
11 พระราชาแห่งอัสซีเรียได้กวาด เอาคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรียไปไว้ที่ฮาลาห์ และข้างแม่น้ำฮาโบร์แม่น้ำเมืองโกซาน และในหัวเมืองของคนมาดัย
12 เพราะว่าเขาทั้งหลายมิได้เชื่อฟัง พระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของตน แต่ได้กระทำผิดต่อพันธสัญญาของพระองค์ คือทุกอย่างซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าได้บัญชาไว้ และเขาทั้งหลายไม่ฟัง ไม่กระทำตาม
13 ในปีที่สิบสี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ เซนนาเคอริบพระราชาแห่งอัสซีเรียได้ทรง ยกขึ้นมาต่อสู้บรรดานครที่มีป้อมของยูดาห์ และยึดได้
14 และเฮเซคียาห์พระราชาแห่งยูดาห์ ทรงใช้ให้ไปทูลพระราชาแห่งอัสซีเรียที่เมืองลาคีชว่า "ข้าพเจ้าได้กระทำผิดขอถอนทัพไปเสียจากข้าพเจ้า ท่านจะปรับสักเท่าใด ข้าพเจ้าจะยอมทั้งสิ้น" และพระราชาแห่งอัสซีเรียได้เรียกร้องเอาเงินสามร้อยตะลันต์ และทองคำสามสิบตะลันต์
15 และเฮเซคียาห์ได้มอบเงินทั้งหมดซึ่งมีอยู่ใน พระนิเวศของพระเจ้า และในคลังสำนักพระราชวัง
16 ในครั้งนั้น เฮเซคียาห์ทรงลอกทองคำจากประตูทั้งหลายของ พระนิเวศแห่งพระเจ้า และจากเสาประตูซึ่งเฮเซคียาห์พระราชาแห่งยูดาห์ ทรงบุทองคำไว้และทรงมอบให้แก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย
17 และพระราชาแห่งอัสซีเรียได้รับสั่งให้ทารทาน รับสารีส รับชาเคห์ ไปพร้อมกับกองทัพใหญ่จากเมือง ลาคีชถึงกรุงเยรูซาเล็มเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ เขาก็ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อเขาขึ้นมาเขาก็มายืนอยู่ทางรางระบายน้ำสระบน ซึ่งอยู่ที่ถนนลานซักฟอก
18 และเมื่อเขาเรียกหา พระราชาเอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์ผู้บัญชาการราชสำนัก พร้อมกับเชบนาห์ราชเลขา และโยอาห์บุตรของอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณ
19 และรับชาเคห์พูดกับเขาว่า "จงทูลเฮเซคียาห์ว่า 'พระมหาราชาคือพระราชาแห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า ท่านวางใจในอะไร
20 ท่านคิดว่าเพียงแต่ถ้อยคำก็เป็นยุทธศาสตร์และ แสนยานุภาพหรือ เดี๋ยวนี้ท่านพึ่งใคร ท่านจึงได้กบฏต่อเรา
21 ดูเถิด เดี๋ยวนี้ท่านพึ่งไม้เท้าอ้อที่เดาะคือ อียิปต์ ซึ่งจะตำมือคนใดๆที่ใช้ไม้เท้านั้นยัน ฟาโรห์พระราชาแห่งอียิปต์เป็นเช่นนี้ต่อผู้ที่หวังพึ่งเขา
22 แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะบอกเราว่า "เราพึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา" ก็ปูชนียสถานสูงและแท่นบูชาของพระนั้นมิใช่หรือ ที่เฮเซคียาห์รื้อทิ้งเสียแล้วพลางกล่าวแก่ยูดาห์ และเยรูซาเล็มว่า "ท่านทั้งหลายจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชานี้ใน เยรูซาเล็มเถิด"
23 มาเถิดมาทำสัญญากันกับ พระราชาแห่งอัสซีเรียนายของข้าว่า เราจะให้ม้าสองพันตัวแก่เจ้า ถ้าฝ่ายเจ้าหาคนขี่ม้าเหล่านั้นได้
24 แล้วอย่างนั้นเจ้าจะขับไล่นายกองแต่ เพียงคนเดียวในหมู่ข้าราชการผู้น้อยที่สุดของนาย ของเราอย่างไรได้ แต่เจ้ายังวางใจพึ่งอียิปต์เพื่อรถรบและเพื่อพลม้า
25 ยิ่งกว่านั้นอีกที่เรามาต่อสู้สถานที่นี้เพื่อทำลายเสีย ก็ขึ้นมาโดยปราศจากพระเจ้าหรือพระเจ้าตรัสแก่ข้าว่า จงขึ้นไปต่อสู้กับแผ่นดินนี้และทำลายเสีย'"
26 แล้วเอลียาคิมบุตรฮิลคียาห์และเชบนาห์และโยอาห์ เรียนรับชาเคห์ว่า "ขอทีเถอะ ขอพูดกับผู้รับใช้ของท่านเป็นภาษาอารัมเถิด เพราะเราเข้าใจภาษานั้น ขออย่าพูดกับเราเป็นภาษายูดายให้ ประชาชนผู้อยู่บนกำแพงนั้นได้ยินเลย"
27 แต่รับชาเคห์พูดกับเขาทั้งหลายว่า "นายของข้าใช้ให้เรามาพูดถ้อยคำเหล่านี้แก่นายของเจ้า และแก่เจ้าและไม่ให้พูดกับคนที่นั่งอยู่บนกำแพง ผู้ที่จะต้องกินขี้และกินเยี่ยวของเขาพร้อมกับเจ้า อย่างนั้นหรือ"
28 แล้วรับชาเคห์ร้องตะโกนเสียงดังเป็นภาษายูดายว่า "จงฟังพระวจนะของพระมหาราชา คือพระราชาแห่งอัสซีเรีย
29 พระราชาตรัสดังนี้ว่า 'อย่าให้เฮเซคียาห์ลวงเจ้า เพราะเขาจะไม่สามารถช่วยกู้เจ้าจากพระหัตถ์ของพระองค์
30 อย่าให้เฮเซคียาห์กระทำให้เจ้าพึ่งพระเจ้าโดย กล่าวว่า 'พระเจ้าจะทรงช่วยกู้เราแน่ และจะไม่ทรงมอบเมืองนี้ไว้ ในมือของพระราชาแห่งอัสซีเรีย'
31 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะพระราชาแห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า 'ดีกันเถอะน่ะ และออกมาหาเรา แล้วทุกคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และทุกคนจะกินจากต้นมะเดื่อของตน และทุกคนจะดื่มน้ำจากที่ขังน้ำของตน
32 จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดิน ที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและเหล้าองุ่น เป็นแผ่นดินที่มีขนมปังและสวนองุ่น แผ่นดินที่มีมะกอกเทศและน้ำผึ้ง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย และอย่าฟังเฮเซคียาห์เมื่อเขานำเจ้าผิดไปโดยกล่าวว่า พระเจ้าจะทรงช่วยกู้เราทั้งหลาย
33 มีพระแห่งประชาชาติองค์ใดเคยช่วยกู้แผ่นดินของตน ให้พ้นจากพระหัตถ์ของพระราชาแห่งอัสซีเรียได้หรือ
34 พระของเมืองฮามัทและเมืองอารปัดอยู่ที่ไหน พระของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน เขาได้ช่วยกู้สะมาเรียจากมือของเราหรือ
35 พระองค์ใดในบรรดาพระทั้งหมดของประเทศทั้งหลาย ได้ช่วยกู้ประเทศของตนจากมือของเราหรือ พระเจ้าจึงช่วยกู้เยรูซาเล็มจากมือของเราได้'"
36 แต่ประชาชนนิ่งไม่ตอบเขาสักคำเดียว เพราะพระบัญชาของพระราชามีว่า "อย่าตอบเขาเลย"
37 แล้วเอลียาคิมบุตรฮิลคียา ผู้บัญชาการราชสำนัก และเชบนาห์ราชเลขาและโยอาห์บุตรอาสาฟเจ้ากรมสารบรรณ ได้เข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลถ้อยคำของรับชาเคห์

2พงศ์กษัตริย์ 19
1 เมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงได้ยิน พระองค์ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์เสีย และทรงเอาผ้ากระสอบคลุมพระองค์ และเสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า
2 และพระองค์ทรงใช้เอลียาคิม ผู้บัญชาการราชสำนัก และเชบนาห์ราชเลขาและมหาปุโรหิตคลุมตัวด้วยผ้ากระสอบ ไปหาผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอามอส
3 เขาทั้งหลายเรียนท่านว่า "เฮเซคียาห์ตรัสดังนี้ว่า 'วันนี้เป็นวันทุกข์ใจ วันถูกติเตียนและอดสู เด็กก็ถึงกำหนดคลอดแต่ไม่มีกำลังเบ่งให้คลอด
4 ชะรอยพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านคงได้ยิน ถ้อยคำของรับชาเคห์ ผู้ซึ่งพระราชาแห่งอัสซีเรียนายของเขาได้สั่งมาให้ เย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และจะทรงขนาบถ้อยคำซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของ ท่านได้ทรงสดับ เพราะฉะนั้นขอท่านอธิษฐานเพื่อส่วนชนที่เหลืออยู่นี้'"
5 เมื่อข้าราชการของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาถึงอิสยาห์
6 อิสยาห์ก็บอกเขาทั้งหลายว่า "จงทูลนายของท่านเถิดว่า 'พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า อย่ากลัวเพราะถ้อยคำที่เจ้าได้ยินนั้น ซึ่งข้าราชการของพระราชาของอัสซีเรีย ได้กล่าวหยาบช้าต่อเรา
7 ดูเถิด เราจะบรรจุจิตใจอย่างหนึ่งในเขา เพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือและกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง'"
8 รับชาเคห์ได้กลับไป และได้พบพระราชา แห่งอัสซีเรียสู้รบเมืองลิบนาห์ เพราะเขาได้ยินว่าพระราชาออกจากลาคีชแล้ว
9 และเมื่อพระราชาทรงทราบเกี่ยวกับทีรหะคาห์ พระราชาแห่งเอธิโอเปียว่า "ดูเถิด เขาได้ยกออกมาสู้รบกับพระองค์แล้ว" พระองค์จึงส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าเฮเซคียาห์ทูลว่า
10 "เจ้าจงพูดกับเฮเซคียาห์พระราชาแห่ง ยูดาห์ดังนี้ว่า 'อย่าให้พระเจ้าของท่านซึ่งท่านพึ่งนั้นลวงท่านว่า เยรูซาเล็มจะมิได้ถูกมอบไว้ในมือของพระราชา แห่งอัสซีเรีย'
11 ดูเถิด ท่านได้ยินแล้วว่า บรรดาพระราชาแห่งอัสซีเรียได้กระทำอะไร กับแผ่นดินทั้งสิ้นบ้าง ทำลายเสียหมดอย่างสิ้นเชิง ส่วนท่านเองจะช่วยกู้ให้พ้นหรือ
12 บรรดาพระของบรรดาประชาชาติได้ช่วยกู้เขาให้พ้นหรือ คือประชาชาติซึ่งบรรพบุรุษของเราได้ทำลาย คือโกซาน ฮาราน เรเซฟ และประชาชนของเอเดนซึ่งอยู่ในเทลอัสสาร์
13 พระราชาของฮามัท พระราชาของอารปัด พระราชาของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน'"
14 เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือของผู้ สื่อสารและทรงอ่าน และเฮเซคียาห์ได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้า และทรงคลี่จดหมายนั้นออกต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า
15 และเฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานต่อเบื้องพระพักตร์ พระเจ้าว่า "ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ทรงประทับเหนือเครูบ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรดาราชอาณาจักรของ แผ่นดินโลก พระองค์แต่องค์เดียว พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
16 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเงี่ยพระกรรณสดับ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกพระเนตรทอดพระเนตร และขอทรงฟังถ้อยคำของเซนนาเคอริบซึ่งเขาได้ใช้มา เย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
17 ข้าแต่พระเจ้าเป็นความจริงที่พระราชาแห่งอัสซีเรีย ได้กระทำแก่ประชาชาติทั้งหลายและแผ่นดินของ ประชาชาตินั้นร้างเปล่า
18 และได้เหวี่ยงพระของประชาชาตินั้นเข้าไฟ เพราะเขามิใช่พระ เป็นแต่ผลงานของมือมนุษย์ เป็นไม้และหิน เพราะฉะนั้นเขาจึงถูกทำลายเสีย
19 ฉะนั้นบัดนี้ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นมือของเขา เพื่อราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลก จะทราบว่าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแต่พระองค์เดียว"
20 แล้วอิสยาห์บุตรอามอสได้ใช้ให้ไปเฝ้า เฮเซคียาห์ทูลว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าเรื่องเซนนาเคอริบ พระราชาแห่งอัสซีเรียแล้ว
21 ต่อไปนี้เป็นพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับท่านนั้นว่า 'ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยน ดูถูกเจ้า และเย้ยเจ้า ธิดาแห่งเยรูซาเล็มสั่นศีรษะตามหลังใส่เจ้า
22 'เจ้าเย้ยและกล่าวหยาบช้าต่อผู้ใด เจ้าขึ้นเสียงของเจ้าต่อผู้ใด แล้วเบิ่งตาของเจ้าอย่างเย่อหยิ่งต่อผู้ใด ต่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลน่ะซิ
23 เจ้าได้เย้ยพระผู้เป็นเจ้าด้วยผู้สื่อสารของเจ้า และเจ้าได้ว่า 'ด้วยรถรบเป็นอันมากของข้า ข้าได้ขึ้นไปที่สูงของภูเขา ถึงที่ไกลสุดของเลบานอน ข้าโค่นต้นสนสีดาร์ที่สูงที่สุดของมันลง ทั้งต้นสนสามใบที่ดีที่สุดของมัน ข้าเข้าไปยังที่ยอดลิบที่สุดของมัน ที่ป่าไม้ที่ทึบที่สุดของมัน
24 ข้าขุดบ่อ และดื่มน้ำต่างด้าว ข้าเอาฝ่าเท้าของข้า กวาดธารน้ำทั้งสิ้นของอียิปต์ให้แห้งไป'
25 'เจ้าไม่ได้ยินหรือ เราได้จัดไว้นานแล้ว เราได้กะแผนงานไว้แต่ดึกดำบรรพ์ ณ บัดนี้เราให้เป็นไปแล้ว คือเจ้าจะทำเมืองที่มีป้อมให้พังลง ให้เป็นกองสิ่งปรักหักพัง
26 ส่วนชาวเมืองนั้นถูกตัดมือตัดตีน ก็แย่และอับอาย และกลายเป็นเหมือนต้นไม้ที่ทุ่งนา และเหมือนหญ้าอ่อน เหมือนหญ้าที่บนยอดหลังคาเรือน เหมือนข้าวเกรียมไป ก่อนที่มันจะงอกงามอย่างนั้น
27 'แต่เราได้รู้จักการที่เจ้านั่งลง กับการออกไปและเข้ามาของเจ้า และการเกรี้ยวกราดของเจ้าต่อเรา
28 เพราะเจ้าได้เกรี้ยวกราดต่อเรา และความจองหองของเจ้าได้มาเข้าหูของเรา ฉะนั้นเราจะเอาขอของเราเกี่ยวจมูกเจ้า และบังเหียนของเราใส่ปากเจ้า และเราจะหันเจ้ากลับไปตามทาง ซึ่งเจ้ามานั้น
29 "และนี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า คือ ปีนี้เจ้าจะกินสิ่งที่งอกขึ้นเอง และในปีที่สองสิ่งที่ผลิจากเดิม แล้วในปีที่สามจงหว่านและเกี่ยวและทำสวนองุ่น และกินผลของมัน
30 ส่วนที่รอดและเหลือแห่งเชื้อวงศ์ของยูดาห์จะหยั่งรากลงไป และเกิดผลขึ้นบน
31 เพราะว่าส่วนคนที่เหลือจะออกไปจากเยรูซาเล็ม และส่วนที่จะรอดมาจากภูเขาศิโยน ความกระตือรือร้นของพระเจ้าจะกระทำการนี้
32 "เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงตรัสเกี่ยวกับพระราชา แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่า ท่านจะไม่เข้าในนครนี้หรือยิงลูกธนูไปที่นั่น หรือถือโล่เข้ามาข้างหน้านคร หรือสร้างเชิงเทินสู้มัน
33 ท่านมาทางใด ท่านจะต้องกลับไปทางนั้น ท่านจะไม่เข้ามาในนครนี้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
34 เพราะเราจะป้องกันนครนี้ไว้เพื่อให้รอด เพื่อเห็นแก่เราเอง และเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา"
35 และอยู่มาในคืนนั้นทูตของพระเจ้าได้ออกไป และได้ประหารคนในค่ายแห่งคนอัสซีเรียเสีย หนึ่งแสนแปดหมื่นห้าพันคน และเมื่อคนลุกขึ้นในเวลาเช้ามืด ดูเถิด พวกเหล่านี้เป็นศพทั้งนั้น
36 แล้วเซนนาเคอริบพระราชาแห่งอัสซีเรียก็ได้ยกไป และกลับบ้าน และอยู่ในนีนะเวห์
37 และอยู่มาเมื่อท่านนมัสการใน นิเวศของพระนิสรคพระเจ้าของท่าน อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์ โอรสของท่านประหารท่านเสียด้วยดาบ และหนีไปยังแผ่นดินอารารัต และเอสารฮัดโดนโอรสของท่านขึ้นครอบครองแทนท่าน

2พงศ์กษัตริย์ 20

1 ครั้งนั้น เฮเซคียาห์ทรงประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์ และอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะบุตรอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์ และทูลพระองค์ว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า 'จงจัดการบ้านการเมืองของเจ้าให้เรียบร้อย เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะไม่ฟื้น'"
2 แล้วเฮเซคียาห์ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า
3 "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกถึงว่า ข้าพระองค์ดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ด้วย ความซื่อสัตย์และด้วยสิ้นสุดใจ และได้กระทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระองค์" และเฮเซคียาห์กันแสงมากยิ่ง
4 และอยู่มาก่อนที่อิสยาห์จะออกไปถึงลาน พระวจนะของพระเจ้ามาถึงท่านว่า
5 "จงกลับไปบอกเฮเซคียาห์เจ้านายแห่ง ประชากรของเราว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้า ตรัสดังนี้ว่า เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว ดูเถิด เราจะรักษาเจ้าในวันที่สามเจ้าจะเข้าไปในพระนิเวศ ของพระเจ้า
6 และเราจะเพิ่มชีวิตของเจ้าอีกสิบห้าปีเราจะช่วยกู้เจ้า และเมืองนี้จากมือของพระราชาแห่งอัสซีเรีย และป้องกันเมืองนี้ไว้ เพื่อเห็นแก่เราเอง และเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา"
7 และอิสยาห์บอกว่า "เอาขนมมะเดื่อมาอันหนึ่ง ให้เขาเอามาวางไว้บนพระยอด นั้น เพื่อพระองค์จะทรงหายเป็นปกติ"
8 และเฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า "อะไรจะเป็นหมายสำคัญว่าพระเจ้าจะทรงรักษาข้าพเจ้า และว่าข้าพเจ้าจะได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้าใน วันที่สาม"
9 และอิสยาห์ทูลว่า "ต่อไปนี้เป็นหมายสำคัญสำหรับฝ่าพระบาทจากพระเจ้า ที่พระเจ้าจะทรงกระทำตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ คือว่า จะให้เงาคืบหน้าไปสิบขั้น หรือย้อนกลับมาสิบขั้น"
10 เฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า "เป็นการง่ายที่เงาจะยาวออกไปอีกสิบขั้น แต่ให้เงาย้อนกลับมาสิบขั้นต่างหาก"
11 และอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะก็ร้องทูลต่อพระเจ้า และพระองค์ทรงนำเงาย้อนกลับมาสิบขั้น ซึ่งเงานั้นได้เลยไปในนาฬิกาแดดของอาหัส
12 คราวนั้น เมโรดัคบาลาดัน โอรสของบาลาดันพระราชาแห่งบาบิโลน ทรงส่งราชสารและเครื่องบรรณาการมายังเฮเซคียาห์ เพราะพระองค์ทรงทราบว่าเฮเซคียาห์ทรงประชวร
13 และเฮเซคียาห์ได้ทรงต้อนรับเขา และพระองค์ทรงพาเขาชมคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระองค์ ให้ชมเงิน ทองคำ และเครื่องเทศ และน้ำมันประเสริฐและคลังพระแสง ของพระองค์ทุกอย่างซึ่งมีในท้องพระคลัง ไม่มีสิ่งใดที่ในพระราชวัง หรือในราชอาณาจักรของพระองค์ทั้งสิ้น ซึ่งพระองค์มิได้สำแดงแก่เขา
14 แล้วอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะก็เข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ และทูลพระองค์ว่า "คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง และเขามาเฝ้าพระองค์แต่ไหน" และเฮเซคียาห์ตรัสว่า "เขาได้มาจากเมืองไกลจากบาบิโลน"
15 ท่านทูลว่า "เขาเห็นอะไรในพระราชวังของพระองค์บ้าง" และเฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า "เขาเห็นทุกอย่างในวังของเรา ไม่มีสิ่งใดในพระคลังของเราซึ่งเรามิได้สำแดงแก่เขา"
16 แล้วอิสยาห์ทูลเฮเซคียาห์ว่า "ขอทรงฟังพระวจนะของพระเจ้า
17 ดูเถิด วันเวลากำลังย่างเข้ามาเมื่อสรรพสิ่งทั้งสิ้นในวังของเจ้า และสิ่งซึ่งบรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมจนถึงทุกวันนี้ จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
18 และลูกบางคนซึ่งถือกำเนิดจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดแก่เจ้า จะถูกนำเอาไปและเขาจะไปเป็นขันทีในพระราชวัง ของพระราชาแห่งบาบิโลน"
19 แล้วเฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า "พระวจนะของพระเจ้าซึ่งท่านกล่าวนั้นก็ดีอยู่" เพราะพระองค์ดำริว่า "ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยใน วันเวลาของเรา"
20 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเฮเซคียาห์ และยุทธพลังทั้งสิ้นของพระองค์ และที่พระองค์ทรงสร้างสระและรางระบายน้ำ นำน้ำเข้ามาในกรุงอย่างไร มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศยูดาห์หรือ
21 และเฮเซคียาห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ ของพระองค์ และมนัสเสห์โอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทนพระองค์

2พงศ์กษัตริย์ 21

1 มนัสเสห์มีพระชนมายุสิบสองพรรษาเมื่อพระองค์ขึ้น ครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มห้าสิบห้าปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเฮฟซีบาห์
2 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายใน สายพระเนตรพระเจ้า ตามการกระทำอันน่าเกลียดน่าชังแห่งประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าทรงขับไล่ให้ออกไปให้พ้นหน้าประชาชน อิสราเอล
3 เพราะพระองค์ทรงสร้างปูชนียสถานสูง ซึ่งเฮเซคียาห์พระราชบิดาของพระองค์ทรง ทำลายเสียนั้นขึ้นใหม่ และพระองค์ทรงสร้างแท่นบูชาสำหรับพระบาอัล และทรงสร้างอาเชราห์ ดังที่อาหับพระราชาแห่งอิสราเอลทรงกระทำ และทรงนมัสการบริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์ และปรนนิบัติพระเหล่านั้น
4 และพระองค์ทรงสร้างแท่นบูชาในพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสว่า "เราจะบรรจุชื่อของเราไว้ในเยรูซาเล็ม"
5 และพระองค์ได้สร้างแท่นบูชาสำหรับบริวารแห่งฟ้าสวรรค์ใน ลานทั้งสองของพระนิเวศแห่งพระเจ้า
6 และพระองค์ได้ทรงเผาโอรสของพระองค์เป็นเครื่องบูชา ถือฤกษ์ยามเวทมนตร์ คนทรง และแม่มด พระองค์ทรงกระทำความชั่วร้ายเป็นอันมากในสายพระเนตรพระเจ้า กระทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ
7 ส่วนอาเชราห์อันเป็นรูปเคารพสลักนั้น พระองค์ทรงตั้งไว้ในพระนิเวศของพระเจ้า ผู้ซึ่งตรัสกับดาวิดและซาโลมอนโอรสของพระองค์ว่า "ในนิเวศนี้และในเยรูซาเล็ม ซึ่งเราได้เลือกออกจากเผ่าทั้งสิ้นของอิสราเอล เราจะบรรจุนามของเราไว้เป็นนิตย์
8 เราจะไม่เป็นเหตุให้เท้าของ อิสราเอลพเนจรออกไปจากแผ่นดิน ซึ่งเราได้ให้กับบรรพบุรุษของเขาอีก ถ้าเขาเพียงแต่ระมัดระวังที่จะกระทำตามทุกอย่าง ซึ่งเราได้บัญชาเขาและตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้น ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของเราบัญชาเขา"
9 แต่เขามิได้ฟัง และมนัสเสห์ได้ชักจูงเขาให้กระทำชั่วมากยิ่งไปกว่า บรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าทรงทำลายเสียต่อหน้าประชาชนอิสราเอลได้ เคยกระทำแล้วเสียอีก
10 และพระเจ้าตรัสโดยผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ว่า
11 "เพราะมนัสเสห์พระราชาแห่งยูดาห์ได้กระทำการ น่าเกลียดน่าชังเหล่านี้ และได้กระทำสิ่งชั่วร้ายมากยิ่งกว่าคนอาโมไรต์ได้ กระทำทั้งสิ้น ผู้ซึ่งอยู่ก่อนพระองค์และได้ทรงกระทำให้ยูดาห์ทำ บาปมากด้วยรูปเคารพของพระองค์
12 เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เรากำลังนำเหตุร้ายมาถึงเยรูซาเล็มและยูดาห์ อย่างที่ทุกคนซึ่งได้ยินแล้วหูทั้งสองของเขาจะอื้อไป
13 และเราจะเอาเชือกอย่างที่วัดกรุงสะมาเรียขึงเหนือ กรุงเยรูซาเล็ม และใช้ลูกดิ่งอย่างที่วัดราชวงศ์อาหับและเราจะล้าง เยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชามล้างและพลิกคว่ำ
14 และเราจะเหวี่ยงมรดกส่วนที่เหลือของเราออกไปเสีย และมอบเขาไว้ในมือศัตรูของเขา และเขาทั้งหลายจะเป็นเหยื่อและเป็นของริบของศัตรู ทั้งสิ้นของเขา
15 เพราะเขาได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของเรา และได้กระทำให้เราโกรธ ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของเขาออกจากอียิปต์กระทั่งถึงทุกวันนี้"
16 ยิ่งกว่านั้นอีกมนัสเสห์ได้ทรงกระทำให้ โลหิตไร้ความผิดตกมาก จนเต็มเยรูซาเล็มจากข้างหนึ่งถึงอีกข้างหนึ่ง นอกเหนือจากบาปที่พระองค์ทรงกระทำให้ยูดาห์ทำด้วย โดยประพฤติสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า
17 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของมนัสเสห์ และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ และบาปซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศยูดาห์หรือ
18 และมนัสเสห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้ในพระอุทยานริมราชวังของพระองค์ใน สวนของอุสซา และอาโมนโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
19 อาโมนมีพระชนมายุยี่สิบสองพรรษาเมื่อพระองค์ เริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสองปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเมชุลเลเมท บุตรีของฮารูสชาวโยทบาห์
20 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย ในสายพระเนตรพระเจ้า อย่างมนัสเสห์บิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ
21 พระองค์ทรงดำเนินในทางทั้งสิ้นซึ่ง บิดาของพระองค์ทรงดำเนิน และปรนนิบัติรูปเคารพซึ่ง บิดาของพระองค์ทรงปรนนิบัติและนมัสการรูปเหล่านั้น
22 พระองค์ทรงทอดทิ้งพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่ง บรรพบุรุษของพระองค์ และมิได้ทรงดำเนินในมรรคาของพระเจ้า
23 และข้าราชการของอาโมนได้ร่วมกันคิดกบฏต่อพระองค์ และประหารพระราชาในพระราชวังของพระองค์เสีย
24 แต่ราษฎรได้ประหารทุกคนที่ร่วมกันคิดกบฏต่อ กษัตริย์อาโมน และราษฎรได้ตั้งโยสิยาห์โอรสของพระองค์ให้เป็น พระราชาแทนพระองค์
25 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของอาโมนซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศยูดาห์หรือ
26 และเขาฝังไว้ในอุโมงค์ของพระองค์ในสวนของอุสซา และโยสิยาห์โอรสของพระองค์ได้ครอบครองแทนพระองค์

2พงศ์กษัตริย์ 22
1 โยสิยาห์มีพระชนมายุแปดพรรษาเมื่อเริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสามสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยดีดาห์บุตรีของอาดายาห์ชาวโบสคาท
2 และพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ชอบในสายพระเนตรพระเจ้า และทรงดำเนินในมรรคาของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์มิได้ทรงหันไปทางขวามือหรือซ้ายมือ
3 และอยู่มาในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ พระราชาทรงใช้ชาฟานบุตรอาซาลิยาห์ บุตรเมชุลลามราชเลขาไปยังพระนิเวศของพระเจ้า รับสั่งว่า
4 "จงขึ้นไปหาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต เพื่อให้ท่านรวมเงิน ซึ่งเขานำเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าซึ่งผู้รักษาธรณี ประตูได้เก็บจากประชาชน
5 และให้มอบไว้ในมือของคนงานผู้ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า และให้เขาจ่ายแก่คนงานผู้ที่อยู่ ณ พระนิเวศของพระเจ้า ที่ทำการซ่อมแซมพระนิเวศอยู่
6 คือให้แก่ช่างไม้ และแก่ช่างก่อสร้าง และแก่ช่างปูน ทั้งสำหรับซื้อตัวไม้ และหินสกัดเพื่อซ่อมแซมพระนิเวศ
7 แต่ไม่ต้องขอบัญชีจากเขาเรื่องเงินที่จ่ายใส่มือของเขา เพราะเขากระทำด้วยความสัตย์ซื่อ"
8 และฮิลคียาห์มหาปุโรหิตพูดกับชาฟานราชเลขาว่า "ข้าพเจ้าได้พบหนังสือธรรมบัญญัติในพระนิเวศของพระเจ้า" และฮิลคียาห์ได้มอบหนังสือนั้นให้ชาฟานและท่านก็อ่าน
9 และชาฟานราชเลขาได้เข้าเฝ้าพระราชาและทูล รายงานต่อพระราชาว่า "ผู้รับใช้ของพระองค์ได้เทเงินที่พบในพระนิเวศออก และได้มอบไว้ในมือของคนงานผู้ดูแลพระนิเวศของพระเจ้า"
10 แล้วชาฟานราชเลขาได้ทูลพระราชาว่า "ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้มอบหนังสือแก่ข้าพระบาทม้วนหนึ่ง" และชาฟานก็อ่านถวายพระราชา
11 และอยู่มาเมื่อพระราชาได้ฟังถ้อยคำของธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์
12 และพระราชาทรงบัญชาฮิลคียาห์ปุโรหิต และอาหิคัมบุตรชาฟาน และอัคโบร์บุตรมีคายาห์และชาฟานราชเลขา และอาสายาห์ผู้รับใช้ของพระราชา รับสั่งว่า
13 "จงไปทูลถามพระเจ้าให้เรา ให้ประชาชนและให้ยูดาห์ทั้งหมดเกี่ยวกับถ้อยคำใน หนังสือนี้ที่ได้พบ เพราะว่าพระพิโรธของพระเจ้าซึ่งพลุ่งขึ้นต่อเราทั้งหลาย นั้นใหญ่หลวงนัก เพราะว่าบรรพบุรุษของเรามิได้เชื่อฟังถ้อยคำของหนังสือนี้ กระทำทุกสิ่งซึ่งเขียนไว้เกี่ยวกับเราทั้งหลาย"
14 ฮิลคียาห์ปุโรหิต และอาหิคัมและอัคโบร์ และชาฟาน และอาสายาห์ ได้ไปหาฮุลดาห์หญิงผู้เผยพระวจนะภรรยาของชัลลูม บุตรของทิกวาห์บุตรฮารฮัสชาวภูษามาลา (เวลานั้นนางอยู่ในเยรูซาเล็มแขวงสอง) และเขาทั้งหลายได้สนทนากับนาง
15 และนางตอบเขาว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'จงบอกชายคนที่ใช้พวกเจ้ามาหาเรานั้นว่า
16 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือที่นี้ และเหนือชาวเมืองนี้ ตามถ้อยคำในหนังสือซึ่งพระราชาแห่งยูดาห์ได้อ่านนั้น
17 เพราะเขาทั้งหลายได้ทอดทิ้งเรา และได้เผาเครื่องหอมถวายพระอื่น เพื่อเขาจะได้กระทำให้เราโกรธ ด้วยผลงานทั้งสิ้นแห่งมือของเขา เพราะฉะนั้นความพิโรธของเราจึงจะพลุ่งขึ้นต่อที่นี้ และจะดับเสียไม่ได้
18 แต่ฝ่ายราชาแห่งยูดาห์ผู้ได้ส่งเจ้ามาถามพระเจ้านั้น เจ้าจงไปบอกเขาว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เกี่ยวกับเรื่องถ้อยคำที่เจ้าได้ยิน
19 เพราะจิตใจของเจ้ากลับใหม่แล้ว เจ้าได้ถ่อมตัวลงต่อพระเจ้าเมื่อเจ้าได้ยินว่า เรากล่าวโทษที่นี้และชาวเมืองนี้อย่างไร คือที่เขาจะต้องกลายเป็นที่ร้างเปล่าและที่ถูกสาป และเจ้าได้ฉีกเสื้อและร้องไห้ต่อเรา เราก็ได้ยินเจ้าแล้วด้วย พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
20 เพราะฉะนั้น ดูเถิด เราจะรวบเจ้าไปไว้กับบรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะถูกรวบไปยังอุโมงค์ของเจ้าอย่างสันติ และตาของเจ้าจะไม่เห็นเหตุร้ายทั้งสิ้นซึ่งเราจะนำมา เหนือที่นี้'" และเขาทั้งหลายก็ได้นำถ้อยคำเหล่านั้นมาทูลพระราชาอีก

2พงศ์กษัตริย์ 23

1 แล้วพระราชาทรงใช้ และบรรดาผู้ใหญ่ของยูดาห์ และเยรูซาเล็มได้มาชุมนุมกับพระองค์
2 และพระราชาเสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระเจ้า และคนยูดาห์ทั้งสิ้นและบรรดาชาวกรุงเยรูซาเล็ม กับพระองค์และปุโรหิต และผู้เผยพระวจนะประชาชนทั้งปวงทั้งเล็กและใหญ่ และพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือ พันธสัญญาซึ่งได้พบในพระนิเวศของพระเจ้าให้เขาฟัง
3 และพระราชาทรงประทับยืนข้างเสา และทรงกระทำพันธสัญญาต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า จะดำเนินตามพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติ พระโอวาท และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ด้วยสุดพระจิตสุดพระทัยของพระองค์ จะปฏิบัติตามถ้อยคำของพันธสัญญานี้ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือนี้ และประชาชนทั้งปวงก็เข้าส่วนในพันธสัญญานั้น
4 และพระราชาทรงบัญชาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตรอง และผู้รักษาธรณีประตู ให้นำเครื่องใช้ทั้งสิ้นที่ทำขึ้นสำหรับพระบาอัล สำหรับอาเชราห์ และสำหรับบรรดาบริวารของ ฟ้าสวรรค์ออกมาจากพระวิหารของพระเจ้า พระองค์ทรงเผาเสียที่ภายนอกกรุงเยรูซาเล็ม ในทุ่งนาแห่งขิดโรนและขนมูลเถ้าของมันไปยังเบธเอล
5 และพระองค์ทรงกำจัดปฏิมากรปุโรหิต ผู้ซึ่งบรรดาพระราชาแห่งยูดาห์ได้สถาปนาให้เผาเครื่องหอมในปูชนียสถานสูง ที่หัวเมืองแห่งยูดาห์ และรอบๆกรุงเยรูซาเล็ม ทั้งคนเหล่านั้นที่เผาเครื่องหอมถวายพระบาอัล ถวายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และหมู่ดาวประจำราศี และบริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์
6 และพระองค์ทรงนำอาเชราห์ออกมา จากพระนิเวศของพระเจ้า ภายนอกเยรูซาเล็มถึงลำธารขิดโรน และเผาเสียที่ลำธารขิดโรน และทรงทุบให้เป็นผงคลีและเหวี่ยงผงคลี นั้นลงบนหลุมศพของคนสามัญ
7 และพระองค์ทรงทำลายเรือนเทวทาส ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าเสีย เป็นที่ที่ผู้หญิงทอม่านสำหรับอาเชราห์
8 และพระองค์ทรงให้ปุโรหิตทั้งหมดออกจากหัวเมืองยูดาห์ และทรงกระทำให้ปูชนียสถานสูงเสียความศักดิ์สิทธิ์ คือที่ที่ปุโรหิตได้เผาเครื่องหอม ตั้งแต่เมืองเกบาถึงเบเออร์เชบา และพระองค์ทรงทำลายปูชนียสถานสูงของประตูเมือง ซึ่งอยู่ตรงทางเข้าประตูโยชูอาผู้ว่าราชการเมือง ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือที่ประตูเมือง
9 ถึงอย่างไรก็ดี ปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูง มิได้ขึ้นไปยังแท่นบูชาแห่งพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม แต่เขาทั้งหลายกินขนมปังไร้เชื้อ ท่ามกลางพวกพี่น้องของเขาเอง
10 และทรงกระทำให้โทเฟทเสียความศักดิ์สิทธิ์ คือที่ที่หุบเขาบุตรแห่งฮินโนม เพื่อจะไม่มีผู้ใดถวายบุตรชายหญิงของตน ให้ลุยไฟเป็นเครื่องบูชาต่อพระโมเลค
11 และพระองค์ทรงกำจัดม้า ซึ่งบรรดาพระราชาแห่งยูดาห์ได้ถวายแก่ดวงอาทิตย์ ที่ตรงทางเข้าพระนิเวศของพระเจ้า ข้างห้องนาธันเมเลคข้าราชสำนัก ซึ่งอยู่ในบริเวณและพระองค์ทรงเผารถรบ ของดวงอาทิตย์เสียด้วยไฟ
12 และแท่นบนหลังคาห้องชั้นบนของอาหัส ซึ่งบรรดาพระราชาของยูดาห์ได้สร้างไว้ และแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์ได้สร้างไว้ในลาน ทั้งสองของพระนิเวศแห่งพระเจ้า พระองค์ทรงดึงลงมาให้หักเสียเป็นชิ้นๆ และทรงเหวี่ยงผงคลีของมันลงไปในลำธารขิดโรน
13 และพระราชาทรงกระทำให้ปูชนียสถานสูง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยรูซาเล็มเสียความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของภูเขาพินาศ ซึ่งซาโลมอนพระราชาแห่งยูดาห์ ได้สร้างสำหรับพระอัชทาโรท พระอันน่าเกลียดน่าชังของชนไซดอน และสำหรับพระเคโมชสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของคนโมอับ และสำหรับพระมิลโคมสิ่งน่าเกลียดน่าชังของชนอัมโมน
14 และพระองค์ทรงทุบเสาศักดิ์สิทธิ์เป็นชิ้นๆ และตัดเหล่าอาเชราห์ลงเสียและเอากระดูกมนุษย์ถมที่นั้น
15 ยิ่งกว่านั้นอีกแท่นบูชาที่เบธเอล ปูชนียสถานสูงซึ่งเยโรโบอัมบุตรเนบัทได้ตั้งไว้ ผู้ซึ่งกระทำให้อิสราเอลทำด้วย พระองค์ทรงรื้อแท่นบูชากับปูชนียสถานสูงนั้นลงและ ทรงเผาปูชนียสถานสูงนั้น บดให้เป็นผงคลีและพระองค์ทรงเผาอาเชราห์เสียด้วย
16 และเมื่อโยสิยาห์ทรงหันพระพักตร์พระองค์ ทอดพระเนตรอุโมงค์ฝังศพอยู่บนภูเขา และพระองค์ทรงใช้ให้ไปเอากระดูกออกมาเสียจากอุโมงค์ และเผาเสียบนแท่นบูชาและทรงกระทำให้เสียความศักดิ์สิทธิ์ ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งคนแห่งพระเจ้าได้ ป่าวร้องทำนายไว้ ผู้ซึ่งป่าวร้องทำนายถึงสิ่งเหล่านี้
17 แล้วพระองค์ตรัสว่า "อนุสาวรีย์ที่เรามองเห็นข้างโน้นคืออะไร" คนเมืองนั้นก็ทูลพระองค์ว่า "เป็นอุโมงค์ฝังศพของคนแห่งพระเจ้า ผู้มาจากยูดาห์และได้ป่าวร้องถึงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำต่อแท่นบูชาที่เบธเอล
18 และพระองค์ตรัสว่า "ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละอย่าให้ผู้ใดย้ายกระดูกของเขา" เขาทั้งหลายจึงทิ้งไว้อย่างนั้นพร้อมกับกระดูกของผู้ เผยพระวจนะผู้ออกมาจากสะมาเรีย
19 โยสิยาห์ทรงกำจัดนิเวศทั้งสิ้นของปูชนียสถานสูง ที่อยู่ในหัวเมืองสะมาเรีย ซึ่งบรรดาพระราชาแห่งอิสราเอลได้ทรงสร้างไว้ กระทำให้พระเจ้าทรงกริ้ว พระองค์ทรงกระทำต่อที่เหล่านั้นตามทุกอย่างที่พระองค์ทรง กระทำที่เบธเอล
20 และพระองค์ทรงประหารปุโรหิตทั้งปวงแห่งปูชนียสถานสูง ซึ่งอยู่ที่นั่นเสียบนแท่นบูชาและเผากระดูกคนเสียบนนั้น แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับกรุงเยรูซาเล็ม
21 และพระราชาทรงบัญชาประชาชนทั้งปวงว่า "จงถือเทศกาลปัสกาถวายแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ดังที่เขียนไว้ในหนังสือพันธสัญญา" นี้
22 เพราะว่าเทศกาลปัสกาอย่างนี้มิได้ถือกันมา ตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัย ผู้ที่ครอบครองอิสราเอล หรือระหว่างสมัยบรรดาพระราชาแห่งอิสราเอล หรือพระราชาแห่งยูดาห์
23 แต่ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ ได้ถือเทศกาลปัสกานี้ถวายแด่พระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม
24 ยิ่งกว่านั้นอีก โยสิยาห์ได้กำจัดคนทรงและแม่มด และเทราฟิม และรูปเคารพและสิ่งน่าสะอิดสะเอียนซึ่งเห็นกันอยู่ใน แผ่นดินยูดาห์ และในกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพระองค์จะทรงสถาปนาถ้อยคำแห่งธรรมบัญญัติ ซึ่งเขียนอยู่ในหนังสือที่ฮิลคียาปุโรหิต ได้พบในพระนิเวศของพระเจ้า
25 ก่อนพระองค์หามีพระราชาองค์ใดเหมือนพระองค์ไม่ ผู้ซึ่งหันหาพระเจ้าด้วยสุดพระจิตสุดพระทัย และด้วยสิ้นสุดพระกำลัง ตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นของโมเสส หรือผู้ที่เกิดมาทีหลังพระองค์ ก็ไม่มีใครเหมือนพระองค์
26 ถึงกระนั้นพระเจ้ามิได้ทรงหันจากพระพิโรธอันแรงกล้า และยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระพิโรธของพระองค์ได้พลุ่งขึ้นต่อยูดาห์ ด้วยการกระทำของมนัสเสห์อันเป็นเหตุ ให้พระเจ้าไม่พอพระทัย
27 และพระเจ้าตรัสว่า "เราจะให้ยูดาห์ออกเสียจากสายตาของเราด้วย ดังที่เราได้กระทำต่ออิสราเอล และเราจะเหวี่ยงเมืองนี้ซึ่งเราได้เลือกออกไป เสียคือเยรูซาเล็มกับนิเวศ ซึ่งเราได้บอกว่านามของเราจะอยู่ที่นั่นเป็นนิตย์"
28 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของโยสิยาห์และบรรดาสิ่งซึ่ง พระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศยูดาห์หรือ
29 ในสมัยของพระองค์ ฟาโรห์เนโคพระราชาของอียิปต์ เสด็จขึ้นไปยังพระราชาแห่งอัสซีเรียถึงแม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์โยสิยาห์เสด็จไปปะทะพระองค์ และเมื่อฟาโรห์เนโคทรงเห็น พระองค์ก็ประหารพระองค์เสียที่เมืองเมกิดโด
30 ข้าราชการของพระองค์ ก็นำพระศพใส่รถรบไปจากเมืองเมกิดโด และนำมายังกรุงเยรูซาเล็ม และฝังไว้ในอุโมงค์ของพระองค์ และราษฎรนั้นก็รับเยโฮอาหาสโอรสโยสิยาห์เจิมท่านไว้ และตั้งท่านให้เป็นพระราชาแทนราชบิดาของท่าน
31 เยโฮอาหาสมีพระชนมายุยี่สิบสามพรรษา เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสามเดือน พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าฮามุทาล บุตรีของเยเรมีย์ชาวลิบนาห์
32 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายใน สายพระเนตรพระเจ้า ตามทุกอย่างซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ได้กระทำ
33 และฟาโรห์เนโคก็จับพระองค์ขังไว้ ที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท เพื่อมิให้พระองค์ครอบครองในเยรูซาเล็ม และกำหนดบรรณาการจากแผ่นดินนั้นเป็นเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ และทองคำหนึ่งตะลันต์
34 และฟาโรห์เนโคทรงตั้งเอลียาคิม โอรสโยสิยาห์เป็นพระราชาแทนโยสิยาห์บิดาของท่าน และเปลี่ยนชื่อของท่านเป็นเยโฮยาคิม แต่ได้พาเยโฮอาหาสไปเสีย และท่านมาถึงอียิปต์และสิ้นชีวิตเสียที่นั่น
35 และเยโฮยาคิมก็มอบเงิน และทองคำแก่ฟาโรห์แต่พระองค์ทรงเก็บภาษีจากชาวแผ่นดิน เพื่อมอบเงินตามบัญชาของฟาโรห์ พระองค์ทรงเร่งรัดเอาเงินและทองคำ ของราษฎรนั้นจากทุกคน ตามการประเมินเพื่อมอบแก่ฟาโรห์เนโค
36 เยโฮยาคิม มีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีนามว่า เศบิดาห์บุตรีเปดายาห์ ชาวรูมาห์
37 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า ตามทุกอย่างซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ

2พงศ์กษัตริย์ 24

1 ในรัชกาลของพระองค์เนบูคัดเนสซาร์ พระราชาแห่งบาบิโลนยกขึ้นมา และเยโฮยาคิมเป็นคนใช้ของพระองค์สามปี แล้วท่านก็กลับกบฏต่อพระองค์
2 และพระเจ้าทรงใช้พวกคนเคลเดีย และพวกคนซีเรียและพวกคนโมอับและพวกคนอัมโมนมา ต่อสู้กับท่าน และทรงใช้เขาทั้งหลายไปต่อสู้ยูดาห์เพื่อจะทำลายเสีย ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งพระองค์ตรัสโดยบรรดาผู้ เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์
3 แท้จริงเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับยูดาห์ตามพระบัญชา ของพระเจ้า เพื่อจะให้เขาออกไปเสียจากสายพระเนตรของพระองค์ เพราะบรรดาบาปของมนัสเสห์ตามทุกอย่างซึ่งพระองค์ ได้ทรงกระทำ
4 และเพราะโลหิตที่ไร้ความผิดซึ่งท่านได้ทำให้หลั่งนั้นด้วย เพราะท่านได้กระทำให้โลหิตไร้ความผิดตกเต็มเยรูซาเล็ม และพระเจ้าไม่ทรงอภัย
5 ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของเยโฮยาคิม และบรรดาสิ่งซึ่งพระองค์ทรงกระทำ มิได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารแห่งพระราชา ประเทศยูดาห์หรือ
6 เยโฮยาคิมจึงทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของ พระองค์ และเยโฮยาคีนโอรสของพระองค์ขึ้นครอบครองแทนพระองค์
7 และพระราชาแห่งอียิปต์มิได้ทรงยกออกมาจาก แผ่นดินของพระองค์อีก เพราะพระราชาแห่งบาบิโลนได้ยึดแดนทั้งสิ้น ซึ่งเป็นของพระราชาอียิปต์ตั้งแต่ลำธารอียิปต์ถึงแม่น้ำยูเฟรติส
8 เยโฮยาคีนมีพระชนมายุสิบแปดพรรษา เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสามเดือน พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเนหุชทา บุตรีของเอลนาธันชาวเยรูซาเล็ม
9 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายใน สายพระเนตรพระเจ้า ตามทุกอย่างซึ่งพระบิดาของพระองค์ทรงกระทำ
10 คราวนั้นข้าราชการของเนบูคัดเนสซาร์ พระราชาแห่งบาบิโลน ยกขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มล้อมกรุงไว้
11 และเนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลน เสด็จมาที่เมืองนั้น ขณะเมื่อข้าราชการของพระองค์ยังล้อมเมืองอยู่
12 และเยโฮยาคีนพระราชาแห่งยูดาห์ ทรงมอบพระองค์แก่พระราชาแห่งบาบิโลนพระองค์เอง และพระมารดาของพระองค์และข้าราชการของพระองค์ และเจ้านายของพระองค์ และข้าราชสำนักของพระองค์ พระราชาแห่งบาบิโลนจับพระองค์เป็นนักโทษใน ปีที่แปดแห่งรัชกาลของพระองค์
13 ได้ขนเอาทรัพย์สินในพระนิเวศของพระเจ้าและ ทรัพย์สินในสำนักพระราชวัง และทอนเครื่องใช้ทองคำ ซึ่งซาโลมอนพระราชาแห่ง อิสราเอลทรงสร้างไว้ในพระวิหารของพระเจ้า ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ก่อนแล้ว
14 พระองค์ทรงกวาด ชาวเยรูซาเล็มไปหมดทั้งเจ้านายทั้งปวง และทแกล้วทหารทั้งหมด เป็นเชลยหนึ่งหมื่นคน มีช่างฝีมือและช่างเหล็กทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเหลือนอกจากราษฎรที่จนที่สุด
15 และพระองค์นำเยโฮยาคีนไปยังบาบิโลน ทั้งพระชนนี พระมเหสี ข้าราชสำนักของพระองค์และบุคคลชั้นหัวหน้าของแผ่นดิน พระองค์จับเป็นเชลยจากกรุงเยรูซาเล็มถึงบาบิโลน
16 และพระราชาแห่งบาบิโลนทรงนำเชลยมายัง บาบิโลนคือ ทแกล้วทหารทั้งหมดเจ็ดพันคน และช่างฝีมือและช่างเหล็กหนึ่งพัน ทุกคนแข็งแรง และเหมาะสำหรับการรบ
17 และพระราชาบาบิโลนตั้งมัทธานิยาห์ปิตุลา ของเยโฮยาคีนเป็นพระราชาแทนพระองค์ และเปลี่ยนพระนามว่าเศเดคียาห์
18 เศเดคียาห์มีพระชนมายุยี่สิบเอ็ดพรรษา เมื่อพระองค์ทรงเริ่มครอบครอง และพระองค์ทรงครอบครองในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า ฮามุทาลบุตรีของเยเรมีย์ชาวลิบนาห์
19 และพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้าย ในสายพระเนตรพระเจ้า ตามทุกอย่างซึ่งเยโฮยาคิมทรงกระทำ
20 เพราะว่าโดยพระพิโรธของพระเจ้านั้น เหตุการณ์มาถึงขีดที่พระองค์ทรงเหวี่ยง เยรูซาเล็มและยูดาห์ไปให้พ้นพระพักตร์พระองค์ และเศเดคียาห์ได้กบฏต่อพระราชาแห่งบาบิโลน เมื่อวันที่สิบเดือนที่สิบปีที่เก้าแห่งรัชกาลของพระองค์

2พงศ์กษัตริย์ 25
1 และอยู่มาเนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลน ได้ยกมาพร้อมกับกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์เข้าสู้รบกรุงเยรูซาเล็ม และล้อมกรุงนั้นไว้ และเขาทั้งหลายได้สร้างเครื่องล้อมไว้รอบ
2 กรุงนั้นจึงถูกล้อมอยู่ถึงปีที่สิบเอ็ด แห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์
3 เมื่อวันที่เก้าของเดือนที่สี่ การกันดารอาหารในกรุงนั้นก็ร้ายกาจนัก ไม่มีอาหารให้แก่ราษฎร
4 แล้วกรุงนั้นก็แตก ทหารทั้งสิ้นหนีออกไปในกลางคืนตามทางประตูเมือง ระหว่างกำแพงทั้งสองซึ่งอยู่ริมราชอุทยาน (ทั้งๆที่คนเคลเดียอยู่รอบเมือง) และพระราชาก็เสด็จตามทางไปลุ่มแม่น้ำจอร์แดน
5 แต่กองทัพของคนเคลเดียได้ไล่ตามพระราชา และมาทันพระองค์ในที่ราบเมืองเยรีโค และกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ก็กระจัดกระจาย ไปจากพระองค์
6 แล้วเขาจึงจับพระราชา นำขึ้นมายังพระราชาแห่งบาบิโลน ที่ริบลาห์ ผู้ทรงให้คำพิพากษา
7 เขาได้ประหารชีวิตบรรดาโอรสของ เศเดคียาห์ต่อพระพักตร์ของพระองค์ แล้วทำพระเนตรเศเดคียาห์ให้บอดไป ตีตรวนพระองค์ไว้ และพาพระองค์ไปยังบาบิโลน
8 เมื่อวันที่เจ็ดเดือนที่ห้า ซึ่งเป็นปีที่สิบเก้าของรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ พระราชาแห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ข้าราชการคนหนึ่งของพระราชาแห่งบาบิโลนได้มายังเยรูซาเล็ม
9 ท่านได้เผาพระนิเวศของพระเจ้าเสีย และเผาพระราชวัง และเผาบ้านเรือนทั้งหมดของเยรูซาเล็ม ท่านเผาบ้านใหญ่ทุกหลังลงหมด
10 และทหารคนเคลเดียทั้งหมดผู้ อยู่กับผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ได้ทลายกำแพงรอบเยรูซาเล็มลง
11 และประชาชนที่เหลืออยู่ซึ่งอยู่ในเมือง และคนหลบหนีซึ่งหลบหนีไปยังพระราชาแห่งบาบิโลน พร้อมกับมวลชนที่เหลืออยู่นั้น เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ กวาดไปเป็นเชลย
12 แต่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ละ คนจนที่สุดแห่งแผ่นดินไว้ให้ เป็นคนทำสวนองุ่นและเป็นคนทำไร่ไถนา
13 และเสาทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า และเชิงกับขันสาครทองสัมฤทธิ์ ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้านั้นคนเคลเดียได้ทุบเป็นชิ้นๆ และขนเอาทองสัมฤทธิ์ไปยังบาบิโลน
14 เขาขนหม้อ พลั่ว และตะไกรตัดไส้ตะเกียง และชามเครื่องหอม และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ซึ่งใช้ในงานของพระวิหารเอาไปเสีย
15 ทั้งกระถางไฟด้วย กับชามอ่าง สิ่งใดที่ทำด้วยทองคำ ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็ขนเอาไปเป็นทองคำ และสิ่งใดที่ทำด้วยเงินก็ขนเอาไปเป็นเงิน
16 ส่วนเสาหานสองต้น ขันสาครหนึ่งลูกและเชิง ซึ่งซาโลมอนทรงสร้างสำหรับพระนิเวศของพระเจ้านั้น ทองสัมฤทธิ์ของภาชนะเหล่านี้ก็เหลือที่จะชั่งได้
17 เสาหานต้นหนึ่งสูงสิบแปดศอก และบัวคว่ำทองสัมฤทธิ์มีบนเสาบัวคว่ำนั้นสูงสามศอก มีตาข่ายกับลูกทับทิมล้วนทองสัมฤทธิ์อยู่บนบัวคว่ำโดยรอบ และเสาหานต้นที่สองก็เหมือนกัน พร้อมตาข่าย
18 และผู้บัญชาการทหาร รักษาพระองค์ก็จับเสไรอาห์ปุโรหิตผู้ใหญ่ และเศฟันยาห์ปุโรหิตที่สอง กับผู้รักษาธรณีประตูสามคนไปด้วย
19 และจากเมืองนั้นท่านได้จับข้าราชสำนัก ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพกับที่ปรึกษาของพระราชา อีกห้าคนที่พบในเมืองนั้น และเลขาธิการและผู้บัญชาการกองทัพผู้เกณฑ์ราษฎร และอีกหกสิบคนจากราษฎรซึ่งพบในเมือง
20 และเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษา พระองค์ได้จับคนเหล่านี้ไป พามาถึงพระราชาแห่งบาบิโลนที่ริบลาห์
21 และพระราชาแห่งบาบิโลนได้ทรงฟันเขา และประหารชีวิตเขาทั้งหลายเสียที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท ยูดาห์จึงถูกกวาดเป็นเชลยไปจากแผ่นดินของตน
22 พระองค์ทรงตั้งเกดาลิยาห์บุตรอาหิคัม บุตรชาฟานให้เป็นเจ้าเมือง เหนือประชาชนผู้เหลืออยู่ในแผ่นดิน ยูดาห์ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ พระราชาบาบิโลนได้ทรงเหลือไว้
23 เมื่อบรรดาผู้บังคับบัญชาพลรบทั้งตัวเขาทั้งหลาย และคนของเขาได้ยินว่า พระราชาแห่งบาบิโลนได้แต่งตั้งเกดาลิยาห์ให้เป็น เจ้าเมือง เขาก็มาพร้อมกับคนของเขาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ คืออิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ และโยฮานันบุตรคาเรอาห์ และเสไรอาห์บุตรทันหุเมทชาวเนโทฟาห์ และยาอาซันยาห์บุตรคนตระกูลมาอาคาห์ ทั้งเขาทั้งหลายและคนของเขา
24 และเกดาลิยาห์ก็กระทำสัตย์สาบาน แก่เขาและคนของเขาว่า "อย่ากลัวเพราะเจ้าหน้าที่คนเคลเดียเลย จงอาศัยในแผ่นดินและปรนนิบัติพระราชาแห่งบาบิโลน แล้วท่านก็จะอยู่เย็นเป็นสุข"
25 แต่ในเดือนที่เจ็ดอิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์ บุตรเอลีชามาผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ ได้เข้ามาพร้อมกับชายสิบคน ได้โจมตีและฆ่าเกดาลิยาห์และพวกยิวกับคน เคลเดียผู้อยู่กับท่านที่มิสปาห์เสีย
26 แล้วประชาชนทั้งปวง ทั้งเล็ก และใหญ่ และผู้บังคับบัญชาพลรบได้ลุกขึ้น และไปยังอียิปต์ เพราะเขากลัวคนเคลเดีย
27 และอยู่มาในปีที่สามสิบเจ็ดแห่งการเนรเทศ เยโฮยาคีนพระราชาแห่งยูดาห์ ในเดือนที่สิบสองเมื่อวันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนนั้น เอวิลเมโรดักพระราชาแห่งบาบิโลน ในปีที่พระองค์ทรงเริ่มครอบครอง ทรงพระกรุณาโปรดให้เยโฮยาคีนพ้นจากเรือนจำ
28 พระองค์ตรัสด้วยคำอ่อนหวานแก่ท่าน และให้นั่งสูงกว่าบรรดาที่นั่งของ กษัตริย์ที่อยู่ในบาบิโลนกับพระองค์
29 เยโฮยาคีนจึงได้ถอดเครื่องแต่งกายของนักโทษออก และได้รับประทานที่โต๊ะเสวยของพระราชาเป็นปกติ ทุกวันตลอดชีวิต
30 ส่วนงบประมาณที่ให้นั้นก็ได้รับพระราชทานจากกษัตริย์ ตามความต้องการรายวันอยู่เสมอตลอดเมื่อท่านมีชีวิตอยู่

 © Copyright 2009. Christian Siam.com