Christian Siam

 

 

 

 

Christian Siam - เว็บสำหรับคนอยากรู้จักพระเจ้า

 
 :: สำหรับผู้สนใจพระเจ้า ::
Christian Siam คำถาม - คำตอบ
Christian Siam พระเยซูคือใคร
Christian Siam พระเยซูเกิดจริงหรือ?
Christian Siam เราเกิดมาทำไม
Christian Siam เราตายแล้วไปไหน
Christian Siam ทฤษฎีวิวัฒนาการ...จริง?
Christian Siam เป็นคริสเตียนได้อย่างไร
Christian Siam คำพยานชีวิต

Christian Siam
H O M E
:: สำหรับคริสเตียนใหม่ ::
:: สื่อคริสเตียนออนไลน์ ::
Christian Siam มานาประจำวัน
Christian Siam เพลงจาก Youtube
 

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN

         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM
         CHRISTIAN SIAM.COM

                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN
                   CHRISTIAN



คำถาม - คำตอบ

สำหรับในหัวข้อนี้ เราจะพยายามหาคำถามที่หลายคนสงสัยและนำมาให้ความกระจ่างแก่ท่าน หากท่านใดมีคำถามเพิ่มเติมหรือคำตอบที่ได้รับนั้นยังไม่กระจ่างพอ สามารถติดต่อได้ที่ jirayut@yahoo.com

1. ทำไมพวกคริสเตียนถึงได้พยายามชักจูงคนให้มาเชื่อศาสนาของเขา  ทำแล้วได้อะไรตอบแทนหรือ?
2. ทำไมพระเจ้าไม่ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในการทำให้คนเป็นคริสเตียนละ  จะได้ไม่ต้องเสียเวลาประกาศ?
3. ทำไมพระเจ้าที่แสนดีและเปี่ยมด้วยความรักจึงอนุญาตให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้น?
4. ทำไมคริสเตียนจึงบอกว่าพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้?
5. แล้วคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้าของคริสเตียนจะทำอย่างไร  ยุติธรรมแล้วหรือที่เขาต้องตกนรกเพียงเพราะไม่เคยได้ยิน?
6. เป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าแห่งความรักส่งคนไปลงนรก?
7. เหตุผลที่ฉันไม่ยอมไปโบสถ์  เพราะว่าที่นั่นมีแต่พวกมือถือสาก  ปากถือศีล  ไม่ต่างจากคนอื่นๆเลย?
8. ถ้าเรากินมะม่วงเปรี้ยว เราก็รู้ได้เลยว่ามาจากมะม่วงพันธุ์ไม่ดี  แล้วการที่มนุษย์ชั่วแสดงว่าพระเจ้าซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์ก็ต้องไม่ดีด้วยใช่ไหม?
9. พระคัมภีร์น่าเชื่อถือแค่ไหน?
10. คำพูดของพระเยซูที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้านั้นเชื่อถือได้แค่ไหน?
11. ทำไมชีวิตของพระเยซูเพียงชีวิตเดียวถึงสามารถลบล้างบาปคนทั้งโลกได้?

ทำไมพวกคริสเตียนถึงได้พยายามชักจูงคนให้มาเชื่อศาสนาของเขา  ทำแล้วได้อะไรตอบแทนหรือ?

หลายๆคนคงจะชินกับภาพที่คริสเตียนพยายามเล่าเรื่องพระเจ้าและชวนให้อีกหลายๆคนมาเชื่อ  แล้วคงจะมีคำถามว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น  คำตอบง่ายๆก็คือเป็นคำสั่งของพระเจ้าที่ให้เราประกาศ  ให้เราบอกเล่าเรื่องราวความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  ให้เราชี้ทางไปสู่สวรรค์ให้กับคนที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อต้องจากโลกนี้ไปแล้วจะไปอยู่ที่ไหน เหตุผลที่พระเจ้าสั่งให้เราทำเช่นนั้นก็เพราะความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์  พระเจ้าไม่อยากเห็นใครคนใดคนหนึ่งต้องตกนรก  พระองค์จึงจำเป็นที่จะต้องบอกเรื่องราวของพระองค์ให้มนุษย์ได้รับรู้มากที่สุด  เพื่อคนเหล่านั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

ทำไมพระเจ้าไม่ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในการทำให้คนเป็นคริสเตียนละ  จะได้ไม่ต้องเสียเวลาประกาศ?

สาเหตุเพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีเหตุผล  ให้มีสติปัญญา  และให้มีเสรีภาพในการตัดสินใจ พระองค์ไม่ต้องการสร้างหุ่นยนต์และป้อนโปรแกรมว่ามนุษย์ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้  เมื่อพระเจ้าได้เปิดเผยพระองค์เองให้เราได้รู้จักแล้ว  เมื่อพระเจ้าได้ชี้ทางแห่งความรอดให้เราได้รู้แล้ว และในเมื่อพระเจ้าสร้างเราให้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาเช่นนี้แล้ว  เราจะตัดสินใจอย่างไร  เพิกเฉยไม่สนใจเรื่องของพระเจ้า หรือว่าจะลองเปิดใจศึกษาเรื่องของพระองค์ดู  อนาคตขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราวันนี้

ทำไมพระเจ้าที่แสนดีและเปี่ยมด้วยความรักจึงอนุญาตให้มีความชั่วร้ายเกิดขึ้น?

แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจเหนือความชั่วร้ายต่างๆและพระองค์ไม่อยากให้มนุษย์คนใดต้องประสบหรือได้รับผลจากความชั่วร้ายใดๆเลย  แต่การที่เรายังเห็นความชั่วร้ายต่างๆมากมายเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันนั้นปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นจากพระองค์แต่อย่างไร  แต่เกิดจากตัวเราเองทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะพระเจ้าทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์  (คือมีลักษณะเหมือนพระเจ้า  เช่น  มีความรัก มีอารมณ์ความรู้สึก  มีสติปัญญา  มีความคิด มีอิสระเสรีภาพ)  พระเจ้าทรงสร้างเราให้มีเสรรีภาพในการตัดสินใจ  แรกเริ่มนั้น  พระเจ้าทรงสร้างโลกไว้อย่างดี  ทรงสร้างมนุษย์ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่พระองค์ก็ให้มนุษย์นั้นได้เลือกว่าจะเชื่อฟังพระเจ้าและกระทำความดี  หรือเลือกที่จะไม่เชื่อฟังพระองค์และทำชั่ว  พระเจ้าไม่ต้องการสร้างหุ่นยนต์ที่คอยรับฟังคำสั่งเท่านั้น  เพราะนั่นไม่ใช่พระลักษณะของพระองค์  ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าที่มนุษย์เลือกปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระเจ้า  แต่กลับหันหลังให้พระองค์และกระทำความชั่ว  นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเห็นความชั่วเกิดขึ้นมากมายบนโลกนี้

ทำไมคริสเตียนจึงบอกว่าพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้?

ถ้าพูดตามหลักของความเป็นจริงแล้วคงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกๆศาสนาจะนำเราเข้าสู่สวรรค์  เพราะศาสนาคริสต์บอกว่าพระเยซูเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ได้  ศาสนาอิสลามบอกว่าพระอัลเลาะห์ทรงเป็นพระเจ้า  ถ้าหากบอกว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าหรือมีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากพระอัลเลาะห์จะต้องถูกลงโทษ  ศาสนาพุทธก็ได้กล่าวไว้ว่าการทำดีนั้นสามารถนำเราไปสู่นิพพานได้  จะเห็นได้ว่าหนทางไปสวรรค์ของแต่ละศาสนานั้นแตกต่างกัน  และเป็นไปไม่ได้ที่ทุกศาสนาจะนำเราไปสวรรค์ได้  เพราะต่างขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าเช่นนั้นอะไรเป็นเหตุผลที่คริสเตียนถึงกล่าวว่าทางพระเยซูเท่านั้นที่จะนำเราไปสวรรค์ได้?  การเกิดในครอบครัวคริสเตียนไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นจะเป็นคริสเตียน  วัฒนธรรมหรือเชื้อชาติก็ไม่ได้กำหนดว่าคนๆนั้นจะต้องรู้จักพระเจ้า  คนที่จะเป็นคริสเตียนได้ก็คือคนที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าและรู้จักพระองค์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น คริสเตียนแตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ว่า  คริสเตียนบอกว่าเราไม่สามารถทำดีใดๆได้เลยเพื่อที่จะได้เข้าสู่สวรรค์  เพราะเราทำดีเท่าไรก็ยังไม่ถึงมาตรฐานที่พระเจ้ากำหนดไว้  แม้ว่าเราจะทำดีทุกวัน  แต่ก็อย่าลืมว่าเราก็ยังทำบาปได้ทุกๆวันเหมือนกัน  (ความบาปที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นบาปใหญ่โตร้ายแรง แค่เราโกหก คิดไม่ดี  สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นบาปทั้งสิ้น)ศาสนาอื่นๆสอนว่าให้เราทำดีเพื่อจะได้เข้าสู่สวรรค์ได้  แต่ในความเป็นจริงเรายังคงทำบาปทำชั่วทุกๆวัน  และหากเป็นอย่างนี้เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเราจะเข้าสวรรค์ได้  แต่สำหรับคริสเตียนนั้น  ความบาปของเราพระเยซูได้ชดใช้บาปแทนเราแล้วโดยการตายบนไม้กางเขนและฟื้นขึ้นอีกครั้งในวันที่สาม เพราะพระองค์รู้ดีว่ามนุษย์ไม่มีทางทำดีจนถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้เลย  และการทำดีก็ไม่สามารถลบล้างความบาปที่เรากระทำได้  ดังนั้นนอกจากการช่วยเหลือของพระเยซูแล้วไม่มีมนุษย์คนใดสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้เลย  และนี่จึงเป็นที่มาของคริสเตียนที่บอกว่าพระเยซูทรงเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะพาเราเข้าสู่สวรรค์ได้ อย่างไรก็ตามการเป็นคริสเตียนไม่ได้หมายความว่าพวกคริสเตียนนั้นมีสิทธิหรือเหนือกว่าคนอื่นๆ  เพราะพระคัมภีร์ได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าทั้งพวกคริสเตียนและพวกที่ไม่ใช่คริสเตียนนั้นต่างก็เหมือนกัน  คือเป็นคนบาปทั้งสิ้นและต้องการการช่วยเหลือให้รอดจากบึงไฟนรก  ซึ่งการจะรอดได้นั้นก็โดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากการเป็นคนเคร่งศาสนาหรือเกิดจากการกระทำของเราเอง

แล้วคนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้าของคริสเตียนจะทำอย่างไร  ยุติธรรมแล้วหรือที่เขาต้องตกนรกเพียงเพราะไม่เคยได้ยิน?

พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวเอาไว้ว่า  คนที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้าจะได้ขึ้นสวรรค์  เพราะถ้าเช่นนั้นคริสเตียนคงไม่จำเป็นต้องประกาศเรื่องราวของพระเจ้าให้คนอื่นๆได้รู้  เพราะบางทีการที่เขารู้เรื่องพระเจ้า เขาอาจจะไม่เชื่อก็เป็นได้  และนั่นจะนำเขาไปสู่นรก  ดังนั้นไม่ประกาศจะเป็นการดีเสียกว่า เช่นเดียวกันพระคัมภีร์ก็ไม่ได้บอกไว้ว่าถ้าใครไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเจ้าจะต้องตกนรก  แม้ว่าจะเป็นความจริงที่พระคัมภีร์ได้บอกไว้ว่า  “ไม่มีนามใดทั่วใต้ฟ้าที่จะช่วยคนให้รอดได้นอกจากนามของพระเยซูเท่านั้น”  เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น  พระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าแห่งความยุติธรรม  และพระเจ้าก็ไม่ใช่พระเจ้าแห่งความรักและเมตตาที่ส่งคนไปลงนรกโดยที่คนๆนั้นไม่มีโอกาสได้รับความรอดเลย แท้จริงแล้วเราไม่รู้ว่าทางออกที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร  เพราะพระเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างให้เราได้รับรู้  แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้อย่างแน่นอนก็คือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก  และทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม ในวันสุดท้ายเราจะรู้เองว่าพระเจ้าใช้มาตรฐานใดในการตัดสิน แต่ที่แน่ๆเรามั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าเมื่อถึงวันนั้นจะไม่มีใครสงสัยในความยุติธรรมของพระองค์อย่างแน่นอน

เป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าแห่งความรักส่งคนไปลงนรก?

การที่จะเข้าใจคำตอบของคำถามนี้ได้ เราจำเป็นต้องเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้าบางประการ  นั่นคือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก  ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความบริสุทธิ์  ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความเมตตา  และทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม  (แท้จริงพระลักษณะของพระเจ้ามีมากกว่านี้  นี่เพียงแต่ยกบางพระลัษณะมาอธิบายเท่านั้น)  เนื่องจากความบริสุทธิ์ของพระเจ้านี่เอง  พระองค์จึงไม่สามารถประนีประนอมกับความบาปได้  ดังนั้นเมื่อมนุษย์ทำบาปจึงได้ถูกตัดขาดจากพระเจ้า  และการที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรมนี้เอง เมื่อมนุษย์ทำผิดจึงต้องถูกลงโทษ  พระคัมภีร์บอกไว้ว่า  “ค่าจ้างของความบาปนั้นคือความตาย”  ดังนั้นมนุษย์ที่ทำบาปจึงต้องถูกพิพากษาในบึงไฟนรก อย่างไรก็ตามพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรักและเมตตา  พระองค์ไม่ประสงค์ให้มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องพินาศ  ดังนั้นพระองค์จึงได้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาบังเกิดในโลกนี้โดยทางมารีย์หญิงพรหมจารีย์  เพราะมีเพียงพระเยซูผู้ไม่มีบาปเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเหลือมนุษย์ผู้เป็นคนบาปได้  โดยการตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปเราทั้งหลาย  เพราะความบาปได้เข้ามาในโลกเพราะมนุษย์เพียงคนเดียวฉันใด  (บาปเข้ามาเพราะอาดัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า)  ความบาปก็ได้รับการไถ่โดยทางพระเยซูที่เชื่อฟังฉันนั้น  ดังนั้นหากใครที่เชื่อและยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าที่มาตายเพื่อไถ่บาปเขา  ผู้นั้นก็จะรอดและไม่ต้องถูกพิพากษาในบึงไฟนรก  พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์คนใดถึงความพินาศในนรกเลย พระองค์จึงประทานทางออกให้โดยทางพระเยซู  เพียงแต่คนๆนั้นต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทางพระเจ้าเพื่อไปสู่ชีวิต  หรือเลือกทางเดินตามใจตนเองที่นำไปสู่ความตาย  การที่มนุษย์จะต้องลงไปสู่นรกนั้นก็เป็นเพราะคนๆนั้นเลือกเอง ไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงกระทำ

เหตุผลไม่ฉันไม่ยอมไปโบสถ์  เพราะว่าที่นั่นมีแต่พวกมือถือสาก  ปากถือศีล  ไม่ต่างจากคนอื่นๆเลย?

นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลายๆคนไม่ยอมเชื่อพระเจ้า เพราะเห็นชีวิตของคริสเตียนบางคนไม่แตกต่างจากคนอื่นๆที่ไม่เชื่อ  แต่พระเยซูได้บอกว่า  “จงตามเรามา”  ไม่ได้ให้เราตามคริสตจักร หรือให้เราตามคนที่อยู่ในโบสถ์  เพราะโบสถ์ไม่ใช่แหล่งชุมนุมชนของผู้บริสุทธิ์  แต่โบสถ์เป็นเหมือนโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคบาป โบสถ์เป็นแหล่งรวมคนบาป แต่เป็นคนบาปที่รู้ตัวว่าไม่สามารถพึ่งกำลังตนเองให้เอาชนะโรคบาปได้  แต่ต้องพึ่งฤทธิ์อำนาจของพระเยซู  ดังนั้นอย่าให้เราเพ่งจุดสนใจไปที่มนุษย์  แต่ให้เพ่งไปที่พระเจ้า 

ถ้าเรากินมะม่วงเปรี้ยว เราก็รู้ได้เลยว่ามาจากมะม่วงพันธุ์ไม่ดี  แล้วการที่มนุษย์ชั่วแสดงว่าพระเจ้าซึ่งเป็นผู้สร้างมนุษย์ก็ต้องไม่ดีด้วยใช่ไหม?

แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่แสนดี  บริสุทธิ์  ไม่มีความบาปหรือความชั่วในพระองค์เลย   และแรกเริ่มเดิมทีนั้นพระเจ้าก็ทรงสร้างมนุษย์ให้ดีสมบูรณ์แบบ  พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้เป็นผู้ที่มีความคิดและมีอิสระในการเลือก  การที่มนุษย์เลือกที่จะทำชั่วนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของพระเจ้า  เหมือนกันบริษัทที่ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดอย่างดีออกมารุ่นหนึ่ง  เมื่อเราไปซื้อและนำมาพิมพ์  ปรากฏว่าเราพิมพ์ผิดไปคำหนึ่ง ความผิดที่เกิดขึ้นนี้เราไม่สามารถไปโทษผู้ผลิตได้  เพราะผู้ผลิตได้ผลิตเครื่องพิมพ์อย่างดีสมบูรณ์แบบมา  แต่ความผิดเกิดจากตัวเราที่ผิดพลาดเอง เช่นเดียวกันเมื่อมนุษย์ทำบาปก็ต้องโทษที่มนุษย์เลือกที่จะทำบาป  ไม่ใช่โทษพระเจ้าที่เป็นพระผู้สร้าง  นอกจากนี้การที่เรารู้ว่าเรากำลังพิมพ์ผิดก็เพราะเรามีแม่แบบที่ถูกว่าเป็นอย่างไร  หากไม่มีแม่แบบที่ถูก  เราก็ไม่มีทางรู้ว่าเกิดความผิดพลาดขึ้น เช่นเดียวกัน  การที่เรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป  คนชั่ว  ก็เพราะว่าเรามีต้นแบบที่ดีสมบูรณ์แบบไว้เปรียบเทียบ  นั่นก็คือพระเจ้านั่นเอง

พระคัมภีร์น่าเชื่อถือแค่ไหน?

ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักพระคัมภีร์ก่อน  พระคัมภีร์คือถ้อยคำของพระเจ้าที่มาถึงมนุษย์ทุกคน  ซึ่งพระคัมภีร์แบ่งออกเป็นพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่  พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมนั้นมีทั้งหมด  39  เล่ม  โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะกล่าวถึงคนๆหนึ่งที่จะเกิดมาในโลกเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป  ซึ่งคนๆนั้นก็คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั่นเอง  สำหรับพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่นั้นมีทั้งหมด  27  เล่ม  โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะกล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระเยซูและเรื่องราวต่างๆของผู้เชื่อหลังจากที่พระเยซูเสด็ดจกลับสู่สวรรค์แล้ว  และในเล่มสุดท้ายจะกล่าวถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูเพื่อจะพิพากษาคนที่ไม่เชื่อและรับผู้ที่เชื่อพระองค์ไปอยู่กับพระองค์บนสวรรค์  สำหรับเหตุผลที่พระคัมภีร์เป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่สามารถเชื่อถือได้  100%    จะขอกล่าวคร่าวๆดังนี้
-  พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ผู้เขียนได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เขาเขียนนั้นไม่ได้มาจากความคิดของเขาเอง  แต่เขาเขียนในสิ่งที่พระเจ้าได้บอกเขาให้เขียน    นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังเป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่มีคนเขียนมากที่สุดในโลก นั่นคือประมาณ  40  คน  โดยที่แต่ละคนไม่รู้จักกัน  บางคนมีชีวิตอยู่ในคนละยุคคนละสมัย  อย่างไรก็ตามเนื้อหาในพระคัมภีร์นั้นได้สอดคล้องกันอย่างน่าอัศจรรย์  ทั้งนี้เพราะผู้เขียนที่แท้จริงนั้นคือพระเจ้านั่นเอง นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังเป็นหนังสือที่ใช้เวลาเขียนนานที่สุดในโลกด้วย  อายุของพระคัมภีร์ตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายประมาณ  3,500  ปี -  เนื้อหาต่างๆในพระคัมภีร์ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง  ไม่ใช่นิยายที่คนแต่งขึ้นหรือเรื่องแต่งที่มีความจริงบางส่วนอ้างอิงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์  จะสังเกตุได้ว่าถ้าหากเป็นเรื่องแต่งแล้ว  การที่เราจะเขียนถึงบรรพบุรุษหรือกษัตริย์ของเรา  เราคงจะเขียนแต่เรื่องดีๆเพื่อให้เป็นที่น่านับถือและยกย่อง  แต่พระคัมภีรืไม่ใช่เช่นนั้น  พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงบรรพบุรุษของคนยิวคืออับราฮัมว่าเป็นคนโกหก กล่าวถึงโมเสสผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่นำคนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ว่าเป็นผู้ฆ่าคน  กล่าวถึงยาโคบผู้เป็นเจ้าของชื่ออิสราเอลว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์หลอกลวงแม้กระทั่งพี่ชายตนเอง   กล่าวถึงกษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่และนับถือของคนอิสราเอลว่าได้ฆ่าสามีคนอื่นเพื่อที่จะแย่งผู้หญิงมาเป็นภรรยาของตนเอง  ถ้าหากเรื่องราวในพระคัมภีร์ไม่เป็นความจริงแล้ว เรื่องต่างๆเหล่านี้คงไม่มีการบันทึกไว้อย่างแน่นอน-  พระคัมภีร์เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่ทุกคำทำนายล้วนแล้วแต่เป็นความจริง  ไม่ว่าจะเป็นคำทำนายถึงบุคคล  หรือประเทศ  หรือความเป็นไปของโลก  คำทำนายที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งก็คือคำทำนายถึงพระเยซูคริสต์ที่จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์  และจะต้องตายเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน  และหลังจากนั้นสามวันจะกลับเป็นขึ้นมาใหม่และมีชีวิตตลอดไป  ซึ่งก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกำเนิดเป็นพันๆปีก็มีคำทำนายถึงพระองค์ถึง  332  ข้อ  และชีวิตของพระเยซูก็ตรงกับคำทำนายทั้ง 332  ข้อทุกประการ -  พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีอิทธพลต่อโลกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านวรรณกรรม  จิตกรรม สังคม  วิทยาศาสตร์ ฯลฯ นอกจากนี้การเลิกทาส  มหาวิทยาลัย  โรงพยาบาล  ผลงานประดิษฐ์ หรือสิ่งต่างๆอีกมากมายที่เกิดขึ้นมานั้นก็ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลจาพระคัมภีร์ทั้งสิ้น  แต่อิทธิพลหนึ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออิทธิพลต่อชีวิต  การที่คนบาปเมื่อได้อ่านพระคัมภีร์แล้วกลับใจใหม่  เปลี่ยนแปลงชีวิตเลิกกระทำชั่ว  หรือการที่คนหมดหวัง  ท้อแท้ ได้รับกำลังใจใหม่สามารถต่อสู้ชีวิตได้อีกครั้งหนึ่ง ก็เพราะพระคัมภีร์เช่นเดียวกัน

-  พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้พูดถึงพระเจ้าอย่างชัดเจนว่าทรงเป็นผู้ใด  มนุษย์เป็นใคร  ความบาปคืออะไร  เป้าหมายในชีวิตคืออะไร  และปลายทางสุดท้ายของมนุษย์คือที่ไหน  สาเหตุที่พระคัมภีร์สามารถให้รายละเอียดต่างๆเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนก็เพราะพระเจ้าซึ่งเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายได้เปิดเผยให้มนุษย์ได้รับรู้

คำพูดของพระเยซูที่อ้างตัวว่าเป็นพระเจ้านั้นเชื่อถือได้แค่ไหน?

การที่พระเยซูอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้านั้นมีทางเป็นไปได้สองทาง  ทางแรกคือพระองค์อ้างผิด  ทางที่สองคือพระองค์ได้อ้างอย่างถูกต้องแล้ว ให้เราลองมาวิเคราะห์ดูคร่าวๆทางเลือกแรกก่อน  ถ้าพระองค์อ้างผิดก็ต้องถามต่อไปว่าพระองค์ทรงรู้ตัวหรือไม่ว่าอ้างผิด  ถ้าไม่รู้ตัวก็แสดงว่าพระองค์เป็นคนบ้าอย่างแน่นอน  เพราะคนดีๆคงไม่มีใครพูดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอน แต่ถ้าพระองค์รู้ตัวแสดงว่าพระองค์ตั้งใจที่จะโกหกคนทั้งโลก  พระเยซูต้องเป็นนักโกหกที่เก่งมากแน่ๆเพราะทำให้คนหลายล้านคนมาเชื่อพระองค์  แต่ไม่ใช่แค่นักโกหกที่เก่งเท่านั้น  พระองค์ยังโง่แสนโง่ด้วย  เพราะคงไม่มีคนฉลาดคนไหนยอมตายเพื่อสิ่งที่ตนเองกุขึ้นมาเพื่อให้คนอื่นเชื่อย่างแน่นอน ทีนี้เราลองมาวิเคราะห์ดูทางเลือกที่สอง  หากคำกล่าวอ้างของพระเยซูที่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเป็นการอ้างอิงที่ถูกละ  เราคงมีทางเลือกอยู่แค่สองทางเท่านั้นคือยอมรับพระองค์หรือไม่ก็ปฏิเสธพระองค์  แล้วคุณจะเลื่อกอย่างไหน?

ทำไมชีวิตของพระเยซูเพียงชีวิตเดียวถึงสามารถลบล้างบาปคนทั้งโลกได้?

เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆจะยกอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามาเป็นตัวอย่างในการอธิบาย  ถ้าหากนำเงิน 1 บาท  ไปแลกกับเงินกีบของลาว  1  บาทจะแลกได้  274  กีบ  ในขณะที่  1  ดอลล่าห์จะแลกได้  6,612 กีบ  แต่เงินยูโร  1  ยูโรกลับแลกได้ถึง  12,301 กีบ  แล้วทำไมเงินยูโรแค่เหรียญเดียวกลับแลกเงินกีบได้เป็นหมื่นๆละ  คำตอบง่ายๆก็คือเงินยูโรมีค่ามากว่าเงินกีบมากนั่นเอง  เช่นเดียวกัน  การที่พระเยซูคริสต์เพียงชีวิตเดียวสามารถแลกกับชีวิตคนได้ทั้งโลกก็เพราะชีวิตของพระองค์มีค่ามากกว่าพวกเราอย่างมากนั่นเอง

Free counter and web stats  

 © Copyright 2009. Christian Siam.com